ตราบฟ้าไร้ดาว
พี่หิน หนุ่มน้อยนิรนาม ผู้มามอบโลกใบใหม่ที่สดใสสวยงามให้น้องเอ๋ย และจากไปพร้อมกับโลกใบนั้น
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
ทิ้งไว้แต่โลกมืด โลกไร้สุขและสิ้นหวังเอาไว้ให้
น้องสาวที่เขาเองก็รักปานดวงใจ
‘พี่รักเอ๋ยนะจ๊ะ สามสี่วันที่ออกเรือ พี่คงจะต้องเป็นบ้าแน่ๆ เพราะคิดถึงเอ๋ย แล้วเอ๋ยล่ะ รักพี่และจะคิดถึงพี่หรือเปล่า’
‘ไหนบอกให้พี่ชื่นใจหน่อยสิจ๊ะคนดี’
‘บอกให้พี่ได้ยินหน่อยสิจ๊ะคนดีของพี่ เดี๋ยวเราต้องรีบกลับเข้าบ้านกันแล้วนะ’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
‘ถ้าเอ๋ยไม่บอก พี่ต้องตายเพราะอยากรู้แน่ๆ เลย นะนะ บอกพี่ที’
วรินรำไพ หรือ เอ๋ย หญิงสาวผู้ไม่หลงเหลือหัวใจให้ใครได้แล้ว
นอกจาก 'พี่หิน' คนเดียวเท่านั้น
“พี่หินจ๋า! เอ๋ยมารับพี่หินแล้ว พี่หินอยู่ไหนจ๊ะ พี่หินกลับมาหาเอ๋ยสิจ๊ะ”
น้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้งนั้น หลั่งไหลลงมาอีกมากมาย เมื่อภาพในค่ำคืนนั้นลอยมาอยู่ตรงหน้าสาวน้อยที่กำลังเจ็บเสียด แน่นที่อกเพราะความเสียใจ
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยรักพี่หิน”
“เอ๋ยจะรักเพียงพี่หินคนเดียวเท่านั้น พี่หินต้องกลับมาหาเอ๋ยนะจ๊ะ เอ๋ยรู้ว่าพี่หินยังไม่ตาย”
ร่างเล็กยกเสื้อผ้าพี่ชายขึ้นมากอดไว้ ก่อนจะแนบแก้มลงไปหา ปล่อยให้หยาดหยดน้ำตาไหลรินลงไปใส่ ประหนึ่งอยากให้พี่ชายที่แสนดีมาซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาเพราะความเสียใจอย่างสุดซึ้งก็ไม่ปาน
“เอ๋ยจะรอพี่หินอยู่ตรงนี้ตลอดไป พี่หินได้ยินมั้ยจ๊ะ ว่าเอ๋ยจะรอพี่หินคนเดียว และจะรักพี่หินคนเดียวเท่านั้น”
ประโยคอ้อนวอนของพี่ ตกย้ำซ้ำเติมให้น้ำตาน้องหลั่งรินออกมามากมายแล้วแทบจะกลายเป็นสายเลือด เพราะความเสียดายที่ไม่ได้บอกคำที่พี่อยากได้ยินออกไป ถ้าเพียงแต่น้องคนนี้ล่วงรู้ว่าความตายจะมาพรากพี่ไปจากน้องในรวดเร็วขนาดนี้
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักและจะรอให้พี่หินกลับมาหาเอ๋ยอีก กลับมาสร้างบ้านในฝันของเรา กลับมาอยู่กับเอ๋ย มีลูกตัวเล็กๆ กับเอ๋ย แล้วเราจะจูงลูกไปส่งโรงเรียน เหมือนที่พี่หินบอกไว้ไงจ๊ะพี่หินจ๋า”
กายเล็กๆ และยังกอดเสื้อผ้าพี่หินอยู่นั้น ค่อยๆ รูดเลื่อนไปตามผนังเก๋งเรือลงไปหาพื้น เมื่อมีประโยคอ้อนวอนของพี่ลอยมาตอกย้ำความผิดพลาดไม่ขาดหาย
และถ้าเพียงเลือกได้อีกครั้ง ถ้าเพียงย้อนเวลากลับมาได้อีกครั้ง ถ้าเพียงมีพี่ชายที่แสนดีอยู่ข้างกายอีกครั้ง ถ้าเพียงค่ำคืนสุดท้ายที่ได้อยู่กับพี่ชายแบบนั้นอีกครั้ง
“เอ๋ยรักพี่หินจ๊ะ รักมาก รักมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก และพี่หินจะอยู่ในใจเอ๋ยตลอดไปจ๊ะ แล้วเอ๋ยก็จะรอ รอวันที่พี่หินกลับมาหาเอ๋ย กลับมาฟังคำบอกรักจากเอ๋ย กลับมาทำความฝันที่เรามีด้วยกัน เอ๋ยจะรอพี่หินจ๊ะ ต่อให้เอ๋ยจะต้องไปตลอดชีวิต เอ๋ยก็จะรอพี่หินคนเดียว จะรักและจะรอพี่หินของเอ๋ยคนเดียว ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เอ๋ยก็จะรอ”
ชลธิป จิระธนานนท์ หรือ คุณร๊อค
ผู้บริหารหนุ่มเจ้าของ‘ตาเบบูญา บางปูปาร์ค รีโซเทล แอนด์ สปา’
ผู้ที่หวนกลับมาทำร้ายคนที่เขารักปานดวงใจ
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระทั่งวินาทีสุดท้าย
“นรกสำหรับคุณไง!”
เขาคว้าแขนเล็กๆ ไว้แล้วกระชากตามตัวไปอย่างแรง
“เงียบทำไม! ถึงเวลาที่คุณจะต้องอธิบายให้ผมฟังได้แล้ว ว่าคุณทำยังไงถึงได้รอดจากการติดคุก ถ้าเหตุผลเพียงเพราะคุณอยากได้ตัวผม เงินผม คุณก็บอกมาดีๆ สิ ผมจะจัดให้!”
“...”
“เงียบทำไม! คุณบอกผมมาสิว่าทำไม! ตอบผมมาให้ได้! ไม่อย่างนั้นคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณเอง! ตอบผมมา!!!”
ประตูห้องเปิดออกได้ ร่างผอมบางก็ถูกกระชากแขนอย่างแรงเข้าไปในห้องจนกระแทกกับตู้เสื้อผ้า ทว่าวริญรำไพก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา นอกจากมีน้ำตาไหลรินอาบสองแก้มเท่านั้น
“คุณพูดไม่ออกเหรอ! หรือบอกผมไม่ถูกว่าคุณใช้วิธีไหน ถึงได้รอดคุกมา!”
“ฉันเปล่า ฉันไม่ได้ทำอะไร คุณก็รู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ”
“ผมไม่โง่พอที่จะเชื่อคำของคุณ เหมือนพ่อผม เหมือนพ่อตาผม เหมือนทนายนั่น หรือเหมือนไอ้หน้าโง่คนไหนทั้งนั้น เพราะผมรู้ดีว่าคุณมันแผนสูง คุณมันเก่งเรื่องมารยาสาไถจนผมเกือบจะหลงเชื่ออยู่แล้ว บอกผมมาสิ ว่าคุณไปทำอีท่าไหนทุกคนถึงได้เชื่อคุณนัก คุณลงทุนเอาตัวไปประเคนให้ถึงเตียง เหมือนที่ประเคนให้ไอ้ล่ำนั่นหรือเปล่า!!!”
“ฉันเปล่า คุณกำลังเข้าในฉันผิด”
“ใช่! ผมเข้าใจคุณผิด ผิดมาโดยตลอดที่คิดว่าคุณมันเป็นคนดี! คนซื่อ คนสะอาดบริสุทธิ์! แต่ตอนนี้ผมเข้าใจถูกต้องแล้ว ว่าคุณมันเลวยังไง! คดยังไง! สปรกแค่ไหน! ในตัวคุณมันเต็มไปด้วยคราบคาวของผู้ชายรวยๆ กี่สิบคนแล้ว หรือกี่เที่ยวแล้วล่ะ คุณถึงได้พ้นผิด คุณไปแบให้ตั้งแต่ร้อยเวรที่โรงพักยันไอ้ทนายมือหนึ่งนั่นเลยหรือเปล่า! พวกเขาถึงได้เชื่อ จนปล่อยให้คุณออกมายืนหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ ทีนี้ก็ถึงเวลาที่คุณจะทำให้ผมเชื่อเหมือนคนพวกนั้นบ้างแล้วล่ะ”
“ไม่จริง! ฉันไม่เคยทำอะไร คุณกำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันไม่เคยทำแบบนั้น!”
“ผมไม่เชื่อ!!! หรือถ้าคุณอยากให้ผมเชื่อ ก็ให้ผมพิสูจน์สิ! ว่าคุณมันบริสุทธิ์จริง! อย่าดีแต่เสแสร้ง!” เขาเข้าไปจับสองไหล่เหวี่ยงไปหาเตียง
“โอ๊ย!!!”
จนร่างผอมๆ ร้องด้วยความจุก “คุณเจ็บเหรอ! แค่นี้มันยังน้อยไป! มันยังไม่สาสมที่คุณทำให้ผมเจ็บ! ต่อไปนี้คุณก็เชิญมีชีวิตอยู่ในขุมนรกกับผมก็แล้วกัน!”
ร่างเล็กๆ ถูกร่างใหญ่ๆ ล็อกไว้กับเตียงทันที ปากก็ร้องขอ อ้อนวอนต่อเขาทั้งน้ำตา “อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่า!!!”
“นี่เป็นคือคำพิพากษาสูงสุดจากผมสำหรับผู้หญิงชั่วอย่างคุณ!!!”
“อย่า!!! ได้โปรดอย่าทำ...”
เรี่ยวแรงในกายที่เคยมีตอนนี้หดหายไปหมดแล้ว เมื่อถูกอีกกายตรึงไว้กับเตียงใหญ่ แล้วระดมจูบอย่างรุนแรง ไร้ซึ่งความปรานีใดๆ จนเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเอง เมื่อเขายื่นความจำนงค์ให้รู้อย่างโจ่งแจ้ง
“อย่า!!! ได้โปรด!!! อย่าทำอย่างนี้กับฉัน!!!”
“อย่ามาขอชีวิตจากยมบาลอย่างผม! เพราะไม่มีทางที่ผมจะปล่อยให้คุณลอยนวลอยู่ได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรแน่!!! คุณต้องตาย! และต้องตายทั้งเป็นด้วย!!!”
ดลยา นิติพงษ์พาณิชย์ หรือ คุณย่า
สาวผู้เกิดมามีทุกอย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ
และมีเป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เพราะเธอนั้นแสนดีจนเป็นที่เลื่องชื่อ
จนได้หัวใจของชลธิปไปครอบครอง
“มาแล้วตากล้องมือดีที่คุณย่าจองตัวไว้ เอ๋ยมารู้จักคุณย่าเร็วๆ เข้า”
พอไปถึงซุ้มเรือนไทยที่ใช้เป็นที่ตระเตรียมข้าวของ เจ้านายสาวก็รีบลากแขนให้เดินตรงไปหาว่าที่เจ้าสาวที่อยู่ในชุดขาวสะอาดตา สวยงามราวเทพธิดาจำแลงกายมาก็ไม่ปาน
“สวัสดีค่ะคุณเอ๋ย ได้เจอตัวกันสักทีนะคะ หลังจากที่คาดกันมาสองสามรอบแล้ว”
ดลยาเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสก่อน วริญรำไพที่ยกมือไหว้ดวงกมลแล้วถึงได้หันไปหาลูกค้าซุปเปอร์วีไอพี “สวัสดีค่ะคุณย่า ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
แล้วก็ยกมือไหว้ทักทายพร้อมส่งยิ้มบางๆ เพียงเล็กน้อยให้ตามสไตล์ที่ทุกคนมักจะคุ้นเคย “เช่นกันค่ะ ยังไงก็ต้องใช้ฝีมือถ่ายภาพย่าออกมาให้สวยที่สุดเลยนะคะ”
“ค่ะ งั้นเอ๋ยขอตัวไปเตรียมกล้องก่อนนะคะ”
ดลยาหันไปหาดวงกมลกับสุภาภรณ์แล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะตอนที่แต่งตัวอยู่บนห้อง ทั้งสองบอกไว้แล้วว่าตากล้องสาวผมยาวถึงเอวเป็นคนพูดน้อย เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ค่อยสังสรรหรือสุงสิงกับใครมากนอกจากจะเกี่ยวข้องกันในเนื้องาน
อติรัตน์ จิระธนานนท์
ผู้หญิงที่กุมชะตากรรมทุกคนไว้ในมือ
ผู้หญิงที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น
นอกจากหน้าตาทางสังคม ความเหมาะสม และผลประโยชน์
“ไม่ต้องมาสำบัดสำนวนกับฉันให้มากความหรอก!! เท่าไหร่บอกมา!!!”
“ห้าล้านพอมั้ย!!!” อติรัตน์รีบยื่นข้อเสนอ
“ถ้าน้อยไปก็สิบล้าน!!! แล้วเธอก็ต้องปิดปากให้เงียบ!!! อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร!!!”
“งั้นก็ยี่สิบล้าน! ค่าช่วยชีวิตลูกฉัน อีกสิบล้าน! สำหรับเธอที่ต้องปิดปากเงียบ อีกสิบล้าน! สำหรับการเดินไปจากชีวิตลูกฉันซะ และอีกสิบล้าน! สำหรับการไปแล้วไม่ต้องหวนกลับมาหาลูกฉันอีก ทั้งหมดห้าสิบล้าน!!! ฉันว่าเธอรวมคนทั้งเกาะหาไปตลอดชาติก็ไม่มีทางได้เห็นเงินก้อนนี้ด้วยซ้ำ”
“ว่าไง!! จะเอาหรือไม่เอา! อย่ามาลีลาเพื่อจะขึ้นค่าปิดปากนะฉันไม่ชอบ! หรืออยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา! ฉันจะชดใช้ให้!!!”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉันนะ! บอกมาอยากได้เท่าไหร่ฉันจะจ่าย!!!”
“อย่ามาตีฝีปากกับฉัน!!! เธออยากได้อะไรฉันจะชดใช้ให้!!!”
“บอกมาว่าต้องการเท่าไหร่! ฉันจะจ่ายให้!!! แล้วรีบไสหัวออกไปจากชีวิตพวกฉันสักที!!! ฉันเบื่อที่จะต้องตามแก้ปัญหาที่เธอคอยตามสร้างให้เต็มทีแล้ว!!!”
“ทำไมฉันต้องสนด้วย!!!”
==========================================================
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย
หนึ่งคอมเม้นต์คือหนึ่งแรกผลักดันและกำลังใจของคนเขียนนะคะ
แต่ยินดีต้อนรับนักอ่านเงาทุกท่านค่ะ
นิยายของกันเกราเรื่องไหนที่ยังไม่ได้ทำสัญญากับ สนพ. ยินดีจะลงให้อ่านจนจบเรื่องค่ะ แต่ถ้าเรื่องไหนทำสัญญาแล้ว ขออนุญาตลงแค่ครึ่งเดียวนะคะ
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกๆ กำลังใจที่มีให้เรื่อยมา
ยิ้มมมมมมมมมมมมมมมมม
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่พึงมีด้วยกัน ๑๐๐%
“ขับรถกลับบ้านดีๆ นะหนูย่า ไว้ถ้าตาร๊อกติดต่อมาป้าจะรีบให้โทรหาเลยจ้ะ อย่ากังวลมากไปจ้ะ บางทีตาร๊อกอาจจะไปอยู่ในที่อับสัญญาณหรือแบตหมดก็ได้ ก็แม่เลขาเขาบอกว่าเจ้านายจะไปตระเวนหาของแปลกๆ มาโชว์ที่สนามนี่จ๊ะ”
อติรัตน์ปลอบใจว่าที่สะใภ้ด้วยความใจเย็น แม้ภายในจะร้อนรนกับการหนีงานแจกการ์ดกับว่าที่เจ้าสาวของลูกยังไงก็ตาม ดลยามองหน้าว่าที่แม่สามีแล้วยิ้มจางๆ ให้
“ค่ะคุณป้า ติดต่อร๊อกไม่ได้อย่างนี้ย่าก็เป็นห่วงค่ะ งั้นขอบคุณสำหรับสลัดปลาแซลมอนฝากคุณแม่ค่ะ ย่ากลับนะคะ สวัสดีค่ะ”
“จ้ะ ได้ข่าวยังไงแม่จะโทรไปบอกนะ”
อติรัตน์รับไหว้แล้วยืนส่งว่าที่สะใภ้จนรถแล่นออกประตูบ้านไป ถึงได้เข้าไปคว้าโทรศัพท์มาเป็นเรื่องแรก ส่วนคนที่เพิ่งจากมาก็ควบรถไปด้วยอาการครุ่นคิดถึงการกระทำของคู่หมั้น
ที่นับวันจะดูห่างเหินกันไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนคนจะใช้ชีวิตร่วมกันจนถึงวันสิ้นใจเลย และแม้จะไม่เคยดึงเอาเรื่องช่างภาพผมสวยมาผูกเข้ากับคู่หมั้นตัวเองยังไง มาถึงวินาทีนี้ก็อดคิดไม่ได้
‘ติดต่อเอ๋ยไม่ได้ค่ะคุณย่า คงจะหลับหรือไม่ก็ยังไม่เปลี่ยนระบบสั่นเป็นระบบเสียงค่ะ เพราะเมื่อคืนนี้เลิกงานตีสอง สุเองก็ยังเพิ่งฟื้นค่ะ เหนื่อยมาก ว่าแต่คุณย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ’
‘ไม่มีอะไรค่ะ ย่าแค่อยากจะถามว่าคุณเอ๋ยได้ถ่ายรูปดอกไม้ไว้เยอะหรือเปล่าเท่านั้น พอดีย่าจะขอมาใช้ทำพรีเซ็นท์งานให้คุณพ่อหน่อยน่ะคะ’
แม้ตอนโทรไปถามสุภาภรณ์จะช่วยไขข้อข้องใจให้ได้บ้าง แต่ไม่รู้ทำไมในใจเริ่มหวาดระแวงอย่างไม่มีเหตุผลเพียงเพราะได้ยินคำแม่ตัว แม่ว่าที่สามีหรือแม้กระทั่งคำน้องด้วย
“อ้าว! กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ วันนี้เป็นไงบ้างเหนื่อยมั้ย แล้วแจกครบหรือเปล่าลูก หรือว่ามัวแต่ชวนพ่อร๊อกไปเดินช้อปปิ้งเท่านั้น”
ผู้แม่ทักทายทันทีเมื่อลูกเดินเข้าบ้าน “หมดค่ะแม่ คุณป้าฝากสลัดมาให้นะคะ ย่าเหนื่อยขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ” ยื่นถุงในมือให้แม่ได้แล้วดลยาก็เดินขึ้นบันไดด้วยใบหน้าหมองๆ ทันที
สามคนในบ้านต่างมองตามด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดลพรจึงแอบขึ้นห้องเพื่อโทรถามอติรัตน์ เพราะไม่อยากให้สามีที่นั่งดูข่าวอยู่ข้างล่างได้รับรู้ จะพาลยกเลิกงานแต่งไปเท่านั้นเอง
ดลชาเองก็รีบขึ้นชั้นบน แล้วยืนครุ่นคิดว่าจะไปไหนต่อดี ระหว่างห้องตัวเองกับห้องพี่สาว สุดท้ายเลยตัดสินใจไปเคาะประตูแทน
“พี่ย่าเป็นอะไรคะ วันนี้พี่ร๊อกเบี้ยวไม่ยอมไปแจกการ์ดช่วยเหรอคะ”
ดลยาถึงกับน้ำตาร่วงลงทันทีเมื่อได้ยินคำน้องสาว และดูเหมือนน้องเป็นเพียงคนเดียวที่ตัวเองพอจะคุยด้วยได้ ถ้าคุยกับแม่ทุกอย่างก็ยิ่งจะแย่กว่าเดิม
เพราะแม่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมากกว่าลูกอีก คุยกับพ่อก็จะได้ผลอีกแบบ คือพ่อไม่คิดจะให้ลูกเสียศักดิ์ศรีถ้าว่าที่ลูกเขยหยามด้วยการไม่สนใจงานแต่งขนาดนี้
“พี่ติดต่อเขาไม่ได้น่ะช่า ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนตั้งแต่เช้า ช่าคิดว่าเขาจะไปกับคนอื่นมั้ย”
“แล้วพี่ย่าคิดว่าเขาจะไปกับใครล่ะ อย่าบอกนะว่าพี่ย่าระแวงคุณเอ๋ยกับพี่ร๊อก พี่ย่าจะฟังแม่กับป้ารัตน์เกินไปหรือเปล่า”
“พี่ลองโทรหาคุณเอ๋ยตั้งแต่บ่ายแล้ว ไม่รับสายพี่เลย ร๊อกก็ด้วย พี่จะทำยังไงดีล่ะช่า”
และเจ้าของมือถือที่สร้างความกังวลให้ดลยาอยู่นั้น ก็กำลังยืนมองตัวเองในกระจกอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใส่กางเกงขาสั้นของแม่เขาที่มีไว้บนเรืออยู่
‘ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ’
ประตูห้องนอนใหญ่เปิดออก เมื่อเจ้าของเรือเคาะติดๆ กันหลายครั้ง วริญรำไพยิ้มเจื่อนๆ ให้เมื่อเห็นเขาจ้องมองมาหาเสื้อผ้าแก้ขัดที่ตัวเองใส่อยู่
“พอได้หรือเปล่าครับ”
“ค่ะ กางเกงเป็นเอวยืดแล้วคุณแม่คุณก็หุ่นดีไม่แพ้สาวๆ เลยใส่ได้ค่ะ”
ชลธิปมองเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวของตัวเองที่ทิ้งไว้ใช้บนเรือเมื่อยามมาเที่ยวด้วยกันกับพ่อแม่แล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะคนใส่ต้องพับไปจนถึงศอกเลยทีเดียว
“งั้นเราไปทำข้าวผัดกุ้งกันได้แล้วสิครับ”
“ค่ะ”
ชลธิปยืนกอดอกมองร่างผอมบางที่หมุนไปมาในครัวเล็กๆ แล้วก็อดยิ้มคนเดียวไม่ได้ และจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อเช้ามาแล้วนั้น ตัวเองเผลอยิ้มไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว
ข้าวผัดง่ายๆ กับซุปหัวหอมสำหรับมื้อเย็นก็รู้สึกว่ามันอร่อยและวิเศษล้ำ กว่าการได้นั่งกินอาหารในภัตตาคารหรูหรือโรงแรมของตัวเองที่มีเชฟฝีมือเยี่ยมทำให้คนละเรื่อง
“เดี๋ยวผมล้างเอง เพราะคุณเป็นคนทำ ขึ้นไปนั่งรอผมที่ดาดฟ้าเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวกาแฟอร่อยเริศจะตามไป”
วริญรำไพถึงกับหัวเราะออกมาในท่าทีติดตลกของเขา แต่ก็ผลออกจากครัวแล้วเดินขึ้นไปนั่งรับลมเย็นๆ ยามค่ำในท้องทะเลกว้างอยู่ดี
“มาแล้วครับ กาแฟที่อร่อยสามโลก รับรองคุณชิมแล้วจะติดใจ” ไม่นานนักเขาก็ประคองสองแก้วน้ำขวดเล็กๆ ในกระเป๋ากางเกงอีกหนึ่งตามขึ้นไป วริญรำไพได้ยิ้มอีกแล้วกับคำอวดอ้างของเขา
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ อย่างคุณน่าจะถนัดบริหารมากกว่าการชงกาแฟเก่งนะคะ”
“เด็กสามขวบก็ชงอร่อยครับ เพราะมันเป็นทรีอินวันดีๆ นี่เอง”
“งั้นคงจะอร่อยกว่าเมื่อเช้านี้สิคะ”
“ผมมั่นใจว่าจะเป็นแบบนั้นครับ”
การสูงใหญ่ที่ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวทรุดลงนั่งข้างๆ อีกคน แล้วต่างก็ประคองถ้วยยกขึ้นจิบช้าๆ วริญรำไพอยากจะถามเขาไม่น้อยเรื่องเรือลำนี้ แต่ก็ไม่กล้า
“คุณขับเรือลำนี้เที่ยวบ่อยหรือเปล่าคะ”
แต่สุดท้ายก็อดใจไว้ไม่ไหว เพราะอยากรู้เหลือเกิน และอยากจะคาดเดาว่าเมื่อสิบสองปีก่อน เขาอาจจะเคยออกเรือเที่ยวแล้วเกิดพายุพัดพาไปตกอยู่เกาะก็เป็นได้
“เคยครั้งหนึ่ง เมื่อสามสี่ปีก่อน ตอนผมกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ครับ เที่ยวด้วยพักผ่อนด้วยเป็นอาทิตย์ผมถึงได้เริ่มทำงาน แล้วจากนั้นก็ไม่มีเวลามาอีกเลยกระทั่งวันนี้”
แล้วคำตอบที่ได้ก็สร้างความผิดหวังให้ไม่น้อยเลย “คุณรู้หรือเปล่า ว่าการนอนดูดาวอยู่บนนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก และมันวิเศษสุดๆ เลยล่ะครับ คุณต้องได้เห็นถึงจะรู้ว่ามันเป็นยังไง”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วลงไปข้างล่าง ไม่นานก็ได้หมอนกับผ้าห่มมาสองผืน วริญรำไพขยับที่ให้เขาปูผืนแรกลง แล้วอีกผืนเขายกให้เอาไว้ห่มตอนลมแรง
สองกายต่างนอนหงายและรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้พอสมควร สายตาก็มองไปยังท้องฟ้าสุกสกาวพราวพรั่งไปด้วยหมูดาวน้อยใหญ่ และศศิธรสุกสดใสเหมือนหัวใจทั้งสองดวงที่ต่างเป็นสุขไม่น้อย
แม้เพียงการได้นอนจ้องมองขึ้นไปยังฝืนฟ้า กับหัวข้อสนทนาด้วยสัพเพเหระที่เพียงหยิบขึ้นมาคุย เพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ เท่านั้นเอง
“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อตึกว่าโรมิโอ จูเลียตล่ะคะ”
แม้ง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่วริญรำไพก็ไม่อยากหลับ เพราะอยากซึมซับเอาความสุข ที่มีคนหน้าเหมือนพี่หินอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้นานเท่านาน จึงพยายามหาเรื่องมาคุย
“อื้ม! เพราะผมไม่ชอบตอนจบของนิยายเรื่องนี้ ผมว่ามันดูจะโหดร้ายสำหรับสองคนนี้เกินไป ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องไม่จริง แต่ผมอ่านแล้วก็สงสารคนรักกันที่ต้องพรากจากกัน”
“...”
ผมก็เลยจัดให้ทั้งสองมาอยู่คู่กันแทน อีกอย่างชื่อนี้ก็สื่อถึงความรัก โรแมนติก ที่คู่รักจะได้จากการมาพักโรงแรมผม คุณเห็นดอกตาเบบูญาที่มีอยู่แทบทุกจุดหรือเปล่าครับ...”
“...”
คนเล่าค่อยๆ หันไปหาคนฟังที่ดูจะเงียบนานผิดปกติ แล้วก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมออยู่ใกล้ๆ ก็ถึงกับยิ้มออกมา เมื่อรับรู้ว่าเธอหลับไปแล้ว
ชลธิปหยัดกายให้ลุกขึ้น ดึงผ้าห่มที่เจ้าตัวเอาไปเปิดขากับเอวไว้ขึ้นไปหาอก ใบหน้ารูปไข่ในเงาจันทรานั้นตรึงตาตรึงใจเขาไม่รู้ลืม ผมยาวเฟื้อยก็พาดไปกับดาดฟ้าน่ามอง น่าจับต้อง
จนเขาอดใจไม่ไหว เลยค่อยๆ ประคองมาสัมผัสความนุ่ม แล้วก้มลงไปดอมดมกลิ่นหอมๆ ของดอกลาเวนเดอร์ซึ่งเป็นแชมพูที่แม่ชอบใช้
ความสวยจากหมู่ดาวบนฝืนฟ้ากว้าง ถูกบดบังด้วยความสวยของคนที่นอนอยู่ เขาจึงเลือกที่จะนั่งกอดหมอนจ้องมองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ทิ้งกาลเวลาไว้เบื้องหลัง
กระทั่งเที่ยงคืน ถึงได้ค่อยๆ ช้อนร่างผอมขึ้น แล้วพาลงไปส่งที่ห้องนอนใหญ่ แก้มนุ่มๆ สองข้างคือรางวัลที่เขาแอบมอบให้ตัวเอง ก่อนจะตัดใจห่มผ้าและปิดไฟแล้วออกจากห้องไป
ห้องนอนเล็กที่เป็นเตียงคู่ ที่เขาเคยนอนครั้งก่อน เพราะพ่อกับแม่จับจองห้องใหญ่ไปโดยปริยาย แต่เขาก็แทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ เมื่อดาดฟ้ามีดวงดาวมาดึงดูดใจให้ไปแหงนมองมากกว่าห้องแคบๆ นี้เป็นล้านเท่า
อติรัตน์ปลอบใจว่าที่สะใภ้ด้วยความใจเย็น แม้ภายในจะร้อนรนกับการหนีงานแจกการ์ดกับว่าที่เจ้าสาวของลูกยังไงก็ตาม ดลยามองหน้าว่าที่แม่สามีแล้วยิ้มจางๆ ให้
“ค่ะคุณป้า ติดต่อร๊อกไม่ได้อย่างนี้ย่าก็เป็นห่วงค่ะ งั้นขอบคุณสำหรับสลัดปลาแซลมอนฝากคุณแม่ค่ะ ย่ากลับนะคะ สวัสดีค่ะ”
“จ้ะ ได้ข่าวยังไงแม่จะโทรไปบอกนะ”
อติรัตน์รับไหว้แล้วยืนส่งว่าที่สะใภ้จนรถแล่นออกประตูบ้านไป ถึงได้เข้าไปคว้าโทรศัพท์มาเป็นเรื่องแรก ส่วนคนที่เพิ่งจากมาก็ควบรถไปด้วยอาการครุ่นคิดถึงการกระทำของคู่หมั้น
ที่นับวันจะดูห่างเหินกันไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนคนจะใช้ชีวิตร่วมกันจนถึงวันสิ้นใจเลย และแม้จะไม่เคยดึงเอาเรื่องช่างภาพผมสวยมาผูกเข้ากับคู่หมั้นตัวเองยังไง มาถึงวินาทีนี้ก็อดคิดไม่ได้
‘ติดต่อเอ๋ยไม่ได้ค่ะคุณย่า คงจะหลับหรือไม่ก็ยังไม่เปลี่ยนระบบสั่นเป็นระบบเสียงค่ะ เพราะเมื่อคืนนี้เลิกงานตีสอง สุเองก็ยังเพิ่งฟื้นค่ะ เหนื่อยมาก ว่าแต่คุณย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ’
‘ไม่มีอะไรค่ะ ย่าแค่อยากจะถามว่าคุณเอ๋ยได้ถ่ายรูปดอกไม้ไว้เยอะหรือเปล่าเท่านั้น พอดีย่าจะขอมาใช้ทำพรีเซ็นท์งานให้คุณพ่อหน่อยน่ะคะ’
แม้ตอนโทรไปถามสุภาภรณ์จะช่วยไขข้อข้องใจให้ได้บ้าง แต่ไม่รู้ทำไมในใจเริ่มหวาดระแวงอย่างไม่มีเหตุผลเพียงเพราะได้ยินคำแม่ตัว แม่ว่าที่สามีหรือแม้กระทั่งคำน้องด้วย
“อ้าว! กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ วันนี้เป็นไงบ้างเหนื่อยมั้ย แล้วแจกครบหรือเปล่าลูก หรือว่ามัวแต่ชวนพ่อร๊อกไปเดินช้อปปิ้งเท่านั้น”
ผู้แม่ทักทายทันทีเมื่อลูกเดินเข้าบ้าน “หมดค่ะแม่ คุณป้าฝากสลัดมาให้นะคะ ย่าเหนื่อยขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ” ยื่นถุงในมือให้แม่ได้แล้วดลยาก็เดินขึ้นบันไดด้วยใบหน้าหมองๆ ทันที
สามคนในบ้านต่างมองตามด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดลพรจึงแอบขึ้นห้องเพื่อโทรถามอติรัตน์ เพราะไม่อยากให้สามีที่นั่งดูข่าวอยู่ข้างล่างได้รับรู้ จะพาลยกเลิกงานแต่งไปเท่านั้นเอง
ดลชาเองก็รีบขึ้นชั้นบน แล้วยืนครุ่นคิดว่าจะไปไหนต่อดี ระหว่างห้องตัวเองกับห้องพี่สาว สุดท้ายเลยตัดสินใจไปเคาะประตูแทน
“พี่ย่าเป็นอะไรคะ วันนี้พี่ร๊อกเบี้ยวไม่ยอมไปแจกการ์ดช่วยเหรอคะ”
ดลยาถึงกับน้ำตาร่วงลงทันทีเมื่อได้ยินคำน้องสาว และดูเหมือนน้องเป็นเพียงคนเดียวที่ตัวเองพอจะคุยด้วยได้ ถ้าคุยกับแม่ทุกอย่างก็ยิ่งจะแย่กว่าเดิม
เพราะแม่จะเป็นทุกข์เป็นร้อนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับมากกว่าลูกอีก คุยกับพ่อก็จะได้ผลอีกแบบ คือพ่อไม่คิดจะให้ลูกเสียศักดิ์ศรีถ้าว่าที่ลูกเขยหยามด้วยการไม่สนใจงานแต่งขนาดนี้
“พี่ติดต่อเขาไม่ได้น่ะช่า ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหนตั้งแต่เช้า ช่าคิดว่าเขาจะไปกับคนอื่นมั้ย”
“แล้วพี่ย่าคิดว่าเขาจะไปกับใครล่ะ อย่าบอกนะว่าพี่ย่าระแวงคุณเอ๋ยกับพี่ร๊อก พี่ย่าจะฟังแม่กับป้ารัตน์เกินไปหรือเปล่า”
“พี่ลองโทรหาคุณเอ๋ยตั้งแต่บ่ายแล้ว ไม่รับสายพี่เลย ร๊อกก็ด้วย พี่จะทำยังไงดีล่ะช่า”
และเจ้าของมือถือที่สร้างความกังวลให้ดลยาอยู่นั้น ก็กำลังยืนมองตัวเองในกระจกอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อว่าตอนนี้ตัวเองกำลังใส่กางเกงขาสั้นของแม่เขาที่มีไว้บนเรืออยู่
‘ก๊อกๆ ก๊อกๆ ก๊อกๆ’
ประตูห้องนอนใหญ่เปิดออก เมื่อเจ้าของเรือเคาะติดๆ กันหลายครั้ง วริญรำไพยิ้มเจื่อนๆ ให้เมื่อเห็นเขาจ้องมองมาหาเสื้อผ้าแก้ขัดที่ตัวเองใส่อยู่
“พอได้หรือเปล่าครับ”
“ค่ะ กางเกงเป็นเอวยืดแล้วคุณแม่คุณก็หุ่นดีไม่แพ้สาวๆ เลยใส่ได้ค่ะ”
ชลธิปมองเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวของตัวเองที่ทิ้งไว้ใช้บนเรือเมื่อยามมาเที่ยวด้วยกันกับพ่อแม่แล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะคนใส่ต้องพับไปจนถึงศอกเลยทีเดียว
“งั้นเราไปทำข้าวผัดกุ้งกันได้แล้วสิครับ”
“ค่ะ”
ชลธิปยืนกอดอกมองร่างผอมบางที่หมุนไปมาในครัวเล็กๆ แล้วก็อดยิ้มคนเดียวไม่ได้ และจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อเช้ามาแล้วนั้น ตัวเองเผลอยิ้มไปกี่ครั้งกี่หนแล้ว
ข้าวผัดง่ายๆ กับซุปหัวหอมสำหรับมื้อเย็นก็รู้สึกว่ามันอร่อยและวิเศษล้ำ กว่าการได้นั่งกินอาหารในภัตตาคารหรูหรือโรงแรมของตัวเองที่มีเชฟฝีมือเยี่ยมทำให้คนละเรื่อง
“เดี๋ยวผมล้างเอง เพราะคุณเป็นคนทำ ขึ้นไปนั่งรอผมที่ดาดฟ้าเลยดีกว่าครับ เดี๋ยวกาแฟอร่อยเริศจะตามไป”
วริญรำไพถึงกับหัวเราะออกมาในท่าทีติดตลกของเขา แต่ก็ผลออกจากครัวแล้วเดินขึ้นไปนั่งรับลมเย็นๆ ยามค่ำในท้องทะเลกว้างอยู่ดี
“มาแล้วครับ กาแฟที่อร่อยสามโลก รับรองคุณชิมแล้วจะติดใจ” ไม่นานนักเขาก็ประคองสองแก้วน้ำขวดเล็กๆ ในกระเป๋ากางเกงอีกหนึ่งตามขึ้นไป วริญรำไพได้ยิ้มอีกแล้วกับคำอวดอ้างของเขา
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ อย่างคุณน่าจะถนัดบริหารมากกว่าการชงกาแฟเก่งนะคะ”
“เด็กสามขวบก็ชงอร่อยครับ เพราะมันเป็นทรีอินวันดีๆ นี่เอง”
“งั้นคงจะอร่อยกว่าเมื่อเช้านี้สิคะ”
“ผมมั่นใจว่าจะเป็นแบบนั้นครับ”
การสูงใหญ่ที่ใส่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีขาวทรุดลงนั่งข้างๆ อีกคน แล้วต่างก็ประคองถ้วยยกขึ้นจิบช้าๆ วริญรำไพอยากจะถามเขาไม่น้อยเรื่องเรือลำนี้ แต่ก็ไม่กล้า
“คุณขับเรือลำนี้เที่ยวบ่อยหรือเปล่าคะ”
แต่สุดท้ายก็อดใจไว้ไม่ไหว เพราะอยากรู้เหลือเกิน และอยากจะคาดเดาว่าเมื่อสิบสองปีก่อน เขาอาจจะเคยออกเรือเที่ยวแล้วเกิดพายุพัดพาไปตกอยู่เกาะก็เป็นได้
“เคยครั้งหนึ่ง เมื่อสามสี่ปีก่อน ตอนผมกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ ครับ เที่ยวด้วยพักผ่อนด้วยเป็นอาทิตย์ผมถึงได้เริ่มทำงาน แล้วจากนั้นก็ไม่มีเวลามาอีกเลยกระทั่งวันนี้”
แล้วคำตอบที่ได้ก็สร้างความผิดหวังให้ไม่น้อยเลย “คุณรู้หรือเปล่า ว่าการนอนดูดาวอยู่บนนี้เป็นเรื่องที่ผมชอบมาก และมันวิเศษสุดๆ เลยล่ะครับ คุณต้องได้เห็นถึงจะรู้ว่ามันเป็นยังไง”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นแล้วลงไปข้างล่าง ไม่นานก็ได้หมอนกับผ้าห่มมาสองผืน วริญรำไพขยับที่ให้เขาปูผืนแรกลง แล้วอีกผืนเขายกให้เอาไว้ห่มตอนลมแรง
สองกายต่างนอนหงายและรักษาระยะห่างระหว่างกันไว้พอสมควร สายตาก็มองไปยังท้องฟ้าสุกสกาวพราวพรั่งไปด้วยหมูดาวน้อยใหญ่ และศศิธรสุกสดใสเหมือนหัวใจทั้งสองดวงที่ต่างเป็นสุขไม่น้อย
แม้เพียงการได้นอนจ้องมองขึ้นไปยังฝืนฟ้า กับหัวข้อสนทนาด้วยสัพเพเหระที่เพียงหยิบขึ้นมาคุย เพื่อยืดเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันนานๆ เท่านั้นเอง
“ทำไมคุณถึงตั้งชื่อตึกว่าโรมิโอ จูเลียตล่ะคะ”
แม้ง่วงจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่วริญรำไพก็ไม่อยากหลับ เพราะอยากซึมซับเอาความสุข ที่มีคนหน้าเหมือนพี่หินอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้นานเท่านาน จึงพยายามหาเรื่องมาคุย
“อื้ม! เพราะผมไม่ชอบตอนจบของนิยายเรื่องนี้ ผมว่ามันดูจะโหดร้ายสำหรับสองคนนี้เกินไป ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องไม่จริง แต่ผมอ่านแล้วก็สงสารคนรักกันที่ต้องพรากจากกัน”
“...”
ผมก็เลยจัดให้ทั้งสองมาอยู่คู่กันแทน อีกอย่างชื่อนี้ก็สื่อถึงความรัก โรแมนติก ที่คู่รักจะได้จากการมาพักโรงแรมผม คุณเห็นดอกตาเบบูญาที่มีอยู่แทบทุกจุดหรือเปล่าครับ...”
“...”
คนเล่าค่อยๆ หันไปหาคนฟังที่ดูจะเงียบนานผิดปกติ แล้วก็ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมออยู่ใกล้ๆ ก็ถึงกับยิ้มออกมา เมื่อรับรู้ว่าเธอหลับไปแล้ว
ชลธิปหยัดกายให้ลุกขึ้น ดึงผ้าห่มที่เจ้าตัวเอาไปเปิดขากับเอวไว้ขึ้นไปหาอก ใบหน้ารูปไข่ในเงาจันทรานั้นตรึงตาตรึงใจเขาไม่รู้ลืม ผมยาวเฟื้อยก็พาดไปกับดาดฟ้าน่ามอง น่าจับต้อง
จนเขาอดใจไม่ไหว เลยค่อยๆ ประคองมาสัมผัสความนุ่ม แล้วก้มลงไปดอมดมกลิ่นหอมๆ ของดอกลาเวนเดอร์ซึ่งเป็นแชมพูที่แม่ชอบใช้
ความสวยจากหมู่ดาวบนฝืนฟ้ากว้าง ถูกบดบังด้วยความสวยของคนที่นอนอยู่ เขาจึงเลือกที่จะนั่งกอดหมอนจ้องมองอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ทิ้งกาลเวลาไว้เบื้องหลัง
กระทั่งเที่ยงคืน ถึงได้ค่อยๆ ช้อนร่างผอมขึ้น แล้วพาลงไปส่งที่ห้องนอนใหญ่ แก้มนุ่มๆ สองข้างคือรางวัลที่เขาแอบมอบให้ตัวเอง ก่อนจะตัดใจห่มผ้าและปิดไฟแล้วออกจากห้องไป
ห้องนอนเล็กที่เป็นเตียงคู่ ที่เขาเคยนอนครั้งก่อน เพราะพ่อกับแม่จับจองห้องใหญ่ไปโดยปริยาย แต่เขาก็แทบไม่ได้นอนด้วยซ้ำ เมื่อดาดฟ้ามีดวงดาวมาดึงดูดใจให้ไปแหงนมองมากกว่าห้องแคบๆ นี้เป็นล้านเท่า
กันเกรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2558, 15:11:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2558, 15:11:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1022
<< ขอเวลาค้นหาคำตอบอีกครั้ง ๑๐๐% | หัวใจสองเราต่างตรงกัน ๑๐๐% >> |