ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ


‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’

‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’

‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’

‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’


วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น


“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”

น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”

“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”

ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน

“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”

ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”

กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย

และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง

“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”


ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย



“นรกสำหรับคุณไง!”

เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง

“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”

“...”

“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”

ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น

“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”

“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”

“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”

“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”

“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”

“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”

“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง

“โอ๊ย!!!”

จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”

ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”

“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”

“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”

เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง

“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”

“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”


ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง


“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”

พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน

“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”

ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”

“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”

ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน


อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์


“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”

“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ

“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”

“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”

“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”

“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”

“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”

“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”

“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”




==========================================================

สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย

หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ

นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ขอเวลาค้นหาคำตอบอีกครั้ง ๑๐๐%

‘ตี๊ดดดดด’

‘ตี๊ดดดดดดดด’

เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังหลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่มหนา พลิกไปมาอย่างไม่อยากจะตื่น และไม่อยากจะสนใจกับเสียงออดที่ดับแต่อย่างใด เพราะเสร็จงานเมื่อคืนเกือบตีสอง

‘ตี๊ดดดดดดดดดดดด’

แต่ก็จำต้องยอมลุกไปหาประตูเมื่อคนข้างนอกไม่คิดจะยอมแพ้ง่ายๆ แล้วสายตาที่ยังง่วงหงาวหาวนอนก็เบิกโพลงขึ้นทันควัน เมื่อส่องดูตรงตาแมวแล้วได้เห็นว่าเป็นใครยืนอยู่

เสื้อคลุมถูกคว้าขึ้นมาสวมทับชุดกางเกงขาสั้นจู่กับเสื้อกล้ามทันที น้ำเปล่าถูกราดรถไปที่ใบหน้ารูปไข่อย่างรวดเร็ว ผมยาวถูกรวบมาพาดไว้กับบ่าก่อนจะไปเปิดประตูเพราะเกรงว่าอีกคนจะรอนาน

“ผมอยากจะมาชวนคุณไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกดินหน่อยนะครับ วันหยุดคุณไม่มีโปรแกรมไปไหนใช่มั้ยครับ”

ร่างสูงในกางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ตนีขาวช่วยส่งให้เขาดูดีเหลือเกินเวลายิ้ม “เอ่อ! ค่ะ ยังไม่มี” จนทำให้เผลอบอกเขาไปตามซื่อ ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากจะนอนพักมากกว่า

“งั้น ผมขอเข้าไปนั่งจิบกาแฟรอให้คุณอาบน้ำแต่งตัวจะได้หรือเปล่าครับ ผมรีบออกมาเลยไม่ทันได้กินอะไร”

“ค่ะ”

ประตูเปิดอ้ารับเขาอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนัก ด้วยกลัวว่าจะไม่เหมาะสม แต่ครั้นพอคิดอีกทีก็ไม่อยากจะเอาคำว่า

‘ไม่’

มาเป็นเครื่องกางกั้นสายสัมพันที่เริ่มจะมีให้กันเพิ่มขึ้นอีกระดับนัก รังแต่จะทำให้หัวใจไร้สุขไปเปล่าๆ เพราะที่ผ่านมาคำว่าทุกข์ใจก็แทบจะเดินตามทุกย่างก้าวอยู่แล้ว

“คุณดื่มกาแฟแบบไหนคะ”

“ผมจัดการเองได้ครับ แค่คุณบอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนเท่านั้น จะได้ไม่เสียเวลาอาบน้ำแต่งตัวของคุณไงครับ แล้วคุณดื่มแบบไหนผมจะชงรอครับ”

“หนึ่ง สอง สองค่ะ ขอตัวนะคะ”

วริญรำไพรีบเข้าไปในห้องนอนทันทีหลังชี้บอกเขาว่าจะหาของทุกอย่างได้จากครัวเล็กๆ ชลธิปเสียบปลั๊กกระติกน้ำร้อนแล้ว ก็เปิดตู้หาทุกอย่างเอามาวางไว้บนเคาน์เตอร์

แก้วกาแฟทรงเลนส์ถ่ายรูปสีขาวคาดดำที่คว่ำอยู่ถูกเขาหยิบขึ้นมาสองใบ อดยิ้มให้กับความแปลกตาแล้วก็ไม่ใคร่จะได้เห็นบ่อยนัก ก่อนจะตักผงในโถแก้วลงไป

แล้วยืนรอให้น้ำเดือดอยู่ตรงนั้น ในใจก็อดขำตัวเองไม่ได้ ที่หนีการพาว่าที่เจ้าสาวไปแจกการ์ดด้วยการปิดมือถือไว้ดื้อๆ มาอยู่กับอีกสาวที่ยังไม่ตื่นนอนด้วยซ้ำ

เขารู้ว่านี่อาจจะไม่ถูก!

หรือจะเรียกได้ว่าผิดก็ได้!

แต่เขาก็เลือกที่จะทำผิดในตอนนี้ ดีกว่าปล่อยให้ทุกอย่างถลำลึกไปไกลกว่านี้ เพราะรั้งแต่จะไม่ดีด้วยกันทุกฝ่าย และยิ่งนับวันเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่ใช่สำหรับหัวใจต้องการอย่างแท้จริงนั้น

ไม่น่าจะเป็นดลยาอีกต่อไปแล้ว!

แต่เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เขาก็อยากจะดูๆ ไปอีกสักนิด ใกล้ชิดคนที่กำลังอาบน้ำอีกหน่อย ค่อยๆ ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ แม้ในความรู้สึกเขาเหมือนคุ้นเคยกันมานานก็ตาม

“ถ้าน้ำเพิ่งจะเดือดเรายกแก้วไปกินในรถก็ได้นะคะ”

ร่างสูงใหญที่เอาสะโพกพิงเคาน์เตอร์อยู่สะดุ้งนิดๆ กับเสียงนี้ ก่อนจะหันไปมองร่างผอมบางในชุดที่เขาคุ้นตา และน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกับเวลาไม่กี่นาทีที่ใช้ไปแล้วทำให้ออกมาดูดีขนาดนี้

“ครับ ก็ดีเลยจะได้ไม่สาย”

วริญรำไพเดินเข้ามาในครัว แล้วเปิดตู้หยิบฝาแก้วกาแฟลงมา ก่อนจะกดน้ำใส่แก้วแล้วยื่นให้เขาช่วยคน ส่วนตัวเองก็กดใส่อีกแก้ว คนไม่กี่ทีก็ปิดฝาทันที

“เราจะไปถ่ายที่ไหนกันดีคะ ไกลหรือเปล่าคะ”



ท่าเรือยอร์ชที่นาจอมเทียน คือจุดหมายปลายทางที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เอสยูวี เอ็ม-คลาสเลี้ยวเข้าไป และไม่นานวริญรำไพก็ได้ก้าวลงไปยืนอยู่บนเรือที่มีเขาเป็นคนคุมหางเสือมุ่งออกสู่ท้องทะเลเรียบร้อยแล้ว

กระเป๋าหนังสะพายกับกระเป๋ากล้องคู่ใจถูกปลดออกจากบ่าวางไว้กับเบาะหนังสีครีมสะอาดสะอ้าน จนกล้าทำเศษอะไรตกลงไปแม้แต่ชิ้นเดียว

แคนนอนเจ็ดดีถูกมือบางเอาเลนส์ไวด์ประกอบเข้าไปอย่างคล่องแคล่ว เมื่อวิวสีฟ้าครามสวยจนยากจะห้ามใจให้กดชัตเตอร์เก็บเอาไว้ในความทรงจำอีกหลายสิบภาพ

“ระหว่างรอให้พระอาทิตย์ตกดิน คุณต้องสอนถ่ายรูปแบบพื้นฐานเพื่อแลกกับอาหารแล้วก็เรือคุณพ่อที่ผมแอบฉกออกมาพาคุณเที่ยวนะครับ”

ชลธิปเดินตามไปยังดาดฟ้า หลังทอดสมออยู่กลางเวิ้งกว้างที่ห่างไกลผู้คนเรียบร้อยแล้ว วริญรำไพหันไปหาเขาขณะที่ยังมีกล้องพร้อมเลนส์ราคาแสนกว่าคล้องอยู่ที่คอ

“ก็ได้ค่ะ”

ก่อนเอ่ยแล้วยิ้มบางๆ ให้เขา เลยได้รอยยิ้มกว้างกว่าปกติเป็นเครื่องตอบแทน “งั้นเรากินมื้อเที่ยงก่อนดีกว่ามั้ยครับ เดี๋ยวนักเรียนอย่างผมจะไม่มีแรงฟังคุณครูสอน”

“ค่ะ”

แล้วมือบางก็ยื่นไปหามือหนาของเขาที่ยื่นมาให้เกาะเพราะความห่วงคนตัวเล็กๆ จะพากล้องล้มไปก่อน “ว่าแต่คุณเข้าครัวบ่อยแค่ไหนครับ ส่วนผมบอกได้คำเดียวว่าไม่ได้เรื่อง”

พอถึงครัวเล็กๆ แล้วเขาก็หันมาหาด้วยสีหน้ามีแววกังวลน้อยๆ แต่ไม่ได้จริงจังอะไรมาก วริญรำไพคิดนิดหนึ่งขณะเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจดูของที่มี

“ถ้าอยากกินตอนนี้เลยก็คงต้องเป็นสปาเก็ตตี้ผัดกุ้งนี่ล่ะค่ะ แต่ถ้าจะรอให้หุงข้าวเสร็จก่อน เราก็อาจจะได้กินข้าวผัดกุ้ง หรือไม่ก็ผัดผักใส่กุ้ง ต้มจืดอะไรสักอย่างค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าฉันเองก็ไม่เก่งเรื่องนี้เลยค่ะ ส่วนใหญ่จะกินจากข้างนอกแล้วถึงกลับคอนโดค่ะ”

“งั้นเราคงต้องช่วยกันแล้วล่ะจริงมั้ยครับ ถ้าฝีมือเราไม่เข้าท่ายังไง เราก็ยังมีอาหารแช่แข็งพวกนี้ไว้ประกันว่าเราจะไม่อดตายแน่ๆ อยู่แล้ว”

เพราะหัวใจที่ต่างเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อยามได้อยู่ใกล้กัน อาหารก็พลันเป็นเรื่องรองเมื่อทั้งสองได้พูดคุยกัน เมนูหลังจากถูกเจ้าของเรือเลือก เพราะจะได้ใช้เวลาช่วยกันเตรียมของระหว่างรอข้าวสุกไปด้วย

ชั่วโมงกว่าๆ อาหารที่ไม่ได้ห่วย แต่ก็ไม่ถึงกับอร่อยมากที่ช่วยกันทำถึงได้ตกถึงท้อง ตามด้วยไอศรีมคนละถ้วย ชั่วโมงเรียนจึงเริ่มขึ้นแบบไม่จริงจังนัก เพราะนักเรียนหนุ่มมักจะชวนครูสาวคุยเรื่องอื่นมากกว่า

แต่สุดท้ายเมื่อยามใกล้ถึงเวลาที่พระอาทิตย์จะตกน้ำแล้วนั้น นักเรียนหนุ่มก็จริงจังขึ้นมาในที่สุด เพราะอยากเก็บภาพอันน่าประทับใจและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มาถ่ายไว้แบบนี้อีก

เรื่องถ่ายพระอาทิตย์นั้นนักเรียนไม่ห่วงสักเท่าไหร่ แต่เรื่องที่กลัวจะไม่มีครูสาวสวยมาอยู่ด้วยนั่นมากกว่าที่ทำให้เป็นกังวล เลยต้องตั้งใจฟังคำครูให้ดีๆ นั่นเอง

“มืออาชีพกับมือสมัครเล่นนี่ต่างกันเยอะเลยนะครับ”

ชลธิปยอมรับความจริงแบบไม่อาย เมื่อมองภาพที่ตัวเองถ่าย เทียบกับภาพของครูสาว ก็เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนว่าของใครเจ๋งกว่าโดยไม่ต้องคิดนาน

“อีกหน่อยคุณก็เก่งค่ะ ถ่ายบ่อยๆ สิคะ”

“ครับคุณครู”

เขารับอย่างไม่เกี่ยงงอน ขณะนั่งอยู่ดาดฟ้าเหยียดขาออกไปแบบสบายๆ สองมือก็ค้ำไว้ด้านหลัง อีกคนก็นั่งในท่าเดียวกัน

“ผมชอบบรรยากาศแบบนี้จัง อยากมานั่งอยู่แบบนี้ทุกวันเลย”

เขาละคำว่า ‘กับคุณ’ เอาไว้ในใจ ขณะจ้องมองไปยังทิศทางเดียวกับเขา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นอกจากนั่งมองอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ

จนไร้แสงสีแดงสาดส่องให้เห็นแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังนั่งนิ่ง ดื่มด่ำกับความเงียบรอบตัว อยู่อย่างนั้นนานนับสิบนาทีกันที่ชลธิปจะหันไปหาคนข้างๆ

“คุณมีปัญหาเกี่ยวกับการกลับบ้านไม่ตรงเวลาบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไม่ค่ะ คุณถามทำไมคะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ผมยังไม่อยากกลับคืนนี้เท่านั้นเอง เรือมีห้องนอนใหญ่กับห้องนอนเล็ก ถ้าคุณจะไม่ว่าอะไรที่เราจะค้างคืนที่นี่ ผมจะยกห้องใหญ่ให้คุณเองครับ”



กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2558, 16:44:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ย. 2558, 16:44:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 912





<< สงสัยในเสี้ยนหนาม ๑๐๐%   ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พึงมีด้วยกัน ๑๐๐% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account