รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)

คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง









รักร้าวในแผลใจ

รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น



หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ

ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ



ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl




































Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1











บทที่ 1

อาถรรพ์ 7 ปี

ณ กรุงลอนดอนแห่งประเทศอังกฤษ มีการจัดแสดงนิทรรศการนานาชาติหรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อสั้นๆ ว่าเอ็กโป ซึ่งเป็นการแสดงนิทรรศการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นมหกรรมของมวลมนุษย์ติดอันดับสามของโลกรองจากกีฬาโอลิมปิกและฟุตบอลโลกแต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความรักของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง

เจ็ดปีก่อนมีหญิงสาวคนหนึ่งสนใจกับภาพวาดน้ำมันของจิตรกรผู้โด่งดังระดับโลก เธอตัดสินใจเดินทางมาเพื่อเข้าชมภาพวาดน้ำมันของจิตรกรผู้นั้นในนิทรรศการนานาชาติ ณ กรุงลอนดอนและที่นั่นก็ทำให้เธอได้พบกับใครคนหนึ่ง

คนที่เธอเฝ้ารอมาทั้งชีวิต…



แสงอาทิตย์อ่อนๆ ต้อนรับวันใหม่ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินกอดคอกันเพื่อมารับประทานอาหารมื้อเช้าโดยร้านอาหารที่เลือกอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน Liverpool Street

All Day Breakfast และ Duck& Waffle เมนูอาหารที่ทั้งสองสั่งเป็นประจำและตอนนี้พวกเขาทั้งสองก็กำลังทานไปด้วยคุยกันไปด้วย ที่พิเศษกว่านั้นคือการได้เห็นพระอาทิตย์กำลังลอยขึ้นฟ้าอย่างสวยงาม

ดวงตาคมเป็นประกายมองมาที่ใบหน้าสวยได้รูปอย่างเสน่หา ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด สิ่งที่ได้รับจากคนรักเป็นความสุขที่จะไม่มีวันลืม

“มองหน้าบีแบบนี้คิดอะไรอยู่คะ” สิรินภาถามออกไปด้วยรอยยิ้มมุมปาก สายตาที่มองยังชายหนุ่มตรงหน้าบ่งบอกว่ากำลังสงสัยและอยากรู้ความในใจของอีกฝ่ายเป็นที่สุด

“พี่ก็แค่คิดถึงวันเก่าๆ บีเชื่อไหมว่าพี่จำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเรา” เมฆายิ้ม เอื้อมมือมากุมมือหญิงสาวไว้ เลี้ยวมองท้องฟ้าแล้วหันกลับมาจ้องหน้าเธอ “โดยเฉพาะวันนั้น วันที่พี่ได้พบรักแท้” คนพูดทำตาแพรวพราวแต่สิรินภากลับหัวเราะ

“ที่งานเอ็กโปนะหรือคะ บีจำได้ว่าพี่เมฆเดินมาชนบีแล้วเราก็ล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน ตอนนั้นบีอายคนมากจะลุกก็ลุกไม่ได้เพราะพี่เมฆนอนทับบีอยู่”

เมฆาคิดตามที่สิรินภาพูดแล้วหัวเราะตาม ใช่...วันนั้นคือวันที่เขาถูกเพื่อนๆ ล้อและเป็นวันเดียวกับที่ชายหนุ่มถูกแฟนสาวชาวต่างชาติบอกเลิกแต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับผู้หญิงสวยตรงหน้าทำให้เขาตกหลุมรักตั้งแต่วินาทีแรกราวกับว่ากามเทพตัวน้อยส่งนางฟ้าแสนสวยมาดามใจ

“ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณบีทำไมคะ” สิรินภาถามเสียงอ่อนดวงตางงงันจนอีกฝ่ายต้องตอบกลับเสียงอ่อน

“ขอบคุณที่บีทำให้พี่มีความสุข ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่เราอยู่ด้วยกัน บีดูแลพี่มาอย่างดี ให้ทั้งความรัก ความอบอุ่นมันทำให้พี่รู้ว่าชีวิตนี้พี่ขาดอย่างอื่นได้แต่ขาดบีไม่ได้” เมฆาพูดจากใจจริง การที่เขายอมทิ้งทุกอย่างเพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับสิรินภาโดยไม่สนว่าคนในครอบครัวจะเป็นทุกข์ร้อนใจมากแค่ไหน แต่เพราะชายหนุ่มมองเห็นแล้วว่าความสุขทั้งหมดของเขาอยู่ที่ผู้หญิงคนนี้

ใบหน้าของสิรินภายิ้มแก้มบาน ดวงตาสุกใสเปี่ยมด้วยความสุขล้นจนชายหนุ่มสัมผัสได้ มือหนาเลื่อนมาสัมผัสความอบอุ่นบนฝามือเล็กแต่กลับถูกอีกฝ่ายดึงมือกลับพร้อมประโยคที่ทำให้เขาสะดุ้ง

“แต่ทุกอย่างมันจบลงแล้วค่ะ” เสียงของสิรินภาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว ดวงตาใสซื่อเหมือนมีเปลวไฟลุกโชน

เมฆาสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ใบหน้าคมเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้แล้ว ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนจะพบกับความจริงที่แสนเจ็บปวด

ทุกอย่างยังคงตามมาหลอกหลอนเขาจนถึงทุกวันนี้ ผู้หญิงหลอกลวง นั่นคือสิ่งเดียวที่เขาจะจดจำจนวันตาย

“ติ๊งต๊อง!!!”

เมฆาหันมาทางประตูพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วเดินไปเปิดประตูห้องจนปรากฏร่างหญิงสาวสวยระหงในชุดเดรสเกาะอกสีแดง ในมือของเธอมีหน้ากากขนนกสีขาวถือมาด้วย

เอมมี่ยิ้มแฉ่งก่อนจะทำหน้าตกใจเมื่อเห็นหน้าตาเขาดูซีดๆ แถมเหงื่อยังไหลโชกจนน่าเป็นห่วง หญิงสาวตรงเข้ามาแตะหน้าผากชายหนุ่มถามไถ่ด้วยความห่วงใย

“นี่ คุณเมฆไม่สบายหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าคุณซีดจัง เหงื่อก็ออกเยอะด้วย” เอมมี่ถามมาด้วยความเป็นห่วงสีหน้าบ่งบอกว่าเธออยากเป็นคนอยู่ดูแลเขาไปตลอดชีวิต

“ผมไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้ทำงานหนัก พักผ่อนน้อยไปหน่อย” เมฆาตอบเสียงอ่อนก่อนจะเดินมารินน้ำในแก้วแล้วยื่นให้เอมมี่ อีกฝ่ายรับมาถือทั้งยังถามต่อ

“แล้วแบบนี้ จะไปงานคืนนี้ไหวหรือคะ”

“ยังไงก็ต้องไหว งานคืนนี้สำคัญมากเพราะเป้าหมายของผมก็อยู่ในงานนั้น อีกอย่างคงไม่ใช่แค่ผมที่ต้องการที่ดินผืนนั้นอยู่คนเดียว” เมฆาตอบก่อนจะดื่มน้ำไล่ความมึนไปหมดแก้วแล้วเดินมาหยิบสูทที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้มาสวมทับเสื้อเชิ้ตตัวในโดยมีเอมมี่มาช่วยจัดทรงให้เขา

“คุณคิดว่าจะมีใครชนะการประมูลนอกจากคุณอีกหรือคะ” เอมมี่เผลอถามขณะที่มือยังช่วยเขาจัดเนคไทให้อยู่ทรง

“ก็น่าจะมีอยู่ไม่น้อย อีกอย่างผมไม่อยากพลาดเพราะผมรู้ว่าการพลาดจากสิ่งที่มีค่านั้นมันเจ็บปวดและทรมานมากแค่ไหน” คนตอบสีหน้าดูเคร่งเครียด

“ถ้าอย่างนั้น เรารีบไปกันเถอะค่ะ เอมมี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีใครหน้าไหนที่กล้ามาประมูลแข่งกับคุณ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หมื่นล้าน” เอมมี่เกี่ยวแขนชายหนุ่มพูดน้ำเสียงเชิดแต่เมฆาไม่ได้ตอบอะไรนอกจากทำหน้านิ่ง



ปอร์เช่ป้ายแดง ขับมาจอดนิ่งในที่สำหรับแขกวีไอพี เมฆาทำหน้าที่สุภาพบุรุษด้วยการลงไปเปิดประตูรถให้สาวที่นั่งมาข้างๆ ก่อนจะได้รับคำขอบคุณอย่างนุ่มนวล

“ขอบคุณค่ะ” เอมมี่เอ่ยเสียงหวานแต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นรถที่จอดอยู่ข้างๆ ยกมือปิดอุทานเสียงดัง

“ตายจริง ใครให้รถขนดอกไม้มาจอดตรงนี้นะ นี่มันสำหรับที่จอดรถของแขกในงาน” เอมมี่นึกตำหนิคนที่อนุญาตให้รถขนดอกไม้เข้ามาจอดในที่จอดรถของแขก มันทำให้ภาพพจน์ดูแย่มากในสายตาของเธอ หญิงสาวหันมามองหน้าชายหนุ่มที่มาด้วยนึกอยากจะขอความเห็น

“เมฆาเห็นด้วยกับเอมมี่ไหมคะที่ไม่ควรให้รถกระจอกๆ แบบนี้มาจอดเทียบกับรถราคาแพงๆ”

เมฆาไม่ได้ตอบแต่เขากำลังมองนิ่งไปยังดอกไม้ดอกหนึ่งที่อยู่ในรถคันนั้น เยอบีร่า ดอกไม้แห่งความรักที่ทำให้เขานึกถึงผู้หญิงหลอกลวงคนนั้น คนที่ทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

เสียงเมฆาดังมาหลังจากที่สิรินภาเปิดประตูแล้วเจอกับเซอไพรสครั้งใหญ่ เมื่อเยอบีร่ามีอยู่เต็มทั่วทุกมุมห้องจน หญิงสาวน้ำตาไหลซึมด้วยความตื้นตันใจในสิ่งที่ชายหนุ่มทำให้ มือหนาเข้ามาสวมกอดจากด้านหลังก่อนใบหน้าคมจะวางคางไว้ตรงไหล่บางอีกฝ่ายถามน้ำเสียงสั่นคลอ

“นี่มันอะไรกันคะ เยอบีร่า นี่พี่เมฆเป็นคนจัดมันเองหรือคะ”

“ครับ ถึงมันไม่สวยแต่คนทำก็ทำด้วยใจและก็คิดว่าคนรับก็น่าจะชอบเหมือนกัน” เมฆาตอบ ตอนแรกยังหวั่นๆ กลัวสิรินภาจะไม่ชอบแต่พอได้มาเห็นสีหน้าท่าทางของเธอก็ทำให้ความเหนื่อยทั้งหมดที่เขามีพลันหายไปในพริบตา

“พี่เมฆน่ารักที่สุดเลย บีรักพี่เมฆนะคะ” สิรินภาตอบแทนเขาด้วยการหอมแก้มอย่างละข้างก่อนจะกอดเขาอย่างรักใคร่

“พี่ก็รักบีครับ รักมาก รักมากที่สุด” เมฆากอดเธอตอบแล้วเอ่ยบางอย่างออกมา “เยอบีร่านี้จะเป็นคำมั่นสัญญาว่าเราจะรักกันตลอดไปและไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะไม่แยกจากกัน”

“ค่ะ บีสัญญาว่าจะรักพี่เมฆตลอดไปและบีก็จะไม่จากพี่ไปไหนทั้งนั้น บีสัญญาค่ะ” สิรินภากอดกระชับร่างหนาไว้แน่น

“เมฆคะ”

เมฆาสะดุ้งเล็กน้อยกับมือเล็กที่แตะมายังต้นแขนของเขาก่อนจะมองหน้าเอมมี่นิ่ง จากนั้นสายตาคมก็เลื่อนมามองยังเยอบีร่าด้วยแววตาเฉยชาราวกับมันไม่เคยมีความหมายใดๆ กับเขา ปากหนาเอ่ยเสียงเรียบ

“เราเข้าไปในงานกันเถอะ”

“ค่ะ” เอมมี่ตอบสั้นๆ ทั้งที่ใบหน้ายังมองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจแกมสงสัย

เมฆาเดินคอแข็งใบหน้าดุดันโดยมีสาวสวยดีกรีแม่หม้ายป้ายแดงเดินควงแขนเข้างาน พ้นร่างของคนทั้งสองไปแล้วเผยสาวสวยร่างเล็กในชุดกระโปรงสีหวาน ใบหน้าไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอาง มีเพียงผ้าผูกผมลายดอกเท่านั้นที่พอจะทำให้เธอดูมีสีสันขึ้นมาบ้าง

“เดี๋ยวคะ น้องบี” เสียงที่ฟังดูหอบๆ ทำให้สาวร่างบอบบางที่กำลังเดินตรงไปยังรถขนดอกไม้ต้องหันกลับมามองก่อนจะยิ้มงงๆ ให้ผู้หญิงในชุดสูทสีดำกึ่งเดินกึ่งวิ่งท่าทางดูหอบเหนื่อยผู้นี้ เธอคือหัวหน้าทีมผู้จัดงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ สิรินภามองหน้ากชกรแปลกๆ สายตาบอกแววสงสัย

“มีอะไรคะพี่กชกร” เอ่ยจบก็เห็นอีกฝ่ายยื่นซองขาวมาให้

“เงินค่าดอกไม้จ้ะ”

“อุ้ย ที่จริงให้งานเลี้ยงเสร็จก่อนก็ได้ค่ะ บีไม่ได้รีบอะไร” สิรินภาบอก ใบหน้ายิ้มแย้มราวกับว่าเรื่องเงินค่าดอกไม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเธอ

“รับไปเถอะจ้ะ พี่ไม่อยากค้างนะ ถึงยังไงก็ต้องจ่ายให้บีอยู่ดี” กชกรบอกแล้วมีสายเข้า มือหนึ่งล้วงเอามือถือออกมาไม่ลืมหันมาเอ่ยกับสาวรุ่นที่อายุน้อยกว่า

“แปบนะจ๊ะ” กชกรว่าแล้วรีบกดรับสายทันที

‘ว่าไง หา อะไรนะ ให้มันได้ยังงี้สิ’

สิรินภาสะดุ้งเล็กน้อยกับท่าทีแปลกๆ ของกชกรก่อนจะเอ่ยปากถามเสียงอ่อนแบบไม่เต็มเสียงนัก “มีอะไรเหรอคะ”

“มีแน่จ้ะ ก็นักดนตรีที่พี่จ้างให้มาเล่นเปียโนในงานนะสิ ดันท้องเสียกะทันหัน นี่ทีมงานเพิ่งพาไปส่งโรงพยาบาลเมื่อตะกี้นี้เอง” กชกรตอบอย่างอารมณ์เสีย

“แย่จังเลยนะคะ” สิรินภาเอ่ยอย่างเห็นใจแล้วรีบเอ่ยลา “สงสัยพี่กชกรคงต้องรีบหานักเปียโนคนใหม่แล้วละคะ เอาเป็นว่าบีเอาใจช่วยนะคะ ขอให้พี่หาคนมาแทนได้ทันเวลา” หญิงสาวเอ่ยให้กำลังใจอีกฝ่าย

“จริงสิบี บีเคยบอกพี่ว่าบีเล่นเปียโนเป็น งั้นบีช่วยพี่หน่อยนะ” กชกรไม่พูดเปล่ายกมือไหว้อีกฝ่าย จนถูกสิรินภาจับมือร้องห้าม ท่าทางดูกังวลแต่มีหรือกชกรจะยอมแพ้ เรื่อลูกอ้อนเธอเป็นต่อเสมอ “ถือว่าพี่ขอร้องเถอะนะ ถ้างานนี้พังคงไม่มีบริษัทไหนจ้างพี่มาจัดงานอีกแน่”

“แต่บีไม่ใช่มืออาชีพนะคะ บีก็แค่เล่นเป็นแค่สองสามเพลงเท่านั้นเอง”

“แค่นั้นก็โอเคแล้วจ้ะ การแสดงเปียโนจะมีขึ้นในตอนท้ายหลังจากที่การประมูลเสร็จสิ้น แค่สามเพลงพี่ว่ามันก็เหลือเฟือแล้วที่จะให้แขกเหรื่อเต้นรำกันก่อนอำลานะ” กชกรว่ามองสาวตรงหน้าอย่างมีความหวังแต่สิรินภายังลังเล รู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยโล่งขึ้นมาทันที



ในงานเมฆากำลังยืนมองนาฬิกาฝั่งเพชรยี่ห้อดังที่ราคาเหยียบหลายสิบล้านส่วนเอมมี่กำลังดูเครื่องประดับชุดหรูที่ถูกนำมาประมูลในงานคืนนี้ด้วย รอบๆ ห้องเต็มไปด้วยนักธุรกิจทั้งหน้าใหม่และเก่าซึ่งต่างกำลังเล็งดูของมีค่าไว้ประมูลเป็นที่ระลึกกลับไปแต่คงมีไม่กี่คนที่มีเป้าหมายเดียวกัน

“เมฆค่ะ”

เมฆาหันตามเสียงเห็นเอมมี่ทำหน้าไม่ค่อยชอบใจก่อนที่เขาจะหันไปตามสายตาที่หญิงสาวส่งไปให้และนั่นทำให้รู้ว่าทำไมสีหน้าของเธอถึงเป็นเช่นนั้น

เกษมศักดิ์ในชุดสูทดูดีมีหน้ากากสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า ข้างกายมีเลขารู้ใจตามติดเป็นเงา เป้าหมายของชายหนุ่มคือคู่ชายหญิงที่ยืนมองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แน่นอนว่าเขาจำพวกเธอได้ไม่ว่าสองคนนั้นจะสวมหน้ากากอำพรางหน้าตาตัวเองอยู่ก็ตาม

“สวัสดีครับ คุณเมฆา อัศวศิลป์” เกษมศักดิ์เอ่ยทักเสียงเรียบ ในมือมีแก้วไวน์องุ่นถือมาด้วย

เมฆาภายใต้หน้ากากขนสีดำไม่ได้ตอบกลับมาแต่ใช้สายตามองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเฉยชาและไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับการทักทายของอีกฝ่าย

“เจอกันอีกแล้วนะ” เกษมศักดิ์ว่าแล้วปรายตามาทางเอมมี่แล้วจุปาก “วันนี้นึกยังไงถึงได้ควงหม้ายสาวพราวเสน่ห์ออกงานเลี้ยงด้วย แบบนี้คงจะมีข่าวดีกันเร็วๆ นี้สินะ”

“แล้วมันเรื่องอะไรของคุณไม่ทราบ” เอมมี่ถามเสียงเรียบแต่สายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่ชอบใจ ใช่ เธอไม่ชอบผู้ชายคนนี้เอามากๆ นี่ขนาดสวมหน้ากากอำพรางใบหน้าตัวเองแล้วอีกฝ่ายยังจำได้อีก

ฝ่ายเมฆาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาดีเพราะทุกครั้งที่ผู้ชายคนนี้ปรากฏแก่สายตาสาธารณชน ย่อมมีเป้าหมายแอบแฝง

“การที่คุณลดตัวเดินมาทักผมก่อน คงไม่ใช่แค่อยากมาทักทายตามประสาคนที่ทำธุรกิจเหมือนกัน” เมฆาพูดตรงไปตรงมาเห็นเกษมศักดิ์ยิ้มมุมปากพร้อมทั้งปรบมือเบาๆ ชี้นิ้วใส่หน้าเขา

“คุณนี่น่าจะไปเป็นหมอดูนะ เดาเก่งซะด้วย”

“ของมันเคยๆ ว่าเรื่องของคุณมาเลยดีกว่า ต้องการอะไรจากผมกันแน่” เมฆาไม่อ้อมค้อมเพราะขี้เกียจพูดมาก คนแบบนี้เขาก็ไม่อยากเฉียดตัวเข้าไปข้องเกี่ยวเท่าไรนัก

“สมกับเป็นนักธุรกิจที่อ่านใจคนเก่งจริงๆ เลยนะ โอเค งั้นผมก็จะไม่อ้อมค้อม เอาตรงๆ แบบลูกผู้ชายเลยนะ” เกษมศักดิ์เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังไร้รอยยิ้ม “ฉันต้องการที่ดินแปลงที่อยู่ติดกับเขาใหญ่และก็หวังว่านายคงจะไม่ต้องการมันเหมือนกัน” เปลี่ยนสรรพนามขึ้นมาทันที เห็นรอยยิ้มปรากฏมุมปากของเมฆา

“แล้วถ้าฉันต้องการล่ะ” เมฆาก็เปลี่ยนสรรพนามเรียกขานเหมือนกัน ซึ่งมันควรจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพราะสำหรับผู้ชายที่ชื่อเกษมศักดิ์ เขาไม่จำเป็นต้องมีมารยาทมากนัก

เกษมศักดิ์ยื่นไวน์องุ่นให้ลูกน้องคนสนิทถือต่อ ทำหน้ากวนประสาทแล้วชี้นิ่วใส่เมฆา แววตาลูกเล่นเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นดุดันไม่ยอมใคร กัดกรามแน่นแล้วพูดเค้นเสียง

“ก็คงต้องแย่งให้ถึงที่สุดเพราะยังไงฉันก็ไม่มีทางยอมให้มันตกไปเป็นของแก ส่วนคราวที่แล้วที่ฉันยอมให้ชนะประมูลเพราะฉันไม่ได้อยากได้ต้องการมันแต่แค่อยากเล่นสนุกหาเรื่องให้คนเสียบางคนตังก็เท่านั้น และไอ้แจกันใบนั้นมันก็ไม่ใช่ทางของฉัน แต่ครั้งนี้สำหรับที่ดินผืนนั้น ฉันจะต้องได้มันมาโดยที่ใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์” เกษมศักดิ์พูดน้ำเสียงเด็ดขาดในตอนท้ายหากคนฟังไม่ได้กลัวจนถึงขั้นหมดกำลังใจแต่อย่างใด

“งั้นก็มาลองดู ทุกอย่างอยู่ที่การประมูล ใครดีใครได้ ใครเงินถึงคนนั้นก็ได้ครอบครอง” คนตอบดวงตาแข็งกระด้างแต่คนฟังยังมีแววขำ

“ของแบบนี้มันไม่ได้อยู่ที่เงินอย่างเดียวหรอกนะ มันอยู่ที่โชคด้วย และคนอย่างฉันเป็นคนที่ชอบแย่งซะด้วยสิ” สิ้นคำพูดของเกษมศักดิ์ เสียงพิธีกรผู้ดำเนินงานก็ดังขึ้น

“และแล้วนาทีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงแล้วนะครับ” พิธีกรหนุ่มเอ่ย มีพิธีกรหญิงร่วมสมทบ

“นาทีสำหรับการประมูลของที่อยู่ในใจของแต่ละท่าน หวังว่าทุกท่านที่เดินชมของประมูลของเราคงจะคิดในใจแล้วว่าท่านไหนต้องการประมูลชิ้นไหนกลับไปเป็นที่ระลึก” พิธีกรสาวเอ่ยจบก็มีเสียงพิธีกรหนุ่มขึ้นเสริม

“และที่สำคัญ ส่วนหนึ่งของการประมูลในครั้งนี้ทางเราจะเอาไปสมทบทุนเพื่อเอาไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหวที่กำลังได้รับความเสียหายอยู่ในขณะนี้” พิธีกรหนุ่มว่าจบก็ตามมาด้วยเสียงพิธีกรสาวทันที

“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มต้นการประมูลกันเลยค่ะ”

การประมูลเริ่มต้นขึ้นโดยของประมูลในชิ้นแรกเป็นภาพวาดน้ำมันจากนักวาดมือระดับโลกและมันคงไม่มีผลกระทบต่อจิตใจของเมฆาหากภาพนั้นไม่ใช่ฝีมือนักวาดที่สิรินภาเคยหลงใหลจนต้องบินลัดฟ้าเพื่อมาชมงานนิทรรศการนานาชาติแห่งกรุงลอนดอน

“หนึ่งล้านบาท ครั้งที่หนึ่ง...”

เมฆากลืนน้ำลาย ตอนนี้เขารู้สึกคอแห้งจนต้องเรียกเด็กเสิร์ฟมาแล้วหยิบไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ยังได้ยินเสียงพิธีกรพูด

“หนึ่งล้านห้าแสนบาทครั้งที่หนึ่ง หนึ่งล้านห้าแสนบาทครั้งที่...”

“สามล้านบาท” เมฆายกมือชูธงขึ้นแล้วเอ่ยราคาชนิดที่ทำให้ทุกคนถึงกับตะลึงไม่เว้นแม้แต่เกษมศักดิ์ที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทุ่มเงินมากมายเพื่อซื้อของชิ้นนั้น

“สามล้านบาท ครั้งที่สอง ปิดประมูลค่ะ” จบคำพูดพิธีกรสาว เสียงปรบมือดังไปทั่วหากคนที่ได้เป็นเจ้าของกลับเฉยชาใบหน้าขรึมจัด

เมฆาขบกรามแน่นนึกโกรธตัวเองที่ยังลืมสิรินภาไม่หมดสิ้น แม้แต่ภาพวาดจากศิลปินที่เธอชื่นชอบเขาก็ยังจำมันได้ดี ช่างน่าเวทนาอะไรอย่างนี้



การประมูลถูกขั้นไว้ด้วยเสียงเพลง เอมมี่เดินถือไวน์สองแก้วมายืนข้างเมฆาที่ระเบียงด้วยกัน ตอนนี้เธอยังเห็นเขาปั้นหน้าขรึมตั้งแต่ที่ได้เป็นเจ้าของภาพวาดภาพนั้นและมันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมทุกครั้งที่มีการประมูลภาพวาดสีน้ำมันจากศิลปินท่านนี้ เมฆาจะรีบแย่งประมูลมาทุกครั้งทั้งที่ในความเป็นจริงเขาไม่น่าใช่คนที่จะชอบสะสมของพวกนี้

หญิงสาวยื่นไวน์องุ่นมาให้ก่อนอีกฝ่ายจะรับมาถือแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรนอกจากทอดมองไปยังเบื้องล่างที่มีแต่แสงไฟสลัวจากเสาไฟข้างทางรวมทั้งไฟระยิบระยับที่ประดับประดายังต้นไม้สูง ปากอิ่มสีแดงสดจิบไวน์เบาๆ ถือโอกาสตอนเขาเงียบเอ่ยประโยคหนึ่งออกมาซึ่งมันเป็นคำถามที่ค้างคาใจเธอมาโดยตลอด

“สำหรับครั้งนี้ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะดูเหมือนว่าภาพวาดน้ำมันจากศิลปินท่านนั้นจะมีความสำคัญกับเมฆมาก คุณถึงแย่งประมูลมันมาทุกครั้งที่มีการเปิดประมูล”

เมฆาฟังแล้วไม่ได้ตอบทีเดียว เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะยกไวน์องุ่นขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ฝืนยิ้มอ่อนๆ ให้คนถามแล้วตอบเสียงเรียบ

“มันก็...ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย ก็แค่ของมีตำหนิ ไร้ค่า ผมแค่ไม่ต้องการให้ภาพพวกนี้มาตั้งโชว์ที่ไหนให้มันรำคาญลูกตา ดังนั้น ผมจึงเลือกที่จะประมูลมันมาแล้วเก็บไว้ในที่ที่มันสมควรจะอยู่” ปากหน้าเอ่ยออกไปแต่สายตายังแน่นิ่งอยู่ที่เดิม สำหรับคำตอบไม่ว่าเอมมี่จะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ท้ายที่สุดเขาก็ต้องตัดใจให้ได้ ต่อให้ต้องเจ็บปวดก็ต้องฝืนทน ยอมเจ็บตอนนี้ดีกว่าทุรนทุรายไม่จบไม่สิ้น

เอมมี่หยิบแก้วไวน์มาจากมือชายหนุ่มเห็นเขามอง เธอเพียงยิ้มแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“เอมมี่ไปเอาไวน์มาก่อนนะคะ อีกเดี๋ยวเดียวการประมูลก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง” เอ่ยจบก็เดินจากไป

เมฆายังคงปั้นหน้านิ่งก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังจุดเดิมและคราวนี้เขาก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ เมื่อสายตาคมดันมองไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทั้งหน้าตาและรูปร่างเหมือนสิรินภาอย่างกับพิมพ์เดียวกัน

“บี”

หัวใจที่ว่าแข็งแรงจู่ๆ ก็อ่อนยวบหมดแรงไปซะดื้อๆ เมฆาจ้องนิ่งราวกับจะให้แน่ใจว่าคนที่เขาเห็นใช่เธอจริงๆ หรือแค่เพียงภาพมายาที่คอยตามหลอกหลอนแม้แต่ในฝันและไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง การพิสูจน์จะเป็นทางเลือกสุดท้าย



เอมมี่เดินมาพร้อมกับแก้วไวน์สองแก้วตรงไปหาเมฆายังจุดเดิมแต่ไม่พบเขาอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว สายตามองทอดไปทั่วก่อนจะชะงักเมื่อมีใครคนหนึ่งมายืนขวางทางอยู่ สายตามองเธอบอกว่าไม่สบอารมณ์อย่างมาก

“ไอ้เมฆาหายไปไหนซะล่ะ ถึงได้ปล่อยผู้หญิงสวยๆ แบบนี้ให้ยืนเหงาอยู่คนเดียวได้” เกษมศักดิ์เอ่ย แสยะยิ้มให้เล็กน้อยแต่อีกฝ่ายไม่ตอบและทำเหมือนมองไม่เห็นเขา “พูดด้วยก็ไม่พูด ทำหยิ่งไปเถอะ คุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าผมเท่าไรหรอก”

เอมมี่หันมาจ้องหน้าเกษมศักดิ์ แววตาไม่ค่อยพอใจยิ่งสร้างความพอใจให้อีกฝ่ายอย่างมากที่ได้ยั่วโมโหเธอ ชายหนุ่มเดินมาใกล้เอ่ยเชิงกระซิบ

“ผัวตายไม่เท่าไร ไล่จับผู้ชายคนใหม่ซะแล้ว แถมปลาตัวนี้ก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น ดีกรีเป็นถึงทายาทหมื่นล้านของอัศวศลป์ซึ่งรวยกว่าผัวเก่าคุณไม่รู้ตั้งกี่เท่า”

“แล้วมันไปหนักส่วนไหนของคุณหรือคะ” เอมมี่ถามหน้าซื่อเห็นเกษมศักดิ์หัวเราะ

“ก็ไม่ได้หนักส่วนไหนหรอกแต่ถ้าเบื่อหมอนั่นเมื่อไร ทางนี้ก็ยังอ้าแขนรับคุณอยู่นะ” เกษมศักดิ์ไม่พูดเปล่า ใช้มือลูบไล้ไปที่ต้นแขนเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายแต่ถูกสะบัดออก

“ขอโทษนะคะ ฉันเป็นคนไม่ชอบคลุกคลีกับนักธุรกิจระดับล่างหรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ฉันขยะแขยงในคนพวกนี้นะคะ” เอมมี่ตอบใบหน้ายิ้มแย้มแต่ทำเอาคนฟังถึงกับเงิบไป “ขอตัวนะคะ” เอ่ยยิ้มๆ แล้วเดินจากไป

เกษมศักดิ์ขบกรามพูดไม่ออก มือสองข้างกำแน่น เจ็บใจที่ถูกหญิงสาวหักหน้า ได้ยินเสียงลูกน้องคนสนิทกระซิบถาม

“ให้ผมจัดการเธอไหมครับ”

“ไม่ต้อง ปล่อยให้ทำปากเก่งแบบนี้ไปก่อนเถอะ ไอ้เมฆาล้มละลายเมื่อไรฉันจะรอดูน้ำหน้าเธอว่าจะกลืนน้ำลายตัวเองแล้วคลานเหมือนหมาจนตรอกมาพึ่งใบบุญจากฉันหรือเปล่า” เกษมศักดิ์เอ่ย สายตาแลดูอาฆาต



เมฆาเดินวนอยู่จุดนั้นหลายๆ รอบหลังจากที่ตนลงมาถึงด้านล่างกลับพบเจอแต่ความว่างเปล่า สายตาคมกวาดไปทั่วบริเวณ ไม่เชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่จะเป็นเพียงภาพลวงตา ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเข้างานอีกครั้งด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยวและเจ็บปวดอีกครั้ง

“บีรู้สึกไม่ดีเลยค่ะ”

เท้าหนาเตรียมจะเข้างานแต่กลับชะงักกึกเมื่อหูของเขาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งแว่วมา ร่างหนาแข็งทื่อขึ้นโดยอัตโนมัติ สายตาคมกำลังเลื่อนไปมองยังต้นเสียงอย่างช้าๆ แล้วพบว่าหัวมุมตรงนั้นมีร่างชายผู้หนึ่งยืนอยู่ส่วนอีกร่างเมฆามองไม่เห็นเพราะซุ้มดอกไม้บังไว้ ใบหน้าคมซีดเผือดเพียงแค่คิดว่าเสียงนั้นจะเป็นเสียงของสิรินภา ผู้หญิงที่เคยหลอกลวงเขาเมื่อสามปีก่อน

และถ้าเจ้าของเสียงนั้นคือสิรินภาจริงๆ ล่ะ

เมฆาคิด
























กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2558, 09:00:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 09:00:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1099





<< กติกาในการอ่าน   บทที่ 2 สัญญารักร้าว >>
Zephyr 20 ก.ย. 2558, 18:33:13 น.
น่าลุ้นสุดๆ ถ่านจะติดตอนไหนนะ


กรงแก้ว 10 ต.ค. 2558, 00:38:47 น.
ถ่านไฟเก่ายังร้อนอยู่ค่ะ ร้องเพลงพี่เบิร์ดรอเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account