แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง

1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต

'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา

'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน

และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ

ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

บทนำ

บรรยากาศงานเลี้ยงสังสรรค์ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของบ้านผู้ใหญ่บุญรอดคึกครื้นด้วยบรรดาญาติมิตรและคนรู้จักนับถือที่แวะเวียนมาสวัสดีพร้อมหอบหิ้วของกินของใช้มาฝาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นอาหารทำเอง แต่ไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะกลับบ้านมือเปล่า นางฤทัย...เมียรักของผู้ใหญ่บ้านเป็นต้องตระเตรียมอาหารที่ทำไว้คืนกลับทุกที

วันนี้นางฤทัยได้ลูกรักมาเป็นลูกมือถึงในครัวที่ต่อออกไปแยกจากตัวบ้านไม้ใต้ถุนสูง แม้สภาพบ้านเรือนหลายหลังแถวนี้จะเปลี่ยนมาต่อเติมใต้ถุนเป็นชั้นล่างอย่างบ้านในเมืองแล้ว แต่บ้านของผู้ใหญ่บ้านนี้ก็ยังคงเป็นบ้านใต้ถุนสูงเหมือนเดิม หากไม่เก่าหรือทรุดโทรมเกินไปด้วยได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเสมอมา

'อุ้มบุญ' ลูกสาวคนเล็กสุดท้องที่นานครั้งจะกลับบ้านด้วยทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่มีทั้งครกทั้งเขียง เครื่องครัวสารพัดวางคว่ำอยู่ เธอมองแม่ทำงานงกๆ หน้าเป็นมันชื้นเหงื่อ แต่ก็มีรอยยิ้มเมื่อหันมาหลังจากคว่ำจานใบสุดท้ายเสร็จ

เธอไม่เข้าใจอย่างที่สงสัยมาตลอดยี่สิบห้าปีว่าแม่ทำทุกอย่างเพื่อคนในบ้านได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเสียงหัวเราะลั่นของพ่อกับพี่ดังมาจากหน้าบ้าน

"บอกแล้วว่าไม่ต้องมาเฝ้า ดูซิ ยุงกัดแดงเชียว"

นางฤทัยแกว่งมือไล่ยุงจากขาของลูก กี่วันกี่ปีเธอก็มองลูกสาวคนเล็กที่อายุห่างจากพี่น้องเป็นเด็กอยู่ดี

"อุ้มบอกแม่ให้ต่อเติมใต้ถุนเป็นชั้นล่างแบบบ้านอื่นได้แล้ว หรือรื้อสร้างใหม่หมดยิ่งดี พี่รุ่งก็เงินเดือนตั้งเยอะ อุ้มช่วยจ่ายอีกแรงก็ได้ มีแต่พี่ทิวนั่นแหละที่ไม่เห็นทำงานทำการอะไร"

เธอหมายถึงพี่ชายและพี่สาวซึ่งอายุห่างจากตนถึงเก้าปีและเจ็ดปีตามลำดับ พี่ชายคนโตนั้นเป็นวิศวกรปิโตรเลียม ขณะที่พี่สาวซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอออกจากงานมาอยู่บ้านได้สองปีแล้วโดยไม่ได้ทำงานการอะไร

“พี่ทิวเขาก็ทำ คอยช่วยแม่เก็บค่าที่นาไงล่ะลูก” ฤทัยแก้ความเข้าใจผิดของลูกคนเล็กที่มีต่อพี่สาว ก่อนเอ่ยถึงเรื่องปรับปรุงบ้านอย่างอ่อนใจ "อุ้มก็รู้ว่าพ่อเขารักบ้านแบบนี้ เขาไม่สร้างหรอก ถ้าพ่อเขาอยากทำเขาทำนานแล้วล่ะ เงินเก็บจากค่าเช่านาก็มี รายนั้นเขาไม่ชอบรับเงินจากลูก"

"แม่ก็ทำสิ เดี๋ยวอุ้มบอกพี่รุ่งเอาเงินให้แม่" หญิงสาวจับมือแม่เขย่ารบเร้า "พ่อต้องยอมแม่อยู่แล้วล่ะจ้ะ พ่อกลัวแม่จะตาย แม่ฮึดฮัดหน่อยพ่อก็ไม่กล้าขวางแล้ว"

ฤทัยพลิกมือนุ่มนิ่มมากุมไว้เสียเอง ก่อนเธอจะอธิบายอย่างใจเย็น

"เรารู้ว่าเขาเกรงใจก็จริง แต่จะถือความเกรงใจนั้นมาเป็นโอกาสบังคับขู่เขา มันไม่ใช่นะลูก ไม่ว่ากับใครทั้งนั้น"

อุ้มบุญเบ้ปาก เธอดึงมือออกมาจากมือมารดาด้วยความน้อยใจ อะไรๆ ก็ดูจะไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่ากับครอบครัวหรือเมืองกรุงนู่น เธอไพล่ไปนึกถึงคำทำนายของหมอดูที่เคยไปดูกับเพื่อน คำบอกว่าชะตาชีวิตเธออาภัพ คิดหวังอะไรก็มีอุปสรรคต่างๆ นานาเป็นจริงทุกประการ

"แม่ อุ้มจะเปลี่ยนชื่อนะ ไปดูดวงมาเขาบอกว่ามันมีตัวกาลกิณี"

ผู้เป็นแม่ไม่ทันตอบ เสียงหนึ่งซึ่งดัดให้แหลมก็แทรกขึ้นมา

"แหม แม่สาวชาวกรุง เชื่ออะไรกับคำพูดหมอเดายะ"

'ทิวบุญ' พี่คนรองเดินเข้ามาในครัวซึ่งเปิดโล่ง ทันได้ยินเรื่องที่น้องกำลังพูดคุยกับแม่จึงอดแซวอย่างคะนองปากไม่ได้ แล้วก็ได้รับสายตาขุ่นขวางมาจากน้องสาวที่นานๆ จะได้พบหน้าที ถ้าไม่ดั้นด้นหอบหิ้วของฝากจากแม่ไปให้ถึงกรุงเทพฯ ล่ะก็

ผู้พี่ไม่วายเลิกคิ้วข้างหนึ่งมองอย่างกวนอารมณ์ แล้วก็เป็นอุ้มบุญที่ลุกเดินกระแทกผ่านไป

"ทิวก็ แม่กำลังพูดกับน้อง" ฤทัยอดค้อนใส่ลูกคนรองไม่ได้

ทิวบุญลอบถอนใจเมื่อแม่สะบัดหน้าเดินหนีไปอีกคน เธอได้แต่ยืนเกาคิ้ว เท้าเอวปลงๆ แม่อาจรักลูกทุกคนเท่ากันก็จริง แต่แม่เป็นห่วง ประคบประหงม เอาใจใส่น้องเกินไปในสายตาเธอ

...........................

วงกินดื่มในคืนข้ามปีเป็นโต๊ะยาวซึ่งลูกชายหญิงคนโตยกมาตั้งบนลานหน้าบ้าน แขกเหรื่อที่แวะมาเยี่ยมเยียนตอนเย็นทยอยกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงคนในครอบครัว อาหารหลากหลายกว่าสิบจานวางเรียงราย ข้างจานข้าวผู้ชายมีแก้วบรรจุน้ำอำพันที่พร่องเร็วกว่าอาหารทุกชนิด

"ไอ้ทิว ชงเหล้ามาซิ" พี่ชายซึ่งนานครั้งจะได้กลับบ้านร้องสั่ง

น้องสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวยกมือส่งมะเหงกอย่างไม่กลัวเกรง ก่อนทิวบุญจะนั่งลงข้างพ่อซึ่งนั่งหัวโต๊ะ โดยมีพี่ชายนั่งถัดไป

"ขอโทษนะพี่รุ่ง เชิญบริการตัวเอง นี่น้องนะจ๊ะ ไม่ใช่เด็กนั่งดริ๊งค์ที่พี่คุ้นเคย"

พี่ชายยีผมซอยสั้นติดศีรษะแรงด้วยความหมั่นไส้ ปากน้องคนนี้...เหล้าสักกี่ดีกรีก็เอาไม่อยู่

"กินเยอะๆ นะแม่ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว" ผู้ใหญ่บ้านบอกภรรยาพลางตักเป็ดพะโล้ที่บุตรชายซื้อมาให้

ผู้ใหญ่บุญรอดเป็นชายศีรษะล้านอย่างชะโดตีแปลง รูปร่างสันทัด ไม่อ้วนไม่ผอม ผิวสีทองแดง ดูหนุ่มกว่าวัยใกล้ครบห้ารอบด้วยสุขภาพจิตที่ดี ต่างจากภรรยาที่ค่อนข้างผอม ผิวขาวกว่า และมีผมสีดอกเลาขึ้นแซมตามไรผมสั้นแค่ท้ายทอย กระนั้นก็ยังคงเค้าความงามของอดีตนางนพมาศสมัยก่อนที่สามีมักเอ่ยแซวด้วยความภูมิใจ

ความอาทรนี้เองที่ทำให้ฤทัยหายเหนื่อยทุกครั้ง ไม่ว่าจะต้องลงแรงทำอะไรเพื่อคนในครอบครัว

"พอแล้วพ่อ แหม อย่างกับตักให้เจ้าบุญหลาย" เธอว่าขันๆ พลางบุ้ยใบ้ไปยังสุนัขพันธุ์ทางที่กระดิกหางอยู่ข้างๆ

คำพูดติดตลกกึ่งประชดประชันนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากลูกๆ ชายหญิงและสามี ทิวบุญกระดกลิ้นเรียกเพื่อนสี่ขา มันก็รีบวิ่งมาวางขาหน้าบนตัก ก่อนเธอจะส่งเนื้อเป็ดชิ้นหนึ่งให้มัน

"ทำไมไม่เอากระดูกให้มันล่ะพี่ทิว เปลือง"

รอยยิ้มหายวับไปจากใบหน้าสมาชิกครอบครัวทันทีที่เสียงแข็งของสมาชิกคนเล็กสุดเอ่ยประโยคนั้น พี่สาวนึกฉุน แต่ไหนแต่ไรทั้งเธอ...และเชื่อว่าทุกคนในบ้านนี้ไม่เคยหวงของ ไม่ว่ากับคนหรือสัตว์ จะมีก็แต่คนที่ได้รับจนชินนี่แหละที่ไม่รู้ว่า 'การให้' ทำให้เราได้รับอะไร

"ฉันก็ให้มันอย่างนี้ทุกที จะอะไรนักหนากับหมาแค่ตัวเดียว"

สรรพนามแทนตัวเองว่า 'พี่' กลายเป็น 'ฉัน' ตามอารมณ์ เธอไม่ได้โกรธนอกจากนึกขวางน้อง เท่าๆ กับที่อีกฝ่ายคงรู้สึกกับพี่อย่างเธอเช่นกัน

"ตอบมาซิพี่รุ่ง ในฐานะคนซื้อ เป็ดพะโล้ชิ้นหนึ่งนี้แบ่งให้ไอ้หลายมันได้หรือเปล่า" เธอถามหาพวกกับพี่ชายสุดซี้

"ได้คร้าบ คุณลูกสาวผู้ใหญ่บ้านแห่งบ้านนาทอง" ผู้พี่แสร้งค้อมศีรษะราวกลัวเกรงบารมี

ทิวบุญหัวเราะชอบใจ ลืมความขุ่นข้องก่อนหน้านี้ไปเสียสนิท นอกจากรับมุกต่อไปเท่าทัน

"ตอบได้ดีมาก มา น้องชงเหล้าให้"

"เฮ้ยๆ ของพ่อด้วยไอ้ทิว" บุญรอดร้องบอกพลางส่งแก้วให้

หญิงสาวหยิบแก้วทั้งสองใบพร้อมกับลุกจากโต๊ะไปยังโต๊ะเล็กที่วางเครื่องดื่มต่างๆ มีกระติกกลมใส่น้ำแข็งวางอยู่ใกล้กัน เธอเลิกใส่ใจเรื่องที่ทุ่มเถียงเมื่อครู่แล้วก็จริง แต่น้องสาวดูจะไม่ลืมง่ายๆ ใบหน้าสวยหวานจึงมุ่ยลงขณะรวบช้อนส้อมกินอะไรไม่ลง

"อิ่มแล้วหรือยัยอุ้ม กินเท่าแมวดม จะลดหุ่นหรือไง"

ทิวบุญคีบน้ำแข็งใส่แก้วพลางเหลือบตามองบทสนทนาระหว่างพ่อกับน้องบนโต๊ะ

"อุ้มไม่อยากกิน"

"อ้าว อยากกินอะไรก็บอกสิ เดี๋ยวแม่เขาก็ทำให้เองล่ะ"

คนแอบฟังโคลงศีรษะอ่อนใจขณะรินโซดา ทั้งพ่อและแม่เอาใจลูกคนเล็กจนเธอเผลอคิดว่ามีน้องอายุห้าขวบเท่านั้น ไม่ใช่สาวทำงานวัยเบญจเพส

เมื่อเห็นพ่อถามเอาใจ อุ้มบุญก็เห็นเป็นโอกาสเอ่ยเรื่องที่ตนติดใจทันที

"เดี๋ยวนี้บ้านเราเจริญนะจ๊ะพ่อ ตอนอุ้มมานั่งรถผ่านบ้านลุงโชค เดี๋ยวนี้แกต่อใต้ถุนเป็นห้องข้างล่างหมดแล้ว บางหลังยังติดแอร์อีก บ้านเราก็เก่าแล้ว อุ้มว่าน่าจะสร้างใหม่ก็ดีนะจ๊ะ"

บุญรอดเข้าใจแล้วว่าลูกสาวต้องการสื่ออะไร หากเขาก็เพียงหัวเราะแกนๆ แล้วเสไปสนใจสุราที่ลูกสาวอีกคนเพิ่งชงยกมามากกว่า

ทิวบุญรู้สึกได้ถึงแสงตาของน้องมองมาขวางๆ ที่เธอเข้ามาขัดจังหวะ หากเธอก็ทำเป็นไม่สนใจ ตักอาหารทานต่อไปของเธอ

ยัยอุ้มเอ๋ย นี่ถ้าคิดจะหาเรื่องทะเลาะกับพี่เพื่อให้พ่อแม่เอาใจตามใจล่ะก็ สายไปสิบปีแล้วล่ะ เธอรู้ทันทุกอย่างแล้ว

.....................

หลังผ่านพ้นคืนข้ามปีด้วยเสียงพลุอึงอลจากในโทรทัศน์ สาวๆ ก็ได้เวลาบอกลาวงสังสรรค์ เหลือเพียงพ่อกับลูกชายคนโตที่ยังร่ำสุรากันต่อไป

ทิวบุญถูกดึงตัวไว้เป็นทั้งคนชงและคอยแบกหากพวกเขาเมาขึ้นมา เธอไม่เต็มใจสักนิด ง่วงและเหนื่อยเต็มทีจนต้องอ้างว่าขอขึ้นไปอาบน้ำก่อน นั่นแหละจึงได้ถูกปล่อยตัวไป

หญิงสาวก้าวขึ้นบันไดไม้ลั่นเอียดอาดไปบนตัวบ้าน บ้านไม้ซึ่งแลดูใหม่ด้วยทาสีฟ้าภายนอก หากข้างในยังเป็นฝาเรือนไม้ที่ผุบ้างตามกาลเวลา เธออีกที่เป็นคนคอยซ่อม พื้นไม้ตรงไหนเป็นรูใหญ่หน่อยก็หาแผ่นไม้มาตอกตะปูปิด พอไม่ให้สะดุดล้มไป ถึงบ้านนี้จะเก่า ไม่สวยงามอย่างไร แต่เธอก็รักและผูกพันกับบ้านหลังนี้ แล้วก็เชื่อว่าพ่อ แม่ และพี่ชายที่อาศัยอยู่มาก่อนเธอเสียอีกก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เธอเปิดประตูห้องนอนเล็กที่ไม่มีแม้แต่ห้องน้ำในตัวเข้าไป แล้วก็ต้องนึกฉุนที่คนซึ่งกำลังหวีผมหน้ากระจกยังไม่ได้กางมุ้ง ทั้งที่เจ้าหล่อนขึ้นมานานสองนาน ไม่กางให้เธอไม่ว่า แต่แม้แต่ของตัวเองอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้กาง

"ทำไมไม่กางมุ้ง"

"ยุ่งไปซะทุกเรื่อง" อุ้มบุญอุบอิบว่าในลำคอ หากไม่เบาเกินการได้ยินของผู้ที่ถูกค่อนว่า

ทิวบุญเท้าเอวมองน้องจากด้านหลังผ่านกระจกเงา ใบหน้าซึ่งแทบไม่มีเค้าเดียวกันจับจ้องมองกันอย่างไม่ลดละ ท้าทาย

พวกเธอไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักนิด ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาที่ผู้พี่นั้นสูงเพรียว ขณะน้องสาวตัวเล็กกว่าถึงสี่นิ้ว ทิวบุญมีใบหน้าเรียว ล้อมกรอบด้วยผมซอยสั้นที่เพิ่มความเก๋และเท่ให้เธอ หากผู้น้องนั้นมีใบหน้าเล็กกลม ปากนิดจมูกหน่อย รับกับรูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดูของเธอ แต่สิ่งที่พวกเธอไม่เหมือนกันที่สุดคงเป็นความคิด วิถีชีวิตที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

"เพราะแกเป็นคนแบบนี้ไง ใครเขาถึงไม่อยากยุ่งกับแก แม้แต่พ่อยังสั่นหัวกับแกเลย"

เมื่ออยู่กันตามลำพัง ผู้พี่จึงได้ย้อนกลับเจ็บแสบสมใจ

"อีพี่ทิว" ผู้อ่อนวัยกว่าแทบกระทืบเท้าเร่า

ทิวบุญยกนิ้วชี้หน้าคนที่หลุดวาจาไม่สุภาพ ท่าทางที่ข่มผู้เป็นน้องมาตลอดเช่นนั้นยิ่งเพิ่มโทสะให้แก่อีกฝ่ายจนร่างบางเดินลงส้นไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ดึงกระชากกระเป๋าเดินทางออกมาเตรียมเก็บข้าวของไปจากที่นี่เสียที เธอไม่อยากทนอีกต่อไป

ทิวบุญต้องไปยื้อแย่งกระเป๋านั้นจากมือเมื่อนึกรู้ว่าน้องจะทำอะไร ต่างฝ่ายต่างออกแรงเพื่อเอาชนะ ก่อนหูกระเป๋าสะพายมียี่ห้อข้างหนึ่งจะขาดห้อยต่องแต่งด้วยน้ำมือเธอ

"เฮ้ย!" พี่สาวอุทานอย่างคาดไม่ถึง

เธอค่อยเลื่อนสายตาขึ้นไปมองตามมือสั่นเทาที่ถือกระเป๋าค้างไว้อยู่ แล้วก็ได้สบเข้ากับดวงตาแดงเรื่ออย่างน่ากลัว อุ้มบุญกำมือสะกดกลั้นความโกรธจนร่างสั่นเทิ้มไปหมด แล้วความอดทนก็ระเบิดออกเหมือนปรอทแตก หญิงสาวกรีดร้อง ยกมือทึ้งผม ก่อนจะทรุดนั่งลงไป

"กรี๊ดดด! กรี๊ดดด!"

ผู้พี่ตกใจกับอากัปกิริยานั้นจนก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับเสียงฝีเท้าวิ่งตึงตังตรงมาในห้องพวกเธอ แม่มาถึงตัวน้องก่อนใครเพื่อน ตามด้วยพ่อและพี่ชายที่หายเมาเป็นปลิดทิ้ง อุ้มบุญร้องไห้ฟูมฟายพลางชี้นิ้วสั่นระริกมาทางเธอราวผู้ต้องหาฆ่าคนตาย

"อุ้ม เป็นไรลูก ทิวทำอะไรน้องฮึ แกนี่ นานๆ น้องกลับมาที จะดีกับน้องหน่อยไม่ได้หรือไง" ฤทัยเอ็ดลูกสาวคนโตพลางโอบกอดปลอบประโลมอีกฝ่าย

"มันทำกระเป๋าหนูขาด กระเป๋าของหนู ไม่ใช่ถูกๆ บาทสองบาท กระเป๋านี้หนูรักที่สุด มันมาทำอย่างนี้ได้ยังไง ได้ยังไงงง๊!"

พี่ชายต้องเข้ามารั้งร่างสูงที่ยืนทื่อมะลื่ออยู่กลางห้องออกไปก่อน ทิวบุญหันมองผู้ที่พาเธอออกมาจากเสียงกรีดร้องโหยหวนพลางลอบกลืนน้ำลาย เธอไม่เคยนึกกลัว ขนพองสยองเกล้าเช่นนี้เลย แต่ท่าทางคลุ้มคลั่งของน้องให้ความรู้สึกอย่างนั้น ดวงตาของรุ่งบุญเองก็บอกเช่นเดียวกัน

"ยัยอุ้มมันเป็นไรหรือเปล่า ฉันไม่เคยเห็นมันขาดสติอย่างนี้มาก่อน" พี่ชายเปรยขึ้นเบา

อย่างน้อยพี่ก็ไม่โทษว่าเธอเป็นต้นเหตุเสียทีเดียว หญิงสาวรู้สึกขอบคุณเขาลึกๆ

"ทิวก็ไม่รู้ พี่รุ่ง กระเป๋านั่นแพงมากเหรอ"

เธอหมายถึงกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูสีแดงใบใหญ่ มีหูหิ้วทำจากหนังสีน้ำตาลที่ขาดไปข้างหนึ่งจากแรงยื้อยุดฉุดกระชาก

"ถ้าของแท้ก็แพงนะ เหยียบหมื่นเลยล่ะ ฉันเคยซื้อให้กิ๊กเก่า แต่มันไม่น่าจะขาดง่ายๆ อย่างนั้น ยัยอุ้มไปโดนใครหลอกขายมาหรือเปล่า สาวๆ สมัยนี้ชอบสั่งสินค้าทางเน็ตด้วย" เขาวิเคราะห์ได้เป็นฉากๆ อย่างรู้จักผู้หญิงดีพอควร

ต่างจากผู้หญิงแท้ๆ ที่ปั้นหน้าปูเลี่ยน เธอชอบของสวยๆ งามๆ ก็จริง แต่ไม่ถึงขนาดต้องก้าวทันโลกแฟชั่น โดยเฉพาะหลังออกจากงานที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมาอยู่ต่างจังหวัดได้สองปี หลายสิ่งที่เคยคิดว่าจำเป็นในชีวิตก็คิดได้ว่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี

"ทิวไม่ได้ตั้งใจนะ ทิวทะเลาะกับมันนิดหน่อย แล้วยัยอุ้มก็ทำท่าจะเก็บของกลับกรุงเทพฯ ทิวเลยแย่งกระเป๋าจากมัน แล้วก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ"

"เออ ยัยอุ้มมันก็ความอดทนต่ำมาแต่ไหนแต่ไร แกก็อย่าไปกวนน้องนักสิ"

"ต่อไปไม่แล้วล่ะ บอกตรงๆ เข็ด กลัวใจมันยังไงไม่รู้"

บทสนทนาระหว่างพี่น้องถูกขัดจังหวะเมื่อประตูห้องนอนเธอเปิดออกมา เป็นแม่ที่โอบประคองลูกสาวคนเล็กเดินผ่านไปทางห้องนอนแม่ ก่อนพ่อที่ตามหลังออกมาจะกดเสียงดุเรียกเธอ
“ทิว ตามมาคุยกับพ่อ”

แต่ถึงจะเกรงเพียงใด เธอก็เชื่อว่าพ่อจะให้ความเป็นธรรม รับฟังเธออย่างที่เป็นมาเช่นเคย

ทิวบุญตามพ่อกลับไปในห้องของตน เธอไม่เคยเห็นท่านทำหน้าเครียดแบบนี้มาก่อน นานนับสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เธอกับน้องทะเลาะกันรุนแรง

"ทิวขอโทษ พ่อ"

ลูกสาวพนมมือไหว้จรดอกพ่อ บุญรอดถอนหายใจหนักอก เขาลูบศีรษะลูกที่นิสัยเหมือนตนอย่างเข้าใจ

ทิวบุญเป็นคนจริง มุทะลุ และปากเสีย ตรงข้ามกับลูกคนเล็กที่เขาไม่ได้ใกล้ชิดเท่าผู้เป็นแม่ อุ้มบุญนั้นพูดน้อยและติดจะเอาแต่ใจตัวเอง ความสนิทที่มีต่อลูกสาวคนโตทำให้บุญรอดรอฟังเรื่องราวจากปากทิวบุญอย่างพร้อมจะเชื่อใจ

"ไหนเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ทิวผิดที่ใจร้อนไปหน่อย ทิวเข้ามาเห็นยัยอุ้มยังไม่กางมุ้งเลยต่อว่ามันไป ทิวคิดว่ามันรอทิวกางให้ แล้วก็เลยทะเลาะกันจนยัยอุ้มทำท่าจะเก็บกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ ทิวแย่งไว้จนกระเป๋าขาดนั่นล่ะ"

หญิงสาวปรายตามองกระเป๋าซึ่งกลายเป็นเศษผ้าชิ้นหนึ่งบนพื้นเรือนพลางถอนใจ เธอไม่น่าไปยื้อแย่งเลย ถ้าความโกรธไม่ครอบงำก็คงคิดได้ว่าอุ้มบุญไม่มีทางกลับไปดึกๆ ดื่นๆ เช่นนี้ได้ อย่างมากก็ต้องถูกพ่อและพี่ที่ดื่มกินอยู่หน้าบ้านขวางไว้แน่นอน

"อุ้มบอกว่า ทิวบอกน้องว่าพ่อไม่รักมัน"

ทิวบุญกัดริมฝีปากอย่างนึกละอาย นิสัยนี้อีกที่แก้ไม่หาย เธอกับน้องแข่งขันเพื่อเป็นลูกรักของพ่อกับแม่ตลอดมา และต่างฝ่ายมักนำมาเยาะหยันลับหลังพวกท่านเสมอ

"ทิว พ่อกับแม่ให้ความรักทิวมากพอไหม"

"พอสิพ่อ ทิวดีใจที่เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่"

"กระทั่งมีน้องหรือเปล่า" พ่อถามจี้จุด

หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ เธอไม่อยากยอมรับ เพราะนั่นเท่ากับพ่อคิดว่าเธออิจฉาอุ้มบุญ

"ทิวรักอุ้มนะพ่อ แต่...แต่ว่าบางทีมันไม่ได้ดั่งใจ"

"ทิวเอ๊ย อุ้มมันก็โตแล้ว จะไปกะเกณฑ์ชีวิตน้องไม่ได้หรอก พ่อกับแม่ยังไม่เคยบังคับลูกสักคน พ่อรู้ว่าทิวหวังดี แต่บทเรียนที่ดีที่สุดสำหรับคนคนหนึ่งก็คือการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรารักน้องแค่เฝ้าดู คอยฉุดมันเวลาล้มเท่านั้นเอง"

ทิวบุญหลุบตาซ่อนความคิด เพราะเธอไม่เคยล้มและจะไม่มีวันล้มต่างหาก เธอจึงดึงรั้งอุ้มบุญไปตามทางของตน และถ้าวันใดน้องล้มขึ้นมา เธอจะไม่ยื่นมือเข้าไปประคองเด็ดขาด เธออยากเห็นน้องลุกขึ้นด้วยตัวเอง

บุญรอดคิดว่าท่าทางก้มหน้าคอตกของลูกคือความเข้าใจ เขาวางมือบนไหล่บาง กดศีรษะทุยมาอิงกับบ่าตน

"พ่อรักลูกทั้งสามคน อยากให้พวกแกรักกัน"

หญิงสาวกอดตอบบิดา พลางเอ่ยคำสัญญา

"ต่อไปทิวจะไม่ปากเสียอีกแล้ว ทิวไม่ได้ตั้งใจจริงๆ"

"พ่อเชื่อแก"

เท่าที่เห็นอุ้มบุญในคืนนี้ เธอก็หวั่นใจอย่างไรไม่รู้ว่าอุ้มบุญเปลี่ยนไป

...จบตอน...

สวัสดีค่า เจอกันอีกแล้ววว 5555 อย่าเพิ่งเบื่อแพรวน้า
วันนี้แพรวมาพร้อมกับนิยายเรื่องเก่าที่เคยลงไปต้นปีที่แล้ว แต่ได้แก้ไขเพิ่มอะไรเข้ามาพอสมควรเลยค่ะ
ตอนนี้ "แกะรอยกามเทพ" ก็ได้ผ่านการพิจารณาของสนพ. แจ่มใสแล้ว
ก็เลยขอทุกคนว่าแพรวจะลงแค่ 70% ของเรื่องนะคะ แต่รับประกันความเจ้มจ้นเหมือนเดิม 55
ขอฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ยังต้องการกำลังใจ คำแนะนำ คำติชมจากทุกคนเช่นเคยยย
ขอบคุณค่ะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ก.ย. 2558, 15:51:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.ย. 2558, 15:51:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1261





   บทที่ ๑ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account