ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: สัญญาของสองเรา ๑๐๐%

“นี่พี่หินจะทำอะไร...”

น้องตกใจจนสะดุ้งเลยเผลอส่งเสียงดังออกไป ผู้พี่ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากน้องไว้ แขนอีกข้างก็กอดน้อง แล้วดันน้องจนแผ่นหลังติดกับผนังเก๋งเรือ ก่อนจะกระซิบบอกในความมืดที่มีแสงสลัวจากจันทราสาดส่องลงมาเพียงเท่านั้น

“เอ๋ยอย่าเสียงดังสิจ๊ะ พี่ไม่ทำอะไรเอ๋ยหรอก แค่อยากจะกอดเอ๋ย แล้วก็...”

แก้มป่องของน้องถูกจมูกพี่ก้มลงไปหอมอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งแรก ทำเอาน้องอายจนไม่รู้จะทำตัวยังไงนอกจากยืนแข็งทื่อ ปล่อยให้พี่โอบกอดเอาไว้อยู่เท่านั้น

“พี่รักเอ๋ย อยากอยู่ใกล้ๆ เอ๋ย ไม่อยากจากไปไหนเลย แต่พี่ก็ต้องไป เพราะพี่จะได้มีเงินมาเก็บไว้เยอะๆ ไว้สร้างบ้านหลังเล็กๆ ของเรา และเอาไว้เป็นสินสอดสู่ขอเอ๋ยมาแต่งงานไงล่ะ เอ๋ยจำที่เราคุยกันได้มั้ยจ๊ะ”

“...”

ใบหน้าน้อยๆ พยักรับ เพราะไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เมื่อมีความอายเข้าครอบงำ ทำเอาหินส่งยิ้มด้วยความอิ่มสุขไปหา ก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มอีกข้างของน้องอย่างคนอดในไว้ไม่ไหว

“แล้วจะบอกพี่ได้หรือยังว่าเอ๋ยจะให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดพี่”

“...”

น้องส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน ผู้พี่ก็ยิ้มออกมาทันควันด้วยความขำปนเอ็นดูน้องอย่างที่สุด แล้วจูงมือนอกเดินไปตรงประตูเก๋งเรือแต่ยังอยู่ในที่กำบังเพื่อหลบหลีกสายตาผู้ใหญ่ที่อาจจะบังเอิญมาเห็นเข้า

===================

สองแขนที่มีกล้ามเป็นมัดๆ โอบกอดน้องจากด้านหลัง หอมแก้มป่องของน้องอีกครั้งอย่างคนอดใจไม่ได้เช่นเคย ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวลออกมา

“ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เอ๋ยต้องสัญญากับพี่นะ ว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ”

“...”

น้องพยักหน้ารับด้วยความเอียงอาย แม้หัวใจจะเป็นสุขอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อมีอ้อมกอดของพี่โอบอุ้มเอาไว้จนไม่อยากห่างไปไหน

“พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี”

หินหมุนกายสาวในอ้อมกอดให้มาเผชิญหน้า แม้จะมีเพียงแสงสลัวแต่เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน้องสาวตรงหน้าสวยมากน้อยแค่ไหน และเขารักจนหมดหัวใจยังไง

“บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ”

“เอ๋ยๆๆ”

“ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที”

“เอ๋ย...เอ่อ...เอ๋ย...เอ่อ...เอ๋ยกลับดีกว่า”

แล้วร่างผอมบางก็วิ่งออกไปทันทีด้วยความอาย ทิ้งให้ผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือดยิ้มตามด้วยความดีใจ ปลาบปลื้มหัวใจ และพึงพอใจ แม้น้องจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ และแม้จะต้องห่างกันอีกไม่ต่ำกว่าสี่หรือห้าวันก็ตามที
=============

แต่อาการของน้องเมื่อครู่ก็บอกได้แล้วว่าคงจะรู้สึกเหมือนพี่คนนี้ไม่มีผิดเพี้ยนแน่ หินเลยรีบหิ้วข้าวของมาไว้ในเก๋งเรือจนเสร็จแล้วรีบตามน้องเข้าบ้านไปด้วยความเบิกบานหัวใจกว่าทุกวันที่เคยมีมาก็ว่าได้

“เอ๋ยรีบไปอาบน้ำแล้วก็เตรียมมากินข้าวนะลูก พ่อมาแล้ว”

“จ้ะแม่”

สาวน้อยขี้อายรับคำแม่อย่างเร่งรีบ แล้วก็วิ่งขึ้นบ้านตรงไปเข้าห้องนอนเพื่อหลบซ่อนตัวเองจากคนรอบกาย โดยเฉพาะพี่ชายที่กำลังเดินตามหลังมาไม่ห่าง

ใบหน้ารูปไข่ส่งยิ้มอย่างเอียงอายออกมา เมื่อคิดถึงห้วงเวลาอันหวานละมุลเมื่อครู่ และบอกตัวเองไม่ถูกว่าทำไมหัวใจถึงเต้นแรงได้ถึงเพียงนี้

ที่สำคัญ! ก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่มีคำตอบให้พี่อย่างที่ถามออกมา แต่น้องคนนี้ก็สัญญากับตัวเองไว้ ว่าจะบอกพี่ให้ได้รับรู้ในวันที่มอบของขวัญวันเกิดให้พี่อย่างแน่นอน



แต่ในคืนก่อนจะถึงกำหนดกลับของวสินนั้น ก็เกิดพายุโหมกระหน่ำ ทำลายต้นไม้ บ้าน และสิ่งปลูกสร้างหลายต่อหลายอย่างอย่างบ้าคลั่ง เคราะห์ดีที่บ้านของรำไพไม่มีอะไรเสียหาย นอกจากต้นเหรียงหักโค่นลงมาเท่านั้น


สองแม่ลูกกับอีกหนึ่งยายต่างออกไปยืนรอรับการกลับมาของสามชีวิตที่ออกไปหาปลาด้วยความร้อนใจ และยิ่งใกล้เที่ยงซึ่งเลยเวลาที่ควรจะกลับมาแล้วแต่ไม่เห็นใครเลย ทั้งสามก็ยิ่งร้อนใจ

===============


รำไพถึงขนาดพาลูกสาวนั่งสองแถวออกไปดูในตลาด ก็ไร้วี่แววของสามี ซ้ำร้ายยังได้รู้ข่าวว่าเรือของชาวบ้านที่ออกไปหาปลาต่างเงียบหายไปหลายลำ ยังไม่เห็นใครกลับเข้าฝั่งเลย

“ผู้ใหญ่ๆ ไอ้ตี๋กับเมียของมันถูกน้ำซัดมาขึ้นฝั่งบ้านใต้โน่นแน่ะ เรารีบไปดูกันดีกว่า”

รำไพรีบตามผู้ใหญ่กับเพื่อนบ้านนับสิบไปทันที จึงได้เห็นสองผัวเมียที่เอาเชือกผูกตัวกันและกันไว้ลอยมานอนหมดสติอยู่ชายฝั่ง

“แม่จ๋า แล้วพ่อกับพี่หินกับพี่ใหญ่อยู่ไหนล่ะจ๊ะ” รำไพมองหน้าลูกที่ทำท่าจะร้องไห้ออกมา

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ พ่อกับพี่หินกับพี่ใหญ่อาจจะหาปลาอยู่กลางทะเลยังไม่ได้กลับเข้าฝั่งก็ได้จ้ะ”

แม้จะไม่รู้อะไรเลย และแม้จะตกใจ กังวลใจอยู่มาก แต่รำไพก็เลือกที่จะปลอบใจตัวเองกับลูกออกไปแบบนั้นก่อน “ผู้ใหญ่ ทางเหนือก็บอกว่าไอ้เฮี้ยงกับไอ้โย่งลอยมาขึ้นฝั่งเหมือนกัน”

รำไพก็ได้แต่จูงแขนลูกตามผู้ใหญ่ไปดู เพื่อหวังจะเจอผัวกับสองชีวิตที่ไปด้วยกันบ้าง พอไปถึงชาวบ้านต่างก็กระจายกันออกตามหาจนทั่วฝั่ง แต่ก็ไม่พบเห็นวสิน หินแล้วก็ใหญ่เลย

“แม่จ๋า แล้วพ่อกับพี่หินกับพี่ใหญ่อยู่ไหนล่ะจ๊ะ” รำไพมองหน้าลูกที่มีน้ำตาไหลออกมาเพราะความกลัวแล้ว

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันจ้ะลูก แต่พ่อกับพี่หินกับพี่ใหญ่ จะต้องไม่เป็นอะไร เชื่อแม่นะลูก” รำไพกอดลูกไว้ด้วยความกลัวไม่แพ้กัน

==================

“ผู้ใหญ่ๆ มีคนมาบอกว่าเกาะสองมีคนบ้านเราลอยไปตกอยู่ฝั่งนะ มีสามสี่คนด้วย”

แม้จะบ่ายคล้อยและสองแม่ลูกยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเลยก็ตาม แต่ก็พากันขึ้นเรือผู้ใหญ่ตามไปดูด้วยหัวใจร้อนรนเพราะความอย่างรู้

“พี่สิน!!!”

รำไพแทบจะลมจับเมื่อเห็นสามีของตัวเองนอนอยู่บนแคร่ของชาวบ้านที่ช่วยกันหามมาปฐมพยาบาลตั้งแต่ชั่วโมงก่อน เพราะรู้ว่าวสินยังหายใจอยู่

“พี่ใหญ่อยู่โน่นจ๊ะแม่”

วริญรำไพร้องบอกแม่ เมื่อเดินหาพี่หินกับพี่ใหญ่ที่นอนรวมอยู่กับชาวบ้านอีกห้าหกคนที่ถูกช่วยชีวิตมาได้จากชายหาด “ใหญ่จริงๆ ด้วย แล้วหินล่ะเอ๋ย เห็นหินหรือเปล่า”

“ยังเลยจ้ะแม่ เอ๋ยไม่เห็นพี่หินเลยจ้ะแม่ พี่หินจะเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”

น้ำเสียงของสาวน้อยที่ตอบแม่ไปนั้น สั่นเครือเต็มที เมื่อเดินดูจนครบทุกคนที่นอนอยู่แล้วไม่มีพี่หินให้ชื่นใจเลยแม้แต่เงา เสียงชาวบ้านดังอื้ออึงขึ้นอีก เมื่อมีคนมาบอกว่าเห็นอีกสองคนติดอยู่ในป่าโกงกางห่างออกไปอีกไกลพอสมควร

สองแม่ลูกต่างไม่รีรอที่จะตามไปดู แม้จะเหนื่อย แม้จะเย็น และแม้จะหิวยังไง แต่ก็ขอให้ได้เจอหินเพียงเท่านั้นก็พอ “น่าจะถูกไอ้หลามกัด หรือไม่ก็ปลาอะไรสักอย่าง สภาพศพถึงได้เป็นแบบนี้”


วริญรำไพโล่งใจไม่น้อยที่ศพนั้นไม่ใช่ศพพี่หิน และอีกศพก็ไม่ใช่ “ผู้ใหญ่นี่เสื้อใครไม่รู้ มีเลือดติดอยู่ด้วย น่าจะถูกไอ้หลามเล่นเหมือนสองศพนั่น”

================

“พี่หิน!!!”

วริญรำไพร้องไห้ออกมาดังคับป่าโกงกาง เมื่อเสื้อที่อยู่ในมือผู้ใหญ่บ้านนั้น เสื้อตัวที่พี่หินใส่ออกเรือคืนนั้น รำไพที่จำได้คลับคล้ายคลับคารีบวิ่งไปหาลูกที่กอดเสื้อหินเอาไว้

เข่าสองข้างอ่อนเรี่ยวแรง จนล้มพับลงไปกองอยู่กับพื้นน้ำเฉอะแฉะ “เอ๋ย! นี่เสื้อหินใช่มั้ยลูก” รำไพเสียงสั่นเครือ เมื่อจำได้แม่นยำว่าเสื้อตัวนี้ ตัวเองเป็นคนซื้อให้เสือเองกับมือ

“พี่หิน!!! พี่หินอยู่ไหน”

สาวน้อยวริญรำไพยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย เมื่อในใจหวาดกลัวว่าพี่หินจะไม่กลับบ้านมารับของขวัญวันเกิดที่ตัวเองเตรียมไว้ให้แล้วอย่างที่สุด ยิ่งมองคราบเลือดที่เสื้อก็ยิ่งหวาดกลัวว่าพี่หินจะเป็นอะไรไปแล้ว

ความเสียใจ ตกใจ และอีกล้านความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ได้ สะกดให้สาวน้อยช้อกจนหูอื้อ ตาลาย ไม่ได้ยินใคร ไม่เห็นอะไรอีกเลยชั่วขณะนั้น แม้กระทั่งเสียงของแม่

“...”

“เอ๋ย!!! นี่เสื้อของหิน แม่จำได้”

“...”

“แล้วหินไปไหนล่ะเอ๋ย”

“...”

“เจ้าของเสื้อไม่น่าจะรอดแล้วล่ะแม่ไพ เลือดเปื้อนขนาดนี้ คงถูกไอ้หลามกินจนหมดแล้วล่ะ” เพื่อนบ้านเดินเข้ามาออกความคิดเห็นแบบตรงๆ

“...”


วริญรำไพได้ยินประโยคนั้นเต็มสองรูหู แต่อยากให้มันไม่เห็นความจริง ให้วันนี้เวลานี้ไม่เป็นความจริง อยากให้เสื้อในมือไม่ใช่เสื้อของพี่หิน

==========

“เอ๋ย! ทำใจดีๆ ไว้นะลูก พี่หินไปสบายแล้ว”

“ไม่จริงจ้ะแม่ พี่หินต้องยังไม่ตาย พี่หินของเอ๋ยยังไม่ตายใช่หรือเปล่าจ๊ะแม่ ไม่จริงใช่ไหมจ๊ะแม่”



ใบหน้าเรียวเล็กที่เปื้อนด้วยคราบน้ำตา จ้องมองโลงศพที่ด้านในมีของใช้ทุกอย่างของพี่หินบรรจุไว้ในนั้นแทนศพที่ผ่านพ้นมาแล้วหนึ่งอาทิตย์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าร่างไร้วิญญาณของพี่หินจะลอยกลับมา

แม้แต่รูปเพียงใบเดียวที่จะต้องถือเดินนำขบวนเคลื่อนย้ายโลงศพรอบเมรุ ก็ไม่มีด้วยซ้ำ วริญรำไพหอบเสื้อผ้าของพี่หินเพียงชุดเดียวที่มีไว้กับอก ในใจก็เพียงแค่วาดภาพใบหน้าพี่หินใจจินตนาการระหว่างก้าวเดินตามโลงศพไปอย่างเชื่องช้าเพียงเท่านั้น

ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขึ้นบันไดไปเหมือนคนไร้สติ สองแก้มก็อาบด้วยหยาดน้ำตาไม่เคยขาด แล้วยืนจ้องมองข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่แม่เคยซื้อให้พี่หินใช้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่านี่คืองานศพของ

‘พี่หินที่แสนดีของน้อง’

“เอ๋ย! ลงไปข้างล่างดีกว่านะลูก”

สาวน้อยเดินตามแม่ที่จูงแขนลงจากเมรุอย่างคนไร้สติเฉกเช่นตอนก้าวเดินขึ้นไป สายตายังคงจับจ้องเปลวเพลิงที่กำลังเผาไหม้โลงศพที่ปราศจากร่างของ

‘พี่หินที่แสนดีของน้อง’

แน่นิ่ง ไม่ไหวติง ไม่สนใจใคร หรือสรรพสิ่งใดๆ รอบกาย นอกจากควันที่ลอยละล่องขึ้นสู่ยอดเมรุอยู่เท่านั้น มีเพียงหยาดน้ำตาที่เดินทางออกมาจากกายสาวน้อย

ดำดิ่งลงไปหาแรงโน้มถ่วงของโลก ตกไปกับพื้นดินที่แห้งเหือดจนเปียกชุ่มไปด้วยสายธารแห่งความเสียใจที่น้องคนนี้มีให้กับการที่ต้องสูยเสีย


‘พี่หินที่แสนดีของน้อง’

==========

คนนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ อย่างไม่เคยคาดคิด อย่างไม่อยากจะเชื่อ ร่างเล็กๆ ผอมๆ บางๆ สั่นระริกอยู่ที่เดิมเมื่อมีแรงสะอื้นมาสั่นคลอน เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ อย่างไม่คิดจะเกรงกลัวว่าใครเห็น

และยังคงยืนอยู่ตรงจุดนั้นเนิ่นนาน และไม่คิดจะไหวติงไปไหน แม้เพื่อนบ้านที่มาร่วมไว้อาลัยให้ญาติห่างๆ ของวสินผู้จากไปจะแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วก็ตาม

“เอ๋ย! กลับบ้านเราเถอะนะลูก พี่หินไปสบายแล้ว อย่าเสียใจ อย่าร้องไห้ เดี๋ยวดวงวิญญาณพี่หินจะเป็นห่วง จะไปแบบไม่สงบสุขนะจ๊ะ”

รำไพเข้ามาโอบไหล่ลูกเอาไว้ด้วยความสงสาร และเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องสูญเสียหิน ซึ่งตัวเองก็รักและเอ็นดูเหมือนญาติคนหนึ่งเช่นกัน และมาถึงวินาทีนี้ รำไพบอกกับตัวเองว่า จะยินยอมให้ลูกกับหินรักกัน

โดยไม่คอยกีดกันอีกต่อไป หากเพียงนั่นจะทำให้หินกลับมาหาลูกอีกครั้ง ลูกที่เอาแต่เงียบเอาแต่ร้องไห้ นับตั้งแต่ที่ไม่มีพี่หินอยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว

“เชื่อแม่เขาเถอะนะเอ๋ย อย่าร้องไห้เดี๋ยวหินจะเป็นห่วง กลับบ้านเรานะลูก”

วสินเข้ามาโอบกอดลูกไว้ด้วยความเสียใจ และเสียดายในอีกหนึ่งชีวิตที่แสนดีที่ได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ลูกสาวก็ก้าวเดินไปตามแรงรั้งของพ่อ เสื้อผ้าของพี่หินก็หอบไว้กับอกอย่างหวงแหน


ถึงบ้านได้ก็เดินเข้าห้องนอนทั้งน้ำตา นั่งเอาหลังพิงฝาผนังห้องแล้วร้องไห้กอดชุดของพี่หินไว้กับอกอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจใคร ไม่สนใจสิ่งใด ไม่สนใจว่าห้วงเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่

==========

‘แต่เอ๋ยต้องสัญญากับพี่นะ ว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’

กระทั่งเสียงของพี่หินดังผ่านกระแสลมเข้ามากระซิบบอกอีกครั้ง กายผอมบางที่ยังคงมีน้ำตาเป็นเพื่อนไม่เหือดหายแม้จะผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น

หอบเสื้อผ้าพี่หินเดินออกจากห้อง ลงบันไดบ้าน แล้วตรงไปยังจุดที่พี่หินอยากให้น้องไปรอรับวันกลับมา ความมืดมิดโอบคลุมไปทั่วชายหาดจนไม่อาจจะมองเห็นพี่หินที่จะยืนอยู่หัวเรือโบกมือโบกไม้ให้น้องในทุกครั้งที่กลับเข้าฝั่งอีกต่อไปแล้ว

สองเท้าค่อยๆ ก้าวลงไปยังผืนน้ำเรื่อยๆ ก่อนจะปีนขึ้นไปยังเรือลำใหม่ที่พ่อต้องเอาเงินเก็บทั้งหมดที่มีไปซื้อมาเพราะเพื่อนบ้านร้อนเงินเอามาขายถูกๆ ให้ เลยต้องรีบซื้อไว้ก่อนแม้จะยังไม่กล้าออกเรือก็ตาม

ร่างผอมบางค่อยๆ เดินหอบเสื้อผ้าพี่หินไปทรุดกายในเก๋งเรือ เอาหลังพิงผนังตรงจุดที่พี่หินเคยอ้อนวอนให้น้องคนนี้บอกความในใจออกมาก่อนจะจากไป

“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”



น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2558, 20:08:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2558, 20:08:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 821





<< รักเกินจะปกปิดไว้ในใจ ๑๐๐%   ชีวิตที่เหมือนฝันร้าย ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account