ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ความในใจที่บอกไปผ่านบทเพลง ๑๐๐%

วิโก้แชมป์จอดข้างทางพร้อมกับตอกไฟฉุกเฉินอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เป็นเจ้าของกำลังใคร่ครวญว่าจะเอายังไง จะตอบรับคำเชิญหรือจะปฏิเสธเขาไปดี

‘เอ๋ยต้องสัญญาว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’

เมื่อประโยคนี้ผุดขึ้นมาในความคิด รถที่จอดอยู่ก็เลี้ยวกลับทางเดิมทันที “ทางนี้เลยค่ะคุณเอ๋ย คุณร๊อกรออยู่บนตึกโรมิโอค่ะ”

อนงค์รีบมาดึงแขนสาวสวยทันทีที่รถจอดตรงหน้าล๊อบบี แล้วพาเดินอ้อมตึกจูเลียตไปเข้าอีก “ทานอาหารให้อร่อยนะคะ”

วริญรำไพทำหน้าไม่ถูก เมื่อเลขาฯของเขาส่งยิ้มให้ ด้วยไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น สาวใหญ่คิดยังไงกับความสัมพันของตัวเองกับเจ้านายหนุ่มกันแน่ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก

เมื่อลิฟต์พาขึ้นไปถึงยอดบนของตึกอย่างรวดเร็ว พอก้าวออกจากลิฟต์ก็พบกแต่ความเงียบเชียบ “ในที่สุดเจ้ามือของผมก็มาสักที” ไม่กี่อึดใจเขาก็ก้าวเดินออกมาจากเค้าน์เตอร์พร้อมรอยยิ้ม

แล้วผายมือออก “เชิญครับ อาหารพร้อมแล้ว” โต๊ะเล็กๆ มีผ้าปูสีขาวสะอาดตา แจกันเล็กๆ ปักกุหลาบแปดหรือเก้าดอก จัดเก้าอี้ไว้แค่สองที่เท่านั้น

วริญรำไพส่งยิ้มบางๆ แล้วก้าวเดินไปทรุดกายลงนั่งกับเก้าอี้ที่เขาเป็นคนขยับให้อย่างสุภาพบุรุษ พอเขานั่งลง อาหารก็ถูกบริกรหนุ่มสาวยกมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะหลายจานพร้อมกัน

เสร็จแล้วเจ้านายหนุ่มก็พยักหน้าให้ ทั้งหมดจึงรีบตรงไปหาลิฟต์ แล้วทั้งชั้นก็มีเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ วริญรำไพเงยหน้าจากจานอาหารไปมองเขาแล้วยิ้มบางๆ

“ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวมากก็ตอนเที่ยงคืนนี่เอง งั้นเรากินเลยนะครับ”

แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีก เมื่อเห็นเขาก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง ส่วนตัวเองนั้นเพียงแค่ตักเข้าปากนิดๆ หน่อยๆ เพราะอิ่มจากในงานแล้ว อีกทั้งปกติก็ไม่ค่อยจะกินมื้อเย็นอยู่แล้ว

“ตึกหมุนด้วยเหรอคะ” กินไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงวริญรำไพเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่นั่งของตัวเองย้ายห่างจากหน้าลิฟต์มาเล็กน้อย

“ผมอยากให้คนปากน้ำ คนบางปูหรือคนแถวๆ นี้ ได้ขึ้นมากินมื้อเที่ยงหรือค่ำบนตึกที่หมุนได้เหมือนในกรุงเทพฯ หรือที่พัทยาบ้าง อาหารผมก็ตั้งราคาไม่แพงนะ แค่หัวละเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเอง”

เขาอธิบาย ขณะที่ตัวเองลุกขึ้นยกจานชามบนโต๊ะไปถือไว้ “เอ่อ! ผมให้พนักงานกลับบ้านหมดแล้ว เพราะเลยเวลาทำงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเลยต้องทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี กินแล้วต้องเก็บ”

วริญรำไพเลยลุกขึ้นช่วยเขาบ้าง “คุณอยากเต้นรำกับผมหลังอาหารเย็นที่จะตีหนึ่งแล้วมั้ย”

ชั่วอึดใจนั้นเอง ที่บรรยากาศในยามบ่ายแก่ๆ ใต้ต้นเหรียงที่มีพี่หินอยู่ข้างๆ ก็สะกิดหัวใจอันแหลกสลายขึ้นมาทันที

“ถ้าคุณจะมีมงกุฏดอกไม้ให้ ฉันก็ยินดีค่ะ”

ชลธิปเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นผมคงจะอดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีพนักงานคนไหนที่จะเนรมิตมงกุฏให้ผมในตอนนี้ได้ เอ...แต่เดี๋ยวนะ” เขายกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้รอ แล้วรีบตรงไปยังเก้าอี้

ดึงผ้าสีทองที่ผูกเป็นโบเอาไว้ตรงพนักพิงออกมา แล้วก้าวเร็วๆ มาหาเจ้าของชุดสีทับทิม

“ขอโทษนะครับ”

เอาผ้าพันรอศีรษะสาวตรงหน้าเพื่อวัดขนาด แล้วรีบขมวดผ้าให้เป็นริ้วๆ จับกุหลาบบนแจกันมาเสียบสลับกับจับริ้ว

“คนไม่ประสางานศิลอย่างผมก็มีปัญญาเท่านี้ล่ะครับ ผมพอจะได้คู่เต้นรำบ้างหรือเปล่าครับ”

เขายิ้มออก เมื่อสวมมุงกุฏผ้าดอกไม้ไปให้เจ้าของใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างทึ่งในความมีไหวพริบของเขา แต่เขากลับทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “แต่เราไม่มีดนตรีนี่สิ จะทำยังไง ผมคงเรียกใครมาเปิดเพลงให้ไม่ได้แน่”

“งั้นเราก็ควรจะกลับลงไปดีมั้ยคะ”

วริญรำไพส่งสีหน้าทำท่าว่าสงสารที่เขาต้องผิดหวัง แต่เขากลับยิ้มแป้นออกมาแล้วยกนิ้วเป็นเชิงบอกให้รอตามเคย เพราะไอเดียเพิ่งกระฉูดออกมาอีกอย่างแล้ว

“วันก่อนผมได้ยินเพียงนี้ในงานแต่งลูกค้าตอนเปิดตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมว่ามันเพราะดีเลยทำเป็นเสียงเรียกเข้า และนี่จะเป็นเพลงเปิดฟลอร์ของเรา”

มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขา ถูกเปิดขึ้นแล้วเอาไปวางที่โต๊ะ พออินโทรเพลงขึ้นมา เขาก็ตรงมาหาสาวน้อยกับมงกุฏผ้าแล้วโค้งตัวเป็นการเชื้อเชิญ

“เพลงอะไรคะฉันไม่เคยได้ยิน” สองขาก้าวไปตามจังหวะช้าๆ สองดวงตาจ้องมองเขาแล้วยิ้มบางๆ ให้

“เพลง ทเวล ออฟ เนเวอร์ครับ แต่คุณนงค์บอกผมว่า มีเพลงไทยที่มีความหมายตรงกันและร้องได้ซึ้งกินในด้วย แล้วแกก็หามาให้ผมฟัง บอกได้คำเดียวว่าถูกใจผมมากจนต้องเอามาเก็บไว้ในมือถือเลย” ส่วนเขาก็ทำแบบเดียวกัน

“เพลงอะไรคะ” วริญรำไพชักอยากรู้ขึ้นมาทันใด

“ไม่บอกครับ เรามาฟังพร้อมกัน”

เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้แล้วจ้องมองดวงตาคู่เศร้าขณะก้าวไปตามจังหวะ และเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา มากไปกว่าซึมซับเอาเสียงบทเพลง

‘เมื่อใดเสือไม่รักป่า เมื่อใดหญ้าไม่รักดิน
เมื่อใดน้ำหยุดไหลริน เมื่อนั้นฉันสิ้นรักเธอ’
ควบคู่กับการประคองมือบาง ร่างผอมไว้แนบอกเพียงเท่านั้น วริญรำไพเองก็กำลังปล่อยหัวใจให้ล่องลอยกลับไปหาสิบสองปีที่แล้ว ที่มีพี่หินจับสองมือไว้

‘เต้นยังไงล่ะพี่หิน’

‘จะยากอะไร เอามือจับกันไว้สองข้าง แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขาแบบนี้ๆ เอ๋ยก้าวตามพี่นะ’

‘ทำไมพี่หินเต้นเป็นล่ะ’

‘ก็ไม่รู้สิ พี่อาจจะเคยเต้นล่ะมั้ง เหมือนที่พี่จำพวกคณิต วิทย์ได้ จนสอนเอ๋ยได้ล่ะมั้ง ก้าวขาตามพี่เร็ว ช้าๆ นะ อย่างนั้นๆ’

สองพี่น้องต่างสายเลือดค่อยๆ ก้าว ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามประสาไปด้วยเมื่อสิบสองปีก่อน ส่วนอีกสองร่างในปัจจุบันก็กำลังเคลื่อนกายตามเสียงเพลงไปอย่างเชื่องช้าอยู่บนยอดตึกที่ไม่มีใครเข้ามาข้องเกี่ยวเลย

‘เมื่อใดงูไม่หวงไข่ เมื่อใดนกไม่ละเมอ
เมื่อใดไร้ไก่ขันเก้อ เมื่อนั้นเธอไร้ฉันแน่นอน’
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมา เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองเหยียบเท้าพี่หินในบางครั้งที่หัดเต้นด้วยกัน และประจวบ
เหมาะกับชลธิปก้มลงมามองพอดี
เขายิ้มบางๆ ให้ และรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยครั้งเหลือเกินเวลาได้อยู่ใกล้ๆ สาวผิวสีน้ำผึ้งคนนี้ “ผมชอบจังเวลา
เห็นคุณยิ้มแบบนี้มันทำให้คุณสวยน่ามองมากๆ”
วริญรำไพอายจนพูดอะไรไม่ออก “คุณรู้มั้ยเวลาที่คุณยิ้มทีไร มักจะทำให้อะไรต่อมิอะไรรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมมองไม่เห็นอะไรหรือว่าใครอีก นอกจากรอยยิ้มคุณ”

“...”

เจ้าของรอยยิ้มยังคงพูดอะไรไม่ออก นอกจากเคลื่อนกายตามเขาไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น “ขอผมถามอะไรคุณนิดจะได้มั้ยครับเอ๋ย” ชลธิปไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม

“อะไรคะ”

แต่เมื่ออีกคนเอ่ยมา เขาก็ควรจะกล้าที่จะเดินหน้าต่อ “ผมอยากถามว่า คุณจะวิ่งหนีผมเหมือนคืนที่อยู่บนดาดฟ้ามั้ย ถ้าผมจะ...”

วริญรำไพเงยขึ้นไปมองเมื่อเขาเว้นวรรคคำพูดไว้ สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

วิโก้แชมป์จอดข้างทางพร้อมกับตอกไฟฉุกเฉินอยู่อย่างนั้น เมื่อผู้เป็นเจ้าของกำลังใคร่ครวญว่าจะเอายังไง จะตอบรับคำเชิญหรือจะปฏิเสธเขาไปดี

‘เอ๋ยต้องสัญญาว่าอีกสี่วันเอ๋ยจะมายืนรอรับพี่ตรงที่ขึ้นเรือ แล้วพี่ก็จะซื้อของมาฝากเอ๋ยเหมือนกันนะ’

เมื่อประโยคนี้ผุดขึ้นมาในความคิด รถที่จอดอยู่ก็เลี้ยวกลับทางเดิมทันที “ทางนี้เลยค่ะคุณเอ๋ย คุณร๊อกรออยู่บนตึกโรมิโอค่ะ”

อนงค์รีบมาดึงแขนสาวสวยทันทีที่รถจอดตรงหน้าล๊อบบี แล้วพาเดินอ้อมตึกจูเลียตไปเข้าอีก “ทานอาหารให้อร่อยนะคะ”

วริญรำไพทำหน้าไม่ถูก เมื่อเลขาฯของเขาส่งยิ้มให้ ด้วยไม่รู้ว่าภายใต้รอยยิ้มนั้น สาวใหญ่คิดยังไงกับความสัมพันของตัวเองกับเจ้านายหนุ่มกันแน่ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดอะไรได้นานนัก

เมื่อลิฟต์พาขึ้นไปถึงยอดบนของตึกอย่างรวดเร็ว พอก้าวออกจากลิฟต์ก็พบกแต่ความเงียบเชียบ “ในที่สุดเจ้ามือของผมก็มาสักที” ไม่กี่อึดใจเขาก็ก้าวเดินออกมาจากเค้าน์เตอร์พร้อมรอยยิ้ม

แล้วผายมือออก “เชิญครับ อาหารพร้อมแล้ว” โต๊ะเล็กๆ มีผ้าปูสีขาวสะอาดตา แจกันเล็กๆ ปักกุหลาบแปดหรือเก้าดอก จัดเก้าอี้ไว้แค่สองที่เท่านั้น

วริญรำไพส่งยิ้มบางๆ แล้วก้าวเดินไปทรุดกายลงนั่งกับเก้าอี้ที่เขาเป็นคนขยับให้อย่างสุภาพบุรุษ พอเขานั่งลง อาหารก็ถูกบริกรหนุ่มสาวยกมาเสิร์ฟไว้บนโต๊ะหลายจานพร้อมกัน

เสร็จแล้วเจ้านายหนุ่มก็พยักหน้าให้ ทั้งหมดจึงรีบตรงไปหาลิฟต์ แล้วทั้งชั้นก็มีเพียงสองคนที่หลงเหลืออยู่ วริญรำไพเงยหน้าจากจานอาหารไปมองเขาแล้วยิ้มบางๆ

“ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองหิวมากก็ตอนเที่ยงคืนนี่เอง งั้นเรากินเลยนะครับ”

แล้วก็ต้องยิ้มออกมาอีก เมื่อเห็นเขาก้มลงจัดการกับอาหารตรงหน้าอย่างจริงจัง ส่วนตัวเองนั้นเพียงแค่ตักเข้าปากนิดๆ หน่อยๆ เพราะอิ่มจากในงานแล้ว อีกทั้งปกติก็ไม่ค่อยจะกินมื้อเย็นอยู่แล้ว

“ตึกหมุนด้วยเหรอคะ” กินไปได้เกือบครึ่งชั่วโมงวริญรำไพเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าที่นั่งของตัวเองย้ายห่างจากหน้าลิฟต์มาเล็กน้อย

“ผมอยากให้คนปากน้ำ คนบางปูหรือคนแถวๆ นี้ ได้ขึ้นมากินมื้อเที่ยงหรือค่ำบนตึกที่หมุนได้เหมือนในกรุงเทพฯ หรือที่พัทยาบ้าง อาหารผมก็ตั้งราคาไม่แพงนะ แค่หัวละเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเอง”

เขาอธิบาย ขณะที่ตัวเองลุกขึ้นยกจานชามบนโต๊ะไปถือไว้ “เอ่อ! ผมให้พนักงานกลับบ้านหมดแล้ว เพราะเลยเวลาทำงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว ผมเลยต้องทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี กินแล้วต้องเก็บ”

วริญรำไพเลยลุกขึ้นช่วยเขาบ้าง “คุณอยากเต้นรำกับผมหลังอาหารเย็นที่จะตีหนึ่งแล้วมั้ย”

ชั่วอึดใจนั้นเอง ที่บรรยากาศในยามบ่ายแก่ๆ ใต้ต้นเหรียงที่มีพี่หินอยู่ข้างๆ ก็สะกิดหัวใจอันแหลกสลายขึ้นมาทันที

“ถ้าคุณจะมีมงกุฏดอกไม้ให้ ฉันก็ยินดีค่ะ”

ชลธิปเลิกคิ้วเล็กน้อย “งั้นผมคงจะอดแล้วล่ะ เพราะคงไม่มีพนักงานคนไหนที่จะเนรมิตมงกุฏให้ผมในตอนนี้ได้ เอ...แต่เดี๋ยวนะ” เขายกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงบอกให้รอ แล้วรีบตรงไปยังเก้าอี้

ดึงผ้าสีทองที่ผูกเป็นโบเอาไว้ตรงพนักพิงออกมา แล้วก้าวเร็วๆ มาหาเจ้าของชุดสีทับทิม

“ขอโทษนะครับ”

เอาผ้าพันรอศีรษะสาวตรงหน้าเพื่อวัดขนาด แล้วรีบขมวดผ้าให้เป็นริ้วๆ จับกุหลาบบนแจกันมาเสียบสลับกับจับริ้ว

“คนไม่ประสางานศิลอย่างผมก็มีปัญญาเท่านี้ล่ะครับ ผมพอจะได้คู่เต้นรำบ้างหรือเปล่าครับ”

เขายิ้มออก เมื่อสวมมุงกุฏผ้าดอกไม้ไปให้เจ้าของใบหน้าที่ยิ้มออกมาอย่างทึ่งในความมีไหวพริบของเขา แต่เขากลับทำท่าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “แต่เราไม่มีดนตรีนี่สิ จะทำยังไง ผมคงเรียกใครมาเปิดเพลงให้ไม่ได้แน่”

“งั้นเราก็ควรจะกลับลงไปดีมั้ยคะ”

วริญรำไพส่งสีหน้าทำท่าว่าสงสารที่เขาต้องผิดหวัง แต่เขากลับยิ้มแป้นออกมาแล้วยกนิ้วเป็นเชิงบอกให้รอตามเคย เพราะไอเดียเพิ่งกระฉูดออกมาอีกอย่างแล้ว

“วันก่อนผมได้ยินเพียงนี้ในงานแต่งลูกค้าตอนเปิดตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาว ผมว่ามันเพราะดีเลยทำเป็นเสียงเรียกเข้า และนี่จะเป็นเพลงเปิดฟลอร์ของเรา”

มือถือในกระเป๋ากางเกงของเขา ถูกเปิดขึ้นแล้วเอาไปวางที่โต๊ะ พออินโทรเพลงขึ้นมา เขาก็ตรงมาหาสาวน้อยกับมงกุฏผ้าแล้วโค้งตัวเป็นการเชื้อเชิญ

“เพลงอะไรคะฉันไม่เคยได้ยิน” สองขาก้าวไปตามจังหวะช้าๆ สองดวงตาจ้องมองเขาแล้วยิ้มบางๆ ให้

“เพลง ทเวล ออฟ เนเวอร์ครับ แต่คุณนงค์บอกผมว่า มีเพลงไทยที่มีความหมายตรงกันและร้องได้ซึ้งกินในด้วย แล้วแกก็หามาให้ผมฟัง บอกได้คำเดียวว่าถูกใจผมมากจนต้องเอามาเก็บไว้ในมือถือเลย” ส่วนเขาก็ทำแบบเดียวกัน

“เพลงอะไรคะ” วริญรำไพชักอยากรู้ขึ้นมาทันใด

“ไม่บอกครับ เรามาฟังพร้อมกัน”

เขาส่งยิ้มน้อยๆ ให้แล้วจ้องมองดวงตาคู่เศร้าขณะก้าวไปตามจังหวะ และเลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา มากไปกว่าซึมซับเอาเสียงบทเพลง

‘เมื่อใดเสือไม่รักป่า เมื่อใดหญ้าไม่รักดิน
เมื่อใดน้ำหยุดไหลริน เมื่อนั้นฉันสิ้นรักเธอ’
ควบคู่กับการประคองมือบาง ร่างผอมไว้แนบอกเพียงเท่านั้น วริญรำไพเองก็กำลังปล่อยหัวใจให้ล่องลอยกลับไปหาสิบสองปีที่แล้ว ที่มีพี่หินจับสองมือไว้

‘เต้นยังไงล่ะพี่หิน’

‘จะยากอะไร เอามือจับกันไว้สองข้าง แล้วก็ค่อยๆ ก้าวขาแบบนี้ๆ เอ๋ยก้าวตามพี่นะ’

‘ทำไมพี่หินเต้นเป็นล่ะ’

‘ก็ไม่รู้สิ พี่อาจจะเคยเต้นล่ะมั้ง เหมือนที่พี่จำพวกคณิต วิทย์ได้ จนสอนเอ๋ยได้ล่ะมั้ง ก้าวขาตามพี่เร็ว ช้าๆ นะ อย่างนั้นๆ’

สองพี่น้องต่างสายเลือดค่อยๆ ก้าว ปากก็ฮัมเพลงเบาๆ ตามประสาไปด้วยเมื่อสิบสองปีก่อน ส่วนอีกสองร่างในปัจจุบันก็กำลังเคลื่อนกายตามเสียงเพลงไปอย่างเชื่องช้าอยู่บนยอดตึกที่ไม่มีใครเข้ามาข้องเกี่ยวเลย

‘เมื่อใดงูไม่หวงไข่ เมื่อใดนกไม่ละเมอ
เมื่อใดไร้ไก่ขันเก้อ เมื่อนั้นเธอไร้ฉันแน่นอน’
วริญรำไพยิ้มกว้างออกมา เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวเองเหยียบเท้าพี่หินในบางครั้งที่หัดเต้นด้วยกัน และประจวบ
เหมาะกับชลธิปก้มลงมามองพอดี
เขายิ้มบางๆ ให้ และรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยครั้งเหลือเกินเวลาได้อยู่ใกล้ๆ สาวผิวสีน้ำผึ้งคนนี้ “ผมชอบจังเวลา
เห็นคุณยิ้มแบบนี้มันทำให้คุณสวยน่ามองมากๆ”
วริญรำไพอายจนพูดอะไรไม่ออก “คุณรู้มั้ยเวลาที่คุณยิ้มทีไร มักจะทำให้อะไรต่อมิอะไรรอบตัวผมหยุดนิ่งอยู่กับที่ ผมมองไม่เห็นอะไรหรือว่าใครอีก นอกจากรอยยิ้มคุณ”

“...”

เจ้าของรอยยิ้มยังคงพูดอะไรไม่ออก นอกจากเคลื่อนกายตามเขาไปอย่างเชื่องช้าเท่านั้น “ขอผมถามอะไรคุณนิดจะได้มั้ยครับเอ๋ย” ชลธิปไม่แน่ใจนักว่าควรจะเอ่ยออกไปดีไหม

“อะไรคะ”

แต่เมื่ออีกคนเอ่ยมา เขาก็ควรจะกล้าที่จะเดินหน้าต่อ “ผมอยากถามว่า คุณจะวิ่งหนีผมเหมือนคืนที่อยู่บนดาดฟ้ามั้ย ถ้าผมจะ...”

วริญรำไพเงยขึ้นไปมองเมื่อเขาเว้นวรรคคำพูดไว้ สายตาทั้งสองคู่ประสานกันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลาจะค่อยๆ ลดระดับลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

กระทั่งพานพบกับริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่ดูเหมือนจะรับรู้ว่าเขากำลังจะมอบจุมพุตให้ยังไงยังงั้น เสียงเพลงในมือถือยังคงขับกล่อมไป แต่สองกายหยุดเท้าไว้อยู่กลางฟลอร์

‘ตราบทิวาไร้สุรีย์ ตราบราตรีไร้ศศิธร
ตราบหิมาลัยโยกคลอน ตราบนั้นฉันจะร้างลา

เมื่อใดมดลืมน้ำตาล เมื่อใดบ้านลืมหลังคา
เมื่อใดลมไม่พัดพา เมื่อนั้นฉันหยุดรักเธอ’ ขอบคุณศิลปินผู้ล่วงลับอิทธิ พลางกูร เพลงเมื่อใดฉันไร้รัก
สองวงแขนแข็งแรงโอบกอดร่างระหงในชุดสีทับทิมสวยงามเอาไว้ แล้วดูดดื่มความหอมหวานของน้ำผึ้งเดือนห้าที่เขาปรารถนามาช้านาน

นับตั้งแต่ที่ได้อุ้มร่างผอมๆ นี้วางไว้กับเตียงพยาบาลในเช้าวันนั้นแล้วด้วยซ้ำ เขาไม่คิดว่านี่จะเป็นเพียงความใคร่ หรือความอยากจับต้องอยากลิ้มลองของสวยงามที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ทว่าเหมือนเขามีสายใยผูกพันกับคนในอ้อมแขนอยู่ลึกๆ สุดใจ ที่ไม่เคยมีใครค้นพบ แม้แต่เขาเองก็ตามที กระทั่งในค่ำคืนที่ได้มอบจุมพิตแรกให้เจ้าของกายแข็งทื่อในคืนนั้น ซึ่งผิดกับคืนนี้ไปบ้างเล็กน้อย

เพราะร่างเล็กๆ กำลังโอบกอดเขาตอบ และพยายามจะมอบจุมพิตอันไร้เดียงสา ไร้ชั่วโมงบินตอบเขา วริญรำไพรู้สึกเหมือนตัวจะลอยขึ้นกลางอากาศ แม้จะมีวงแขนเขาโอบรั้งไว้สักแค่ไหนก็ตาม



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ก.ย. 2558, 12:14:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ก.ย. 2558, 12:14:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 826





<< ตัวไกลแต่ใจใกล้ ๑๐๐%   สงสัยในเสี้ยนหนาม ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account