ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: แผนเพื่อให้ได้ใกล้ชิด ๑๐๐%

“ร๊อก! พรุ่งนี้บ่ายๆ ช่วยไปประชุมที่ออฟฟิศมัลดีฟส์แทนพ่อทีนะ พ่อลืมว่าจะต้องบินไปสวิตวันมะรืน”

แต่โอกาสที่เขาคาดหวังไว้ก็หลุดลอยไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อพ่อเอ่ยขึ้นในโต๊ะอาหารที่มีแฟนสาวนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย

“ครับคุณพ่อ”

เขาไม่มีทางปฏิเสธพ่อได้ และไม่เคยคิดจะทำแม้แต่ครั้งเดียวนับตั้งแต่จำความได้ “หนูย่าก็บินไปกับร๊อกด้วยสิจ๊ะ จะได้เที่ยวไปในตัวก่อนแต่งงานไง” อติรัตน์รีบเสนอด้วยสายตามีความหมายอะไรบางอย่าง

“ย่าไปไม่ได้ค่ะคุณป้า ต้องเตรียมวางแผนการตลาดทั้งอาทิตย์เลยค่ะ เพราะคุณพ่ออยากโอนโรมแรมที่เจริญนครให้ย่ารับผิดชอบคนเดียวหลังแต่งงานค่ะ แล้วก็ต้องเทรนงานด้านบริหารให้ช่าด้วยค่ะ เพราะคุณพ่อบอกว่าจะยกโรมแรมที่รามอินทราให้ตอนน้องแต่งงานเหมือนกันค่ะ”

แต่ดลยาก็บอกกับตัวเองว่า ถ้าคนข้างๆ เอ่ยปากชวนสักคำ ตัวเองก็จะรีบรับปากแล้วหอบงานไปทำถึงมัลดีฟส์เลยก็ว่าได้

“อ้าวเหรอจ๊ะ! เสียดายจัง นานทีตาร๊อกจะได้ว่าง” ทว่าเขากลับเงียบ ปล่อยให้แม่เป็นคนพูดฝ่ายเดียว

“ว่างที่ไหนครับคุณแม่ ผมไปทำงานแล้วก็ต้องรีบกลับมาดูงานทางนี้ด้วย ไม่มีเวลาได้เที่ยวหรอกครับ จะรีบบินไปแล้วรีบบินกลับทันทีที่งานทางโน้นเสร็จครับ”

ครั้นได้พูดออกมา ก็ตรงและไม่มีช่องว่างเหลือไว้ให้ก้าวเดินเอาเสียเลย “นั่นสิคุณ ลูกไปทำงานนะ ออฟฟิศที่โน่นมีปัญหาหลายอย่าง ลูกไม่มีเวลาได้เที่ยวหรอก ไว้แต่งงานกันแล้วค่อยไปฮันนีมูนก็ได้นี่”

เสียงทุ้มนุ่มและทรงอำนาจของชลธีสยบทุกคนได้เสมอๆ และดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ลูกจะชอบใจในเสียงสนับสนุนพ่อนัก

++++++++++++++++


‘หนูย่าเป็นคนที่เหมาะสมกับร๊อกที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้านรูปร่างหน้าตา การศึกษา ชาติตระกูล ฐานะทางการเงิน หรือแม้แต่ฐานะทางสังคม พ่อเห็นด้วยกับแม่ในข้อนี้ ถ้าร๊อกไม่รับไปพิจารณาพ่อว่าร๊อกจะเสียผู้หญิงดีๆ ไปและจะไม่มีทางหาใหม่ได้ หรือถ้าได้ก็ไม่ใช่ในเร็วๆ นี้ หรือดีเท่านั้นด้วย’

รวมทั้งประโยคนี้เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนของพ่อด้วย ที่ทำให้เขาต้องจำใจตัดสินใจหมั้นกับผู้หญิงที่ใครๆ รวมทั้งเขาเห็นว่าเหมาะสมกับเขามากที่สุด และเขากับดลยาก็เข้ากันได้มากที่สุด และไม่คิดว่าจะหาใครที่แสนดี สง่างามทั้งในและนอกแบบนี้ได้อีกแล้ว

กระทั่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อน บนดาดฟ้านั่น ใต้ซุ้มที่เขารักและโปรดปรานนั่น ใบหน้ารูปไข่สวยใส ผิวสีน้ำผึ้งในท่าทีตื่นตระหนกตกใจในครั้งแรกที่เธอเงยขึ้นมองเขา แล้วกายอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา

นับตั้งแต่จำความได้กระทั่งถึงวินาทีนี้ เขากล้ายืนยันกับตัวเองได้เลย ว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหน ที่จะเตะตาเตะใจเขาได้ในนาทีแรกที่เห็น แม้กระทั่งดลยาที่สวยแทบไม่มีที่ติก็ตาม

เขาอยากจะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหัวใจที่เต้นแรงและเร็วเวลาอยู่ใกล้ๆ เธอ และทันทีที่กลับจากมัลดิฟส์เขาจะตรงดิ่งไปโรงแรมทันที เพราะอาจจะได้เจอเธอที่นั่น



“วันนี้หรืออาทิตย์นี้ หรืออาทิตย์หน้าไม่มีตารางถ่ายพรีเวดดิ้งจากสตูของคุณสุเลยค่ะ จะมีอีกทีก็อาทิตย์ต่อไปค่ะ จะให้นงค์โทรไปถามหรือเปล่าคะว่าถ่ายกันที่ไหน”

แต่คำตอบของเลขาวัยสี่สิบก็ทำลายความหวังเขาทันทีที่กลับถึงเมืองไทยแล้วบึ่งรถไปโรงแรมอย่างมั่นอกมั่นใจ “ไม่เป็นไรครับ ผมของีบสักชั่วโมงแล้วจะลงมาประชุมนะครับ”

+++++++++++++++

แล้วเขาก็ตรงไปหาลิฟต์กดขึ้นไปยังออฟฟิศ ที่มีห้องนอนห้องฟิตเนส ห้องสปา หรือแม้แต่สระว่ายน้ำไว้สำหรับเขาหรือคนใกล้ชิดที่อยากจะมาใช้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครนอกจากเขา

“เรื่องบริษัทถ่ายทำพรีเซ้นเทชั่นกับโบชัวร์ไม่ต้องหาที่ไหนแล้วนะ ผมมีเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าฝีมือชั้นหนึ่ง”

นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ ที่เขาละเมิดกฏตัวเองในการตัดสินใจเลือกใครหรืออะไรให้กับกิจการ ที่ปกติจะต้องถามไถ่ผู้บริหารก่อนเป็นเรื่องแรก แล้วโหวตกันจนได้เสียงข้างมากก่อน

และมีเพียงเหตุผลเดียวที่เขาทำแบบนี้ นั่นก็เพราะ อยากได้เวลา อยากได้โอกาส ในการศึกษาเรียนรู้สาวผมสวยนัยตาคู้เศร้าคนนั้น เพื่อกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดกับตัวเองไปตลอดชีวิต

เหมือนกับความผิดพลาดที่เขายอมให้พ่อแม่บงการชีวิตของเขามานับตั้งแต่จำความได้อีก ถึงแม้จะมีเรื่องดีๆ มากมายเข้ามาหา แต่เรื่องไม่ดีก็มีให้เห็นอยู่บ้าง อาจจะรวมถึงเรื่องการเลือกเมียให้เขาด้วยก็เป็นได้

“ติดต่อคุณสุให้ผมทีนะคุณนงค์ จะให้เข้ามาพบผมหรือโทรมาก็ได้ผมมีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”

ออกจากห้องประชุมได้เขาก็สั่งเลขาทันที “เอ่อ! คุณสุไหนคะ สุที่บริษัททัวร์ หรือสุที่ร้านอาหาร หรือสุที่สตู” เลขาที่เดินตามงงไม่น้อย


“สุนั่นล่ะครับ บอกผมจะคุยเรื่องงานพรีเซ้นเทชั่นหน่อย นัดให้เข้ามาหาดีกว่า ด่วนๆ นะ วันนี้หรือพรุ่งนี้ได้ยิ่งดี”

++++++++++++++++

“โห! ขนาดบริษัทพี่ยศเข้าไปพรีเซ้นท์ยังไม่ผ่าน แล้วทำไมจู่ๆ มาเลือกบริษัทเราล่ะคะพี่สุ แถมให้ห้องพักฟรีตลอดการถ่ายทำด้วย คุณร๊อกนี่ใจดีใจกว้างจังเลยนะคะ”

ปันจิรา หนึ่งในช่างภาพหญิงฝีมือดีที่สุภาภรณ์มีไว้ในบริษัทอดสงสัยไม่ได้ เมื่อเข้าประชุมแล้วได้ข่าวดี และเงินก้อนโตจากเจ้านาย

“แถมหล่อสุดๆ ด้วยพี่หนิง”

อินทิราอดสมทบไม่ได้ ทำเอาทุกคนในห้องประชุมพยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วยไปตามๆ กัน ไม่เว้นแม้แต่สุภาภรณ์ที่ไม่ค่อยจะถูกใจชายไหนง่ายๆ ยังต้องยอมรับเลย

“อย่างนี้เขาเรียกหล่อขั้นเทพ”

“พี่ไม่จีบให้แกเป็นพระเอกในพรีเซ้นท์ด้วยล่ะคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหา” หนิงเหย้านิดๆ “โอ๊ย! ใครจะกล้า แกขรึมจะตายเวลาคุยงานด้วย”

“ได้แค่นี้ก็พอแล้วล่ะพี่หนิง” อินทิราเลยแหย่กลับบ้าน

“ใช่ๆ และคงต้องขอบคุณคุณย่ามากกว่าที่ผลักดันให้คุณร๊อกเลือกเรา และต้องขอบคุณเอ๋ย กับทุกคนที่ทำงานชิ้นแรกให้ออกมาดี จนถูกใจคุณร๊อก ถึงได้ให้งานเราแบบไม่ต้องแข็งใครอีก”

“ชักอยากเห็นตัวจริงแล้วสิพี่สุ โปรเจคนี้ให้หนิงไปทำนะ อยากอยู่ใกล้คนหล่อๆ รวยๆ ทำให้ชีวิตมีสีสัน” ปันจิรารีบอาสาทันที “เสียใจยะยังหนิง” ดันถูกเจ้านายเบรคกระทันหัน


“อ้าว! ทำไมล่ะคะพี่สุ”

+++++++++++++++

“อ้าว! ก็ในเมื่อเขาพอใจงานชิ้นแรกของเอ๋ย จนติดใจให้งานชิ้นที่สองมาแบบง่ายๆ แล้วคิดว่าแกจะเอาคนอื่นไปที่ไม่ใช่เอ๋ยของเราหรือเปล่าล่ะ”

“โธ่! เอ๋ยน่ะไม่เห็นอยากจะไปทำที่นั่นเลย ครั้งก่อนก็ขอถอนตัวกับพี่สุไม่ใช่เหรอ จริงมั้ยเอ๋ย”

วริญรำไพได้แต่ยิ้มบางๆ ให้เพื่อนร่วมงานเท่านั้น “แถมไม่เห็นจะสะทกสะท้านในความหล่อของคุณร๊อกเลยพี่เอ๋ยน่ะ สมชื่อเจ้าหญิงน้ำแข็งที่พี่หนิงตั้งให้แล้วล่ะ”

อินทิราอดแซวไม่ได้ “พอๆ ได้แล้ว มาคุยเรื่องงานกันดีกว่า มาดูกันว่าเราจะทำอะไรไปเสนอแกได้บ้าง”

วริญรำไพไม่กล้าแม้แต่จะคิดเข้าข้างตัวเอง ว่าที่ได้งานมานี้เป็นเพราะเขาปรารถนาจะให้ได้ใกล้ชิดกันอีก ด้วยเหตุผลที่เจ้านายเอ่ยมาเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนจะหนักแน่นมากกว่า

การจะหลอกตัวเองว่า เจ้าของโรงแรมหนุ่มหล่อ พ่อแม่รวย และมีคู่หมั้นที่สวยราวกับนางฟ้าอย่างเขา จะแหกคอกลดตัวลงมามองตากล้องธรรมดาๆ เป็นคนเดินดินกินข้าวแกงได้


แต่ก็ดีใจที่จะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง และครั้งนี้วริญรำไพจะต้องถามเขาออกไปให้ได้ ในเรื่องที่ค้างคาใจมานับตั้งแต่เจอเขาครั้งแรก


“ทุกคนเช็คอินได้เลยนะคะ ส่วนคุณเอ๋ยพี่เช็คไว้ให้เรียบร้อยแล้วค่ะ จะเอาของขึ้นไปเก็บก่อนหรือจะทำงานก่อนเที่ยงๆ หรือเย็นๆ ค่อยขึ้นไปก็ได้ อาหารเช้าจัดไว้ให้ทีมงานโดยเฉพาะที่เทอเรสด้านนอกนะคะ เชิญตามสบาย ถ้ามีอะไรก็โทรหาพี่ได้เลย”

อนงค์ที่มารอต้อนรับตามคำสั่งเจ้านายรีบส่งคีย์การ์ดให้วริญรำไพเพียงคนเดียว ที่เหลือต่างก็ทยอยกันเช็คอินและต้องใช้ทั้งหมดถึงห้าห้อง

“เอ๋ยไม่มีของใช้อะไรมากมาย รอตอนเย็นๆ ค่อยขึ้นทีเดียวค่ะพี่นงค์ ขอไปดูน้องๆ ทีมงานก่อนนะคะ”

“คุณร๊อกไม่อยู่เหรอคะพี่นงค์”

วริญรำไพชลอฝีเท้าเมื่อได้ยินอินทิราเอ่ยถาม “อ้อ! ไม่อยู่หรอกค่ะ คุณร๊อกประชุมอยู่มัลดีฟส์ ไม่แน่ใจว่าจะกลับเย็นนี้หรือพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ได้แจ้งไว้”

ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงได้ห่อเหี่ยวกับคำตอบที่ได้ยินนัก แต่วริญรำไพก็ก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพื่อหางานของตัวเองได้ และลืมเลือนเรื่องของเขาไปได้เมื่อมีงานเข้ามาทำให้สมองไม่มีที่ว่างพอ

เรี่ยวแรงก็หดหายไปด้วยเมื่อเริ่มงานตั้งแต่เช้ายันสองทุ่ม ถึงได้สั่งน้องๆ ให้หยุดแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน ซึ่งแต่ละคนก็มีสภาพไม่ต่างกันนัก

พอเข้าห้องได้ต่างก็สั่งอาหารขึ้นไปกินบนห้องแล้วต่างคนต่างนอนไปตามๆ กัน กำลังจะก้าวขึ้นเตียงอยู่แล้วหากไม่มี ข้อความส่งเข้ามาในมือถือก่อน

‘เราคุยกันถึงไหนแล้วนะครับ ผมอยากฟังต่อ

ถ้าไม่เหนื่อยเกินไป ตอนนี้ผมอยู่ชายหาดครับ

แล้วเจอกัน/ร๊อก’

‘ตึก! ตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!! ตึกตัก!!! ตึกตัก!!!! ตึกตัก!!!!!’

เสียงและจังหวะของหัวใจที่บาดเจ็บมาสิบสองปีเต็มๆ เต้นอย่างรุนแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก เมื่อไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้รับข้อความจากเขา และไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่า จะตอบรับหรือปฏิเสธออกไปดี

+++++++++++++++

จนต้องทรุดกายนั่งลงกับเตียง แล้วครุ่นคิดอย่างหนัก กับทางเลือกที่จะต้องทำ เพราะตั้งแต่ไร้พี่หิน ก็ไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตนี้จะต้องแอบไปพูดคุยกับผู้ชายที่มีเจ้าของเลยด้วยซ้ำ

‘ไม่บอกก็ไม่เป็นไร แต่เอ๋ยต้องสัญญากับพี่นะ ว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’

‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

แล้วในหูก็เหมือนได้ยินเสียงพี่หินกระซิบสั่งอยู่ไม่ห่างเลย และด้วยความที่ต้องทนอยู่กับความเจ็บช้ำมาแสนนาน กับการสูญเสียและพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้ความในใจให้พี่หินได้รับรู้

เสื้อผ้าในตู้จึงถูกมือบางคว้าขึ้นมาใส่ แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง โดยไม่คิดถึงอะไร หรือคิดถึงใครอีกต่อไปแล้ว เพราะอยากได้ความจริงที่รอคอยมาเกือบเดือนแล้ว



เจ้าของร่างผอมสูงที่อยู่ในชุดกางเกงขายาวกับเสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุม เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีดำและแผงอกอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ส่งยิ้มบางๆ ให้อีกร่างที่กำลังก้าวเดินลงมาตามบันไดหินที่ทอดสู่ชายหาดจำลอง

ที่ทำเอาเขาหมดไปหลายล้าน เพียงเพื่ออยากจะให้แขกได้สัมผัสทะเลที่ใกล้กรุงเทพที่สุดอย่างแท้จริงเท่านั้นเอง และเขาก็ชอบไม่น้อยที่ได้มาเดินเล่นอยู่บ่อยครั้ง

รวมกับครั้งนี้ด้วยที่คาดว่าตัวเองคงจะชอบมากกว่าใครไหนๆ เป็นแน่ “คุณจะเหนื่อยมั้ยครับ ถ้าเราจะเดินคุยกันเรื่อยๆ ไปทางโน้น”

เขาชี้มือไปทางชายหาดที่มีไฟจากสถานประกอบการอื่นส่องสลัวๆ ลงมา “ถ้าไม่ไกลมากก็พอได้ค่ะ” วริญรำไพก้าวเดินช้าๆ ไปพร้อมกับเขาขณะตอบ

แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดแล้วถอดรองเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาถือไว้แทน แล้วหันมาอธิบายให้คนข้างๆ ได้รู้เมื่อเห็นทำท่าสงสัยอย่างโจ่งแจ้ง

“ผมชอบเดินแบบนี้มากกว่า สบายเท้าดี”

“ฉันก็เหมือนกันค่ะ”

แล้วเท้าบางก็สลัดผ้าใบคู่เก่งมาถือไว้ไม่แพ้กัน ทำเอาเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหันมายิ้มอย่างชอบใจไม่น้อย เพราะถ้าเป็นคู่หมั้นของเขาจะไม่ทำแบบนั้นแน่

‘เดี๋ยวมีใครทำเศษแก้วเศษกรวดตกไว้พลอยได้บาดเท้าเอาสิคะ ก็หาดของร๊อกไม่ได้ถูกน้ำทะเลซัดเข้าออกเหมือนหาดพัทยาหรือหัวหินนะคะ ร๊อกต้องระวังไว้หน่อยค่ะ เจ็บมาแล้วทำงานไม่ได้จะเสียเปล่าๆ’

และเขาก็มักจะไม่อยากขัดด้วยการสวมรองเท้ากลับตามเดิม “ครั้งก่อนคุณบอกว่าชอบถ่ายภาพไว้ดูเพื่อเตือนความทรงจำใช่มั้ยครับ”

“ไม่เชิงค่ะ เอาไว้ดูเวลาคิดถึง เวลาอยากเห็นมากกว่าค่ะ”

“อ๋อ! แล้วถ้าผมจะถามอะไรคุณอีกนิดจะได้มั้ยครับ” สองเท้าก้าวเป็นจังหวะไปพร้อมกันอย่างเชื่องช้า

“ค่ะ” และรักษาระยะห่างกันและกันไว้พอสมควร

“ผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนไว้ผมยาวมากๆ เท่าคุณเลย มันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่เหมือนที่คุณชอบถ่ายรูปหรือเปล่าครับ”

วริญรำไพหันไปหาเขาทันที และพอดีกับที่เขาก็กำลังหันมา เลยรีบเลี่ยงที่จะไม่สบตาเขา ด้วยการมองไปข้างหน้า ก้าวเดินไปข้างหน้า แล้วตัดสินใจเอ่ยในเรื่องที่ไม่คิดว่าจะเปิดปากบอกใครในชีวิตก็ว่าได้

“ฉันเคยสัญญากับคนคนหนึ่งไว้ค่ะ ว่าจะรอให้เขากลับมาก่อนแล้วเราจะไปตัดผมพร้อมกัน”

“อย่าบอกนะ ว่าเขาไม่กลับมาแล้วคุณก็รอจนผมยาวขนาดนี้”

คนถามหันไปหาพร้อมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็มีรอยยิ้มบางๆ เจือไว้ พลอยทำให้อีกคนยิ้มน้อยๆ ออกมาเช่นกัน

“ถ้ารอตั้งแต่ตอนที่เขาให้รอ ก็คงจะยาวลากพื้นแล้วล่ะค่ะ”

“งั้นคุณผิดคำสัญญาเหรอครับ ผมคุณถึงได้เหลือเท่านี้” ชลธิปเลิกคิ้วอย่างสงสัย แต่ก็เรียกรอยยิ้มน้อยๆ จากคนข้างๆ ได้อีกครั้งขณะก้าวไปอย่างเชื่องช้า

“ไม่ได้ผิดคำสัญญาหรอกค่ะ แต่จำเป็นต้องตัดเพราะครูสั่ง ฉันเพิ่งหยุดตัดเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเองค่ะ แต่ก็ให้แม่เล็มๆ ปลายให้ปีละครั้งเวลากลับไปเยี่ยมบ้านน่ะค่ะ”

“อ้อ! แล้วบ้านคุณอยู่ที่ไหนครับ” คนข้างๆ ทำสีหน้าอยากรู้ไม่น้อยเมื่อหันมาหา

“เกาะเล็กๆ ในกระบี่ค่ะ” คนตอบพยายามจับสีหน้าและท่าทางว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงกับคำนั้นบ้าง

“ผมอยากไปเที่ยวบ้าง ตั้งแต่เรียนจบกลับมาก็งานล้นมือ ยังเที่ยวเมืองไทยไม่ครบทุกจังหวัดเลยครับ สงสัยจะต้องหาเวลาไปจริงๆ จังๆ บ้างสักวัน”

วริญรำไพอดผิดหวังน้อยๆ ไม่ได้เมื่อสีหน้าของเขาไร้ข้อกังขาใดๆ ในชื่อจังหวัดที่ตัวเองเอ่ยออกไป “เอ่อ! ขอฉันถามอะไรคุณบ้างจะได้มั้ยคะ”

เลยตัดสินใจทำในสิ่งที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก “ได้สิครับ ก็ผมถามเรื่องคุณไปตั้งหลายอย่าง ถ้าไม่ยอมผมก็ไม่แมนเลยใช่มั้ยครับ”



ชลธิปอดสงสัยตัวเองไม่ได้ ว่ากลายเป็นคนพูดเก่งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาจะไม่ค่อยเอ่ยอะไรกับใครง่ายๆ หรือจะเป็นฝ่ายฟังมากกว่าตอบหรือถามด้วยซ้ำ






กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ย. 2558, 09:52:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ย. 2558, 09:52:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 962





<< ตามหาคำตอบของหัวใจ ๑๐๐%   ความหวังอันริบหรี่ ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account