รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)

คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง









รักร้าวในแผลใจ

รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น



หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ

ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ



ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl




































Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 2 สัญญารักร้าว








บทที่ 2

สัญญารักร้าว

ชุดเกาะอกกระโปรงบานทั้งชุดเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดกับสีผิวขาวลออของผู้สวม ใบหน้าของเธอตกแต่งโทนสีหวานแต่เจ้าของกลับยืนทำหน้าหนักใจ สิรินภามือไม้สั่น สีหน้าดูวิตกกังวลกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในเมื่อตอนนี้เธอกลายเป็นคนที่ต้องขึ้นไปเล่นเปียโนแทนนักดนตรีที่กชกรหามา

“บีรู้สึกไม่ดีเลยค่ะ”ปากอิ่มเอ่ยเสียงอ่อนเพราะกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าการตัดสินใจยอมช่วยกชกรนั้นจะเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดแม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย

ความกลัดกลุ้มใจของเธอถูกผ่อนคลายโดยมือหนาที่ตอนนี้กำลังบีบลงบนไหล่บางของหญิง ก่อนน้ำเสียงห้าวทุ้มจะดังขึ้น

“บีก็...ไม่เห็นจะต้องไปเครียดอะไรเลยแค่ทำตัวให้เป็นบีก็พอแล้ว”

“แต่บีก็ยังกังวลอยู่ดี” หญิงสาวผ่อนลมหายใจรู้สึกถอดใจยังไงไม่รู้

“นี่บีคนเก่งที่พี่เคยรู้จักหายไปไหนแล้ว”

“ก็บีกังวลนี่ค่ะ พี่กล้าไม่รู้หรอกเวลาจิตใจของเราถูกรุมเร้าด้วยความวิตกกังวลมันเป็นยังไง” สิรินภาเอ่ย สายตายังมีแววกังวล อีกฝ่ายพยายามให้กำลังใจ

“แต่บีเคยบอกพี่นี่ครับว่าการได้เล่นเปียโนทำให้บีหายจากความทุกข์ ไม่ใช่เหรอ”ยอดกล้าพูดให้กำลังใจสิรินภาถึงเขาจะรู้ว่าเธอเล่นเปียโนเป็นและเคยเล่นอยู่ที่ลอนดอนมาก่อนจะมาทำงานกับเขาแต่นอกเหนือจากนั้นเขาไม่รู้อะไรเลยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมผู้หญิงที่รักการเล่นเปียโนเป็นชีวิตจิตใจขนาดนี้จึงหยุดเล่นมันไปดื้อๆ

“พี่ว่าเป็นโอกาสดีที่บีจะได้กลับมาทำในสิ่งที่ชอบอีกครั้งยังไงซะพี่กล้าคนนี้ก็เอาใจช่วยบีอยู่สู้ๆนะครับ” ยอดกล้ายิ้มอ่อนหวานแต่ยังเห็นความกังวลฉายบนใบหน้าสวยของเธอ จะว่าไปเขาเองก็ชักกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้วสิ

กลัวว่าความสวยของเธอจะไปสะดุดตาใครในงานเข้าให้



ขณะนั้นเมฆากำลังยืนช็อกกับเสียงที่เขาได้ยินจนทำอะไรไม่ถูก เท้าหนาชะงักกึกทั้งที่ใบหน้าหล่อยังแสดงความอยากรู้แต่เพราะหัวใจยังมีรอยร้าวอยู่ จึงไม่ง่ายเลยที่จะเผชิญหน้ากัน

แต่หากนี่คือการพบกันครั้งแรกในรอบสามปีและหากเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้หญิงที่ทำร้ายหัวใจจนแหลกสลายอีกสักครั้ง หากนี่คือโชคชะตาที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...

วินาทีนั้นเมฆาตัดสินใจก้าวเท้าเดินออกไป เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นเป็นความจริงและเพื่อทดสอบว่าหัวใจตัวเองยังเข้มแข็งพอที่จะไม่ใจอ่อนให้กับผู้หญิงหลอกลวงคนนั้นอีก แต่พอเริ่มขยับเท้าก็ต้องสะดุ้งกับแรงสะกิดจากใครบางคน

“เมฆค่ะ”

เอมมี่เรียกชื่อเขาเบาๆ ด้วยใบหน้าผ่อนคลายจากเดิมก่อนจะพูดต่อ “มาอยู่ตรงนี้นี่เองเอมมี่หาคุณตั้งนานนะ” มือเล็กโอบรอบแขนชายหนุ่มอย่างถือสิทธิ์พออีกฝ่ายไม่ว่าไร เธอก็ยิ่งได้ใจซบหน้าลงที่ไหล่หนา

“คุณมีอะไรเหรอเอมมี่” ปากหนาเอ่ยถามอย่างรีบร้อนเพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาขัดจังหวะแต่พอหันหน้ากลับไปมองยังเสาเดิมก็ต้องหน้าเสียเมื่อคราวนี้ค้นพบแต่เพียงซุ้มดอกไม้ส่วนคนไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว

“แล้วเมฆล่ะคะ มองหาอะไรอยู่” เอมมี่ถามขึ้นเพราะเห็นสายตาที่เขาเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง

เมฆาสายตาแน่นิ่งก่อนจะเหลียวหน้ามาทางคนถามแล้วถอนหายใจเบาๆ “เปล่า”

“ถ้างั้นก็รีบเข้างานเถอะค่ะข้างในเขาเริ่มเปิดการประมูลต่อแล้ว ขืนเราชักช้าที่ดินแปลงนั้นคงถูกเกษมศักดิ์คาบไปกินแน่”เอมมี่เอ่ย สีหน้าท่าทางเมื่อพูดถึงคู่แข่งของเมฆาบ่งบอกว่าไม่ชอบคนๆ นี้อย่างมาก



สุดท้ายเมฆาก็ต้องกลับเข้ามาในงานพร้อมกับเอมมี่ทั้งที่ในใจยังมีความข้องใจอยู่ แต่พอมานึกคิดดูอีกครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่เสียงนั่นจะเป็นของผู้หญิงคนนั้น เป็นไปไมได้ที่เธอจะมาอยู่ที่นี่

“เอมมี่ไม่รู้หรอกนะคะว่าคุณมีปัญหาอะไรเหรอเปล่า แต่เอมมี่รู้สึกได้ว่าคืนนี้คุณไม่ค่อยจะแฮบปี้เลย” เอมมี่ขยับมาใกล้ๆ “ถ้าเมฆมีอะไรไม่สบายใจบอกเอมมี่ได้นะคะ”

เสียงของเอมมี่ทำลายความคิดของเมฆา ชายหนุ่มฝืนยิ้มไว้มุมปากเอ่ยเสียงเรียบ

“ผมไม่ได้เป็นอะไร”

“แต่ท่าทางของคุณ”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไร ขอร้องเถอะนะ อย่ารบกวนสมาธิผม แค่นี้ชีวิตผมก็วุ่นวายมากพอแล้ว” เมฆาเอ่ยเสียงเข้มแล้วเดินจากไป ไม่สนว่าคำพูดของเขาจะทำให้เอมมี่รู้สึกยังไง



ภายในงานเมฆากำลังนั่งจิบไวน์อยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งโดยมีเอมมี่นั่งอยู่เงียบๆ การประมูลผ่านไปเรื่อยๆ ไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มจะยกมือขึ้นประมูลสิ่งของชิ้นไหนอีก

ฝ่ายเกษมศักดิ์ก็ลอบมองมาทางคู่แข่งอยู่บ่อยครั้งแต่เพราะท่าทีที่ดูใจเย็นและไม่รีบร้อนของเมฆาอดทำให้เขาแปลกใจไม่ได้ มันเหมือนมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล

“เมฆค่ะ คุณคิดว่าที่ดินแปลงนั้นจะได้เป็นของคุณเหรอเปล่าเพราะเท่าที่เอมมี่มองนายเกษมศักดิ์ ดูเขาไม่ยอมปล่อยมันง่ายๆ ยิ่งเขาเป็นหมาลอบกัดแบบนั้น เอมมี่กลัวว่าคุณจะพลาดท่าให้กับมัน”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงผมนะแต่อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลย ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปในแบบที่มันควรจะเป็นดีกว่า”

“ดูคุณไม่ร้อนใจอะไรเลยนะคะ” เอมมี่ชักสงสัยและยิ่งเห็นเพียงรอยยิ้มน้อยๆ ของเขาเธอก็ยิ่งอยากรู้



ฝ่ายมานพผู้เป็นมือขวาของเกษมศักดิ์เดินหน้าเสียมายังโต๊ะของเจ้านายหนุ่มหลังจากที่หายไปจัดการธุระบางอย่างให้แต่พอผลออกมาเป็นแบบนั้นก็ทำให้ตนรู้สึกเครียดเพราะไม่รู้จะบอกนายหนุ่มยังไงดี

“เป็นยังไง จัดการธุระแค่นี้ทำไมไปนานจังว่ะ” เกษมศักดิ์เหน็บลูกน้อง สายตายังจ้องไปที่ตัวเมฆาก่อนจะหันมาจ้องหน้ามานพ

“เฮ้ย เงียบทำไม แล้วที่ให้ไปจัดการนะ เรียบร้อยใช่ไหม” เกษมศักดิ์ถามเห็นลูกน้องก้มหน้านิ่ง เขาเริ่มชักสีหน้าเครียดพอจะถามต่อก็ได้ยินเสียงพิธีกรดังขึ้น

“เอาละครับ ก่อนงานเลี้ยงจะอำลา เรามีบทเพลงหวานๆ จากนักดนตรีสาวสวยที่จะทำให้หัวใจของแขกทุกท่านกระชุ่มกระชวย และเพื่อไม่ให้เสียเวลาเชิญรับฟังเลยครับส่วนท่านใดที่ต้องการจะเต้นรำก็สามารถพาคู่ของท่านออกมาเต้นรำได้เลย ณ บัดนี้ ขอบคุณท่านผู้มีเกียรติทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่ามาร่วมงานในค่ำคืนนี้และหลังการเต้นรำจบเราจะเปิดหน้ากากกันนะครับ”

“อะไรว่ะ ของประมูลหมดแล้วงั้นเหรอ แล้วที่ดินแปลงนั้นล่ะ เฮ้ย ไอ้นพ ตกลงที่ฉันให้แกไปจัดการมันเรียบร้อยหรือเปล่าว่ะ” เกษมศักดิ์ถามเสียงแข็งดวงตาดุดันเห็นลูกน้องก้มหน้าจึงเดาได้ไม่ยาก

“เราพลาดแล้วครับนาย คนของอัศวศิลป์ซื้อตัดหน้าเราไปแล้ว พวกมันเสนอราคาสูงกว่าที่เราเสนอจนเจ้าของที่ดินขอยกเลิกสัญญาประมูลไป ยอมแม้กระทั่งจ่ายค่าปรับให้กับทางเจ้าของงานแล้วขายให้อัศวศิลป์ไปแล้ว”

“อะไรนะ บ้าฉิบ ไอ้เมฆา แกนี่มันเกิดมาเพื่อจะเป็นศัตรูกับฉันในทุกๆ เรื่องเลยใช่ไหม” เกษมศักดิ์ออกอาการโมโห สายตาแลดูโหดเหี้ยม



เสียงเปียโนเริ่มบรรเลงแต่เมฆายังคงนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เรื่องการประมูลแปลงที่ดินถูกยกเลิกนั้นเขารู้มาตั้งแต่ต้นแล้วเนื่องจากคนที่ให้ไปติดต่อซื้อที่ดินจากเจ้าของแปลงได้รายงานว่าทางนั้นตกลงที่จะขายให้อัศวศิลป์ในราคาตามที่เสนอไว้ซึ่งค่อนข้างสูงพอตัวแต่มันก็คุ้มกับสิ่งที่จะตอบแทนเขาในภายภาคหน้า

“ตกลงเรื่องที่ดินมันยังไงกันคะ เอมมี่งงไปหมดแล้ว นี่สรุปเขาไม่ได้เปิดประมูลหรอกหรือคะ” เอมมี่ทำหน้าสงสัย ตอนแรกก็ลุ้นอยู่ตั้งนานสองนานว่าใครจะเป็นเจ้าของแปลงที่ดินผืนนั้น แต่พอเรื่องมาเป็นแบบนี้เธอก็อดเสียดายแทนเมฆาไม่ได้

เมฆาลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มแฝง

“ก็ไม่มีอะไรมาก ที่ดินแปลงนั้นกำลังจะถูกโอนมาอยู่ในชื่อผม”

“หา คุณว่าอะไรนะคะเมฆ” เอมมี่ลุกตาม ทำตาโตใส่

“คุณไม่ต้องงงหรอก ทุกอย่างมันจบแล้ว”

เอมมี่มองหน้าชายหนุ่มอย่างใช้ความคิดแล้วยิ้มออกมาเมื่อเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว การที่แปลงที่ดินนั้นไม่ได้ถูกประมูลนั่นเป็นเพราะมันได้ตกมาเป็นของเมฆาเรียบร้อยแล้ว มิน่าเขาถึงดูไม่รีบร้อน มือสองข้างโอบแขนชายหนุ่ม ปากอิ่มเอ่ยเสียงอ่อน สายตาแลดูแพรวพราว

“ถ้างั้นออกไปเต้นรำกันนะคะเมฆ เอมมี่อยากเต้นรำ เพลงก็เพราะด้วย”

เมฆาพยักหน้าตามใจเอมมี่เพราะต้องการตอบแทนที่หญิงสาวอยู่เคียงข้างเขาและคอยเป็นกำลังใจให้กระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี สองร่างกำลังจะออกมาวางลวดลายกลางฟลอร์เต้นรำแต่กลับถูกเกษมศักดิ์และคนของเขามาขวางทาง

“ไอ้เมฆา ฉันรู้นะว่าทั้งหมดมันเป็นแผนของแก แกเล่นตุกติกจนฉันพลาดที่ดินแปลงนั้นไป แกนี่มัน...” เกษมศักดิ์ชี้นิ้วใส่หน้าเมฆา ความโกรธทำให้เขานึกอยากจะต่อยหน้าไอ้ผู้ชายที่ยังยืนทำหน้าเฉยชาแต่เพราะงานนี้มันเป็นงานใหญ่และมีนักข่าวมาค่อนข้างมาก

ฝ่ายเมฆาก็ถึงกับยิ้มมุมปาก สายตาคมมองผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่เดือดร้อน อาจเป็นเพราะเขารู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมของเกษมศักดิ์ ชายหนุ่มปัดมืออีกฝ่ายออกห่างก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

“อย่าคิดว่าคนอื่นจะตามเกมคุณไม่ทัน ผมคนหนึ่งที่ดูเกมออกจนต้องรีบฉิ่งตัดหน้าซื้อมันมาก่อนคุณ”

“แก” เกษมศักดิ์กัดกรามแน่นผิดกับเมฆาที่ยังยืนยิ้มให้

รอยยิ้มหยักศกหุบลงในทันที่เพลงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเพลงจากเปียโนที่ต่อจากเพลงแรก เมฆาละสายตาจากคู่แข่งก่อนจะเลื่อนไปมองยังเวทีด้านข้าง มีเพียงไฟสลัวส่งสว่างยังร่างหนึ่งที่กำลังบรรเลงเพลงด้วยเสียงเปียโนอันไพเราะ เป็นการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนและคุ้นตาเขามาก

ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเสียงที่กำลังได้ยินอยู่นั้นเป็นเพลงที่เขาจะจำไปจนวันตายเพราะทำนองนั้น ชายหนุ่มเป็นคนแต่งมันขึ้นมาเองโดยมีสิรินภาเป็นคนบรรเลงเป็นเสียงของเปียโน เมฆากลืนน้ำตาจู่ๆ ดวงตาคู่คมก็ร้อนผ่าวรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

“บี”

ชื่อของเธอดังก้องอยู่ในใจ แม้ใบหน้าสวยนั้นจะถูกปกปิดด้วยหน้ากากขนนกอยู่ครึ่งหน้าแต่ไม่มีสักครั้งที่เขาจะลืมหน้าผู้หญิงที่ทำร้ายหัวใจ เท้าจะขยับแต่กลับถูกผลักออกไปแต่ยังดีที่ไม่ถึงกับล้มเพราะมีมือของเอมมี่ช่วยประคองไว้ก่อนสายตาคมจะเลื่อนมามองหน้าคนที่ยังไม่ยอมเลิกรา

เกษมศักดิ์แสยะยิ้มแล้วทิ้งท้ายคำพูดหนึ่งก่อนจะเดินจากไป

“ถ้าคิดจะเล่นตุกติกกันแบบนี้ เห็นดีเราจะอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ระวังตัวไว้ให้ดีๆ เพราะหมาบ้าอย่างฉันถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็แว้งกัดได้ทุกเมื่อ”

“ขอบคุณที่เตือนแต่อย่าห่วงเลย เพราะเมื่อไหร่ที่หมาบ้ามันอาละวาด สุนัขจิ้งจอกอย่างผมก็พร้อมรับมืออย่างเต็มที่”

เมฆาเค้นเสียงเห็นเกษมศักดิ์หน้าถาถอดสีไม่นานก็เดินจออกจากงานไปพร้อมทั้งลูกน้อง ถึงตอนนี้ชายหนุ่มไม่ได้ระแวงกับคำพูดส่งท้ายของเกษมศักดิ์หากแต่สายตาคู่คมของเขากำลังจับจ้องไปที่ร่างสวยเด่นบนเวที แต่แทนที่เท้าหนาจะรีบเดินไปหาเป้าหมายกลับถอยมานั่งที่โต๊ะตามเดิมมีสายตามึนงงของเอมมี่มองอยู่

“เมฆค่ะ” เอมมี่จะเดินไปหาแต่แล้วกลับชะงักเท้าเมื่อจู่ๆ ก็มีแขกในงานคนหนึ่งมาขอให้เธอเต้นรำด้วย หญิงสาวจึงจำต้องออกไปเต้นรำกับแขกคนนั้นเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

เสียงเปียโนในเพลงสุดท้ายกำลังบรรเลงอย่างเรื่อยๆ ไมมีสักวินาทีเดียวที่เมฆาจะละสายตาออกไปจากจุดนั้น จุดที่มีหญิงสาวที่ชื่อสิรินภานั่งอยู่ ทุกอย่างมันรวดเร็วดั่งฝันจนเขาไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เห็นจะเป็นความจริงเหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนสามปีก่อน

“บี นี่มันหมายความว่าไง” เมฆาหน้าเสียเมื่อกลับมาจากที่ทำงานเห็นสิรินภาถือกระเป๋าใบใหญ่

“มันก็หมายความว่าบีเบื่อพี่แล้วนะสิคะ พี่เมฆเลิกยุ่งกับชีวิตบีซะที ตอนนี้บีอยากมีอิสระ บีอยากไปจากพี่เต็มทนแล้ว” สิรินภาแววตาแน่วแน่ลากกระเป๋าจะออกจากบ้านแต่ถูกเมฆาจับมือไว้

“ไม่จริง ไหนว่าเราจะรักกันตลอดไปไง บีสัญญากับพี่แล้วนี่ว่าจะไม่จากพี่ไปไหน” เมฆาถามเสียงเศร้าน้ำตาไหลเห็นสิรินภาเอียงหน้ามองไปทางอื่นท่าทีเหมือนไม่สนใจในตัวเขาอีกแล้ว

“ทั้งหมดมันก็แค่ลมปาก ตอนนั้นบีหลงพี่ บีถึงพูดออกไปแบบนั้นแต่ตอนนี้บีเบื่อพี่แล้ว ได้ยินไหมคะว่าบีเบื่อพี่แล้ว” สิรินภาพูดโดยไม่มองหน้าก่อนจะสะบัดมือเขาออก

“บี อย่าทิ้งพี่ไป” เมฆาร้องเรียกทั้งวิ่งตามแต่แล้วเท้าหนากลับสะดุดล้มคว่ำพอเงยหน้ามองก็เห็นหญิงสาวเดินจากไปแล้ว “บี ไม่ บีอย่าทิ้งพี่ไป” เมฆาไม่ท้อถอยลุกขึ้นทั้งที่เท้าเจ็บเพื่อวิ่งตามเธอให้ทันแต่สุดท้ายเธอขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้ว หัวใจของเขากำลังแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ มันเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน



เสียงดนตรีจากเปียโนจบแล้วตามมาด้วยเสียงดนตรีขึ้นบรรเลง สิรินภาถือว่าตนทำหน้าที่สิ้นสุดแล้วและคงไม่มีประโยชน์ถ้าจะยังอยู่ในงานนี้อีกเพราะโดยส่วนตัวแล้วเธอไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไรนัก เท้าเล็กเดินลงจากเวทีพร้อมกับเสียงปรบมือดังตามมาและในท้ายๆ กลับมีเสียงหนึ่งแทรกมา

“ขอโทษนะครับ”

สิรินภาหันมาตามเสียงแล้วชะงักกึกเมื่อเห็นหนุ่มร่างสูงแต่งตัวดีแต่ใบหน้าสวมหน้ากากสีดำไว้ครึ่งหน้า เขายืนตรงหน้าห่างจากหญิงสาวเพียงคืบ แวบแรกที่เห็นก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ด้วยบุคลิกท่าทางของเขาเหมือนใครคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จัก

“ให้เกียรติเต้นรำกับผมสักเพลงนะครับ” คนพูดเอ่ยเสียงเรียบพร้อมยื่นมือมาหา

“เออ คือฉัน” สิรินภากลืนน้ำลายอย่างลำบากใจพร้อมทำท่าจะปฏิเสธแต่ถูกสวนประโยคกลับมา

“อย่าเสียมารยาทกับผมสิครับ ผมขอคุณเต้นรำแค่เพลงนี้เพลงเดียวเท่านั้น”

เสียงของเขาดูมีพลังบางอย่างจนทำให้สิรินภาไม่กล้าปฏิเสธ สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอมเต้นรำกับเขาทั้งที่ข้องใจกับตัวเองว่าทำไมถึงได้ยอมเต้นรำกับคนแปลกหน้าอย่างง่ายดาย หรือเพียงเพราะมันคือมารยาทตามที่เขาบอกเธอ

ดนตรีบรรเลงอย่างไพเราะท่ามกลางคู่เต้นรำหลายๆ คู่ที่กำลังวาดลีลาเต้นอยู่กลางฟลอร์ หากมีเพียงคู่เดียวที่ดูไม่มีความสุขในการเต้นรำสักเท่าไร

สิรินภาหลบสายตาไม่ได้มองจ้องหน้าอีกฝ่ายเพราะเธอรู้สึกไม่ค่อยดี หัวใจดวงน้อยเต้นตุบๆ มีบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกอึดอัดจนตัวเกร็งไปหมดและเขาก็คงดูออกถึงได้พูดประโยคนั้นออกมา

“ทำไมครับ เต้นรำกับผมมันน่าอึดอัดใจมากเหรอ”

“คะ” ปากอิ่มอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าเขาจะอ่านความรู้สึกของเธอออก ฝ่ายเมฆาได้แต่แสยะยิ้มในใจตอนนี้อยากจะถอดหน้ากากให้เธอเห็นเต็มทนแล้ว อยากรู้เหมือนว่าหากหญิงสาวได้เห็นหน้าเขาจะรู้สึกยังไงหรือจะหาข้อแก้ตัวยังไง

แต่ยังหรอกเพราะเขามีหนึ่งคำถามที่อยากจะถามเธอในฐานะคนที่เป็นฝ่ายทิ้ง

“จริงสิ ในฐานะที่คุณก็เป็นผู้หญิง ผมถามอะไรหน่อยสิ” เมฆาเริ่มชักสีหน้าเข้มมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาแห่งความชิงชัง ใช่ ใจของเขาย้ำหนักแน่นว่าเธอคือผู้หญิงน่ารังเกียจและเป็นผู้หญิงหลอกลวง

“ระหว่างเงินกับความรัก คุณว่าผู้หญิงส่วนใหญ่เขาจะเลือกอะไร” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาดูหนักแน่นดุดันจนทำให้คนถูกถามต้องหันหน้ามามอง แม้มองหน้าสวยนั้นไม่ถนัดแต่เขาเดาได้ไม่ยากว่าผู้หญิงหน้าซื่อใจคดคนนี้กำลังแสดงสีหน้าใส่ซื่อตามแบบฉบับที่เธอถนัดและเขาก็เคยหลงใหลกับสิ่งที่เธอแสดงมาแล้ว

“ฉันไม่รู้ค่ะ” สิรินภาตอบน้ำเสียงดูสั่นๆ

“งั้นผมถามใหม่ เป็นคุณจะเลือกอะไร ระหว่างเงินหรือความรัก”

คำถามนั้นทำเอาสิรินภาตั้งตัวไม่ติด เธอไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงในการถามประโยคนี้มันคืออะไรและคำตอบที่เธอควรให้มันควรเป็นสิ่งไหน

“เพลงจบแล้ว ฉันขอตัวนะคะ” สิรินภาถือโอกาสแยกตัวในทันทีที่เสียงดนตรีจบ ร่างเล็กรีบผละออกจากพันธนาการของเขาพร้อมทั้งก้าวเท้าออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว

ด้านนอกสิรินภาวิ่งออกมายืนหายใจเหนื่อยก่อนจะสะดุ้งกับเสียงหนาทุ้มดังมาจากด้านหลัง แน่นอนเสียงนั้นคือเสียงเดียวกันกับที่เพิ่งตั้งคำถามก่อกวนสมองของเธอ

“หนีออกมาแบบนี้หมายความยังไง”

สิรินภาหันขวับกลับมาออกสีหน้าไม่ค่อยโอเค อีกฝ่ายสาวเท้ามาใกล้ๆ

“งั้นผมตอบแทนให้ก็ได้” เมฆามองจ้องในตาของเธอ ดวงตาใสซื่อคู่นั้นเคยทำร้ายหัวใจของเขามาแล้วหนหนึ่ง แต่ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางหลงกลผู้หญิงคนนี้

สิรินภาเม้มปาก คำพูดแข็งๆ ของเขาทำเอาเธอรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะคำถามที่ถามเธออีก อย่าว่าแต่ไม่ดีเลยเขาคือใครแล้วทำไมถึงมายุ่งวุ่นวายกับเธอ

“ผมจะถือว่าที่คุณเงียบเพราะอนุญาตให้ผมตอบ” เมฆาเอ่ยหลังจากที่ต่างก็เงียบงันมาพักหนึ่งแต่พอจะอ้าปากพูดเท่านั้นแหละ หญิงสาวตรงหน้าก็ขึ้นเสียงทันที

“ฉันเลือกความรักค่ะ”

“โกหก” เมฆาตอบโต้ทันที ยอมรับว่าอึ้งกับคำตอบที่ได้ยินจากปากของเธอในเมื่อเขารู้ดีว่าผู้หญิงคนนี้ทำทุกอย่างเพื่อเงิน ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทิ้งเขาและเลือกเงินจำนวนหลายล้านบาทเพื่อเป็นค่าบอกเลิก ชายหนุ่มแสยะยิ้มนึกสมเพชที่ตนเคยรักผู้หญิงคนนี้อย่างสุดหัวใจ ยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งครอบครัว

“คุณคงจะโกหกติดเป็นนิสัยแล้วสินะ” เมฆาเค้นเสียงก่อนจะตรงเข้ามากระชากต้นแขนหญิงสาวแล้วบีบจนอีกฝ่ายนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ

“โอ๊ย ปล่อยฉันนะคะ ฉันเจ็บ” สิรินภาเอามือแกะมือเขาออกแต่ไม่หลุดแถมยังได้ยินเสียงหน้าทุ้มพูดแดกดัน

“เจ็บแค่นี้มันไม่เท่ากับสิ่งที่เธอทำกับผู้ชายหน้าโง่คนหนึ่งหรอก”

“คุณพูดอะไรของคุณและก็ปล่อยฉันได้แล้ว โอ๊ย ฉันเจ็บ” เธอกัดฟันพูด เจ็บที่แขนและก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูดทำราวกับหญิงสาวไปทำร้ายเขาจนเจ็บเจียนตาย

เมฆามองดวงตาใสซื่อแล้วโมโหสะบัดแขนปล่อยหญิงสาวออกทันที

“ผู้หญิงอย่างเธอมันน่าขยะแขยงที่สุด” พูดจบก็เดินจากไปไม่หันกลับมามองอีกเลย ฝ่ายสิรินภาได้แต่ยืนอึ้งทั้งไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ชายคนนั้นถึงพูดกับเธอแบบนี้ ทั้งคำพูดและท่าทางของเขาเหมือนคนรู้จักกันดี

“บี”

สิรินภาสะดุ้งก่อนจะหันมามองแล้วรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก

“พี่กล้า” หญิงสาวเอ่ยเบาๆ ก่อนจะถอดหน้ากากออกแล้วผ่อนลมหายใจเบาๆ แต่ยอดกล้าจับพิรุธได้

“ถอนหายใจแบบนี้เป็นอะไรหรือเปล่า แล้วทำไมถึงหน้าซีดอย่างนี้” ความห่วงใยของยอดกล้าส่งผ่านถึงดวงตา ชายหนุ่มเอามือขึ้นทาบแก้มข้างหนึ่ง พอเห็นเธอทำท่าจะร้องไห้เขาก็ดึงร่างนั้นมากอด หารู้ไม่ว่าภาพนั้นเข้าตาผู้ชายอีกคนที่กำลังยืนมองด้วยความโกรธแค้น







******************************************************************







กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.ย. 2558, 21:54:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.ย. 2558, 21:54:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1176





<< บทที่ 1    บทที่ 3 เหตุเกิดที่สวนดอกไม้ >>
กรงแก้ว 15 ก.ย. 2558, 21:55:31 น.
ช่วยติดตามเรื่องนี้ด้วยนะคะ


Zephyr 20 ก.ย. 2558, 18:49:13 น.
ปมเรื่องคืออะไรน้า
ถามหน่อยค่ะ อีกเรื่อง เงารักเงาใจ มีหนังสือรึป่าวคะ
เราไม่ได้เข้ามาอ่านนานมาก อยากได้น่ะค่ะ


กรงแก้ว 10 ต.ค. 2558, 00:39:38 น.
เงารักเงาใจ หยุดอัพแล้วค่ะ เพราะหนังสือใกล้จะวางแผงแล้ว กำหนดวาง 21 ตุลาคม 2558 มีขายในงานหนังสือนี้นะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account