ผิดไหม...ที่รักกัน
ภาม says : "ผมไม่รู้ว่า 'บาป' มีหน้าตาอย่างไร...
แต่จะผิดมากไหม...ถ้าผมตกหลุมรัก 'แม่' ของตัวเอง"

ใยไหม says : "ความรักนั้นไม่ผิด...แต่ว่าผิดที่รัก"


Tags: ผิด รัก ภาม ใยไหม

ตอน: บทที่ 1 : คุณแม่ (จำเป็น)

WallyValent : ผิดไหม...ที่รักกัน


บทที่ 1 : คุณแม่ (จำเป็น)

งานสวดพระอภิธรรมศพของ นายไพศาล และ นายพระพาย เทวาภิรมย์ ถูกจัดขึ้นที่วัดพระอารามหลวงใจกลางกรุงเทพมหานคร มีแขกเหรื่อเดินทางมาร่วมงานจำนวนมาก เพราะเป็นคืนแรกที่มีการจัดงาน โดยแขกส่วนใหญ่นั้นเป็นลูกค้า ผู้ถือหุ้น และพนักงานในห้างหุ้นส่วนจำกัด ‘ไพศาลวัสดุภัณฑ์’ ซึ่งผู้เสียชีวิตทั้งสองคนเป็นเจ้าของและหุ้นส่วนหลัก โดยมีสัดส่วนหุ้นสูงถึง 60% ก่อนที่พวกเขาจะจากไปตลอดกาลด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา

ผู้คนในชุดสุภาพสีดำเริ่มทยอยเข้ามาจับจองที่นั่งฟังพระในศาลาการเปรียญติดเครื่องปรับอากาศหลังใหญ่ ซึ่งฝ่ายเจ้าภาพได้จัดเตรียมสถานที่ไว้ต้อนรับ โดยมีเก้าอี้ไม้สักทองตัวใหญ่ของแขกกิตติมศักดิ์ตั้งอยู่ด้านหน้าและเก้าอี้บุนวมบางร่วมร้อยตัววางเรียงอยู่ด้านหลัง ส่วนพื้นที่เบื้องขวาของอาสนสงฆ์ถูกจัดเป็นแท่นพิธี ประดับประดาด้วยดอกไม้สดสีขาวบริสุทธิ์อย่างวิจิตบรรจงสมหน้าตา พรั่งพร้อมด้วยธูปและเทียนซึ่งจัดเตรียมไว้ให้แขกที่มางานได้ใช้ไหว้เคารพด้านหน้าโลงศพสีขาวคลิปทองสองหลังของพ่อลูกผู้วายชนม์ที่ถูกตั้งเรียงไว้เคียงคู่กัน

ร่างสูงเพรียวของพัฒน์ภามอยู่ในชุดสูทสีดำสนิทตัดกับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตามสมัยนิยมของเขา ใบหน้าหล่อเหลาเคลือบรอยยิ้มอ่อนๆ ประดับไว้ตลอดเวลา ขณะยืนคอยต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานคู่กับ ‘จักรภพ’ ทนายความประจำตระกูลที่มาช่วยดูแลความเรียบร้อยของงาน หากดวงตาเรียวยาวของเขากลับไม่ได้ยิ้มตามและยังคงมีรอยบวมแดงรอบๆ ขอบตา เพราะเพิ่งจะผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักจากการสูญเสียบุพการีที่เขาเคารพรักทั้งสองคน

ชายหนุ่มไหว้ขอบคุณแขกผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้จักรภพเป็นผู้พาไปนั่งที่เก้าอี้ เมื่อได้อยู่ตามลำพัง ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มก็กลับมาเคร่งขรึมจริงจัง สายตาคมเหลียวมองไปยังบริเวณด้านหน้าแท่นวางโลงศพที่ขณะนี้ถูกจับจองด้วยร่างบอบบางของใครบางคน เธอนั่งคุดคู้กอดกรอบรูปของ ‘พระพาย’ ไว้แนบอก ตั้งแต่บรรจุศพลงโลงเมื่อช่วงบ่าย และขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาจนใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว หญิงสาวก็ยังไม่ได้เคลื่อนกายไปไหน เอาแต่นั่งมองเหม่อไร้จุดหมาย ปล่อยน้ำตาไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้างาม โดยไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาหรือแววตาแปลกๆ ของแขกหลายคนที่มองมาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อจักรภพเดินกลับมาประจำที่ พัฒน์ภามก็เขียนโน้ตส่งให้ เพื่อขอปลีกตัวไปจัดการกับหญิงสาวให้เรียบร้อยก่อนพิธีสวดบังสุกุลจะเริ่ม เขาเดินไปหยิบกระดาษทิชชู่มาจากโต๊ะด้านข้างแท่นพิธี ก่อนจะตรงเข้าไปคุกเข่าตรงหน้า ‘ณักษ์ปวีร์’ หรือ ‘คุณแม่’ ของตัวเอง ชายหนุ่มทอดสายตาจดจ้องไปในดวงตาคู่สวย ซึ่งเคยฉายแววสดใสอยู่เสมอ หากบัดนี้ดูหม่นหมองว่างเปล่า แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างเพียงแค่ฝ่ามือกลั้น เธอกลับไม่มีอาการรับรู้เลยว่ามีเขาหรือใครอีกมากมายรายล้อมอยู่รอบๆ ตัว

นิ้วมือแข็งแกร่งค่อยๆ บรรจงใช้ทิชชู่แผ่นหนานุ่มเช็ดซับคราบน้ำตาจากดวงหน้าเนียน หากเมื่อปลายนิ้วเรียวสัมผัสถูกผิวแก้มขาวใส หญิงสาวกลับมีปฏิกิริยาตอบรับด้วยการเลื่อนตัวออกห่าง มือบางปัดมือของพัฒน์ภามที่พยายามจรดกระดาษทิชชู่ลงไปอีกครั้งให้พ้นใบหน้า น้ำตาที่เริ่มเหือดแห้งรินไหลออกมาอีกครา ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ต้องยอมละมือออก ส่ายหน้าให้อย่างจนใจ ก่อนจะหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาเขียน

- นี่ป้า! จะนั่งซึมอยู่แบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ ออกไปช่วยต้อนรับแขกบ้ าง ผมเขียนโน้ตตอบพวกเขาจนปวดมือไปหมดแล้วนะ –

ณักษ์ปวีร์แบมือรับโน้ตของพัฒน์ภามไปถือไว้โดยไม่คิดที่จะยกขึ้นมาอ่าน หญิงสาวนั่งมองเหม่อไปไกลแสนไกลราวกับไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ อีกแล้ว เขาจึงตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อยากเหลือเกินที่จะร้องไห้ไปด้วยกัน แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะพ่อไม่เคยสอนให้อ่อนแอ เขาจะต้องเข็มแข็งและเป็นที่พึ่งพิงให้กับคนตรงหน้าให้ได้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มก็หยิบโน้ตใบใหม่ขึ้นมาเขียน แล้วส่งไปให้คนที่นั่งเคียงข้างอีกครั้ง

- ใยไหม เธอต้องตั้งสตินะ เดี๋ยวพอพระสวดจบแล้ว ส่งแขกเสร็จ เธอค่อยกลับมานั่งซึมต่อ ตอนนี้รีบไปช่วยกันก่อนเร็ว –

คราวนี้ณักษ์ปวีร์ยอมหยิบขึ้นมาอ่าน ก่อนจะโยนโน้ตแผ่นนั้นทิ้งไปแบบไม่ใยดี หญิงสาวขยับกายลุกขึ้นยืนเป็นครั้งแรกในเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ยกประคองกรอบรูปของ ‘สามี’ ขึ้นไปบรรจงวางไว้บนแท่น ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมานั่งพับเพียบและทำหน้าตาซึมเศร้าเหม่อลอยดังเดิม ร้อนถึงพัฒน์ภามที่ทนมองภาพเหล่านั้นต่อไปไม่ไหว ต้องขยับกายเข้าไปใกล้ หมายจะเรียกให้เธอรู้สึกตัว หากเธอหันกลับมาตอบคำถามของเขาเสียก่อน

“ฉันไม่อยากไป นายไปเถอะ ฉันจะอยู่ใกล้ๆ พี่พาย เผื่อว่าเขาฟื้นขึ้นมา ฉันจะได้รีบช่วยเขาออกมาจากเจ้ากล่องที่น่าอึดอัดนั่น” เสียงที่เคยสดใสอยู่เสมอบัดนี้สั่นเครือ เรือนร่างเล็กบางสั่นเทาเหมือนลูกนกที่ไร้รัง ไร้ที่พักพิง

- พ่อตายแล้วนะไหม พ่อไม่อยู่แล้ว –

โน้ตใบใหม่ถูกส่งไป ณักษ์ปวีร์อ่านเสร็จก็มองหน้าชายหนุ่มด้วยแววตาโกรธขึง ขยำเศษกระดาษเป็นก้อนกลม ก่อนจะปาใส่ตัวพัฒน์ภามอย่างแรง หญิงสาวปาดน้ำตาให้พ้นจากหางตา สายตาเอาเรื่องจ้องหน้าคนมีศักดิ์เป็นลูกชายอย่างไม่พอใจ ก่อนจะประกาศกร้าว

“ไม่จริง! พี่พายยังอยู่ตรงนี้ เขายังอยู่กับฉัน เขาเคยบอกว่าเขาจะอยู่กับพวกเราตลอดไป...” มือบางขยุ้มไปบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง ปากไม่หยุดพร่ำพรรณนาถึงสามีผู้จากไป ภาวะครองสติเริ่มเลือนราง และโดยไม่ทันที่ใครจะทัดทาน ณักษ์ปวีร์ก็วิ่งตรงไปรัวเคาะด้านข้างโลงศพของพระพายหลายครั้ง “พี่พายคะ พี่พายได้ยินไหมหรือเปล่า ฮือๆ พี่พายกลับมาเถอะนะ อย่าเล่นแบบนี้ ทิ้งไหมให้อยู่คนเดียวแบบนี้ได้ยังไง…”

พัฒน์ภามนั่งตัวชานิ่ง มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะได้สติรีบวิ่งไปคว้าตัวหญิงสาวให้ออกห่างจากโลงศพของผู้เป็นพ่อด้วยกลัวว่าจะพังครืนลงมา มือข้างหนึ่งกอดรัดร่างบางที่พยายามดิ้นรนขัดขืนเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็หยิบปากกาขึ้นมาตวัดเขียนโน้ตอย่างรวดเร็ว

- ใจเย็นๆ ก่อนดิป้า คนมองกันใหญ่แล้ว ตั้งสติหน่อย –

ณักษ์ปวีร์อ่านจบก็กวาดตามองไปยังผู้คนรอบกายที่มองมายังพวกเธอสองคนเป็นตาเดียว ก่อนจะยอมหยุดดิ้น ร่างเล็กหายใจหอบจนตัวโยนด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะทรุดลงนั่งร้องไห้เงียบๆ คนเดียวต่อไป พัฒน์ภามก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเป็นห่วง ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะมีวิธีใดที่ช่วยให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อคิดไปไกลเท่าไรก็จนปัญญา เพราะสิ่งเดียวที่จะทำให้คนตรงหน้าหายจากการเจ็บปวดก็คือการปลุกให้พระพายฟื้นคืนมาจากความตาย ซึ่งเรื่องนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย สองมือของชายหนุ่มตบไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากห้วงคำนึง แล้วค่อยๆ ทรุดลงนั่งเคียงข้างณักษ์ปวีร์ พร้อมกับส่งยิ้มอ่อนๆ ไปให้

- ไม่ไปก็ไม่ต้องไปนะ หิวไหม? ตั้งแต่เช้ายังไม่กินอะไรเลย –

“หิว แต่ถ้าพี่พายไม่ลุกมากินอาหารที่ตั้งอยู่ตรงนั้น ฉันก็จะไม่ยอมกินเหมือนกัน” นิ้วมือเรียวบางชี้ไปยังสำรับอาหารที่วางข้างโลงศพสำหรับเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับวางหน้าไม่ถูก ไม่รู้จะยิ้มหรือทำหน้าดุให้กับความคิดบ้าๆ ของเธอ

- อย่าทำตัวให้พ่อต้องเป็นห่วงได้ไหม ใยไหม เธอต้องเข้มแข็งเพื่อพ่อนะ อย่าให้เขาต้องเป็นห่วงเธอและคอยวนเวียนอยู่แถวนี้ หากเขาไม่ได้ขึ้นสวรรค์ มันจะเป็นบาปกรรมติดตัวเธอไปตลอดเลยนะ –

พอได้อ่านโน้ตแผ่นนั้นจบ ร่างบางก็เริ่มสั่นสะท้านจากแรงสะอื้นไห้ เธอโผเข้ามาหาอย่างต้องการที่พึ่ง พัฒน์ภามจึงอดไม่ได้ที่จะรั้งตัวคุณแม่ของเขาเข้ามากอดปลอบประโลมให้คลายความโศกเศร้าลง “ฮือ พี่พาย ไหมจะอยู่ได้ยังไง ไหมจะอยู่ยังไงโดยที่ไม่มีพี่พาย…”

คนตัวเล็กในอ้อมกอดดูอ่อนแอมากในยามนี้ แม้ว่าเธอจะอายุมากกว่าเขาหลายปี แต่จริงๆ แล้วณักษ์ปวีร์ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก และยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียคนรักและผู้มีพระคุณทั้งสองคนไปแบบกะทันหันเช่นนี้ แถมที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็ดันเป็นแค่ลูกชายวัยสิบแปดอย่างเขา คนที่เพิ่งจะมีสิทธิ์เลือกตั้งและทำใบขับขี่รถยนต์เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะหรือมีความเป็นผู้ใหญ่มากพอให้เธอพึ่งพา

สองร่างกอดให้กำลังใจกันและกัน โดยไม่สนใจว่าจะตกเป็นเป้าสายตานับร้อยคู่ เสียงครหานินทาดังหนาหูขึ้นเรื่อยๆ จากปากต่อปาก กลายเป็นจับกลุ่มเมาท์มอยกันเป็นเรื่องเป็นราว โชคดีที่พระสงฆ์ยังไม่เดินเข้ามาภายในศาลา มิเช่นนั้นคงจะหมดสมาธิและถือว่าไม่เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่กลับเป็นโชคร้ายของพวกเขา เพราะเป็นจังหวะเดียวกับที่คนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้ามาด้านในศาลาพอดี

รัศมีถึงกับผงะ เมื่อมองไปเห็นร่างของภรรยาและลูกชายในนามของหลานชายตัวเองกำลังนั่งกอดกันกลมต่อหน้าต่อตาแขกผู้มาร่วมงานศพกว่าร้อยชีวิต ความจงเกลียดจงชังฉายชัดบนใบหน้าที่มีริ้วรอยตามวัยที่ล่วงเลยมากว่าหกสิบปี เธอเป็นน้องสาวคนเดียวของไพศาล บิดาของพระพาย และไม่ได้ชอบใจนักกับการที่สองพ่อลูกรับอุปการะเลี้ยงดูเด็กทั้งสองคนนี้ โดยที่ไม่มีความผูกพันทางสายเลือดใดๆ ครั้นพอพี่ชายและหลานสิ้นบุญ เธอกลับต้องมาพานพบกับภาพบาดตาบาดใจตรงหน้า ก็ยิ่งเพิ่มความไม่ชอบใจให้กับเธอมากขึ้นไปอีก

หญิงสูงวัยเกลื่อนสีหน้าไม่สู้ดีของตัวเองด้วยความโกรธเกรี้ยว มือเหี่ยวย่นกำเข้าหากันแน่น พยายามข่มกลั้นอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาเต็มที่ ก่อนจะเร่งสาวเท้าเดินตรงไปหาคนทั้งคู่อย่างรวดเร็ว จนพฤกษ์กับแพรวพรรณราย ลูกชายและลูกสาวที่เดินทางมาด้วยกันสุดจะห้ามปรามไว้ได้ทัน

“พวกกาฝาก! ทำงามหน้ากันเหลือเกิน! พ่อกับผัวพวกเธอเพิ่งตายนะ ยังมีหน้ามานั่งกอดกันต่อหน้าศพ ไม่อายฟ้าอายดินมั่งรึไง นรกจะกินหัว แล้วดูสิ พวกแขกเหรื่อเขาจะเอาไปนินทากันว่ายังไงบ้าง อย่าทำให้ตระกูลของฉันต้องเสื่อมเสียไปมากกว่านี้ได้ไหม”

“คุณอารัศมี…” ณักษ์ปวีร์ผละตัวออกจากอ้อมกอดของพัฒน์ภามทันทีด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเองก็รับรู้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงขยับตัวลุกยืนเต็มความสูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร แล้วค่อยๆ ประคองร่างบอบบางให้ลุกขึ้นมายืนเคียงข้างกัน ซึ่งอากัปกิริยาทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาอับเฉียบคมของรัศมี เสียงที่ดังตามมาจึงเพิ่มระดับความดังและกราดเกรี้ยวขึ้นอีกเท่าตัว

“ใครเป็นอาของเธอ พอสิ้นพี่ชายกับหลานของฉันไป เราก็เป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกัน ไม่ต้องมานับญาติ”

“ขอโทษค่ะ ไหมแค่…” ณักษ์ปวีร์พยายามเอ่ยทัดทาน แต่รัศมีก็ไม่ไว้หน้า มือที่สวมแหวนเพชรเม็ดใหญ่ยกขึ้นชี้หน้าคนมีศักดิ์เป็นหลานสะใภ้ กลั้นอารมณ์โกรธจนตัวสั่น ก่อนจะปรายตาไปยังแขกหลายคนที่มองมาอย่างเอาเรื่อง ทำให้คนที่เคยสนิมชิดเชื้อกับเธอรีบหลบสายตาเป็นพัลวัน แต่บางคนก็ยังคงจับกลุ่มนินทากันอย่างไม่เกรงกลัว หญิงสูงวัยผ่อนลมหายใจแรงๆ แล้วตวัดสายตากลับมาจ้องคู่กรณีราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เธอจำเอาไว้นะณักษ์ปวีร์ ที่พี่ชายกับหลานฉันต้องมาตาย ก็เป็นเพราะความคิดบ้าๆ ของเธอ ถ้าเธอไม่คิดจะจัดงานแต่งงานในขณะที่พี่ฉันยังป่วยอยู่ พี่ไพศาลก็ไม่ต้องออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อไปงานบ้าๆ ของเธอ ตาพายก็ไม่ต้องมาตาย แล้วยังจะบริษัทใหญ่โตของพวกเราอีกล่ะ ใครจะดูแล เด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์อะไรเลยแบบเธอน่ะเหรอ คงมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง”

“ไหมยังไม่ทันได้คิดถึงเรื่องนั้น…”

“คิดสิ เธอต้องคิด เพราะตอนนี้สมบัติพัสถานทุกอย่างมันตกมาอยู่ในมือเธอคนเดียว ลูกน้องในบริษัทหลายร้อยชีวิต ผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ อีกล่ะ พวกเขาจะคิดยังไง อย่าให้บริษัทที่พี่ชายฉันใช้เวลาทั้งชีวิตสร้างขึ้นมา ต้องมาล่มสลายคามือเธอแล้วกัน ฉันไม่เอาเธอไว้แน่ๆ”

“คุณรัศมี ฟังไหมก่อนได้ไหมคะ ไหมยังไม่ได้คิด ไม่ได้แปลว่าไหมจะไม่คิด แต่คุณพ่อกับพี่พายเพิ่งจะเสียไปวันนี้ แค่พวกเขาจากไปไหมก็เสียใจมากพออยู่แล้ว ใครจะเอาเวลาที่ไหนไปคิดเรื่องสมบัติบ้าๆ พวกนั้น ในขณะที่สามีตัวเองนอนไร้ลมหายใจอยู่ในโลงได้คะ ถ้าคุณมาที่นี่เพื่อเคารพศพคุณพ่อกับพี่พายก็ขอให้ไปนั่งตรงเก้าอี้เพื่อเตรียมฟังพระสวด แต่ถ้าคุณมาเพื่อซ้ำเติมไหม ไหมขอร้องให้คุณหยุดเถอะนะคะ แค่นี้ไหมก็เจ็บปวดมากพอแล้ว” หญิงสาวสวนกลับไป สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนจะต้องก้มหน้าปาดน้ำตาที่ไหลริน รู้สึกบอบช้ำไปทั้งหัวใจราวกับมีใครเอามีดมากรีดซ้ำๆ ลงไปตรงจุดเดิม

“ยัยไหม นี่เธอกล้าว่าฉันเหรอ” รัศมีโกรธจนคุมสติไว้ไม่อยู่ มือข้างขวายกขึ้นสูง หมายจะตบสั่งสอนคนอายุน้อยที่กล้าต่อปากต่อคำ จากนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาที เสียงเนื้อกระทบเนื้อก็ดังสนั่น แทรกเสียงทุกเสียงในศาลาให้เงียบลงโดยพลัน

เพียะ!

ใบหน้าหล่อใสสไตล์เกาหลีของพัฒน์ภามหันไปตามแรงตบที่ใส่มาแบบไม่มียั้ง โชคดีที่เขากระโดดเข้ามาขวางหน้าณักษ์ปวีร์ได้ทัน มิเช่นนั้นร่างบอบบางไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาวคงถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้น

คนถูกตบยืนก้มหน้านิ่งอยู่ครู่เดียวก็เงยหน้าที่มีรอยแดงของนิ้วมืออยู่เต็มแก้มซ้ายขึ้นมา สายตาคมดุจดจ้องไปยังหญิงสูงวัยอย่างเอาเรื่อง มือกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดขึ้นหลังมือเป็นริ้วๆ พัฒน์ภามพยายามข่มกลั้นอารมณ์จนกรามสั่น ขอเพียงแค่รัศมีก้าวเข้ามาอีกครั้ง เขาก็พร้อมจะจัดการกับคนแก่ไร้วุฒิภาวะแบบไม่มียั้งเช่นกัน

“ภาม! นายใจเย็นๆ ก่อนนะ ถึงอย่างไรคุณรัศมีเขาเป็นน้องสาวคุณปู่นะภาม คลายหมัดออกก่อนเร็ว” ณักษ์ปวีร์รีบตรงเข้ามารั้งตัวลูกชายเอาไว้ มือบางค่อยๆ สอดเข้าไปคลายนิ้วมือแข็งแกร่งที่กำแน่นออกจากกัน ลูบหลังลูบไหล่ให้ชายหนุ่มผ่อนคลายอารมณ์ลง เธอรู้ดีกว่าใครว่าในยามที่พัฒน์ภามโกรธมากๆ นั้น ยากที่เขาจะควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ เพราะว่าชายหนุ่มไม่สามารถระบายความรู้สึกต่างๆ ด้วยคำพูดแบบคนทั่วไป เธอจึงกลัวใจเหลือเกินว่าเขาจะนำความอัดอั้นทั้งหมดที่มีไปลงที่รัศมี

พฤกษ์และแพรวพรรณรายเห็นท่าไม่ดี จึงปรี่เข้ามาดึงร่างของมารดาให้ออกห่างจากพัฒน์ภาม รัศมีมีทีท่าไม่ยินยอมในคราแรก แต่เมื่อสบประสานกับสายตาเข้มจัดของชายหนุ่ม เธอก็ยอมลดทิฐิลง ผ่อนปลายเท้าให้ก้าวถอยหลังตามแรงลากของลูกสาวแต่โดยดี

“แม่คะ แพรวว่าพอเถอะนะคะ คนมองกันใหญ่แล้ว”

“ครับแม่ อย่าเพิ่งไปกดดันไหมเขาตอนนี้เลยนะ แพรว พาคุณแม่ไปนั่งพักก่อนไป” พฤกษ์ ลูกพี่ลูกน้องรุ่นราวคราวเดียวกับพระพายเข้ามาช่วยจัดการให้น้องสาวของตนพามารดาไปอีกทางหนึ่ง ก่อนจะหันมายิ้มอ่อนๆ ส่งให้ณักษ์ปวีร์อย่างขอลุแก่โทษ แต่กลับมองเมินคนถูกกระทำไปราวกับว่าพัฒน์ภามเป็นเพียงแค่อากาศธาตุ “พี่ขอโทษแทนคุณแม่ด้วยนะไหม ท่านคงเสียใจมากที่คุณลุงไพศาลกับพายจากไป ไหมไปนั่งพักเถอะนะ เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับแม่ให้เอง” สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก ราวกับรู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้หญิงสาวต้องส่งยิ้มบางๆ ตอบกลับไป

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่พฤกษ์ ไหมเข้าใจดี ขอบคุณมากนะคะ” ณักษ์ปวีร์กระพุ่มมือไหว้ ยืนรอจนร่างของพฤกษ์เดินกลับไปสมทบกับกลุ่มของมารดาและญาติๆ อีกทางหนึ่ง เมื่อได้อยู่ตามลำพังกับลูกชาย หญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แววตาทอแสงทอดมองไปยังรูปถ่ายของพระพายเพื่อเรียกขวัญกำลังใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกคนที่ต้องเจ็บตัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ เธอจึงหันไปหาพัฒน์ภาม ก็เห็นว่าเขากำลังมองมาที่เธออยู่ก่อนแล้ว นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนลดรอยดุดันลงจากเดิมเล็กน้อย

- ขอโทษนะใยไหม ผมเขียนโน้ตก็คงช่วยอะไรมากไม่ได้ ป้าแกเล่นใส่มาไฟแลบเลย น่าจะปล่อยให้ผมต่อยหน้าสักหมัดสองหมัด จะได้เงียบปากไป สมองกลวงจริงๆ คิดแต่เรื่องอกุศล –

“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายอย่าโมโหไปเลย ไม่เจ็บมากใช่ไหม” มือเล็กเอื้อมขึ้นไปสัมผัสผิวแก้มสาก ขยับถูบริเวณรอยนิ้วไปมาสองสามที ครั้นพอเห็นชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง มองมาหน้าตามึนงง เธอก็เกลื่อนสีหน้าเก้อเขินของตัวเองด้วยการจับร่างพัฒน์ภามหมุนวนสามร้อยหกสิบองศา ทำทีเป็นสำรวจความเสียหาย พอเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรมาก คนตัวเล็กก็ทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น หมดสิ้นเรี่ยวแรง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เฮ้อ… ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ภาม เดี๋ยวนายช่วยไปหาน้ำเย็นๆ ให้ฉันดื่มสักแก้วได้ไหม”

- ได้สิ นั่งรอตรงนี้นะ เดี๋ยวผมไปเอามาให้ –

พัฒน์ภามเดินเลี่ยงออกมาตรงทางเดินเข้าศาลาที่ยังมีคนเดินอยู่ประปราย ร่างสูงสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องครัวด้านหลัง ตั้งใจจะไปหาอาหารว่างให้หญิงสาวได้ทานรองท้องไว้ เพราะตั้งแต่ทราบข่าวเรื่องอุบัติเหตุ ณักษ์ปวีร์ก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย น้ำสักนิดก็ไม่ได้ตกถึงท้อง จนเมื่อเดินมาถึงที่หมายก็เห็นลังขนมปังวางอยู่ด้านข้างกระติกน้ำแข็งที่แช่แก้วน้ำดื่มไว้ เขาจึงเดินตรงไปเพื่อหยิบของตามที่ตนต้องการ ก่อนจะต้องชะงักปลายเท้า เมื่อมีร่างอวบอัดของใครคนหนึ่งก้าวเข้ามาขวางหน้าเขาไว้

“ไงจ๊ะน้องภาม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะลูก โตเป็นหนุ่มแล้วหน้าตาหล่อเหลาเชียว”

หญิงวัยกลางคนในชุดเดรสยาวสีดำประดับเลื่อมสวยงามเอ่ยทักเสียงหวานหยดย้อย แต่ปราศจากความจริงใจที่สุดในความรู้สึกของพัฒน์ภาม ชายหนุ่มใช้สายตามองไล่ขึ้นลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เห็นใบหน้าที่เคลือบด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะ ริมฝีปากสีแดงจัด รอยยิ้มเหยียดและพวงหรีดดอกไม้สดพวงใหญ่ในมือเธอ ก่อนที่เขาจะหยุดสายตาค้างไว้ที่บริเวณลำคออวบของเธอที่สวมสร้อยเพชรเส้นใหญ่แสนคุ้นตา

ภาพแห่งความทรงจำในวัยเด็กที่เขาอยากจะลืมเลือนทาบทับลงบนเรือนร่างของสตรีตรงหน้า ภาพของชายคนหนึ่งค่อยๆ บรรจงสวมสร้อยเส้นเดียวกันนี้ลงบนลำคอของมารดา ใบหน้าอันเปี่ยมสุขของแม่ที่ฝังลึกอยู่ในซอกหลืบของความทรงจำ ก่อนที่ทุกอย่างจะพังทลายหายวับไปในชั่วพริบตา

สร้อยของแม่… ผู้หญิงสารเลวคนนี้กล้าเอาสร้อยเส้นที่แม่เขารักมากที่สุดมาใส่

พัฒน์ภามรู้สึกโกรธจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ นวดคลายเส้นตรงกระบอกตาที่ร้อนผ่าวราวกับใครเอาไฟมาสุม อยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายคามือจะได้จบสิ้นกันไปเสียที หากคำสอนของพระพายที่ให้อโหสิกรรมยังคงดังก้องอยู่ในห้วงความคิด ชายหนุ่มกำมือเข้าหาตัว ก่อนจะค่อยๆ คลายออกหลายครั้งเพื่อลดทอนอารมณ์ของตนลง ก่อนจะมองคนตรงหน้าด้วยสายตาดุดัน ความเกลียดชังฉายชัดในแววตา

- มาที่นี่ทำไม ออกไป –

โน้ตใบที่เขากดปลายปากกาลงหนักกว่าที่เคยถูกยื่นออกไป กระดาษบางส่วนเป็นรูแต่ยังคงสื่อความหมายได้ชัดเจน และคนอ่านก็ควรปฏิบัติตามหากเธอยังมีสำนึกของความเป็นคนอยู่บ้าง แต่หญิงสูงวัยตรงหน้าพัฒน์ภามกลับพยายามก้าวเข้ามาให้ใกล้ชิดกว่าเดิม พร้อมทั้งยกมือขึ้นจับท่อนแขนของเขาราวกับสนิทสนมกันมาแรมปี

“คุณพ่อน้องภามตายแล้วไม่ใช่เหรอคะ แม่ก็แค่อยากจะมาเคารพศพเขา เนี่ยอุตส่าห์เตรียมพวงหรีดมาด้วย แม่เสียใจกับภามจริงๆ นะจ๊ะ” คนน่ารังเกียจยื่นพวงหรีดมาให้เขา ทำหน้าสลดเสียใจเป็นอย่างมาก ใครเห็นคงรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ไม่ใช่เขา พัฒน์ภามผลักทั้งคนและของออกห่างจากตัว ก้าวเท้าถอยหลังมาหนึ่งก้าว มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวัง เพราะประสบการณ์สอนให้เขารู้ว่าคนๆ นี้ไว้ใจไม่ได้เสียยิ่งกว่าอสรพิษ

- ออกไป! –

“ใจเย็นๆ ก่อนสิจ๊ะ เราคนกันเองนะ นิพนธ์เขาก็อยากจะมาเจอภามด้วย แต่แม่ให้รออยู่ในรถเพราะเกรงใจภามนะ เฮ้อ คุณพายไม่น่าตายเร็วเลย ยังหนุ่มยังแน่นแท้ๆ เชียว ไม่น่าจะ…ว๊าย!” หญิงสูงวัยจีบปากจีบคออยู่ได้ไม่นานก็ต้องกรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจกลัว แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะพวงหรีดของเธอถูกพัฒน์ภามกระชากไปจากมือ แล้วยกมันขึ้นฟาดใส่ตัวเธอเต็มแรง

โครม!!!

ร่างอวบอัดทรุดลงไปนอนกองกับพื้น เศษดอกไม้และโอเอซิสสีเขียวเข้มกระจายเกลื่อน และโดยที่ไม่รอให้พริ้งพราวได้ทันตั้งรับ ร่างสูงเพรียวของพัฒน์ภามก็ลงไปนั่งคร่อมอยู่บนตัวเธอ มือแข็งแกร่งทั้งสองข้างประกบลงบนลำคออวบอย่างพอเหมาะ ก่อนจะออกแรงกดลงไปหมายเอาชีวิตสตรีเบื้องล่างที่พอได้สติเธอก็ดิ้นรนขัดขืนและร้องเรียกเสียงดังให้คนช่วย

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ แค่กๆ ไอ้ภาม ไอ้เด็กบ้า ปล่อย!” พริ้งพราวทั้งจิก ทุบ ข่วนสารพัดเพื่อให้ตัวเองรอด แต่พัฒน์ภามก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบามือลงเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสนิทราวกับภาพสลักไร้ชีวิต สายตาที่จดจ้องเข้าไปในดวงตาของคนเบื้องล่างเต็มไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง

“โอ๊ย! ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย มันจะฆ่าฉันแล้ว”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือของหญิงสูงวัยดังขึ้นเรื่อยๆ เรียกคนที่เดินผ่านไปมาให้รีบวิ่งแตกตื่นเข้ามาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้ เพราะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ชายหนุ่มเดือดดาลจนถึงกับต้องทำร้ายอีกฝ่ายราวกับคนไร้สติเช่นนี้ และยังหวั่นเกรงว่าเจ้าของแววตาโหดเหี้ยมคู่นั้นจะเปลี่ยนเป้าหมายมาหาตน

จนกระทั่งณักษ์ปวีร์ที่วิ่งตามเสียงร้องออกมาถึงที่เกิดเหตุ พอเห็นว่าลูกชายตัวเองกำลังจะฆาตกรรมหญิงแปลกหน้า คนตัวเล็กก็รีบวิ่งเข้ามาแยกร่างของพัฒน์ภามออกมาจากคนถูกทำร้ายเบื้องล่าง แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมรามือง่ายๆ เขาง้างหมัดขึ้นทำท่าจะต่อยซ้ำลงไป เธอจึงต้องทุ่มสุดตัวเพื่อดึงรั้งท่อนแขนแข็งแกร่งเอาไว้

“ภาม หยุดนะ หยุดสิ ฉันบอกให้หยุดไง!”

ณักษ์ปวีร์พยายามใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่คนตัวบางแบบเธอหรือจะสู้แรงโกรธแค้นอันแรงกล้าของชายหนุ่มได้ หญิงสาวยื้อยุดห้ามลูกชายจนแทบหมดเรี่ยวแรง ก่อนจะรู้สึกเบาใจขึ้นเมื่อจักรภพวิ่งเข้ามาช่วยกันดึงไว้อีกคน คราวนี้พัฒน์ภามยอมหยุดทุกอย่าง แล้วยืนขึ้น เขาสลัดมือของทุกคนออกจากตัว ก่อนจะเดินแยกไปยืนอยู่ไม่ห่าง

ดวงตาคมดุที่จ้องมองหญิงแปลกหน้าด้วยความเกลียดชัง ณักษ์ปวีร์จึงรู้สึกสงสัยและมึนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นอย่างมาก เพราะตลอดเวลาหลายปีที่เธอรู้จักกับเขามา เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นพัฒน์ภามโกรธเกลียดใครรุนแรงมากจนถึงขนาดคุมสติตัวเองไม่ได้เช่นนี้

“ภาม! เป็นอะไรของนาย แล้วคุณ…คุณเป็นใครเหรอคะ?”

“เอ่อ... คือ ฉันเป็นคนรู้จักของคุณพระพาย นี่ว่าจะนำพวกหรีดมาเคารพศพ แต่คิดว่าคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดกัน...” พริ้งพราวแสร้งตีสีหน้าหม่นเศร้า ดูน่าสงสาร เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น ทำให้สายตาหลายคู่เริ่มหันไปทางพัฒน์ภามอย่างประณามหยามเหยียด เห็นดังนั้นหญิงสูงวัยก็ลอบยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก แต่ใช้หลังมือบังไว้ ก่อนจะแกล้งทำเป็นบีบน้ำตา แล้วหันมาเอ่ยกับณักษ์ปวีร์เสียงเบาหวิว “แต่ฉันก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรหรอกนะคะ เอาเป็นว่า ถ้าพวกคุณไม่สะดวก ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า เสียใจด้วยจริงๆ นะคะ”

“เอ่อ…ค่ะ ฉันว่าคงจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันจริงๆ ฉันต้องขอโทษแทนเขาด้วย คุณไม่ได้เป็นอะไรมากใช่ไหมคะ ขอบคุณนะคะที่ไม่ถือสาเอาความกัน” หญิงสาวไหว้ขอบคุณและขอโทษผู้สูงวัยกว่าด้วยความมึนงง จับต้นชนปลายไม่ค่อยถูก ยืนมองตามแผ่นหลังร่างอวบอัดที่เดินกลับไปทางลานจอดรถจนลับตา จากนั้นบรรดาไทยมุงก็กระจายตัวกลับเข้าไปด้านในศาลาตามเดิม เหลือเพียงแค่จักรภพที่ยืนมองพวกเธอสองคนด้วยความเป็นห่วง จากนั้นณักษ์ปวีร์ก็หันไปมองลูกชาย หวังจะคาดคั้นเอาความจริงจากตัวต้นเหตุที่เอาแต่ยืนเงียบ ทำหน้าครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง โดยไม่คิดจะอธิบายให้ใครเข้าใจเหตุการณ์อลหม่านที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลย

“ภาม ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วนายเป็นอะไร ไปทำร้ายเขาทำไม เขาเป็นผู้หญิงนะ แล้วเขาก็แก่…”

- ขอผมอยู่คนเดียว –

ชายหนุ่มยื่นโน้ตให้มารดาในนาม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งที่เขาจอดรถของตัวเองไว้ ณักษ์ปวีร์ทำท่าจะเอื้อมมือออกไปห้าม แต่เธอก็ยับยั้งใจ เพราะถึงแม้ว่าเธอจะมีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเขาเมื่อพระพายจากไปแล้ว แต่เธอก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของพัฒน์ภามมากนัก จึงได้แต่ยืนมองชายหนุ่มเดินจากไปด้วยความเป็นห่วงและเริ่มรู้สึกหนักใจ

ตลอดเวลาแปดปีที่ได้รู้จักกับพัฒน์ภามมา เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอและเขารับรู้เรื่องราวของกันและกันทุกๆ เรื่อง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นในวันนี้ที่ทำให้หญิงสาวได้ตระหนักว่า เธอนั้นรู้เรื่องราวของเขาแค่เฉพาะในส่วนที่เขาอยากให้เธอรู้ แต่เธอกลับไม่เคยรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของพัฒน์ภามก่อนหน้าที่จะรู้จักกันเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งพัฒน์ภามและพระพายไม่เคยเล่าให้เธอฟัง แต่หลังจากนี้ เมื่อเธอต้องกลายเป็นคุณแม่จำเป็นของเขา เธอจะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับพัฒน์ภามทั้งหมดที่เธอควรรู้ให้ได้ รวมถึงสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มต้องสูญเสียความสามารถในการพูดจนต้องใช้กระดาษโน้ตในการสื่อสารทุกๆ ครั้งด้วย


------------------------------------------

นิยายเป็นอย่างไร ติชมได้นะคะ
ไรเตอร์พร้อมนำไปปรับปรุงแก้ไข
ขอบคุณค่ะ :)

WallyValent :)

กดติดตาม Fan Page : Facebook.com/WallyValent



WallyValent
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2558, 15:24:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2558, 21:03:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 5249





<< บทนำ : วันสุดท้าย...ที่เราอยู่ด้วยกัน   
แว่นใส 3 ก.ย. 2558, 18:37:13 น.
ผู้หญิงคนนี้คืออดีตที่อยากลืมมั้ง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account