แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง
1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต
'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา
'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน
และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ
ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'
fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๑
๑
ชีวิตทิวบุญกลับมามีพลังทำสิ่งต่างๆ แทนพ่อแม่อีกครั้ง วันเวลาดูจะทำให้ความบาดหมางระหว่างเธอกับน้องเมื่อสองเดือนก่อนคลี่คลายลง โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการที่พวกเธอสองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากัน
หน้าที่ของลูกสาวที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในบ้านคือการเก็บค่าเช่าที่นา บางครั้งหากมีนโยบายจากอำเภอลงมาว่าอย่างไร เธออีกนั่นแหละที่ช่วยกันกับพ่อพูดจากับเพื่อนบ้าน เธอเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้วจึงเข้ากับเพื่อนบ้านได้ดี อย่างที่หลายคนชื่นชมว่าเธอต้องเป็นตัวแทนของพ่อในอนาคตอย่างแน่นอน
ทิวบุญมีความสุขกับปัจจุบัน เธออาจดูโง่เง่าในสายตาคนอื่นที่ลาออกจากงานเลขานุการในบริษัทข้ามชาติเมื่อเจ้านายคนเก่าย้ายไปประจำประเทศอื่นและเหลือทนกับเจ้านายคนใหม่เต็มที ตนจึงลาออกมาอยู่บ้านระหว่างรอหางานใหม่ ทว่ากลายเป็นเปลี่ยนใจอยู่ดูแลท่านแทน
เธอไม่ได้เกาะพ่อแม่กินเปล่าๆ เงินเก็บจากการทำงานก็ได้นำไปซื้อสลากออมทรัพย์ แล้วบางส่วนยังนำมาให้เพื่อนบ้านกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ เมื่อพวกเขาทยอยใช้คืนทุกงวดก็พอให้เธอมีกินมีใช้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
"แม่! ระวังบันไดขั้นนั้นนะ" เธอรีบชี้มือพลางร้องบอกมารดาที่กำลังจะก้าวขึ้นมา
"แม่จะตกก็เพราะเสียงเรานี่แหละทิว" ผู้เป็นแม่ชะงักกึกพร้อมกับตวัดค้อน
ลูกสาวหัวเราะชอบใจ เธอถือค้อนปอนด์อันใหญ่ก้าวข้ามบันไดขั้นที่เป็นปัญหาลงมา ก่อนจะจัดการแงะแผ่นไม้ซึ่งผุกลางเล็กน้อยออกมา แล้วนำไม้ท่อนใหม่ที่เธอไปรื้อค้นมาจากหลังบ้านมาตอกตะปูเป็นบันไดขั้นนั้นแทน
"เห็นแล้วมันรำคาญเนอะแม่ สู้เปลี่ยนก่อนที่ท่านพ่อท่านแม่จะเหยียบหักตกลงมาดีกว่า"
ใบหน้าชื้นเหงื่อเป็นมันเงยขึ้นมายิ้มให้คนที่รอดูผลงาน ฤทัยยิ้มรับพลางพยักเพยิดกับลูก หากอีกใจก็คิดว่าคงจะดีกว่านี้ถ้าปลูกบ้านใหม่ตามคำแนะนำของลูกคนเล็ก ไม่ต้องเหนื่อยทิวบุญคอยซ่อมรักษาจุดนั้นจุดนี้แทบทุกวัน
"แม่ว่าจะคุยกับพ่อเรื่องสร้างบ้านอยู่เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทิวคอยซ่อมวันเว้นวันอย่างนี้"
หญิงสาวกำด้ามค้อนที่ถือไว้ข้างลำตัวแน่น อดตัดพ้อด้วยความน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเธอเลย
"แม่อย่าอ้างทิวดีกว่า ทิวรู้หรอกว่าแม่ทำเพื่อใคร"
"แม่ก็ทำเพื่อทุกคนนั่นแหละ เป็นยัยขี้น้อยใจไปอีกคนแล้ว" มารดาเย้า
ทุกคน...ยกเว้นเธอกระมัง นอกจากไม่ขำแล้วเธอยังตัดพ้อในใจ
ร่างเล็กของแม่เดินจากไปแล้ว ทิ้งให้เธอยืนดูผลงานของตัวเองอย่างเซ็งๆ เธอไม่เคยบ่นเหนื่อยเลย แล้วก็มั่นใจด้วยว่าไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็น เธอก็เหมือนท่านที่ดูแล ทำเพื่อทุกคนในครอบครัวได้ไม่บ่น แต่แม่ดูจะติดใจแนวความคิดของน้องมากทีเดียว หรือไม่ก็แม่คงอยากให้คนที่อยู่ที่นี่คือน้อง ไม่ใช่เธอ
.......................
"ทิวเอ๊ย ทิว"
เสียงตะโกนเรียกมาจากใต้ถุนบ้านปลุกคนนอนตื่นสายให้งัวเงียรู้สึกตัว กระนั้นเธอก็ไม่อาจลุกจากฟูกง่ายๆ หัวยังหนักอึ้งจากเหล้าเถื่อนที่เพื่อนบ้านต้มแล้วชักชวนไปชิมเมื่อคืน ก่อนเสียงเรียกนั้นจะดังใกล้เข้ามาอีก พร้อมเสียงเคาะประตูหน้าห้องที่ทำให้ขมับเต้นตุบทีเดียว
"ทิว ตื่นยังลูก มาขับรถให้แม่หน่อย"
ทิวบุญลุกนั่งพิงฝาเรือนอย่างะลึมสะลือ ครั้นประคองสติได้แล้วจึงตลบมุ้ง ลุกเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้แม่เข้ามา
"แม่จะไปไหน" เธอถามเอื่อยๆ พลางเดินมานั่งบนฟูกปูพื้นอย่างเกียจคร้าน
ฤทัยตามลูกเข้าไปพร้อมกับพับเก็บมุ้งให้ เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงดึงมือแม่ไว้แล้วลุกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
"แม่จะไปกรุงเทพฯ ไปหาน้อง"
มือเรียวที่กำลังจะปลดสายมุ้งจากเสาพลันชะงัก เธอลอบสูดลมหายใจลึก บอกตัวเองว่าจะแปลกอะไรหากแม่อยากไปหาน้อง แต่เธอคงเต็มใจกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานแม่เพิ่งพูดเหมือนเห็นดีเห็นงามกับความคิดน้องมากกว่าเธอ
"เมื่อคืนแม่ฝันไม่ดีเลยทิว ได้ยินเสียงอุ้มร้องไห้ แต่ตามตัวยังไงก็ไม่พบ รู้แค่ว่าเสียงนั้นอยู่ใกล้ๆ ใจจะขาดยังไงไม่รู้ นี่เมื่อเช้าแม่ก็ไปทำบุญที่วัดมา กลับมาโทร. หาอุ้มก็ไม่ติด ทิวไปส่งแม่ทีนะ"
ทิวบุญหันไปมองกึ่งขันที่แม่ช่างคิดช่างระแวงไปเกินเหตุกับแค่ความฝัน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของท่าน เธอก็ต้องหุบยิ้มลงอัตโนมัติ ให้คำตอบเดียวที่เธอจะให้ท่านได้...เพื่อความสบายใจ
"เดี๋ยวทิวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน แม่บอกพ่อด้วยล่ะ เดี๋ยวหาแม่ไม่เจอแล้วพ่อจะร้องไห้"
"แม่บอกแล้วน่า เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้"
ฤทัยค้อนขวับไล่หลังร่างระหงที่พาดผ้าขนหนูกับไหล่พลางเดินออกไป เธอกวาดตามองรอบห้องที่สะอาด เป็นระเบียบอีกครั้งด้วยความพอใจ ทิวบุญไม่เคยสร้างปัญหาให้หนักใจ หรือแสดงความอ่อนแอ อ่อนต่อโลกให้เป็นห่วงตลอดเวลา เธอจึงวางใจไม่ว่าแกจะทำอะไรก็ตาม เพราะเชื่อมั่นว่าลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ดี
ผิดกับลูกสาวคนเล็กที่อายุห่างจากใครเพื่อน แต่ไหนแต่ไรแกก็แสดงให้เห็นว่าหัวอ่อน ไม่ค่อยทันคนเสมอ ซ้ำยังไปอยู่ไกลตา แม่อย่างเธอจึงย่อมต้องห่วงเป็นพิเศษ
ฤทัยหารู้ไม่ว่าบางเรื่องที่เธอควรพูดควรสอนกับลูกทั้งสองคนให้เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้พูดไม่ได้สอนนั้นจะทำให้ชีวิตสองพี่น้องหักเหอย่างไร
....................
รถกระบะสี่ประตูจอดยังหน้าตึกสูงแปดชั้นกลางเมืองหลวง ใกล้แหล่งธุรกิจย่านสาทร
'ซีซีเพลส' เป็นตึกที่พักแบบห้องเช่ารายเดือน ชั้นล่างเปิดโล่งเป็นร้านอาหารและขายของชำ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เช่าห้องพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทแถวนี้ ที่แห่งนี้อีกนั่นแหละที่เธอเคยอยู่มาก่อนตั้งแต่สมัยทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ ก่อนอุ้มบุญจะมาอยู่ต่อเมื่อได้งานในตำแหน่งพนักงานขายของโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งบนถนนวิทยุ
ทิวบุญและมารดาเดินไปตามทางเดินกระเบื้องลายหินแกรนิต ผ่านห้องสำนักงานตึกไปถึงประตูกระจกซึ่งมีเครื่องสแกนคีย์การ์ดติดอยู่ เธอมีกุญแจสำรองของเธออันหนึ่ง เผื่อวันใดที่ต้องนำของฝากจากแม่มาให้น้องจะได้ขึ้นไปได้สะดวก เมื่อผลักประตูกระจกเข้าไปภายในแล้วก็พบกับลิฟต์โดยสารตัวหนึ่ง ข้างกันเป็นบันได
"อ้าวแม่ รอลิฟต์ก็ได้ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไป" เธอร้องบอกเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ก้าวขึ้นบันได
"แม่เราเป็นชาวนานะจ๊ะ ขึ้นบันไดแค่นี้เป็นลม แล้วใครจะปลูกข้าวให้กินได้"
"จ้า แม่ทิวเก่ง" เธอลากเสียงล้อเลียนพร้อมกับตามท่านขึ้นไป
ที่จริงแล้วเธอก็ชอบขึ้นบันไดมากกว่ารอลิฟต์ ห้องพักอยู่เพียงชั้นสามเท่านั้น บางครั้งขึ้นบันไดยังถึงเร็วกว่าเสียอีก
มือเรียวเกี่ยวหูหิ้วถุงของฝากทั้งอาหารสำเร็จและผลไม้จนเส้นเอ็นข้อมือนูนแข็ง แต่ร่างระหงก็เดินขึ้นบันไดตามแม่ไปไม่ระย่อ กระทั่งถึงชั้นที่พักที่ทางเดินกว้างสองเมตรขนาบข้างด้วยห้องพักติดกันเป็นแถว รวมแล้วกว่าสิบสองห้อง
'๓๑๑' หมายเลขห้องที่เธอจำได้ขึ้นใจอยู่เกือบสุดระเบียงทางเดิน ทิวบุญไม่ทันไขเข้าไปก็พอดีกับที่บานประตูห้องเปิดผางออกมา
"พี่ทิว..." เสียงครางชื่อนั้นแทบกลืนหายไปในลำคอ
หญิงสาวรุ่นพี่จำอีกฝ่ายได้เช่นกัน ผักบุ้งคือชื่อของสาวมาดทอมบอยผู้นี้ ผู้ที่เธอทราบดีว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะและยังเคยแอบชอบอุ้มบุญ แม้น้องสาวของเธอจะคบด้วยในฐานะเพื่อน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกหวังในตัวน้องของเธอ
ทิวบุญเลื่อนสายตาลงมองถุงผ้าที่เจ้าหล่อนถือติดมือออกมาด้วย เธอหรี่ตาสบตาคู่ตรงข้ามก็เห็นแววพิรุธ ลุกลี้ลุกลนปิดไม่มิด
"นั่นอะไร แล้วยัยอุ้มอยู่ไหน เธอเข้าไปในห้องได้ยังไง" เธอถามเสียงเรียบ
"เอ่อ อุ้มให้กุญแจบุ้งมาเอาเสื้อผ้าฮะ พอดี...อุ้มจะค้างบ้านเพื่อน"
"บ้านใคร" เธอถามกลับโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
"บ้าน..."
"เดี๋ยวพี่ไปหาอุ้มกับบุ้งแล้วกัน เนี่ย แม่อุตส่าห์ลงมาหาอุ้ม"
ถ้อยคำราวดักคอนั้นยิ่งทำให้สาวหล่อคิดหาคำตอบไม่ถูก ลำพังสิ่งที่ทำเพื่อคนที่แอบชอบก็สร้างความหวาดวิตกให้เธอแล้ว ยิ่งบังเอิญเจอพี่สาวของเพื่อนอีก ใจคอเธอยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่
"ว่าไง ตกลงยัยอุ้มอยู่ไหน จะไปรอเจอ"
"คือ..."
"โกหกใช่ไหม บอกความจริงมาดีกว่าผักบุ้ง เอ้า ร้องไห้ ร้องทำไมฮะ มีเรื่องอะไร"
คนใจฝ่อรีบปาดน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา เรื่องที่ตนต้องแบกรับมันหนักเกินไป โดยเฉพาะเมื่อคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเธอกำลังเจ็บหนักเกินกว่าจะคาดคิด ทั้งๆ ที่หมอ...คนที่พวกเธอเรียกว่าหมอรับรองความปลอดภัย แต่หากมีอะไรผิดพลาดไปกว่านี้ เธอก็กลัวรับไม่ไหวเหมือนกัน
ฤทัยต้องรั้งแขนบุตรสาวที่ปล่อยมือจากถุงข้าวของ ทำท่าจะขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายรอมร่อ เสียงของลูกยังทั้งปลอบทั้งขู่ต่อไปโดยที่เธอก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
"ผักบุ้ง พี่รู้ว่าเธอแอบชอบอุ้ม แต่ถ้าเธอชอบยัยอุ้มจริงก็ต้องไม่พากันโกหก ปกปิดเพื่อทำเรื่องไม่ดี เพราะถ้าทำอย่างนั้นยัยอุ้มจะไม่มีวันรักเธอหรอก นอกจากเป็นได้แค่ม้าใช้ตัวหนึ่ง"
ผู้เป็นแม่ยกมือลูบอกอย่างคาดไม่ถึง ลูกสาวคนเล็กไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักให้ฟังเลย แกมักจะบ่ายเบี่ยงว่ารักแม่คนเดียว ทว่าพี่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจน้องกลับรู้มากกว่า
เธอมองเพื่อนลูกสาวปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่อาย ก่อนคำสารภาพจากปากอีกฝ่ายจะทำเอาหัวใจแม่แหลกสลายแทบล้มทั้งยืน
"อุ้ม...อุ้มบังคับบุ้งฮะพี่ทิว บุ้งไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่อุ้มท้อง อุ้มขู่จะฆ่าตัวตาย เธอต้องการทำแท้ง บังคับ ขอร้องให้บุ้งพาไป บุ้งไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่ทิว"
ทิวบุญเซถอยหลังอย่างตะลึงงัน เธอประคองแม่ที่ทำท่าจะล้มพับไปไว้ได้ทัน ใบหน้าซีดเผือดนั้นคงไม่ต่างจากเธอ ก่อนท่านจะกอดเธอร้องไห้ราวกับเป็นที่พึ่งพิง
"อุ้มมม อุ้มเอ๊ย ทำแบบนี้ทำไม" ฤทัยร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจ
"แม่ แม่รอที่ห้องนะ ทิวจะไปดูน้อง" เธอบอกเสียงสั่น
ทว่าผู้เป็นแม่สั่นศีรษะไม่ยอม แกเกาะแขนลูกสาวแน่นให้รู้ว่าจะไปด้วยกัน
หญิงสาวไม่มีเวลาคิดเกลี้ยกล่อมให้มากความ เธอผงกศีรษะให้ผักบุ้งนำไป ของที่แม่สู้อุตส่าห์ทำมาฝากลูก พี่หิ้วมาฝากน้องตกอยู่หน้าห้องนั่นเอง
.......................
คลินิกเถื่อนที่เพื่อนของอุ้มบุญพามาเปิดในตึกแถวย่านชานเมือง แม้เย็นย่ำแล้วแต่ภายในมีวัยรุ่นหญิงนั่งรออยู่บนม้านั่งถึงสี่คน บ้างมาคนเดียว บ้างมากับเพื่อน หรือแม้กระทั่งแม่ที่พาลูกมา แต่ไม่มีใครสักคนที่มากับคนรัก แน่นอน ผู้ชายเหล่านั้นคงทิ้งให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์ฝ่ายเดียว
ทิวบุญรู้สึกเหมือนตนก้าวขาเข้าไปในโลกที่ไม่เคยรู้จัก สายตาหลายคู่หันมองพวกเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกันหลายคน แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะจำสาวมาดทอมบอยได้ จึงปล่อยให้พวกเธอเดินขึ้นไปยังชั้นบนของตึกแถว ที่ซึ่งมีเตียงสนามตั้งเรียงกันเป็นแถวฝั่งเดียว มีฉากขึงผ้ากั้นไว้ระหว่างเตียง ในห้องนั้นมีหญิงสาวนอนพักผ่อนอยู่เต็มทุกเตียง
"อุ้มมม ทำไมทำอย่างนี้ลูก"
นางฤทัยทรุดนั่งไร้เรี่ยวแรงข้างเตียงบุตรสาว ทิวบุญเข่าอ่อน ทรุดนั่งบนเข่ากับพื้นเมื่อได้เห็นใบหน้า...ตลอดจนเนื้อตัวซีดเซียวของน้องสาว เธอทั้งโกรธและสงสาร ทำไมมันถึงได้โง่เง่า ทำร้ายตัวเอง ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองเช่นนี้ เธอไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจ!
อุ้มบุญปรือตาขึ้นมองตามเสียงรบกวน แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่ตนไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏตัวเวลานี้ ริมฝีปากซีดจนคล้ำพยายามขยับเปล่งเสียง หากน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา
"แม่..."
"อุ้มเอ๊ย บาปนัก ทำไมลูก ทำไม" ผู้เป็นแม่ต่อว่าทั้งน้ำตาพลางจับมือเย็นชืดมาแนบแก้ม
ยิ่งเห็นแม่เศร้าโศกเสียใจเธอก็ยิ่งเกลียดตัวเอง จะทำอย่างไรเมื่อผู้ชายมันไม่รัก ไม่รับผิดชอบเธอ เธอแค่อยากกลับไปเป็นลูกสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาแม่ ไม่อยากแบกท้องโตกลับไปอายคนทั้งบาง ไม่อยากแพ้พี่ พี่สาวที่คอยเหยียบย่ำซ้ำเติม
เธอรู้ตัวว่าตัดสินใจทำสิ่งผิดพลาดไปแล้วเมื่อสภาพร่างกายกำลังอุทธรณ์ เธอปวดท้องและเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ก่อนหน้านี้มีพยาบาลมาทำความสะอาดให้ เธอได้ยินเขาซุบซิบเสียงเครียดกันว่าเธออาจต้องถูกส่งไปโรงพยาบาล เธอทั้งกลัวตายและอ้างว้าง เมื่อเพื่อนที่มาด้วยกันก็ยังไม่กลับมาเสียที
ทิวบุญปาดน้ำตากับภาพตรงหน้า ก่อนเอ่ยอย่างตัดสินใจ
"ไปแม่ ทิวจะพายัยอุ้มไปหาหมอ ผักบุ้ง มาช่วยพี่ประคองอีกข้างซิ"
อุ้มบุญเกร็งตัวแข็งเมื่อพี่ทำท่าจะช้อนอุ้ม ไม่! เธอไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากพี่คนนี้ คนที่มีส่วนให้เธอตัดสินใจทำในสิ่งผิดพลาด ก็เพราะต้องชิงดีชิงเด่น แย่งความรักจากพ่อแม่กับพี่
"อุ้ม ไปหาหมอเถอะนะลูก เชื่อแม่ซี" มารดาขอร้องพลางร่ำไห้
ทิวบุญอยากตวาด อยากด่าทอน้องให้สมกับที่ทำให้ทุกคนเสียใจ หากเสียงฝีเท้าหลายคนที่ตรงมายังเตียงสนามด้านในสุดก็ดึงความสนใจจากเธอเสียก่อน ก่อนปรากฏร่างของผู้หญิงสองคนในชุดแต่งกายที่สวมทับด้วยเสื้อกาวน์คล้ายแพทย์และชุดเดรสสีขาวคล้ายพยาบาล
"ญาติคุณอุ้มบุญใช่ไหมคะ ทางเราทำให้เรียบร้อยแล้วนะ ถ้ากลับไปมีอาการผิดปกติยังไงก็ไปโรงพยาบาลดีกว่า เพราะทางนี้ก็เครื่องมือไม่พร้อม" ท่าทางผู้พูดเปี่ยมด้วยความทะนงตน ไม่มีแววสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษสักนิด
"เลว" ทิวบุญเอ่ยลอดไรฟันอย่างเหลืออด
สาบานได้ว่าออกจากที่นี่ไปเมื่อไร เธอจะแจ้งตำรวจให้มาบุกจับคนพวกนี้ให้หมด ดูเถอะ ด่าถึงเพียงนี้มันยังยิ้มเยาะ ก่อนสะบัดหน้าเดินจากไปราวทองไม่รู้ร้อน
โกรธเขาไม่เท่าโกรธคนของตัว ยิ่งเมื่อเห็นแม่พยายามประคองน้องลุกขึ้น โดยที่อีกฝ่ายเอนซบทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตาอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
เธอเข้าไปประคองแทนแม่ คราวนี้ต่อให้อีกฝ่ายแข็งขืนอย่างไรก็ไม่ยอม แล้วก็เป็นคนตัวใหญ่กว่าที่ชนะแรงคนป่วย เธอต้องหิ้วปีกน้องที่ร้องครวญครางลงบันไดมาชั้นหนึ่งด้วยความทุลักทุเล ทว่าครั้นจะช่วยยกขาอุ้มบุญขึ้นรถให้ เธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดไหลมาจากต้นขาใต้ร่มผ้าเป็นทาง
"อุ้ม..." เสียงเรียกด้วยความตกใจแทบไม่พ้นริมฝีปากออกไป
คนเจ็บดูจะไม่รู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เจ้าหล่อนยังคงกดท้องน้อยด้วยความปวด ทิวบุญรีบร้องบอกให้ทุกคนขึ้นรถ ลืมความโกรธไปชั่วขณะกลายเป็นความหวาดกลัวจับใจ
.......................
อุ้มบุญได้รับการรักษาจากแพทย์จนพ้นขีดอันตรายและย้ายเข้าห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนแล้วเรียบร้อย แพทย์บอกว่าโชคดีที่มาทันเวลาก่อนคนไข้จะเสียเลือดมากและอาจช็อกได้ แต่คนเจ็บก็ดูจะหลับไปโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร แม่เสียอีกที่ต้องคอยพยาบาลเฝ้าไข้ทั้งเสื้อผ้าชุดเดิม แล้วไล่ให้เธอกลับไปบ้านยังจังหวัดนครนายกลำพัง
ทิวบุญพบพ่อนั่งรออยู่ท่ามกลางความมืดในบ้านลำพัง เมื่อกดเปิดสวิตช์ไฟแล้วจึงได้เห็นใบหน้าของพ่อผู้เข้มแข็ง เป็นผู้นำครอบครัวชื้นด้วยน้ำตา ดวงตาแดงเรื่อนั้นเหลือบขึ้นมองลูกสาวคนโต ก่อนจะโคลงศีรษะด้วยความผิดหวัง ไม่เข้าใจจากสิ่งที่ได้รับรู้รับฟังผ่านทางโทรศัพท์
"มันเป็นไงบ้าง" ท่านถามเสียงแข็ง หากหางเสียงพลิ้วอย่างรู้สึกได้
ร่างระหงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ซึ่งปูด้วยเบาะที่นั่งข้างพ่อ เธอผ่อนลมหายใจที่หนักอึ้งมาทั้งวันก่อนตอบให้ท่านสบายใจ
"หมอบอกว่าปลอดภัยแล้วพ่อ แม่ให้ทิวมาพัก พรุ่งนี้จะได้รับพ่อไปด้วยกัน"
"มันบอกไหมว่ามันท้องกับใคร" ผู้เป็นพ่อขบกรามเอ่ยด้วยความเจ็บปวด
ทิวบุญสั่นศีรษะ น้องไม่ได้บอกและเธอยังไม่ทันได้ถาม แต่จะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มันฉวยโอกาสเอากับความรัก ความอ่อนเดียงสาของน้องเธออย่างไม่น่าให้อภัย
"ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นคนแบบนี้ ใจไม้ไส้ระกำ นี่พ่อแม่เลี้ยงมันไม่ดีตรงไหน ประคบประหงมตามใจทุกอย่าง เห็นเป็นลูกเล็กสุดท้อง เออ เพราะอย่างนี้สินะมันถึงคิดไม่เป็น ไม่สู้" บุญรอดสรุปเองพลางยกชายผ้าขาวม้าซับหัวตา
ลูกสาวคนโตนึกอยากให้น้องมาเห็นภาพนี้ยิ่งนัก ภาพที่พ่อแม่ทุกข์ใจจนต้องเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า เธอต้องกะพริบตาขับไล่น้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา
ไม่มีอ้อมกอดให้กันระหว่างเธอกับพ่อ เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบนั้นจึงอาจดูเป็นคนแข็งที่จะแสดงออกซึ่งความรัก ความห่วงใย นอกจากนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนแบ่งเบาทุกข์ให้ท่าน ก่อนพ่อจะสูดจมูกแรงและลุกขึ้นโคลงศีรษะเธอ ออกปากไล่ให้เข้านอน
.......................
ค่ำคืนที่ดาวเกลื่อนฟ้า พระจันทร์ข้างขึ้นสาดแสงนวลตาดังเดิม บ่งบอกว่าโลกใบนี้ยังคงหมุนด้วยตัวของมันไม่เคยเปลี่ยน แต่โลกของสมาชิกครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งในโลกนี้กำลังไม่เหมือนเดิม ไม่มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะอีกต่อไป
ฝันร้ายที่กำลังเผชิญทำให้ทิวบุญไม่กล้าแม้แต่หลับตา เธอนั่งขัดสมาธิกับพื้นไม้ วางคางเท้ากรอบหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างรับลมในค่ำคืนร้อนอบอ้าว โทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ตัวเพียงเอื้อมมือคว้า ราวกับว่าหญิงสาวเจ้าของเครื่องเฝ้ารอสายสำคัญ
ใช่... มันสำคัญมาก เธอหวาดระแวงทุกนาทีว่าจะมีสายจากแม่หรือโรงพยาบาลโทร. เข้ามา แม้หมอจะบอกว่าอุ้มบุญพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สภาพน้องที่เห็นหลังเข็นเตียงออกมาจากห้องฉุกเฉินไม่บอกเช่นนั้น ห่วงคนเจ็บยังไม่เท่าห่วงคนที่รักแกมากเหลือเกิน เท่านี้เธอก็สูญเสียพ่อแม่ผู้เคยยิ้มแย้มแจ่มใสไปพร้อมกันถึงสองคน
ทิวบุญโกรธทั้งน้อง แล้วยังโกรธแทนน้องไปถึงตัวการที่ทำกับน้อง กับครอบครัวตนเช่นนี้ เธออยากให้มันเจ็บแสบ ตายทั้งเป็นเหมือนกับสมาชิกครอบครัวเธอบ้าง หากก็มืดแปดด้าน ไม่รู้กระทั่งว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
พรุ่งนี้เถอะ! พรุ่งนี้เธอจะซักฟอกคนเจ็บให้ขาวทีเดียว ในเมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ ขอแค่รู้เท่านั้นว่าเป็นใคร เธอจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญมันเอง
คืนนั้น หญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งที่นั่งเท้าคางกับกรอบหน้าต่างห้องนอน รู้เพียงว่าบุญหลาย...สุนัขหนุ่มที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขแหงนมองพลางกระดิกหางให้เธออยู่ข้างล่างเป็นภาพสุดท้าย พร้อมกับที่เธอนึกจัดตัวเองไว้เป็นพวกเดียวกับมัน พวกที่ได้แต่มองปัญหาของผู้อื่นโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย
.......................
ช่วง 2-3 บทแรกของเรื่องนี้ยังปูพื้นเรื่องครอบครัวอยู่ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
รับรองว่าตั้งแต่บทที่ 3 เป็นต้นไปจะถูกใจคอมาม่ารสต้มยำกุ้งน้ำข้นแน่ค่ะ 5555
ชีวิตทิวบุญกลับมามีพลังทำสิ่งต่างๆ แทนพ่อแม่อีกครั้ง วันเวลาดูจะทำให้ความบาดหมางระหว่างเธอกับน้องเมื่อสองเดือนก่อนคลี่คลายลง โดยวิธีที่ดีที่สุดคือการที่พวกเธอสองพี่น้องไม่ได้เจอหน้ากัน
หน้าที่ของลูกสาวที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในบ้านคือการเก็บค่าเช่าที่นา บางครั้งหากมีนโยบายจากอำเภอลงมาว่าอย่างไร เธออีกนั่นแหละที่ช่วยกันกับพ่อพูดจากับเพื่อนบ้าน เธอเป็นคนง่ายๆ สบายๆ อยู่แล้วจึงเข้ากับเพื่อนบ้านได้ดี อย่างที่หลายคนชื่นชมว่าเธอต้องเป็นตัวแทนของพ่อในอนาคตอย่างแน่นอน
ทิวบุญมีความสุขกับปัจจุบัน เธออาจดูโง่เง่าในสายตาคนอื่นที่ลาออกจากงานเลขานุการในบริษัทข้ามชาติเมื่อเจ้านายคนเก่าย้ายไปประจำประเทศอื่นและเหลือทนกับเจ้านายคนใหม่เต็มที ตนจึงลาออกมาอยู่บ้านระหว่างรอหางานใหม่ ทว่ากลายเป็นเปลี่ยนใจอยู่ดูแลท่านแทน
เธอไม่ได้เกาะพ่อแม่กินเปล่าๆ เงินเก็บจากการทำงานก็ได้นำไปซื้อสลากออมทรัพย์ แล้วบางส่วนยังนำมาให้เพื่อนบ้านกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำ เมื่อพวกเขาทยอยใช้คืนทุกงวดก็พอให้เธอมีกินมีใช้โดยไม่ต้องพึ่งใคร
"แม่! ระวังบันไดขั้นนั้นนะ" เธอรีบชี้มือพลางร้องบอกมารดาที่กำลังจะก้าวขึ้นมา
"แม่จะตกก็เพราะเสียงเรานี่แหละทิว" ผู้เป็นแม่ชะงักกึกพร้อมกับตวัดค้อน
ลูกสาวหัวเราะชอบใจ เธอถือค้อนปอนด์อันใหญ่ก้าวข้ามบันไดขั้นที่เป็นปัญหาลงมา ก่อนจะจัดการแงะแผ่นไม้ซึ่งผุกลางเล็กน้อยออกมา แล้วนำไม้ท่อนใหม่ที่เธอไปรื้อค้นมาจากหลังบ้านมาตอกตะปูเป็นบันไดขั้นนั้นแทน
"เห็นแล้วมันรำคาญเนอะแม่ สู้เปลี่ยนก่อนที่ท่านพ่อท่านแม่จะเหยียบหักตกลงมาดีกว่า"
ใบหน้าชื้นเหงื่อเป็นมันเงยขึ้นมายิ้มให้คนที่รอดูผลงาน ฤทัยยิ้มรับพลางพยักเพยิดกับลูก หากอีกใจก็คิดว่าคงจะดีกว่านี้ถ้าปลูกบ้านใหม่ตามคำแนะนำของลูกคนเล็ก ไม่ต้องเหนื่อยทิวบุญคอยซ่อมรักษาจุดนั้นจุดนี้แทบทุกวัน
"แม่ว่าจะคุยกับพ่อเรื่องสร้างบ้านอยู่เหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทิวคอยซ่อมวันเว้นวันอย่างนี้"
หญิงสาวกำด้ามค้อนที่ถือไว้ข้างลำตัวแน่น อดตัดพ้อด้วยความน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเธอเลย
"แม่อย่าอ้างทิวดีกว่า ทิวรู้หรอกว่าแม่ทำเพื่อใคร"
"แม่ก็ทำเพื่อทุกคนนั่นแหละ เป็นยัยขี้น้อยใจไปอีกคนแล้ว" มารดาเย้า
ทุกคน...ยกเว้นเธอกระมัง นอกจากไม่ขำแล้วเธอยังตัดพ้อในใจ
ร่างเล็กของแม่เดินจากไปแล้ว ทิ้งให้เธอยืนดูผลงานของตัวเองอย่างเซ็งๆ เธอไม่เคยบ่นเหนื่อยเลย แล้วก็มั่นใจด้วยว่าไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็น เธอก็เหมือนท่านที่ดูแล ทำเพื่อทุกคนในครอบครัวได้ไม่บ่น แต่แม่ดูจะติดใจแนวความคิดของน้องมากทีเดียว หรือไม่ก็แม่คงอยากให้คนที่อยู่ที่นี่คือน้อง ไม่ใช่เธอ
.......................
"ทิวเอ๊ย ทิว"
เสียงตะโกนเรียกมาจากใต้ถุนบ้านปลุกคนนอนตื่นสายให้งัวเงียรู้สึกตัว กระนั้นเธอก็ไม่อาจลุกจากฟูกง่ายๆ หัวยังหนักอึ้งจากเหล้าเถื่อนที่เพื่อนบ้านต้มแล้วชักชวนไปชิมเมื่อคืน ก่อนเสียงเรียกนั้นจะดังใกล้เข้ามาอีก พร้อมเสียงเคาะประตูหน้าห้องที่ทำให้ขมับเต้นตุบทีเดียว
"ทิว ตื่นยังลูก มาขับรถให้แม่หน่อย"
ทิวบุญลุกนั่งพิงฝาเรือนอย่างะลึมสะลือ ครั้นประคองสติได้แล้วจึงตลบมุ้ง ลุกเดินไปเปิดประตูห้องนอนให้แม่เข้ามา
"แม่จะไปไหน" เธอถามเอื่อยๆ พลางเดินมานั่งบนฟูกปูพื้นอย่างเกียจคร้าน
ฤทัยตามลูกเข้าไปพร้อมกับพับเก็บมุ้งให้ เห็นดังนั้นหญิงสาวจึงดึงมือแม่ไว้แล้วลุกไปทำหน้าที่ของตัวเอง
"แม่จะไปกรุงเทพฯ ไปหาน้อง"
มือเรียวที่กำลังจะปลดสายมุ้งจากเสาพลันชะงัก เธอลอบสูดลมหายใจลึก บอกตัวเองว่าจะแปลกอะไรหากแม่อยากไปหาน้อง แต่เธอคงเต็มใจกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานแม่เพิ่งพูดเหมือนเห็นดีเห็นงามกับความคิดน้องมากกว่าเธอ
"เมื่อคืนแม่ฝันไม่ดีเลยทิว ได้ยินเสียงอุ้มร้องไห้ แต่ตามตัวยังไงก็ไม่พบ รู้แค่ว่าเสียงนั้นอยู่ใกล้ๆ ใจจะขาดยังไงไม่รู้ นี่เมื่อเช้าแม่ก็ไปทำบุญที่วัดมา กลับมาโทร. หาอุ้มก็ไม่ติด ทิวไปส่งแม่ทีนะ"
ทิวบุญหันไปมองกึ่งขันที่แม่ช่างคิดช่างระแวงไปเกินเหตุกับแค่ความฝัน ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าวิตกกังวลของท่าน เธอก็ต้องหุบยิ้มลงอัตโนมัติ ให้คำตอบเดียวที่เธอจะให้ท่านได้...เพื่อความสบายใจ
"เดี๋ยวทิวไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน แม่บอกพ่อด้วยล่ะ เดี๋ยวหาแม่ไม่เจอแล้วพ่อจะร้องไห้"
"แม่บอกแล้วน่า เฮ้อ เจ้าลูกคนนี้"
ฤทัยค้อนขวับไล่หลังร่างระหงที่พาดผ้าขนหนูกับไหล่พลางเดินออกไป เธอกวาดตามองรอบห้องที่สะอาด เป็นระเบียบอีกครั้งด้วยความพอใจ ทิวบุญไม่เคยสร้างปัญหาให้หนักใจ หรือแสดงความอ่อนแอ อ่อนต่อโลกให้เป็นห่วงตลอดเวลา เธอจึงวางใจไม่ว่าแกจะทำอะไรก็ตาม เพราะเชื่อมั่นว่าลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ดี
ผิดกับลูกสาวคนเล็กที่อายุห่างจากใครเพื่อน แต่ไหนแต่ไรแกก็แสดงให้เห็นว่าหัวอ่อน ไม่ค่อยทันคนเสมอ ซ้ำยังไปอยู่ไกลตา แม่อย่างเธอจึงย่อมต้องห่วงเป็นพิเศษ
ฤทัยหารู้ไม่ว่าบางเรื่องที่เธอควรพูดควรสอนกับลูกทั้งสองคนให้เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้พูดไม่ได้สอนนั้นจะทำให้ชีวิตสองพี่น้องหักเหอย่างไร
....................
รถกระบะสี่ประตูจอดยังหน้าตึกสูงแปดชั้นกลางเมืองหลวง ใกล้แหล่งธุรกิจย่านสาทร
'ซีซีเพลส' เป็นตึกที่พักแบบห้องเช่ารายเดือน ชั้นล่างเปิดโล่งเป็นร้านอาหารและขายของชำ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เช่าห้องพักซึ่งส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทแถวนี้ ที่แห่งนี้อีกนั่นแหละที่เธอเคยอยู่มาก่อนตั้งแต่สมัยทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ ก่อนอุ้มบุญจะมาอยู่ต่อเมื่อได้งานในตำแหน่งพนักงานขายของโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งบนถนนวิทยุ
ทิวบุญและมารดาเดินไปตามทางเดินกระเบื้องลายหินแกรนิต ผ่านห้องสำนักงานตึกไปถึงประตูกระจกซึ่งมีเครื่องสแกนคีย์การ์ดติดอยู่ เธอมีกุญแจสำรองของเธออันหนึ่ง เผื่อวันใดที่ต้องนำของฝากจากแม่มาให้น้องจะได้ขึ้นไปได้สะดวก เมื่อผลักประตูกระจกเข้าไปภายในแล้วก็พบกับลิฟต์โดยสารตัวหนึ่ง ข้างกันเป็นบันได
"อ้าวแม่ รอลิฟต์ก็ได้ เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งไป" เธอร้องบอกเมื่อเห็นผู้เป็นแม่ก้าวขึ้นบันได
"แม่เราเป็นชาวนานะจ๊ะ ขึ้นบันไดแค่นี้เป็นลม แล้วใครจะปลูกข้าวให้กินได้"
"จ้า แม่ทิวเก่ง" เธอลากเสียงล้อเลียนพร้อมกับตามท่านขึ้นไป
ที่จริงแล้วเธอก็ชอบขึ้นบันไดมากกว่ารอลิฟต์ ห้องพักอยู่เพียงชั้นสามเท่านั้น บางครั้งขึ้นบันไดยังถึงเร็วกว่าเสียอีก
มือเรียวเกี่ยวหูหิ้วถุงของฝากทั้งอาหารสำเร็จและผลไม้จนเส้นเอ็นข้อมือนูนแข็ง แต่ร่างระหงก็เดินขึ้นบันไดตามแม่ไปไม่ระย่อ กระทั่งถึงชั้นที่พักที่ทางเดินกว้างสองเมตรขนาบข้างด้วยห้องพักติดกันเป็นแถว รวมแล้วกว่าสิบสองห้อง
'๓๑๑' หมายเลขห้องที่เธอจำได้ขึ้นใจอยู่เกือบสุดระเบียงทางเดิน ทิวบุญไม่ทันไขเข้าไปก็พอดีกับที่บานประตูห้องเปิดผางออกมา
"พี่ทิว..." เสียงครางชื่อนั้นแทบกลืนหายไปในลำคอ
หญิงสาวรุ่นพี่จำอีกฝ่ายได้เช่นกัน ผักบุ้งคือชื่อของสาวมาดทอมบอยผู้นี้ ผู้ที่เธอทราบดีว่าเป็นเพื่อนร่วมคณะและยังเคยแอบชอบอุ้มบุญ แม้น้องสาวของเธอจะคบด้วยในฐานะเพื่อน แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่เลิกหวังในตัวน้องของเธอ
ทิวบุญเลื่อนสายตาลงมองถุงผ้าที่เจ้าหล่อนถือติดมือออกมาด้วย เธอหรี่ตาสบตาคู่ตรงข้ามก็เห็นแววพิรุธ ลุกลี้ลุกลนปิดไม่มิด
"นั่นอะไร แล้วยัยอุ้มอยู่ไหน เธอเข้าไปในห้องได้ยังไง" เธอถามเสียงเรียบ
"เอ่อ อุ้มให้กุญแจบุ้งมาเอาเสื้อผ้าฮะ พอดี...อุ้มจะค้างบ้านเพื่อน"
"บ้านใคร" เธอถามกลับโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
"บ้าน..."
"เดี๋ยวพี่ไปหาอุ้มกับบุ้งแล้วกัน เนี่ย แม่อุตส่าห์ลงมาหาอุ้ม"
ถ้อยคำราวดักคอนั้นยิ่งทำให้สาวหล่อคิดหาคำตอบไม่ถูก ลำพังสิ่งที่ทำเพื่อคนที่แอบชอบก็สร้างความหวาดวิตกให้เธอแล้ว ยิ่งบังเอิญเจอพี่สาวของเพื่อนอีก ใจคอเธอยิ่งย่ำแย่ไปกันใหญ่
"ว่าไง ตกลงยัยอุ้มอยู่ไหน จะไปรอเจอ"
"คือ..."
"โกหกใช่ไหม บอกความจริงมาดีกว่าผักบุ้ง เอ้า ร้องไห้ ร้องทำไมฮะ มีเรื่องอะไร"
คนใจฝ่อรีบปาดน้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา เรื่องที่ตนต้องแบกรับมันหนักเกินไป โดยเฉพาะเมื่อคนที่ร้องขอความช่วยเหลือจากเธอกำลังเจ็บหนักเกินกว่าจะคาดคิด ทั้งๆ ที่หมอ...คนที่พวกเธอเรียกว่าหมอรับรองความปลอดภัย แต่หากมีอะไรผิดพลาดไปกว่านี้ เธอก็กลัวรับไม่ไหวเหมือนกัน
ฤทัยต้องรั้งแขนบุตรสาวที่ปล่อยมือจากถุงข้าวของ ทำท่าจะขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายรอมร่อ เสียงของลูกยังทั้งปลอบทั้งขู่ต่อไปโดยที่เธอก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน
"ผักบุ้ง พี่รู้ว่าเธอแอบชอบอุ้ม แต่ถ้าเธอชอบยัยอุ้มจริงก็ต้องไม่พากันโกหก ปกปิดเพื่อทำเรื่องไม่ดี เพราะถ้าทำอย่างนั้นยัยอุ้มจะไม่มีวันรักเธอหรอก นอกจากเป็นได้แค่ม้าใช้ตัวหนึ่ง"
ผู้เป็นแม่ยกมือลูบอกอย่างคาดไม่ถึง ลูกสาวคนเล็กไม่เคยพูดถึงเรื่องความรักให้ฟังเลย แกมักจะบ่ายเบี่ยงว่ารักแม่คนเดียว ทว่าพี่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจน้องกลับรู้มากกว่า
เธอมองเพื่อนลูกสาวปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาอย่างไม่อาย ก่อนคำสารภาพจากปากอีกฝ่ายจะทำเอาหัวใจแม่แหลกสลายแทบล้มทั้งยืน
"อุ้ม...อุ้มบังคับบุ้งฮะพี่ทิว บุ้งไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่อุ้มท้อง อุ้มขู่จะฆ่าตัวตาย เธอต้องการทำแท้ง บังคับ ขอร้องให้บุ้งพาไป บุ้งไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะพี่ทิว"
ทิวบุญเซถอยหลังอย่างตะลึงงัน เธอประคองแม่ที่ทำท่าจะล้มพับไปไว้ได้ทัน ใบหน้าซีดเผือดนั้นคงไม่ต่างจากเธอ ก่อนท่านจะกอดเธอร้องไห้ราวกับเป็นที่พึ่งพิง
"อุ้มมม อุ้มเอ๊ย ทำแบบนี้ทำไม" ฤทัยร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจ
"แม่ แม่รอที่ห้องนะ ทิวจะไปดูน้อง" เธอบอกเสียงสั่น
ทว่าผู้เป็นแม่สั่นศีรษะไม่ยอม แกเกาะแขนลูกสาวแน่นให้รู้ว่าจะไปด้วยกัน
หญิงสาวไม่มีเวลาคิดเกลี้ยกล่อมให้มากความ เธอผงกศีรษะให้ผักบุ้งนำไป ของที่แม่สู้อุตส่าห์ทำมาฝากลูก พี่หิ้วมาฝากน้องตกอยู่หน้าห้องนั่นเอง
.......................
คลินิกเถื่อนที่เพื่อนของอุ้มบุญพามาเปิดในตึกแถวย่านชานเมือง แม้เย็นย่ำแล้วแต่ภายในมีวัยรุ่นหญิงนั่งรออยู่บนม้านั่งถึงสี่คน บ้างมาคนเดียว บ้างมากับเพื่อน หรือแม้กระทั่งแม่ที่พาลูกมา แต่ไม่มีใครสักคนที่มากับคนรัก แน่นอน ผู้ชายเหล่านั้นคงทิ้งให้ผู้หญิงต้องทนทุกข์ฝ่ายเดียว
ทิวบุญรู้สึกเหมือนตนก้าวขาเข้าไปในโลกที่ไม่เคยรู้จัก สายตาหลายคู่หันมองพวกเธอเปิดประตูเข้ามาพร้อมกันหลายคน แต่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะจำสาวมาดทอมบอยได้ จึงปล่อยให้พวกเธอเดินขึ้นไปยังชั้นบนของตึกแถว ที่ซึ่งมีเตียงสนามตั้งเรียงกันเป็นแถวฝั่งเดียว มีฉากขึงผ้ากั้นไว้ระหว่างเตียง ในห้องนั้นมีหญิงสาวนอนพักผ่อนอยู่เต็มทุกเตียง
"อุ้มมม ทำไมทำอย่างนี้ลูก"
นางฤทัยทรุดนั่งไร้เรี่ยวแรงข้างเตียงบุตรสาว ทิวบุญเข่าอ่อน ทรุดนั่งบนเข่ากับพื้นเมื่อได้เห็นใบหน้า...ตลอดจนเนื้อตัวซีดเซียวของน้องสาว เธอทั้งโกรธและสงสาร ทำไมมันถึงได้โง่เง่า ทำร้ายตัวเอง ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเองเช่นนี้ เธอไม่เข้าใจและไม่มีวันเข้าใจ!
อุ้มบุญปรือตาขึ้นมองตามเสียงรบกวน แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่ตนไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏตัวเวลานี้ ริมฝีปากซีดจนคล้ำพยายามขยับเปล่งเสียง หากน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา
"แม่..."
"อุ้มเอ๊ย บาปนัก ทำไมลูก ทำไม" ผู้เป็นแม่ต่อว่าทั้งน้ำตาพลางจับมือเย็นชืดมาแนบแก้ม
ยิ่งเห็นแม่เศร้าโศกเสียใจเธอก็ยิ่งเกลียดตัวเอง จะทำอย่างไรเมื่อผู้ชายมันไม่รัก ไม่รับผิดชอบเธอ เธอแค่อยากกลับไปเป็นลูกสาวที่บริสุทธิ์ผุดผ่องในสายตาแม่ ไม่อยากแบกท้องโตกลับไปอายคนทั้งบาง ไม่อยากแพ้พี่ พี่สาวที่คอยเหยียบย่ำซ้ำเติม
เธอรู้ตัวว่าตัดสินใจทำสิ่งผิดพลาดไปแล้วเมื่อสภาพร่างกายกำลังอุทธรณ์ เธอปวดท้องและเลือดก็ยังไม่หยุดไหล ก่อนหน้านี้มีพยาบาลมาทำความสะอาดให้ เธอได้ยินเขาซุบซิบเสียงเครียดกันว่าเธออาจต้องถูกส่งไปโรงพยาบาล เธอทั้งกลัวตายและอ้างว้าง เมื่อเพื่อนที่มาด้วยกันก็ยังไม่กลับมาเสียที
ทิวบุญปาดน้ำตากับภาพตรงหน้า ก่อนเอ่ยอย่างตัดสินใจ
"ไปแม่ ทิวจะพายัยอุ้มไปหาหมอ ผักบุ้ง มาช่วยพี่ประคองอีกข้างซิ"
อุ้มบุญเกร็งตัวแข็งเมื่อพี่ทำท่าจะช้อนอุ้ม ไม่! เธอไม่อยากได้ความช่วยเหลือจากพี่คนนี้ คนที่มีส่วนให้เธอตัดสินใจทำในสิ่งผิดพลาด ก็เพราะต้องชิงดีชิงเด่น แย่งความรักจากพ่อแม่กับพี่
"อุ้ม ไปหาหมอเถอะนะลูก เชื่อแม่ซี" มารดาขอร้องพลางร่ำไห้
ทิวบุญอยากตวาด อยากด่าทอน้องให้สมกับที่ทำให้ทุกคนเสียใจ หากเสียงฝีเท้าหลายคนที่ตรงมายังเตียงสนามด้านในสุดก็ดึงความสนใจจากเธอเสียก่อน ก่อนปรากฏร่างของผู้หญิงสองคนในชุดแต่งกายที่สวมทับด้วยเสื้อกาวน์คล้ายแพทย์และชุดเดรสสีขาวคล้ายพยาบาล
"ญาติคุณอุ้มบุญใช่ไหมคะ ทางเราทำให้เรียบร้อยแล้วนะ ถ้ากลับไปมีอาการผิดปกติยังไงก็ไปโรงพยาบาลดีกว่า เพราะทางนี้ก็เครื่องมือไม่พร้อม" ท่าทางผู้พูดเปี่ยมด้วยความทะนงตน ไม่มีแววสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษสักนิด
"เลว" ทิวบุญเอ่ยลอดไรฟันอย่างเหลืออด
สาบานได้ว่าออกจากที่นี่ไปเมื่อไร เธอจะแจ้งตำรวจให้มาบุกจับคนพวกนี้ให้หมด ดูเถอะ ด่าถึงเพียงนี้มันยังยิ้มเยาะ ก่อนสะบัดหน้าเดินจากไปราวทองไม่รู้ร้อน
โกรธเขาไม่เท่าโกรธคนของตัว ยิ่งเมื่อเห็นแม่พยายามประคองน้องลุกขึ้น โดยที่อีกฝ่ายเอนซบทั้งใบหน้าเปื้อนน้ำตาอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
เธอเข้าไปประคองแทนแม่ คราวนี้ต่อให้อีกฝ่ายแข็งขืนอย่างไรก็ไม่ยอม แล้วก็เป็นคนตัวใหญ่กว่าที่ชนะแรงคนป่วย เธอต้องหิ้วปีกน้องที่ร้องครวญครางลงบันไดมาชั้นหนึ่งด้วยความทุลักทุเล ทว่าครั้นจะช่วยยกขาอุ้มบุญขึ้นรถให้ เธอก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดไหลมาจากต้นขาใต้ร่มผ้าเป็นทาง
"อุ้ม..." เสียงเรียกด้วยความตกใจแทบไม่พ้นริมฝีปากออกไป
คนเจ็บดูจะไม่รู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งผิดปกติ เจ้าหล่อนยังคงกดท้องน้อยด้วยความปวด ทิวบุญรีบร้องบอกให้ทุกคนขึ้นรถ ลืมความโกรธไปชั่วขณะกลายเป็นความหวาดกลัวจับใจ
.......................
อุ้มบุญได้รับการรักษาจากแพทย์จนพ้นขีดอันตรายและย้ายเข้าห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนแล้วเรียบร้อย แพทย์บอกว่าโชคดีที่มาทันเวลาก่อนคนไข้จะเสียเลือดมากและอาจช็อกได้ แต่คนเจ็บก็ดูจะหลับไปโดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร แม่เสียอีกที่ต้องคอยพยาบาลเฝ้าไข้ทั้งเสื้อผ้าชุดเดิม แล้วไล่ให้เธอกลับไปบ้านยังจังหวัดนครนายกลำพัง
ทิวบุญพบพ่อนั่งรออยู่ท่ามกลางความมืดในบ้านลำพัง เมื่อกดเปิดสวิตช์ไฟแล้วจึงได้เห็นใบหน้าของพ่อผู้เข้มแข็ง เป็นผู้นำครอบครัวชื้นด้วยน้ำตา ดวงตาแดงเรื่อนั้นเหลือบขึ้นมองลูกสาวคนโต ก่อนจะโคลงศีรษะด้วยความผิดหวัง ไม่เข้าใจจากสิ่งที่ได้รับรู้รับฟังผ่านทางโทรศัพท์
"มันเป็นไงบ้าง" ท่านถามเสียงแข็ง หากหางเสียงพลิ้วอย่างรู้สึกได้
ร่างระหงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ซึ่งปูด้วยเบาะที่นั่งข้างพ่อ เธอผ่อนลมหายใจที่หนักอึ้งมาทั้งวันก่อนตอบให้ท่านสบายใจ
"หมอบอกว่าปลอดภัยแล้วพ่อ แม่ให้ทิวมาพัก พรุ่งนี้จะได้รับพ่อไปด้วยกัน"
"มันบอกไหมว่ามันท้องกับใคร" ผู้เป็นพ่อขบกรามเอ่ยด้วยความเจ็บปวด
ทิวบุญสั่นศีรษะ น้องไม่ได้บอกและเธอยังไม่ทันได้ถาม แต่จะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มันฉวยโอกาสเอากับความรัก ความอ่อนเดียงสาของน้องเธออย่างไม่น่าให้อภัย
"ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นคนแบบนี้ ใจไม้ไส้ระกำ นี่พ่อแม่เลี้ยงมันไม่ดีตรงไหน ประคบประหงมตามใจทุกอย่าง เห็นเป็นลูกเล็กสุดท้อง เออ เพราะอย่างนี้สินะมันถึงคิดไม่เป็น ไม่สู้" บุญรอดสรุปเองพลางยกชายผ้าขาวม้าซับหัวตา
ลูกสาวคนโตนึกอยากให้น้องมาเห็นภาพนี้ยิ่งนัก ภาพที่พ่อแม่ทุกข์ใจจนต้องเสียน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า เธอต้องกะพริบตาขับไล่น้ำตาซึ่งรื้นขึ้นมา
ไม่มีอ้อมกอดให้กันระหว่างเธอกับพ่อ เธอไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบนั้นจึงอาจดูเป็นคนแข็งที่จะแสดงออกซึ่งความรัก ความห่วงใย นอกจากนั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนแบ่งเบาทุกข์ให้ท่าน ก่อนพ่อจะสูดจมูกแรงและลุกขึ้นโคลงศีรษะเธอ ออกปากไล่ให้เข้านอน
.......................
ค่ำคืนที่ดาวเกลื่อนฟ้า พระจันทร์ข้างขึ้นสาดแสงนวลตาดังเดิม บ่งบอกว่าโลกใบนี้ยังคงหมุนด้วยตัวของมันไม่เคยเปลี่ยน แต่โลกของสมาชิกครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งในโลกนี้กำลังไม่เหมือนเดิม ไม่มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะอีกต่อไป
ฝันร้ายที่กำลังเผชิญทำให้ทิวบุญไม่กล้าแม้แต่หลับตา เธอนั่งขัดสมาธิกับพื้นไม้ วางคางเท้ากรอบหน้าต่างซึ่งเปิดกว้างรับลมในค่ำคืนร้อนอบอ้าว โทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ตัวเพียงเอื้อมมือคว้า ราวกับว่าหญิงสาวเจ้าของเครื่องเฝ้ารอสายสำคัญ
ใช่... มันสำคัญมาก เธอหวาดระแวงทุกนาทีว่าจะมีสายจากแม่หรือโรงพยาบาลโทร. เข้ามา แม้หมอจะบอกว่าอุ้มบุญพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่สภาพน้องที่เห็นหลังเข็นเตียงออกมาจากห้องฉุกเฉินไม่บอกเช่นนั้น ห่วงคนเจ็บยังไม่เท่าห่วงคนที่รักแกมากเหลือเกิน เท่านี้เธอก็สูญเสียพ่อแม่ผู้เคยยิ้มแย้มแจ่มใสไปพร้อมกันถึงสองคน
ทิวบุญโกรธทั้งน้อง แล้วยังโกรธแทนน้องไปถึงตัวการที่ทำกับน้อง กับครอบครัวตนเช่นนี้ เธออยากให้มันเจ็บแสบ ตายทั้งเป็นเหมือนกับสมาชิกครอบครัวเธอบ้าง หากก็มืดแปดด้าน ไม่รู้กระทั่งว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
พรุ่งนี้เถอะ! พรุ่งนี้เธอจะซักฟอกคนเจ็บให้ขาวทีเดียว ในเมื่อกฎหมายทำอะไรไม่ได้ ขอแค่รู้เท่านั้นว่าเป็นใคร เธอจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรจองล้างจองผลาญมันเอง
คืนนั้น หญิงสาวผล็อยหลับไปทั้งที่นั่งเท้าคางกับกรอบหน้าต่างห้องนอน รู้เพียงว่าบุญหลาย...สุนัขหนุ่มที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัขแหงนมองพลางกระดิกหางให้เธออยู่ข้างล่างเป็นภาพสุดท้าย พร้อมกับที่เธอนึกจัดตัวเองไว้เป็นพวกเดียวกับมัน พวกที่ได้แต่มองปัญหาของผู้อื่นโดยที่ไม่อาจทำอะไรได้เลย
.......................
ช่วง 2-3 บทแรกของเรื่องนี้ยังปูพื้นเรื่องครอบครัวอยู่ อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ
รับรองว่าตั้งแต่บทที่ 3 เป็นต้นไปจะถูกใจคอมาม่ารสต้มยำกุ้งน้ำข้นแน่ค่ะ 5555
ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2558, 15:53:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2558, 15:53:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1091
<< บทนำ | บทที่ ๒ >> |
กาซะลองพลัดถิ่น 16 ก.ย. 2558, 18:59:18 น.
อุ้มตาบอดกับคนในครอบครัว มองไม่เห็นว่าพวกพี่รักน้องแค่ไหน ในใจมีแต่ความอิจฉาริษยา ทะเยอทะยานมากไปไหม
พ่อแม่ต้องมานั่งเสียน้ำตาให้กับลูกในเรื่องแบบนี้ มันใช่เหรอ....
อุ้มตาบอดกับคนในครอบครัว มองไม่เห็นว่าพวกพี่รักน้องแค่ไหน ในใจมีแต่ความอิจฉาริษยา ทะเยอทะยานมากไปไหม
พ่อแม่ต้องมานั่งเสียน้ำตาให้กับลูกในเรื่องแบบนี้ มันใช่เหรอ....
ภาพิมล_พิมลภา 17 ก.ย. 2558, 15:51:09 น.
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - อุ้มกำลังหลงทาง บวกกับความแรงของทิวเลยเหมือนยิ่งทำให้พี่น้องห่างกันไปอีกค่ะ
คุณกาซะลองพลัดถิ่น - อุ้มกำลังหลงทาง บวกกับความแรงของทิวเลยเหมือนยิ่งทำให้พี่น้องห่างกันไปอีกค่ะ