ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: รักเกินจะปกปิดไว้ในใจ ๑๐๐%

“พี่หินอย่าบอกแม่นะว่าเอ๋ยพาพี่หินเดินกลับบ้าน เดี๋ยวแม่ดุเอา ถ้าพี่หินไม่บอกเดี๋ยวเอ๋ยจะเลี้ยงขนมตอนเอาโมบายไปขาย ตกลงนะ” ลงรถได้น้องรีบหันไปหาพี่ที่แบกเป้ไว้บนหลังทันที

“อืม! ก็ได้”

และพอพี่รับปากแบบนั้นแล้ว ส่วนน้อยก็ยิ้มแป้นออกมาทันที ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางเดินเล็กๆ อย่างสดใสร่าเริงผิดกับตอนอยู่ในป่าคนละเรื่อง พอเห็นแม่ก็วิ่งไปหาทันที

“แม่จ๋า! เอ๋ยกลับมาแล้วจ้า”

“เป็นไงเรา ทำไมมาช้านักล่ะ กวนอะไรพี่หินหรือเปล่า”

“เปล่าจ้ะแม่ พี่หินบอกว่าแม่จะทำสาคูกะทิกับแกงส้มออดิบให้กินเหรอจ๊ะ”

“จ้า”

“ไยโช! เอ๋ยรักแม่ที่สุดเลยจ้า”

“ไม่ได้ทำให้เอ๋ยกินคนเดียวซักน่อย ทำให้พี่กับทุกคนกินก่อนออกเรือด้วย เราน่ะชอบเข้าข้างตัวเองนะยัยตัวยุ่ง”

ธนากรที่กำลังปอกมะพร้าวอยู่รีบแทรกขึ้นมาด้วยท่าทีหมั่นไส้น้องนอกไส้ สายตาก็ปรายไปหาพี่นอกไส้อีกคนที่เดินแบกเป้เข้าบ้านมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความไม่ชอบใจนิดๆ

ยิ่งคิดถึงโอกาสที่ป้าจะให้ไปซื้อของในตลาดกับให้ไปรับน้องที่หน้าโรงเรียนได้หลุดลอยไป เพราะต้องพายายไปวัดด้วยแล้ว ธนากรยิ่งเสียดายยิ่ง เพราะพักหลังๆ มานี้ มีเวลาได้อยู่ใกล้น้องนอกไส้ที่แสนจะน่ารักน้อยเต็มที

หรือเกือบจะเรียกได้ว่าหมดโอกาสด้วยซ้ำ เมื่อมี ‘ไอ้หิน’ เข้ามาดึงความสนใจน้องไปจนหมดสิ้น ธนากรได้แต่ภาวนาให้ไอ้หินจำอะไรต่อมิอะไรได้เร็วๆ จะได้รีบๆ ไปจากเกาะนี้เร็วๆ เท่านั้น

=============

“แม่จ๋า! เอ๋ยขอเอาเปลือกหอยไปทำอัลบั้มที่ใต้ต้นเหรียงตรงโน้นกับพี่หินหน่อยนะจ๊ะ”

รำไพละสายตาจากงานเลือกปลาอยู่บนแคร่ไปหาลูกสาวที่กำลังหอบหิ้วของเต็มสองมือในท่าเตรียมพร้อมจะไปแล้ว เลยหันไปมองสามีที่ปะอวนอยู่ชายหาดกับใหญ่เพื่อขอคำปรึกษา

“จ๊ะ เอาเสื่อไปนั่งปูดีๆ เลยสิลูก นั่งตรงร่มๆ ฝั่งนี้นะอย่าไปนั่งที่หาด”

แต่สามีก็อยู่ไกลเกินจะเอ่ยถาม เลยจำต้องยอมลูก แล้วหันไปหาหินที่กำลังหิ้วน้ำจากบ่อมาใส่ตุ่มเกือบจะเต็มแล้ว

“พี่หินจ๋า! ถ้าน้ำเต็มตุ่มแล้วมาหิ้วถุงกาวกับฝากล่องไปให้เอ๋ยด้วยนะจ๊ะ เร็วๆ ด้วย เดี๋ยวอัลบั้มรูปของเราจะไม่เสร็จ”

รำไพมองลูกสาวที่วิ่งหอบเสื่อไปด้วยแล้วถอนใจออกมาหนักๆ ทั้งรัก ทั้งห่วง ทั้งเอ็นดู และกังวลในความไม่ประสาของลูกเมื่อเทียบกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เริ่มทำตัวเป็นสาวแล้ว

“เอากระบอกน้ำกับขนมไปด้วยเลยสิหิน อีกหน่อยก็ต้องวิ่งมาเอาให้น้องอยู่ดีนั่นล่ะ ของเยอะขนาดนั้นท่าทางจะต้องนั่งช่วยถึงเย็นโน่นล่ะป้าว่า”

“ครับ”

หินทำตามอย่างว่าง่ายเหมือนทุกครั้ง นั่นยังพอให้รำไพอุ่นใจอยู่ได้บ้างว่าจะไม่มีอะไรทำให้เกิดปัญหาตามมาหรืออาจจะยังไม่ใช่ในเร็วๆ นี้

“เจ้าหินนี่มันว่านอนสอนง่ายดีจริงๆ นะไพ ยายล่ะชอบมัน รักมันเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งเลยล่ะ ถ้ามันความจำเสื่อมแล้วอยู่กับเราตลอดไปก็คงจะดีไม่น้อยนะยายว่า”


ยายยวงที่นั่งเลือกปลาอยู่อีกแคร่ติดกัน และรับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของคนรอบข้างเอ่ยขึ้นด้วยความอารมณ์ดี พลอยทำให้รำไพอารมณ์ดีตามปด้วย

==============

“จ๊ะยาย พี่สินก็อยากให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ไพว่าก็ดีนะ ยัยเอ๋ยจะได้มีเพื่อนเล่น สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วไม่ค่อยทะเลาะกันเหมือนอยู่กับเจ้าใหญ่ รายนั้นนั่งด้วยกันไม่ถึงชั่วโมง ได้แกล้งน้องบ้างหรือไม่ก็น้องแกล้งพี่บ้างทุกที”

รำไพเงยหน้าไปมองลูกที่นั่งอยู่ใต้ต้นเหรียงห่างจากตัวบ้านไปไกลพอสมควร แต่ก็อยู่ในระยะของสายตาที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกนั่งอยู่อีกฟาก หินก็อยู่อีกฟาก ตรงกลางมีข้าวของกองคั่นไว้เต็ม ซึ่งรำไพไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง

“พี่หินช่วยแยกเปลือกหอยสีเดียวกันให้เอ๋ยนะ เดี๋ยวเอ๋ยจะลองเอามาวางบนแผ่นกระดานก่อน ถ้าสวยแล้วเราค่อยติดกาว”

“ได้เลยเจ้านาย สั่งจริงนะเราน่ะ”


แม้ปากจะบ่น แต่หินก็ช่วยน้องอย่างเต็มอกเต็มใจ และไม่คิดจะเอ่ยอะไรเป็นการรบกวน ศิลปินสาวน้อยที่กำลังใช้ความคิดกับงานประดิษฐ์ชิ้นเอกเลยแม้แต่แอะเดียว นอกจากนั่งทำงานตามสั่งเงียบๆ เท่านั้น

==============

“เอ๋ยเอ้ย! แม่กับพ่อจะไปซื้อของไว้ออกเรือที่ตลาดนะลูก อยู่บ้านดีๆ อย่าชวนพี่หินหนีเที่ยวที่ไหนนะ บ่ายๆ เย็นๆ แม่จะกลับ”

สองชั่วโมงผ่านไป ความเงียบถึงได้ถูกทำลายลง “จ้าแม่! อย่าลืมซื้อขนมกอและห์มาฝากเอ๋ยด้วยนะจ๊ะ ซื้อมาเผื่อพี่หินด้วยนะจ๊ะ” ลูกสาวหันไปตะโกนสั่งแม่ครู่เดียว

“จ้ะ อย่าลืมดูปลาให้แม่ด้วยนะ ถ้าแดดหมดให้ยกไปเก็บไว้บนบ้าน”

“จ้าแม่”

แล้วก็ก้มลงไปหางานตรงหน้าต่อ โดยไม่ได้สนใจพ่อกับแม่ที่กำลังจะออกเรือ โดยมีใหญ่เดินตามหลังเลยสักนิด เพราะอัลบั้มรูปเปลือกหอยอันสุดท้ายกำลังจะเสร็จ

“พี่หินช่วยเอากาวติดตามที่เอ๋ยวางไว้เป็นรูปได้หรือเปล่า” พอเสร็จแล้วก็เลยหันไปหาพี่ที่ยังคงเลือกเปลือกหอยที่มีเหลืออีกเยอะอยู่ทันที

“พี่ไม่ถนัดงานศิลปะ เดี๋ยวทำของเอ๋ยพังกันพอดี ให้พี่ช่วยอย่างอื่นดีกว่า”

เพราะหินรู้ตัวเองดีแม้จะจำอะไรไม่ได้ แต่เท่าที่ดูๆ แล้วนั้น มั่นใจว่างานด้านศิลปะคงจะตกราบคาบเป็นแน่ “งั้นก็ติดกาวให้แล้วส่งมา เอ๋ยจะแปะใส่กระดาษเอง”

“ได้เลย”

แล้วบ้านหลังเล็กๆ สีขาวสองชั้นริมชายหาดก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเปลือกหอยอันสุดท้ายติดลงไป หินมองแล้วยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม

“สวยมากเลยเอ๋ย แล้วนี่จะทำเป็นรูปอะไรต่อเหรอ ใช่โรงเรียนหรือเปล่า” แม้จะยังไม่ติดกาวหินก็พอจะมองออก “จ๊ะ”

แล้วโรงเรียนในฝันที่มีเสาธงตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าก็เสร็จสิ้น “พี่หินทำอะไรเหรอ” น้องสงสัยไม่น้อยเมื่อเห็นพี่เอาเปลือกหอยมาเรียงกันตรงกรอบอัลบั้มใกล้ๆ โรงเรียน

=================

“พี่อยากทำพ่อแม่กำลังเดินไปส่งลูก แต่พี่ทำไม่เป็น เอ๋ยช่วยหน่อยสิจะได้สวยๆ”

“อื้มห์!” สาวน้อยเกาคางคิดนิดหนึ่ง

“ก็ได้” เมื่อเห็นว่าเป็นความคิดที่ดีก็ไม่รีรอที่จะทำตาม “แล้วเราจะทำรูปใครดีล่ะพี่หิน”

“อื้มห์! ก็ทำรูปพี่กับรูปเอ๋ยสิ” คนพี่ครุ่นคิดแค่นิดเดียว

“แล้วเด็กตัวน้อยๆ จะเป็นใครล่ะ บ้านเราไม่มีเด็กเลยนะ” ส่วนน้องไม่ได้คิดอะไรเพราะกำลังเอาเปลือกหอยไปวางไว้คร่าวๆ อยู่

“อื้มห์! ก็ทำให้เป็นลูกของเราสิ”

“...”

น้องเลยละสายตาจากเปลือกหอยไปมองหน้าพี่อย่างสงสัย ว่าพี่กำลังหมายถึงอะไรกันแน่ แม้จะไม่เดียงสาอะไรมากมายนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ เลยถามพี่แก้เก้อเขินออกไปอย่างนั้น

“พี่หินจะมีลูกกับเอ๋ยได้ยังไงล่ะ เรายังไม่ได้แต่งงานกันสักหน่อย”

“แล้วเอ๋ยอยากจะแต่งงานกับพี่หรือเปล่าล่ะ”

สายตาของผู้พี่มีประกายหวานไหวเมื่อมองไปหาน้อง ส่วนน้องก็ออกอาการอายน้อยๆ แล้วก้มหน้าไปหางานโดยไม่ตอบอะไร

“ว่าไงล่ะ เอ๋ยจะแต่งงานกับพี่หรือเปล่า” แต่พี่นั้นกลับอยากได้คำตอบอย่างไม่เคยมีมาก่อน

“บ้า! จะแต่งได้ยังไงล่ะ เราไม่ได้รักกันนี่ แล้วเอ๋ยก็ยังเด็กอยู่ด้วย” น้องเลยต้องตอบเลี่ยงๆ


“แล้วเอ๋ยรักพี่หรือเปล่าล่ะ แล้วถ้าโตขึ้นเอ๋ยจะแต่งงานกับพี่มั้ย” เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่แม้จะคล้ำเพราะกรำแดดจ้องไปยังใบหน้าน้อยๆ ผิวสีน้ำผึ้งแทบไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ

=============

“พี่หินก็ต้องเก็บเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็ขอเอ๋ยแต่งงานก่อนสิ” คนตอบก็เอียงอายอย่างไม่เคยมีมาก่อน หัวใจก็เต้นตึกตักๆ อย่างไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน

“ตกลง งั้นพี่จะพยายามเก็บเงินไว้เยอะๆ แล้วจะขอเอ๋ยจากลุงกับป้ามาแต่งงานด้วย”

“อีกตั้งหลายปีกว่าเอ๋ยจะเรียนจบปริญญา พี่หินจะรอไหวเหรอ อีกหน่อยก็จะหนีไปชอบสาวๆ สวยๆ ในตลาดก่อนเอ๋ยโตน่ะสิ”

“พี่สัญญาว่าพี่จะไม่มองใคร พี่จะเก็บเงินรอเอ๋ย แล้วก็สร้างบ้านหลังนี้ไว้รอเอ๋ย พอแต่งงานกันแล้วเราก็จะไปอยู่ด้วยกัน แล้วมีลูกตัวเล็กๆ ด้วยกัน เช้าๆ เราก็จะจูงลูกไปส่งที่โรงเรียนเหมือนรูปนี้ไงล่ะ ตกลงหรือเปล่า”

“ก็ได้ พี่หินสัญญาเอ๋ยแล้วนะ ห้ามผิดสัญญาด้วย”

“สัญญาด้วยชีวิตว่าพี่จะรักเอ๋ยและจะรอแต่งงานกับเอ๋ยคนเดียวเท่านั้น เอ๋ยก็ห้ามรักใครเด็ดขาดนะ ต้องรักและต้องรอแต่งงานกับพี่คนเดียวเท่านั้น สัญญามาเลย”

“ก็ได้ เอ๋ยสัญญา”

“แล้วอีกแผ่นเอ๋ยจะทำเป็นอะไรเหรอ” หินจ้องมือเล็กๆ ที่เลือกเปลือกหอยไปวางไว้

“เอ๋ยจะทำเป็นรูปเอ๋ยกับลูกยืนรอรับพี่หินที่ชายหาดตอนกลับจากออกเรือไง” หินส่งสายตาวันฉ่ำไปหาด้วยความเป็นสุขใจอย่างไม่เคยมีมาก่อนก็ว่าได้


“งั้นแผ่นต่อไป เอ๋ยต้องทำรูปที่พี่ยืนอยู่บนเรือแล้วโบกมือให้เอ๋ยกับลูกด้วยนะ มีลุงกับใหญ่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วย”

============

“ได้ๆ เอาเรือลำใหญ่ๆ เลยล่ะ จะได้หาปลาเก็บไว้เยอะๆ ขายได้เงินเยอะๆ พี่หินกับพ่อกับพี่ใหญ่จะได้ไม่ต้องออกเรือบ่อยๆ ไง”

“ใช่! พี่จะได้อยู่กับเอ๋ยกับลูกของเรานานๆ ด้วย”

สาวน้อยส่งยิ้มให้พี่ชายอย่างเอียงอาย แล้วไม่คิดจะพูดอะไรต่อออกนอกจากเลือกเปลือกหอยเท่านั้น แม้สมาธิจะหดหายไปจากหัวบ้างแล้วก็ตาม

“แล้วพี่หินทำอะไรเหรอ”

แต่ก็อดไม่ได้ เมื่อหันไปเห็นพี่ชายวิ่งไปริมหาดแล้วหอบผักบุ้งทะเลมาด้วย “ทำอะไรเล่นๆ หน่อย เอ๋ยทำงานของเอ๋ยไปสิ พี่ก็จะทำของพี่”

น้องย่นจมูกให้พี่นิดหนึ่งก่อนจะหันไปหางานของตัวเอง “เราทำอัลบั้มเสร็จแล้วเอ๋ยพาพี่ไปตัดผมได้หรือเปล่า พรุ่งนี้ก็ต้องออกเรือแล้ว” ส่วนพี่ก็รู้ว่าน้องงอนนิดๆเลยรีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็ได้ผล

“ไม่ได้หรอกจ้ะพี่หิน เอ๋ยไม่ได้ขอพ่อกับแม่ไว้ เดี๋ยวโดนดุ ไว้พี่หินกลับจากออกเรือก่อนสิ แล้วเอ๋ยจะพาไป เอ๋ยก็จะตัดด้วย วันก่อนครูบ่นว่าเลยติ่งหูมาแล้ว”

“ก็ได้ งั้นเรารอไปตัดผมพร้อมกัน เอ๋ยห้ามหนีไปตัดก่อนตอนพี่ออกเรือนะ ไม่งั้นพี่โกรธจริงๆ ด้วย สัญญามาซะดีๆ ว่าจะรอไปพร้อมพี่”

“จ๊ะ เอ๋ยสัญญาว่าจะไม่ตัดผมจนกว่าพี่จะกลับมา แล้วเราไปตัดพร้อมกัน”

“เสร็จแล้ว! อะพี่ให้”


มุงกุฏผักบุ้งทะเลที่มีใบสีเขียวจัดกับดอกสีม่วงปักแซมอยู่ “โอ! สวยจังเลย พี่หินให้เอ๋ยเหรอ” น้องทำตาโต วางงานในมือแล้วรีบรับไปสวมไว้กับหัวทันที ส่วนพี่ก็ช่วยจัดให้สวยขึ้นอีก

================


“สวยเหมือนเจ้าหญิงเลย แบบนี้ต้องมีเจ้าชายโค้งไปเต้นรำนะ”

ไม่รู้ทำไมหินถึงเอ่ยคำนี้ออกมา แต่เหมือนมันฝังอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำทำให้เขาลุกขึ้นแล้วโค้งตัวลงต่ำ ก่อนจะยื่นมือให้น้องแล้วฉุดให้ลุกขึ้นตาม

“เต้นยังไงล่ะพี่หิน” เพราะน้องไม่เห็น “จะยากอะไร เอามือจับกันไว้สองข้าง แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขาแบบนี้ๆ เอ๋ยก้าวตามพี่นะ”

“ทำไมพี่หินเต้นเป็นล่ะ” น้องสงสัยหนัก “ก็ไม่รู้สิ พี่อาจจะเคยเต้นล่ะมั้ง เหมือนที่พี่จำพวกคณิต วิทย์ได้ จนสอนเอ๋ยได้ล่ะมั้ง ก้าวขาตามพี่เร็ว ช้าๆ นะ อย่างนั้นๆ”

“ฮะฮ่าๆ เอ๋ยเต้นรำเป็นแล้ว”

สองพี่น้องต่างค่อยๆ ก้าว ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามประสาไปด้วย แต่ต่างนำพาความสุขให้กับสองหัวใจได้อย่างดียิ่ง โดยเฉพาะคนเป็นน้องที่ยิ้มร่าออกมาไม่เคยหยุด เพราะเกิดมาไม่เคยคิดว่าจะได้สวมมุงกุฏแล้วเต้นรำแบบนี้เลย


“หินเอ้ย! ขนของพวกนี้ไปลงเรือรอลุงกับเจ้าใหญ่ก่อนนะ อีกหน่อยคงจะกลับจากพายายไปหาหมอแล้วล่ะ ป้าจะทำกับข้าวรอ”

รำไพที่กำลังวุ่นอยู่หน้ากะทะร้องบอกโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนถูกบอกจะยืนอยู่จุดไหนของบ้านด้วยซ้ำ
===============

“ครับป้า” หูก็ได้ยินแต่เสียงหินรับคำดังแว่วอยู่เบื้องหลังแล้วตามด้วยเสียงฝีเท้าเดินไปยกของบนแคร่เท่านั้น

“ทำไมพ่อไม่รอให้ยายหายก่อนแล้วค่อยออกเรือล่ะจ๊ะแม่”

วริญรำไพที่คอยช่วยแม่อยู่ไม่ห่างครัวเอ่ยเสียงอ่อยๆ เพราะไม่อยากให้พี่หินห่างตัวไปไหนเลยถ้าทำได้ เมื่อหัวใจเหมือนจะคอยแต่คิดถึงอยู่ตลอดเวลา

“ไม่ได้หรอก เห็นพ่อว่าอีกห้าหกวันอาจจะมีพายุเข้า แล้วก็นานเป็นอาทิตย์ด้วย ถ้าไม่ไปคืนนี้ก็จะเสียเวลาไปหลายวันเลย พ่อต้องหาเงินมาไว้ซ่อมเรือด้วย ไหนจะต้องเตรียมเงินไว้ซื้อของให้เอ๋ยตอนเปิดเทอมด้วย ไหนเจ้าใหญ่จะต้องใช้เงินไว้รักษายายแล้วก็ค่าลงทะเบียนเรียนด้วย ไม่ออกไม่ได้หรอกลูกค่าใช้จ่ายรออีกเยอะแยะ”

“...”

เพราะจนด้วยเหตุผลร้อยแปดลูกสาวเลยนั่งเลือกผักมันปูยอดสวยๆ ใส่ถุงไว้ให้พ่อเอาไปกินในเรือเท่านั้น “เอ๋ยไปช่วยพี่หินขนของลงเรือดีกว่านะลูก เดี๋ยวเรื่องอาหารแม่จัดการเอง พ่อมาแล้วจะได้กินข้าวพักนิดหน่อยแล้วก็ออกเรือไปเลย”

เพราะมัวแต่ยุ่งๆ ผู้แม่เลยพลั้งเผลอเรื่องการระแวดระวังลูกกับหนุ่มนิรนามไปโดยปริยาย แม้บรรยากาศรอบกายจำค่ำมืดแล้วก็ตามที ส่วนลูกที่ไม่ได้ล่วงรู้ว่ากลายเป็นเป้าสายตาให้แม่ก็รีบรับคำแล้ว

“จ้ะแม่” ผละไปทันทีด้วยความดีใจ



“เอ๋ยหิ้วของเบาๆ ไปก็พอที่เหลือเดี๋ยวพี่จัดการเอง” หินเองก็ดีใจไม่น้อยที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับน้องที่เขารักและรักไปในทางที่ไม่ถูกเวล่ำเวลาด้วยแล้ว

=============

“อีกสี่วันพี่หินจะกลับใช่หรือเปล่าจ๊ะ”

สาวน้อยที่รอรับของจากมือพี่อยู่บนเรือเอ่ยด้วยความอยากรู้ แม้จะเดาได้แล้วแต่ก็อยากจะมั่นใจ “ใช่จ้ะ เอ๋ยถามทำไมเหรอ”

“เปล่าจ้ะ เอ๋ยแค่อยากให้แน่ใจว่าจะทำของขวัญวันเกิดให้เสร็จทันพี่หินกลับมาก็เท่านั้น”

“ของขวัญวันเกิดพี่เหรอ”

“ใช่จ้ะ”

“พี่มีวันเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วเอ๋ยรู้ได้ยังไง”

“วันเกิดพี่หิน เอ๋ยไม่รู้หรอก แต่เอ๋ยจะถือเอาวันที่เจอพี่หินวันนั้นเป็นวันเกิดไง อีกสี่วันพี่หินก็จะอยู่บ้านเอ๋ยครบปีแล้วนะ”

“จริงเหรอ แล้วเอ๋ยจะทำอะไรเป็นของขวัญพี่ล่ะ บอกหน่อยสิพี่อยากรู้”

หินกระโดดขึ้นเรืออย่างคล่องแคล่วเมื่อยื่นของส่งให้น้อยเสร็จหมดแล้ว จากนั้นก็ขนเข้าไปไว้ในเก๋งเรือด้วยกัน “ไม่บอก ปล่อยให้งง”

“บอกหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ ไม่งั้นพี่จะคอยแต่เป็นกังวลเพราะอยากรู้ว่าเอ๋ยจะทำอะไรให้พี่นะ”

หินส่งน้ำเสียงอ้อนวอนไปหาน้องที่หิ้วของไปวางไว้ตรงมุมเก๋ง และนั่นเป็นเหมือนนาทีทองที่ทั้งสองได้อยู่ด้วยกันลับหูลับตาผู้ใหญ่เป็นครั้งแรก


หรือนับตั้งแต่ที่มีความรู้สึกรักใคร่ฉันชู้สาวเกิดขึ้นในใจของหินกับสาวน้อยวัยสิบสี่เท่านั้น หินเลยรีบวางของแล้วก้าวยาวๆ ไปหาน้อง วาดวงแขนโอบกอดน้องเอาไว้อย่างรวดเร็ว



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2558, 20:06:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2558, 20:06:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 832





<< รักแรก ๑๐๐%   สัญญาของสองเรา ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account