ปรุงสูตรรัก
ณฐอร รู้ดีว่า ตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อทำขนม แต่แล้วโชคชะตาทำให้เธอต้องรับผิดชอบร้านขนมปังเลื่องชื่อของตระกูล เธอจึงต้องหาผู้ช่วย
นิยามเดียวที่คิดออก เกี่ยวกับธนวรรธน์ ก็คือ หล่อล่ำ ดำถึก แต่เขากลับทำขนมเก่งสุดยอด
แต่แล้วหัวใจเจ้ากรรมกลับทำให้เธอต้องหวั่นไหวกับผู้ชายที่คิดว่า เป็นเกย์ แถมเขายังมีแฟนที่สวยขนาดน้องปอยยังอาย!
นิยามเดียวที่คิดออก เกี่ยวกับธนวรรธน์ ก็คือ หล่อล่ำ ดำถึก แต่เขากลับทำขนมเก่งสุดยอด
แต่แล้วหัวใจเจ้ากรรมกลับทำให้เธอต้องหวั่นไหวกับผู้ชายที่คิดว่า เป็นเกย์ แถมเขายังมีแฟนที่สวยขนาดน้องปอยยังอาย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 5 หัวใจที่ไม่ยอมเชื่อฟัง
Chapter 5 อันนี้เป็นบทที่ 5 ค่ะ ขออนุญาติเวบมาสเตอร์ลงสองตอนนะคะ ขออภัยในความไม่สะดวก
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงเย็นเมื่อเสียงมือถือของณฐอรดังขึ้นหลังจากฟังข้อความ หญิงสาวก็หันมาพูดกับเชฟหนุ่ม ว่าจะปิดร้าน ธนวรรธน์ช่วยหญิงสาวนับเงินและจัดการบัญชีอย่างด่วนที่สุด ก่อนจะอาสาขับรถพาหญิงสาวมายังโรงพยาบาล อาการของอาณัฐดีขึ้นและเริ่มรู้สึกตัว
“ผมเห็นท่านขยับมือ มีการตอบสนอง และการหายใจก็ดีขึ้น ก็เลยโทรเรียกคุณมาที่นี่”
ร่างในชุดคนป่วยที่ยังคงมีท่อช่วยหายใจอยู่ในปากแต่ก็นับว่า อาการดีขึ้นมา แพทย์ได้ลองลดเครื่องช่วยหายใจเมื่อตอนบ่ายและพบว่า คนไข้พอจะหายใจเองได้ ทีมผู้รักษาจึงตั้งใจจะนำท่อช่วยหายใจออกในวันพรุ่งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดดเลยทีเดียวขนาดแพทย์ผู้รักษายังอดแปลกใจไม่ได้ ปกติแล้วคนไข้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองหนักขนาดนี้ล้วนแต่ต้องนอนรักษาตัวเป็นเดือนๆ ด้วยซ้ำ ณฐอรก้าวเข้าไปชิดเตียง ใบหน้านวลคลอไปด้วยน้ำตา
“ป๊าคะ ป๊า..ได้ยินอายไหมคะ” พูดได้แค่นั้นหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ ขณะที่คนขับรถจำเป็นทอดสายตามองสองพ่อลูกด้วยลำคอตีบตัน
เขายังจำความรู้สึกของตนเองตอนสูญเสียบิดาได้เป็นอย่างดี ร่างของหัวหน้าครอบครัวนอนนิ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว รอบกายคล้ายเงียบสงัดสิ่งเดียวที่จำได้คือ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่า จะขาดใจของมารดา แม้ธนวรรธน์จะอยากร้องไห้แต่เพราะจำคำสอนของบิดาได้ ท่านบอกว่า เกิดเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง ชายหนุ่มจึงจำต้องฝืนทนเก็บความปวดร้าวลงไปในใจเมื่อสิ้นบิดา เขาต้องทำตัวเป็นเสาหลักแทนแต่กว่าสองแม่ลูกจะปรับตัวได้ก็ล่วงเข้าไปเดือนที่สามแต่พอได้เห็นสภาพณัฐอรตอนนี้ภาพวันเก่าๆ ก็หวนมาอีกครั้ง
ผู้หญิงตัวคนเดียวแต่กลับต้องมาแบกภาระร้านขนมทั้งที่ทำอะไรไม่เป็น เขายังจำคำพูดของหล่อนได้
“ฉันมันแย่มาก ทำขนมปังไม่เป็น”
ธนวรรธน์จำได้ว่า ปลอบหล่อน แต่สุดท้ายณฐอรก็แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนคงมีเพียงแววตาเท่านั้นที่บอกว่า หล่อนรู้สึกแย่กับตัวเองจริงๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว
“ผมคิดว่า พรุ่งนี้น่าจะเอาท่อช่วยหายใจออกได้ และถ้าทุกอย่างคงตัว ผมจะส่งคนเจ็บไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองอีกครั้ง ถ้าสมองยุบบวม อีกไม่นานก็ปิดกระโหลกได้แล้วครับ”
“ป๊าจะเหมือนเดิมไหมคะหมอ จะพูดได้ เดินได้หรือเปล่า”
“ผมคงยังตอบไม่ได้ ต้องรอดูต่อไปก่อน การฟื้นตัวของคนป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กล้ามเนื้อมัดต่างๆ เริ่มกลับมาทำงาน ถ้าหมั่นบริหารร่างกายน่าจะฟื้นตัวเร็วขึ้น”
“ได้ค่ะ คุณหมอ เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า ขอให้ป๊าหาย ถ้าไงหมอช่วยหาพยาบาลพิเศษให้ด้วยนะคะ คือว่า ช่วงนี้ดิฉันต้องคุมร้าน อาจจะเข้ามาได้ไม่บ่อย”
นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าและขอตัวออกไปดูผู้ป่วยรายอื่น ทิ้งให้ณฐอรนั่งอยู่กับคนไข้เพียงลำพัง หญิงสาวยกมือบิดามาแนบแก้ม พูดเสียงสะอื้น
“ป๊าคะ อายดีใจจริงๆ อายคิดถึงป๊า เมื่อไหร่ป๊าจะฟื้นขึ้นมาคุยกับอายคะ อายมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะเลย”
ณฐอรกำลังจะพูดต่อแต่แล้ว เสียงของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนจนต้องหันไปมอง มาลีซึ่งได้รับโทรศัพท์จากหมอเช่นกันจึงรีบมาดูอาการของพี่ชาย หล่อนสวมเสื้อคลุมและปรี่เข้ามาข้างเตียง
“อาการพี่ณัฐเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวหรือยัง”
“ยังค่ะแต่หมอบอกว่า พ่อมีการตอบสนองมากขึ้น หายใจเองได้บ้างแล้ว” ผู้ร่วมเหตุการณ์อีกคนได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ณฐอรเล่าอาการของบิดาให้กับอาสาวฟัง แต่แทนที่มาลีจะสนใจอาการของพี่ชาย หล่อนกลับหันมาทำเสียงแข็งใส่หลานสาว
“รีบฟื้นเร็วๆ ก็ดี พี่ณัฐจะได้รู้เสียทีว่า ลูกสาวของตัวเองทำเรื่องยุ่งไว้ขนาดไหน”
ณฐอรเลิกคิ้วขึ้น มองอาสาวอย่างงุนงง
“อี๊ลีหมายถึงอะไรคะ อายไม่เข้าใจ”
“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไก๋หรอกน่า แกนี่มันขยันหาเรื่องเดือดร้อนไม่หยุด รู้ไหมว่า วันนี้ตำรวจไปที่บ้านฉัน ไปขอพบกับทยุต แกนึกอะไรขึ้นมาถึงได้ไปบอกตำรวจว่าอาทยุตเล่นพนัน”
คงเป็นเพราะผลการสอบสวนเมื่อคืนทำให้บ่ายนี้มาลีถึงกับนั่งไม่ติด ณฐอรกลืนน้ำลายลงคอก่อนพูดต่อ
“อายไม่ได้ตั้งใจ แต่ตำรวจเขาถามว่า สงสัยใครไหม อายก็เลยบอกไป”
“แต่แกก็น่าจะถามฉันก่อนนะยายอาย ทำแบบนี้มันเสียชื่อเสียงหมดรู้ไหม ทยุตเลิกเล่นพนันตั้งนานแล้ว เพราะแกทำให้เขาต้องถูกสอบสวนอีก”
“อายขอโทษค่ะ อายไม่คิดว่า จะทำให้อาทยุตต้องเดือดร้อน ที่บอกตำรวจก็เพราะ คนร้ายพูดว่า ถ้าไม่ยอมใช้เงินพวกมันจะเล่นงานอย่างหนัก”
“แกก็เลยเหมาเอาเองว่า เป็นอาของแกงั้นสิ ทุเรศที่สุด แกนี่มันอกตัญญูจริงๆ เลย ฉันกับอาเขยอุตส่าห์มาช่วยงานในร้าน แกก็หาว่า เรายักยอกเงินแล้วตอนนี้ยังโยนขี้เรื่องพนันให้เขาอีก หัวใจแกทำด้วยอะไร”
“อายบอกแล้วไงคะว่า ไม่ได้ตั้งใจ ทำไมอี๊มาลีต้องพูดเสียงดังแบบนี้ด้วย ป๊าเพิ่งจะฟื้น อี๊อยากให้ป๊าได้ยินหรือไง”
คนป่วยซึ่งนอนนิ่งเริ่มขยับเปลือกตาเมื่อเสียงของการโต้เถียงดังมากขึ้นทุกที
“แล้วแกจะให้ฉันพูดยังไง ในเมื่อแกทำเรื่องเดือดร้อนให้ฉัน ร้านขนมสาขาสองก็ต้องปิดเพราะต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ คนเป็นญาติสนิทกันเขาทำกันแบบนี้หรือ”
ณฐอรเม้มริมฝีปากแน่นก้มหน้า ตอนนี้บรรดาของญาติคนป่วยต่างหันมามองการโต้เถียงอย่างสนใจ ขณะที่ผู้สังเกตการณ์อย่างธนวรรธน์ได้แต่ยืนนิ่ง ทั้งหมดเป็นเรื่องในครอบครัวซึ่งไม่ควรไปก้าวก่ายในขณะเดียวกันในฐานะคนนอก เขาก็มองว่า อาสาวของหล่อนทำไม่ถูก ในเมื่อสามีเล่นพนันการที่ณฐอรให้ปากคำไปนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ตรงกันข้ามกลับเป็นการช่วยป้องกันภัยที่กำลังจะมาถึงตัวมากกว่า หากอีกฝ่ายเป็นหนี้เจ้าหนี้หน้าเลือดจริงๆ ก็ควรจะระวังไว้
“แต่อายทำไปเพราะหวังดีนะคะ”
“เชอะหวังดี....แกอิจฉา เพราะร้านฉันขายดีกว่าล่ะสิ แล้วนี่ใคร แกจ้างเชฟใหม่แล้วหรือ”
มาลีตวัดสายตาไปยังชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนนิ่งมองการโต้เถียงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ธนวรรธน์พยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย เขายังไมทันเอ่ยปากอาสาวก็พูดต่อ
“ดีนี่...ปีกกล้าขาแข็งแล้ว คิดว่า จะจ้างเชฟมาช่วยแล้วจะไม่ต้องพึ่งฉันใช่ไหม มิน่าแกถึงได้ถีบหัวส่ง เสียแรงนะฉันรักแกแต่แกกลับเนรคุณ ไอ้หลานอกตัญญู”
“อาอี๊คะ”
ณฐอรพูดเสียงเครือ ขณะที่คนซึ่งอยู่ในความโกรธไม่ทันคิดอะไร ได้ทีมาลีก็ตวาดแว๊ดพร้อมกับชักหน้าบึ้งทันที ธนวรรธน์ซึ่งยืนฟังอยู่นานแล้วเมื่อเห็นว่า เหตุการณ์เริ่มจะบานปลายจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ผมเป็นเพื่อนกับอายครับ เห็นที่ร้านยุ่งก็เลยมาช่วย”
ณฐอรเงยหน้าสบตาส่งสายตามาราวกับจะขอบคุณ ธนวรรธน์จึงได้แต่พยักหน้าแต่มาลีกลับไม่เชื่อ หล่อนแค่นเสียง
“เพื่อนที่ไหน...ทำไมฉันไม่เคยเห็น”
“ธะ...ธามเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่ะ พอดีเขาว่างอยู่ก็เลยมาช่วยอายขายขนมปัง” ได้ทีหญิงสาวก็รีบผสมโรงทันที
“ไม่จริงฉันไม่เชื่อ ฉันเห็นแกประกาศรับเชฟใหม่ ไอ้หนุ่มคนนี้สินะ นึกหรือว่า มันจะช่วยกิจการที่ร้านนี้ได้”
ณฐอรได้แต่อึ้ง หล่อนเหลียวมองคนเจ็บซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วน
“อาอี๊คงเข้าใจผิดแล้วละครับ ผมไม่ใช่เชฟจริงๆ ผมเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่คณะของอาย ผมเห็นว่า อายกลังลำบากเลยมาช่วย”
“ฉันไม่เชื่อ เพื่อนสนิทยายอายมีแค่สองคน คือ ติ๊กกับกุ๊กไก่คิดว่า ฉันไม่รู้จักหรือไง”
ธนวรรธน์ลอบถอนหายใจก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนฟังอึ้งยิ่งกว่าเดิม
“ก็ได้ครับ ผมบอกความจริงเลยก็แล้วกัน ผมคือ แฟนของอาย”
แม้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ในที่สุดมาลีก็ยอมรามือและกลับออกไป สิ่งเดียวที่อาสาวต้องการก็คือให้บอกตำรวจว่า ทยุตไม่เกี่ยวข้องกับการพนัน หญิงสาวจำต้องรับปากทั้งที่ความจริงแล้วไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ถ้าจะมีใครที่โดนอาฆาตคนนั้นควรจะเป็นอาเขยมากที่สุด ณฐอรเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความเงียงเข้าครอบงำคนทั้งคู่ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง
“ทำไมคุณต้องไปบอกอาอี๊ว่า อย่างนั้นด้วยคะ”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ขืนบอกว่า ผมเป็นเชฟคนใหม่ อาอี๊ของคุณก็จะยิ่งโกรธนะ ป๊าของคุณก็เพิ่งจะดีขึ้น คุณคงไม่อยากให้ท่านต้องได้ยินเรื่องไม่สบายใจหรอกใช่ไหม”
ใช่..บิดาของหล่อนเพิ่งจะฟื้น แม้คนเจ็บจะยังไม่ลืมตาแต่การตอบสนองบอกว่า ท่านอาจะได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นก็เป็นได้ แม้หลายปีที่ผ่านมาท่านกับมาลีจะมีเรื่องทะเลาะกันตลอดแต่ต้นเหตุก็เพราะมือที่สาม ถ้าไม่ใช่เพราะอาเขยป่านนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงจะแน่นแฟ้นกลมเกลียว ณฐอรไม่อยากโทษใคร ทั้งหมดเป็นเพราะโชคชะตา
หลังแต่งงานอาสาวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เคยอามรณ์เย็นและมองโลกในแง่ดีก็เปลี่ยนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหวาดระแวง ตั้งแต่สมัยที่ปู่ของหล่อนยังอยู่ มาลีก็ระแวงเสมอว่า จะไม่ได้สมบัติ จากที่เคยช่วยงานโดยไม่อิดออดก็เริ่มเรียกร้องเงินทองมากขึ้น บิดาของหล่อนพยายามใช้ความรักของพี่ที่มีต่อน้องสาวเพื่อเป็นกาวใจแต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น
“แต่ทำแบบนี้คุณจะเดือดร้อนนะคะ แฟนของคุณอาจจะว่าเอาได้”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมจัดการได้ ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือ ร้านของคุณต่างหาก คุณต้องระวังตัวให้มาก หากพวกนักเลงไม่ได้เงินมันต้องย้อนกลับมาเล่นงานเราอีก”
“ฉันควรจะทำยังไงดีคะ”
“ผมมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่สถานีใกล้ๆ นี้เอง ผมจะลองโทรไปปรึกษาเขาดู ถ้าจำเป็นเราจะขอให้เขาช่วยส่งสายตรวจมาดูแลบ่อยขึ้น ระหว่างนี้คุณไม่ควรกลับบ้านตามลำพัง”
สายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วงทำเอาหญิงสาวต้องหลบตา เขาจะรู้บ้างไหมว่า มองแบบนี้แล้วทำให้หล่อนใจสั่น รู้ทั้งรู้ว่า เขาเป็นเกย์แต่ทำไมถึงได้หวั่นไหว
“ค่ะฉันจะให้เด็กในร้านอยู่เป็นเพื่อน คุณไม่ต้องห่วง เงินส่วนหนึ่งฉันจะแบ่งให้คนเอาไปเข้าก่อนปิดร้านดีไหมคะ”
“ดี แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ผมคิดว่า คุณต้องเรียนทำขนม”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง หล่อนเคยพยายามมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ มักจะมีอุปสรรคอยู่ร่ำไป ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเศร้าทันที
“ทำไมหรือ คุณทำหน้าเหมือนกลุ้มใจ
“ฉันเคยลองแล้วนะคะ ตอนเด็กๆ ป๊าก็พยายามสอน แต่เพราะฉันแพ้ยีสต์แล้วก็ผสมสูตรผิดๆ ถูกๆ มั่วไปหมด จนสุดท้ายป๊าก็ถอดใจ”
“แต่ไม่ใช่สำหรับผม เชื่อสิ ผมจะเป็นครูสอนคุณให้ทำขนมเอง รับรองไม่เกินหนึ่งเดือน คุณต้องทำขนมปังได้แน่”
“คุณมั่นใจหรือคะ ฉันเป็นคนหัวทึบ ยิ่งสอนคุณก็จะยิ่งโมโห”
“ทำขนมนะคุณ ไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย ขอเพียงคุณตั้งใจเรียนเท่านั้น ทุกวันก่อนร้านเปิดสักหนึ่งชั่วโมง เราจะมาหัดทำขนมปังกัน เริ่มจากสูตรง่ายๆ ก่อน คุณคิดว่า พอไหวไหม”
” แต่คุณไม่เหนื่อยเกินไปหรือคะ ไหนจะต้องทำขนมทั้งวันแล้วยังมาช่วยสอนผมอีก”
“ไม่หรอก ผมชอบ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเป็นเชฟ ว่าแต่คุณเถอะจะไหวไหม”
“ไหวค่ะ ฉันอยากเรียน” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย หล่อนคลี่ยิ้มออกมา
“ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เราจะเริ่มเรียนทำขนมสูตรแรกกัน”
“ก่อนอื่นคุณต้องเริ่มจากทำความรู้จักส่วนผสมต่างๆ อย่างละเอียด อย่างที่คุณเห็นอยู่ก็คือแป้ง”
ณฐอรปั้นหน้าบึ้ง ส่งค้อนราวกับจะตอกย้ำว่า แม้หล่อนจะทำขนมไม่เป็นแต่ไม่มีทางเสียหรอกที่ทายาทร้านขนมปังอย่างหล่อนจะไม่รู้จักแป้ง หล่อนไม่ใช่ลูกคุณหนูที่เอาแต่เดินกรีดกรายอยู่ในครัวตรงกันข้ามบิดาของหล่อนสอนให้รู้จักขั้นตอนทุกอย่างตั้งแต่การสั่งของ การทำบัญชี
“อย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งสิ คุณอาจจะรู้ว่า นี่คือ แป้งแต่รู้ไหมว่า สองห่อนี้ต่างกันยังไง”
หญิงสาวเหลือบมองแป้งสีขาวนวลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหล่อนทราบว่า แป้งหนึ่งนั้นสำหรับทำขนมปังส่วนอีกอันนั้นเรียกว่า แป้งสำหรับทำเค้ก ทั้งสองล้วนแต่เป็นแป้งอเนกประสงค์
“แป้งสำหรับทำขนมปังจะมีส่วนโปรตีนเป็นส่วนประกอบสิบสามถึงสิบสี่เปอร์เซ็นต์ เนื้อจะเป็นเนื้อหยาบสีเป็นสีครีม คุณสมบัติคือ อุ้มน้ำได้ดีกว่า เนื่องจากขนมปังนั้นเราต้องการให้ขึ้นรูปแข็งต่างจากเค้กที่ต้องการให้นุ่มฟู เมื่อเราต้องการคุณสมบัติของสองอย่างรวมกันจึงนำมาผสมโดยมีสัดส่วนของแป้งขนมปังมากกว่า อย่างขนมปังร้านคุณจะใส่แป้งเค้กประมาณหนึ่งในหก คุณดูเนื้อของแป้งนี่สิ เนื้อจะเนียนกว่าขาวกว่า”
“จริงด้วย ฉันไม่เคยสังเกตเลย”
“เอาล่ะทีนี้เราก็มาทำขนมปังกัน เริ่มจากการตวงส่วนที่เป็นของแห้งเข้าด้วยกันนะ หลักการทำขนมที่สำคัญคือ สูตรคุณต้องจำให้แม่นยำ หากหลงลืมอะไรไปจะมีผลต่อเนื้อของขนมจะไม่นุ่มฟู เข้าใจไหม”
ณฐอรพยักหน้า แอบชำเลืองมองหน้าอาจารย์หนุ่ม วันนี้ธนวรรธน์สวมเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนกับกางเกงยีนส์สวมทับไว้ด้วยผ้ากันเปื้อน แม้จะเป็นเสื้อผ้าธรรมดาแบบที่เห็นคนอื่นทั่วไปแต่กลับทำให้ร่างสูงตรงหน้าดูดีอย่างเหลือเชื่อ ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่เชฟหนุ่มมาทำงานในร้านขนม ไม่มีวันไหนที่หล่อนจะได้เห็นเขาในสภาพที่เรียกว่า ‘โทรม’ เลยสักครั้ง แม้งานในร้านจะยุ่งจนหัวหมุนแต่เชฟคนใหม่แห่งร้านขนมนุ่มลิ้นก็สามารถรักษาคอนเซ็ปต์เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ
‘หล่อ เนี๊ยบ เก่ง’
โครงหน้าคมสันหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ แต่ส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือ นัยน์ตาคมปลาบซึ่งล้อมรอบด้วยขนตาดกหนาเป็นแพขนาดสาวงามอย่างหล่อนยังอาย หลายครั้งที่ณฐอรแอบมองชายหนุ่มแล้วก็อดที่จะเขินอายไม่ได้ ริมฝีปากหยักลึกเต็มตึง คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือดวงตาคมกริบทั้งสองข้าง ยิ่งยามนัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางหล่อนณฐอรก็ยิ่งรู้สึกประหม่า เมื่อสายตาเผลอมองต่ำลงมายังแผงอกแน่นตึงผ่านสาบคอเสื้อของ เนื้อในอกข้างซ้ายก็ยิ่งเต้นระรัว เขาเป็นผู้ชายที่สูงมากขนาดณฐอรซึ่งสูงถึงร้อยหกสิบแปดยังต้องแหงนคอตั้งบ่า กลิ่นหอมอ่อนจากโคโลจน์ของผู้ชายทำเอาสติสตางค์ของลูกศิษย์สาวลดน้อยถอยลงทุกที มีใครเคยบอกเขาบ้างไหมว่า ไม่ควรจ้องหน้าคนอื่นแบบนี้ เพราะมันทำให้สมองของหล่อนหมุนติ้วยิ่งกว่าลูกข่างหมุนรอบแกนเสียอีก
“นี่คุณ ใจลอยไปถึงไหนน่ะ ผมกำลังสอนอยู่นะ”
เสียงเข้มๆ ดึงหญิงสาวหลุดจากภวังค์ ปกติแล้วณฐอรไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนแต่เพราะเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงได้สะดุ้งสุดตัว โชคดีที่เขาอ่านจิตใจหล่อนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหากธนวรรธน์รู้ว่า หล่อนกำลังจินตนาการถึงตนเองตอนที่ซบหน้าลงบนแผงอกล่ำสันคงจะอับอายกว่านี้แน่ เพียงแค่คิดพิเรนทร์แก้มนวลก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก หล่อนต้องสั่นศีรษะเร็วๆ เพื่อไล่ความฟุ้งซ่าน
“ขะ..ขอโทษค่ะ ฉันกำลังฟังอยู่”
“ฟังหรือว่า แอบหลับในกันแน่ คุณต้องตั้งใจเรียนรู้ไหม”
ณฐอรพยักหน้าเอื้อมมือไปหยิบกระดาษซึ่งจดส่วนผสมต่างๆ หล่อนสูดหายใจเข้าลึกสองสามครั้งเพื่อรวบรวมสมาธิ วัตถุดิบในการทำขนมปังนั้นประกอบไปด้วยแป้งขนมปัง แป้งเค้ก น้ำตาลทราย ยีสต์ นมผง น้ำอุ่น เนย เกลือ เมื่อตวงทุกอย่างครบแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำ
“ก่อนอื่นคุณนำส่วนที่เป็นของแห้งมารวมกันก่อน แป้งที่เราวางทิ้งไว้จะมีความหนักและเกาะกันจึงต้องร่อน เพื่อให้เนื้อขนมปังฟู จากนั้นก็ใส่ยีสต์ น้ำตาลทราย นมผง เกลือใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นค่อยใส่ส่วนที่เป็นของเหลวได้แก่น้ำอุ่น ไข่ไก่ใส่ลงในเครื่องนวดนะเมื่อเริ่มเกาะกันเป็นเนื้อเดียวก็ใส่เนยลงไปนวดจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน รู้ว่า เนื้อแป้งใช้ได้คือ หยิบออกมานิดหนึ่งขยี้ดูว่า น้ำตาลละลายหมดไหม ลองดึงยืดแผ่ให้เป็นแผ่นบางๆ ได้ แสดงว่า แป้งได้ที่แล้ว”
หลังจากนวดด้วยเครื่องอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเนื้อของโดว์ก็เนียนนุ่มออกเป็นสีเหลืองนวล อาจารย์หนุ่มจัดแจงบิเนื้อแป้งออกมาและทดสอบให้ณฐอรดู เพราะเหตุนี้เองคราวก่อนที่หล่อนกับลูกจ้างในร้านช่วยกันทำเนื้อขนมปังถึงออกมาผิดสูตร นั่นก็เพราะไม่มีวิธีดูเนื้อแป้งนั่นเอง
“พอนวดเสร็จเราก็เอาแป้งออกจากเครื่องแล้วก็พักไว้สิบห้านาทีให้แป้งคลายตัว ระหว่างนี้เราก็เตรียมพื้นที่เพื่อจะขึ้นรูปขนมปัง ส่วนนี่เครื่องชั่ง”
“ทำไมเราต้องใช้เครื่องชั่งด้วยละคะ”
“ก็เพราะอยากให้ขนมปังออกมาชิ้นเท่าๆ กันนะสิ ขืนกะด้วยสายตามีหวังขนมชิ้นเล็กใหญ่จะไม่สวย พอแป้งคลายตัวแล้วก็มาเริ่มขั้นตอนต่อไปนะคือ แบ่งเป็นก้อน ห้ามใช้มือฉีกนะ เนื้อขนมปังจะไม่สวยให้ใช้มีดตัดแบบนี้ ชั่งน้ำหนักแต่ละก้อนสี่สิบกรัม”
ธนวรรธน์ลองทำให้ดูเป็นตัวอย่างหลังจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกศิษย์สาวทำบ้าง แป้งขนมชิ้นโตบัดนี้ถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ วางเรียงกันบนโต๊ะหินอ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนวดและขึ้นรูป
“จากนั้นคุณก็ต้องคลึงให้เป็นรูปกลมๆ ใช้สันมือแบบนี้”
หญิงสาวหยิบขนมปังนั้นขึ้นและใช้มือสองข้างปั้นให้เป็นกลมๆ คล้ายดินน้ำมันแต่กลับโดนอาจารย์คนเก่งโวยตั้งแต่ยังไม่เสร็จ
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ คุณต้องคลึงกับโต๊ะแบบนี้ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”
ชายหนุ่มนำแป้งขนมปังไว้ใต้อุ้งมือก่อนคลึงกับโต๊ะทิ้งน้ำหนักใต้มือเพียงเล็กน้อย ครู่เดียวเนื้อขนมบิดๆ เบี้ยวๆ ก็กลายเป็นก้อนกลมเรียบเนื้อเนียน แต่พอถึงคราวที่ณฐอรต้องทำมันกลับยากกว่าที่หล่อนคิด
“ทำไมของฉันไม่กลมเลยคะ”
“เพราะคุณไม่เคยทำ อย่างนี้นะเอาแป้งไว้ใต้อุ้งมือแล้วหมุนเป็นวงกลมบนโต๊ะ ไม่ต้องกดมือมากให้รู้สึกเหมือนแป้งกลิ้งอยู่ใต้ฝ่ามือก็พอแล้ว”
ธนวรรธน์หยิบแป้งใส่มือหญิงสาวพร้อมกับเอื้อมมือไปวางด้านหลังฝ่ามืออีกฝ่ายก่อนจะสอนวิธีคลึงแป้ง เขาคงไม่รู้หรอกว่า กิริยาอย่างนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับแก้มร้อนผ่าว แม้หล่อนจะเคยมีเพื่อนชายบ้างสมัยเรียนแต่ไม่เคยมีใครใกล้ชิดเท่ากับชายหนุ่มมาก่อน มือของเขาใหญ่กว่าหล่อนเกือบสองเท่าแต่กลับมีผิวละเอียดนิ่มลื่นมือไม่ต่างจากผู้หญิงแทบไม่น่าเชื่อว่า นี่คือ มือของคนซึ่งทำงานในครัวทุกวี่ทุกวัน
“ได้ไหม..อย่ากดลงกับโต๊ะนะ แป้งจะแบนหมดแค่ประคองให้แป้งกลิ้งอยู่ใต้มือแบบนี้”
พูดจบชายหนุ่มก็สาธิต ณฐอรทำตามครู่หนึ่งหล่อนก็สามารถทำได้ ธนวรรธน์จึงปล่อยให้ลูกศิษย์สาวทำเองจนหมดแป้งที่เตรียมไว้ จากแรกที่รู้สึกว่า ยากก็ทำได้คล่องขึ้น
“กลมแล้ว”
“อย่าเพิ่งดีใจไป นี่มันแค่ขั้นแรก หลังจากเราปั้นแป้งเป็นก้อนหมด ก็มาถึงตอนขึ้นรูป วันนี้ผมจะสอนคุณทำสองแบบนะ คือ แบบกลมปกติแต่เราต้องห่อเนยสดไว้ข้างใน”
ชายหนุ่มเลื่อนชามใส่ซึ่งใส่เนยสดหั่นเป็นชิ้นเล็กขนาดลูกเต๋าเมื่อครู่นี้ตอนที่รอให้แป้งคลายตัวทั้งสองก็ไปเตรียมส่วนผสมนี้เอาไว้ เขาเริ่มจากนำก้อนแป้งมาคลึงด้วยไม้ท่อนกลมเพื่อให้เป็นแผ่นแบนก่อนนำเนยชดชิ้นพอดีคำวางลงไปแล้วห่อปิดหัวปิดท้าย
“คุณต้องปิดหัวท้ายให้ดี ไม่อย่างนั้นตอนที่เอาเข้าอบเนยจะรั่วออกมา ดูไม่สวย จับจีบตอนท้ายแล้วก็ม้วนไว้ด้านล่างพอวางลงไปในพิมพ์จะได้มองไม่เห็น ส่วนด้านบนถ้าอยากให้เรียบก็จีบเป็นวงกลมด้านล่างไปเรื่ยอๆ”
หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่ายแต่ขนมปังของหล่อนกลับมีรูปร่างบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่เหมือนกับของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ณฐอรเผลอถอนหายใจ
“ทำไมมันเบี้ยวอย่างนี้ละคะ “
“ใจเย็นๆ สิคุณ ทำขนมห้ามใจร้อน แรกๆ ก็แบบนี้ล่ะ ตอนผมหัดทำใหม่ๆ ก็เบี้ยวแต่พอสักพักหนึ่งก็เข้าที่”
ธนวรรธน์หยิบแป้งอีกชิ้นให้หญิงสาวลองเมื่อทำจนคล่อง เขาจึงสอนการขึ้นรูปเป็นแบบเปีย
“ก่อนอื่นคุณต้องคลึงแป้งให้เป็นแผ่น แล้วใช้มีดตัดเป็นสามแฉก หลังจากนั้นก็นำมาถักเปียแบบหลวมๆ “
“โอ๊ยง่ายมาก แค่ถักเปีย ฉันทำเป็นแน่”
เพราะความใจร้อนหญิงสาวจึงดึงแป้งอย่างแรงส่งผลให้เปียขนมปังบิดๆ เบี้ยวๆ เมื่อถักแล้วดูคล้ายก้อนอุนจิไม่ปาน ณฐอรมองผลงานตัวเองด้วยสีหน้าหงอยๆ
“ผมบอกแล้วไงว่า ต้องใจเย็นๆ แป้งขนมปังเนยสดจะนุ่มมากต้องค่อยๆ ถักเปียและจับเบาๆ ขืนจับแรงก้อนจะแบนเสียหมด”
พอได้คำปลอบหญิงสาวจึงทำอีกครั้งคราวนี้ผลงานของหล่อนดูเข้าท่ามากขึ้น เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ขึ้นรูปขนมปังจนหมด หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนต่อไปคือ นำเข้าตู้เร่งปฏิกิริยาซึ่งมีลักษะเป็นตู้ปรับอุณหภูมิและมีไอน้ำ เพื่อให้ขนมขึ้นฟูรออบ
“ถ้าอยู่บ้านคุณก็เอาน้ำร้อนรองด้านใต้และคลุมด้านบนไว้ด้วยผ้าชุบน้ำ แต่ในร้านมีตู้นี้ ก็สบายมากขึ้น รอให้ฟูเสร็จแล้วก็เข้าอบ”
“เสร็จแล้วหรือคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ ณฐอรถึงกับคลี่ยิ้ม
“ไม่นึกเลยนะคะว่า ทำขนมปังง่ายแค่นี้เอง แล้วทำไมเมื่อก่อนฉันถึงทำไม่ได้”
“เพราะคุณไม่เคยเรียนยังไงล่ะ การทำเบเกอรี่ไม่ยากหรอกนะคุณ ที่เหลือก็แค่ประสบการณ์ในการ ที่ผมให้คุณลองนวดขนมปังดูนั่นล่ะ ผมอยากให้คุณรู้ว่า เนื้อขนมประมาณไหนเรียกว่า ใช้ได้ ปกติแป้งแต่ละห่อมีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เหมือนกัน แป้งเก่าจะมีความชื้นมาก หากเราใส่น้ำมากไปก็จะแฉะแต่หากว่า แป้งใหม่น้ำก็จะน้อยใส่น้ำเท่าเดิมก็จะแข็งเพราะฉะนั้นคุณต้องหัดดูเนื้อแป้งให้เป็น”
“ขอบคุณนะคะ ฉันรู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลย หลังจากนี้ฉันต้องทำอะไรอีกคะ”
“คุณต้องไปล้างหน้า”
“คะ”
คิ้วบางของหญิงสาวเลิกขึ้นเป็นเครื่องหมายคำถาม หล่อนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ตอนนี้ใบหน้านวลเลอะไปด้วยคราบแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงปลายจมูก ธนวรรรธน์เป็นผู้เฉลยให้ เขายื่นมือมาเกลี่ยเส้นผมปอยหนึ่งไปทัดข้างหูก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเข้มจากในกระเป๋าออกมาเช็ดปลายจมูกให้กับหล่อน
“ตอนนี้คุณมอมแมมมากเลยรู้ไหม”
ณฐอรก้มหน้าแก้มร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นรินรดพวงแก้มนวลโดยไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่า ความใกล้ชิดเช่นนี้จะทำให้คนมีชนักถึงกับพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวรู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าวจากร่างสูงตรงหน้าอีกทั้งตอนนี้ใบหน้าหล่อคมยังอยู่ห่างจากหล่อนไม่ถึงคืบอีกด้วย ดวงตาสีนิลซึ่งเคยเห็นบัดนี้ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า จมูกโด่งที่มีลมหายใจอุ่นกับริมฝีปากหยักลึกสีแดงจัดซึ่งไม่มีแม้แต่หนวดและเคราให้รำคาญตา หน้าตาของเขาช่างหล่อเหลาเสียเหลือเกิน น่าอิจฉาที่พระเจ้าสร้างชายหนุ่มผู้นี้ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และน่าอายเหลือเกินที่หัวใจของหล่อนกลับเต้นแรงราวกับจังหวะร็อคแอนด์โรล หญิงสาวลืมไปว่า ทุกอากัปกิริยาของตนเองจะอยู่ภายใต้สายตาของเชฟหนุ่ม เมื่อได้ยินเสียงกระแอมหญิงสาวก็รีบหลบสายตา
“เอ่อ..ค่ะ ฉันเช็ดเองได้”
หญิงสาวรีบรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาและเช็ดอย่างเร็วๆ ตรงปลายจมูกแต่เพราะความรีบยิ่งเช็ดก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เลอะเทอะมากยิ่งขึ้น
“ให้ผมทำให้เถอะ คุณมองไม่เห็น”
ธนวรรธน์เทน้ำเย็นใส่ผ้าเช็ดหน้าและบรรจงเช็ดเบาๆ ตรงปลายจมูกก่อนที่ผ้าผืนนั้นจะเลื่อนไปตรงข้ามแก้ม สัมผัสแผ่วเบาแบบนั้นทำเอาหญิงสาวต้องหลุบตาลงอย่างเขินอายมากกว่าเดิม สมองของหล่อนกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ใช่ผ้าแต่เป็นริมฝีปากของเขาล่ะ ยิ่งคิดแก้มนวลก็ยิ่งแดงก่ำ
“เสร็จแล้ว”
“ขะ..ขอบคุณมากค่ะ”
ณฐอรซึ่งบัดนี้กลายเป็นโรคติดอ่างไปชั่วขณะ ถึงไม่มีกระจกแต่หล่อนก็รู้ว่า ตอนนี้ใบหน้าคงแดงก่ำราวกับถูกอังด้วยไฟ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มตรงหน้า เมื่อตาของทั้งคู่สบกันหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูงเข้าอย่างจัง ดวงตาของเขาราวกับมีมนต์สะกดเพราะมันทำให้หล่อนรู้สึกราวกับจะเป็นอัมพาต
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดง หรือว่า ไม่สบาย”
และแล้วธนวรรธน์ก็ทำให้ทุกอย่างแย่ลงอีกเมื่อเขาเอื้อมมือมาอังตรงหน้าผาก หญิงสาวรีบหลุบสายตาอย่างมีพิรุธ หล่อนอยากจะยกมือกดหน้าอกเอาไว้เพื่อไม่ให้หัวใจกระเด็นกระดอนออกมา หล่อนเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าถึงได้รู้สึกแบบนี้ แต่แล้วความทรงจำบางอย่างก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว
‘เขามีแฟนแล้ว แถมยังเป็นเกย์อีกด้วย...นี่หล่อนคิดบ้าอะไร...’
หญิงสาวกระเถิบตัวออกห่างชายหนุ่มอีกนิด รีบกระแอมและหลบสายตา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอไปทำบัญชีก่อนนะ”
แม้จะเป็นคำแก้ตัวที่ไม่ได้เรื่องเลยสักนิดแต่ณฐอรก็ต้องทำ ขืนปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่ต่อหน้าสายตาคมกริบคู่นั้น หล่อนคงต้องเผลอใจไปอีกเป็นแน่ เป็นครั้งแรกที่ณฐอรอยากให้หล่อนมีเวทย์มนต์เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง หล่อนคงสามารถเสกผู้ชายรูปหล่อให้หายเป็นเกย์...
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาหกโมงเย็นเมื่อเสียงมือถือของณฐอรดังขึ้นหลังจากฟังข้อความ หญิงสาวก็หันมาพูดกับเชฟหนุ่ม ว่าจะปิดร้าน ธนวรรธน์ช่วยหญิงสาวนับเงินและจัดการบัญชีอย่างด่วนที่สุด ก่อนจะอาสาขับรถพาหญิงสาวมายังโรงพยาบาล อาการของอาณัฐดีขึ้นและเริ่มรู้สึกตัว
“ผมเห็นท่านขยับมือ มีการตอบสนอง และการหายใจก็ดีขึ้น ก็เลยโทรเรียกคุณมาที่นี่”
ร่างในชุดคนป่วยที่ยังคงมีท่อช่วยหายใจอยู่ในปากแต่ก็นับว่า อาการดีขึ้นมา แพทย์ได้ลองลดเครื่องช่วยหายใจเมื่อตอนบ่ายและพบว่า คนไข้พอจะหายใจเองได้ ทีมผู้รักษาจึงตั้งใจจะนำท่อช่วยหายใจออกในวันพรุ่งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดดเลยทีเดียวขนาดแพทย์ผู้รักษายังอดแปลกใจไม่ได้ ปกติแล้วคนไข้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองหนักขนาดนี้ล้วนแต่ต้องนอนรักษาตัวเป็นเดือนๆ ด้วยซ้ำ ณฐอรก้าวเข้าไปชิดเตียง ใบหน้านวลคลอไปด้วยน้ำตา
“ป๊าคะ ป๊า..ได้ยินอายไหมคะ” พูดได้แค่นั้นหญิงสาวก็เริ่มร้องไห้ ขณะที่คนขับรถจำเป็นทอดสายตามองสองพ่อลูกด้วยลำคอตีบตัน
เขายังจำความรู้สึกของตนเองตอนสูญเสียบิดาได้เป็นอย่างดี ร่างของหัวหน้าครอบครัวนอนนิ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว รอบกายคล้ายเงียบสงัดสิ่งเดียวที่จำได้คือ เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นปิ่มว่า จะขาดใจของมารดา แม้ธนวรรธน์จะอยากร้องไห้แต่เพราะจำคำสอนของบิดาได้ ท่านบอกว่า เกิดเป็นผู้ชายต้องเข้มแข็ง ชายหนุ่มจึงจำต้องฝืนทนเก็บความปวดร้าวลงไปในใจเมื่อสิ้นบิดา เขาต้องทำตัวเป็นเสาหลักแทนแต่กว่าสองแม่ลูกจะปรับตัวได้ก็ล่วงเข้าไปเดือนที่สามแต่พอได้เห็นสภาพณัฐอรตอนนี้ภาพวันเก่าๆ ก็หวนมาอีกครั้ง
ผู้หญิงตัวคนเดียวแต่กลับต้องมาแบกภาระร้านขนมทั้งที่ทำอะไรไม่เป็น เขายังจำคำพูดของหล่อนได้
“ฉันมันแย่มาก ทำขนมปังไม่เป็น”
ธนวรรธน์จำได้ว่า ปลอบหล่อน แต่สุดท้ายณฐอรก็แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนคงมีเพียงแววตาเท่านั้นที่บอกว่า หล่อนรู้สึกแย่กับตัวเองจริงๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว
“ผมคิดว่า พรุ่งนี้น่าจะเอาท่อช่วยหายใจออกได้ และถ้าทุกอย่างคงตัว ผมจะส่งคนเจ็บไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองอีกครั้ง ถ้าสมองยุบบวม อีกไม่นานก็ปิดกระโหลกได้แล้วครับ”
“ป๊าจะเหมือนเดิมไหมคะหมอ จะพูดได้ เดินได้หรือเปล่า”
“ผมคงยังตอบไม่ได้ ต้องรอดูต่อไปก่อน การฟื้นตัวของคนป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อให้กล้ามเนื้อมัดต่างๆ เริ่มกลับมาทำงาน ถ้าหมั่นบริหารร่างกายน่าจะฟื้นตัวเร็วขึ้น”
“ได้ค่ะ คุณหมอ เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า ขอให้ป๊าหาย ถ้าไงหมอช่วยหาพยาบาลพิเศษให้ด้วยนะคะ คือว่า ช่วงนี้ดิฉันต้องคุมร้าน อาจจะเข้ามาได้ไม่บ่อย”
นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าและขอตัวออกไปดูผู้ป่วยรายอื่น ทิ้งให้ณฐอรนั่งอยู่กับคนไข้เพียงลำพัง หญิงสาวยกมือบิดามาแนบแก้ม พูดเสียงสะอื้น
“ป๊าคะ อายดีใจจริงๆ อายคิดถึงป๊า เมื่อไหร่ป๊าจะฟื้นขึ้นมาคุยกับอายคะ อายมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเยอะเลย”
ณฐอรกำลังจะพูดต่อแต่แล้ว เสียงของผู้หญิงอีกคนก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากทุกคนจนต้องหันไปมอง มาลีซึ่งได้รับโทรศัพท์จากหมอเช่นกันจึงรีบมาดูอาการของพี่ชาย หล่อนสวมเสื้อคลุมและปรี่เข้ามาข้างเตียง
“อาการพี่ณัฐเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวหรือยัง”
“ยังค่ะแต่หมอบอกว่า พ่อมีการตอบสนองมากขึ้น หายใจเองได้บ้างแล้ว” ผู้ร่วมเหตุการณ์อีกคนได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้ณฐอรเล่าอาการของบิดาให้กับอาสาวฟัง แต่แทนที่มาลีจะสนใจอาการของพี่ชาย หล่อนกลับหันมาทำเสียงแข็งใส่หลานสาว
“รีบฟื้นเร็วๆ ก็ดี พี่ณัฐจะได้รู้เสียทีว่า ลูกสาวของตัวเองทำเรื่องยุ่งไว้ขนาดไหน”
ณฐอรเลิกคิ้วขึ้น มองอาสาวอย่างงุนงง
“อี๊ลีหมายถึงอะไรคะ อายไม่เข้าใจ”
“ไม่ต้องแกล้งทำเป็นไก๋หรอกน่า แกนี่มันขยันหาเรื่องเดือดร้อนไม่หยุด รู้ไหมว่า วันนี้ตำรวจไปที่บ้านฉัน ไปขอพบกับทยุต แกนึกอะไรขึ้นมาถึงได้ไปบอกตำรวจว่าอาทยุตเล่นพนัน”
คงเป็นเพราะผลการสอบสวนเมื่อคืนทำให้บ่ายนี้มาลีถึงกับนั่งไม่ติด ณฐอรกลืนน้ำลายลงคอก่อนพูดต่อ
“อายไม่ได้ตั้งใจ แต่ตำรวจเขาถามว่า สงสัยใครไหม อายก็เลยบอกไป”
“แต่แกก็น่าจะถามฉันก่อนนะยายอาย ทำแบบนี้มันเสียชื่อเสียงหมดรู้ไหม ทยุตเลิกเล่นพนันตั้งนานแล้ว เพราะแกทำให้เขาต้องถูกสอบสวนอีก”
“อายขอโทษค่ะ อายไม่คิดว่า จะทำให้อาทยุตต้องเดือดร้อน ที่บอกตำรวจก็เพราะ คนร้ายพูดว่า ถ้าไม่ยอมใช้เงินพวกมันจะเล่นงานอย่างหนัก”
“แกก็เลยเหมาเอาเองว่า เป็นอาของแกงั้นสิ ทุเรศที่สุด แกนี่มันอกตัญญูจริงๆ เลย ฉันกับอาเขยอุตส่าห์มาช่วยงานในร้าน แกก็หาว่า เรายักยอกเงินแล้วตอนนี้ยังโยนขี้เรื่องพนันให้เขาอีก หัวใจแกทำด้วยอะไร”
“อายบอกแล้วไงคะว่า ไม่ได้ตั้งใจ ทำไมอี๊มาลีต้องพูดเสียงดังแบบนี้ด้วย ป๊าเพิ่งจะฟื้น อี๊อยากให้ป๊าได้ยินหรือไง”
คนป่วยซึ่งนอนนิ่งเริ่มขยับเปลือกตาเมื่อเสียงของการโต้เถียงดังมากขึ้นทุกที
“แล้วแกจะให้ฉันพูดยังไง ในเมื่อแกทำเรื่องเดือดร้อนให้ฉัน ร้านขนมสาขาสองก็ต้องปิดเพราะต้องไปให้ปากคำกับตำรวจ คนเป็นญาติสนิทกันเขาทำกันแบบนี้หรือ”
ณฐอรเม้มริมฝีปากแน่นก้มหน้า ตอนนี้บรรดาของญาติคนป่วยต่างหันมามองการโต้เถียงอย่างสนใจ ขณะที่ผู้สังเกตการณ์อย่างธนวรรธน์ได้แต่ยืนนิ่ง ทั้งหมดเป็นเรื่องในครอบครัวซึ่งไม่ควรไปก้าวก่ายในขณะเดียวกันในฐานะคนนอก เขาก็มองว่า อาสาวของหล่อนทำไม่ถูก ในเมื่อสามีเล่นพนันการที่ณฐอรให้ปากคำไปนั้นไม่ใช่เรื่องผิด ตรงกันข้ามกลับเป็นการช่วยป้องกันภัยที่กำลังจะมาถึงตัวมากกว่า หากอีกฝ่ายเป็นหนี้เจ้าหนี้หน้าเลือดจริงๆ ก็ควรจะระวังไว้
“แต่อายทำไปเพราะหวังดีนะคะ”
“เชอะหวังดี....แกอิจฉา เพราะร้านฉันขายดีกว่าล่ะสิ แล้วนี่ใคร แกจ้างเชฟใหม่แล้วหรือ”
มาลีตวัดสายตาไปยังชายหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนนิ่งมองการโต้เถียงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ธนวรรธน์พยักหน้าน้อยๆ เป็นการทักทาย เขายังไมทันเอ่ยปากอาสาวก็พูดต่อ
“ดีนี่...ปีกกล้าขาแข็งแล้ว คิดว่า จะจ้างเชฟมาช่วยแล้วจะไม่ต้องพึ่งฉันใช่ไหม มิน่าแกถึงได้ถีบหัวส่ง เสียแรงนะฉันรักแกแต่แกกลับเนรคุณ ไอ้หลานอกตัญญู”
“อาอี๊คะ”
ณฐอรพูดเสียงเครือ ขณะที่คนซึ่งอยู่ในความโกรธไม่ทันคิดอะไร ได้ทีมาลีก็ตวาดแว๊ดพร้อมกับชักหน้าบึ้งทันที ธนวรรธน์ซึ่งยืนฟังอยู่นานแล้วเมื่อเห็นว่า เหตุการณ์เริ่มจะบานปลายจึงรีบเอ่ยขึ้น
“ผมเป็นเพื่อนกับอายครับ เห็นที่ร้านยุ่งก็เลยมาช่วย”
ณฐอรเงยหน้าสบตาส่งสายตามาราวกับจะขอบคุณ ธนวรรธน์จึงได้แต่พยักหน้าแต่มาลีกลับไม่เชื่อ หล่อนแค่นเสียง
“เพื่อนที่ไหน...ทำไมฉันไม่เคยเห็น”
“ธะ...ธามเป็นเพื่อนที่มหาวิทยาลัยค่ะ พอดีเขาว่างอยู่ก็เลยมาช่วยอายขายขนมปัง” ได้ทีหญิงสาวก็รีบผสมโรงทันที
“ไม่จริงฉันไม่เชื่อ ฉันเห็นแกประกาศรับเชฟใหม่ ไอ้หนุ่มคนนี้สินะ นึกหรือว่า มันจะช่วยกิจการที่ร้านนี้ได้”
ณฐอรได้แต่อึ้ง หล่อนเหลียวมองคนเจ็บซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าพิพักพิพ่วน
“อาอี๊คงเข้าใจผิดแล้วละครับ ผมไม่ใช่เชฟจริงๆ ผมเป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่คณะของอาย ผมเห็นว่า อายกลังลำบากเลยมาช่วย”
“ฉันไม่เชื่อ เพื่อนสนิทยายอายมีแค่สองคน คือ ติ๊กกับกุ๊กไก่คิดว่า ฉันไม่รู้จักหรือไง”
ธนวรรธน์ลอบถอนหายใจก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้คนฟังอึ้งยิ่งกว่าเดิม
“ก็ได้ครับ ผมบอกความจริงเลยก็แล้วกัน ผมคือ แฟนของอาย”
แม้การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ในที่สุดมาลีก็ยอมรามือและกลับออกไป สิ่งเดียวที่อาสาวต้องการก็คือให้บอกตำรวจว่า ทยุตไม่เกี่ยวข้องกับการพนัน หญิงสาวจำต้องรับปากทั้งที่ความจริงแล้วไม่เห็นด้วยเลยสักนิด ถ้าจะมีใครที่โดนอาฆาตคนนั้นควรจะเป็นอาเขยมากที่สุด ณฐอรเผลอถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความเงียงเข้าครอบงำคนทั้งคู่ก่อนที่หญิงสาวจะเอ่ยถามสิ่งที่อยู่ในใจเมื่อได้อยู่กันตามลำพัง
“ทำไมคุณต้องไปบอกอาอี๊ว่า อย่างนั้นด้วยคะ”
“แล้วคุณจะให้ผมทำยังไง ขืนบอกว่า ผมเป็นเชฟคนใหม่ อาอี๊ของคุณก็จะยิ่งโกรธนะ ป๊าของคุณก็เพิ่งจะดีขึ้น คุณคงไม่อยากให้ท่านต้องได้ยินเรื่องไม่สบายใจหรอกใช่ไหม”
ใช่..บิดาของหล่อนเพิ่งจะฟื้น แม้คนเจ็บจะยังไม่ลืมตาแต่การตอบสนองบอกว่า ท่านอาจะได้ยินบทสนทนาเหล่านั้นก็เป็นได้ แม้หลายปีที่ผ่านมาท่านกับมาลีจะมีเรื่องทะเลาะกันตลอดแต่ต้นเหตุก็เพราะมือที่สาม ถ้าไม่ใช่เพราะอาเขยป่านนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคงจะแน่นแฟ้นกลมเกลียว ณฐอรไม่อยากโทษใคร ทั้งหมดเป็นเพราะโชคชะตา
หลังแต่งงานอาสาวก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เคยอามรณ์เย็นและมองโลกในแง่ดีก็เปลี่ยนเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหวาดระแวง ตั้งแต่สมัยที่ปู่ของหล่อนยังอยู่ มาลีก็ระแวงเสมอว่า จะไม่ได้สมบัติ จากที่เคยช่วยงานโดยไม่อิดออดก็เริ่มเรียกร้องเงินทองมากขึ้น บิดาของหล่อนพยายามใช้ความรักของพี่ที่มีต่อน้องสาวเพื่อเป็นกาวใจแต่ทุกอย่างก็ไม่ดีขึ้น
“แต่ทำแบบนี้คุณจะเดือดร้อนนะคะ แฟนของคุณอาจจะว่าเอาได้”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงหรอก ผมจัดการได้ ตอนนี้ปัญหาใหญ่คือ ร้านของคุณต่างหาก คุณต้องระวังตัวให้มาก หากพวกนักเลงไม่ได้เงินมันต้องย้อนกลับมาเล่นงานเราอีก”
“ฉันควรจะทำยังไงดีคะ”
“ผมมีเพื่อนเป็นตำรวจอยู่สถานีใกล้ๆ นี้เอง ผมจะลองโทรไปปรึกษาเขาดู ถ้าจำเป็นเราจะขอให้เขาช่วยส่งสายตรวจมาดูแลบ่อยขึ้น ระหว่างนี้คุณไม่ควรกลับบ้านตามลำพัง”
สายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วงทำเอาหญิงสาวต้องหลบตา เขาจะรู้บ้างไหมว่า มองแบบนี้แล้วทำให้หล่อนใจสั่น รู้ทั้งรู้ว่า เขาเป็นเกย์แต่ทำไมถึงได้หวั่นไหว
“ค่ะฉันจะให้เด็กในร้านอยู่เป็นเพื่อน คุณไม่ต้องห่วง เงินส่วนหนึ่งฉันจะแบ่งให้คนเอาไปเข้าก่อนปิดร้านดีไหมคะ”
“ดี แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ ผมคิดว่า คุณต้องเรียนทำขนม”
ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง หล่อนเคยพยายามมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ มักจะมีอุปสรรคอยู่ร่ำไป ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นเศร้าทันที
“ทำไมหรือ คุณทำหน้าเหมือนกลุ้มใจ
“ฉันเคยลองแล้วนะคะ ตอนเด็กๆ ป๊าก็พยายามสอน แต่เพราะฉันแพ้ยีสต์แล้วก็ผสมสูตรผิดๆ ถูกๆ มั่วไปหมด จนสุดท้ายป๊าก็ถอดใจ”
“แต่ไม่ใช่สำหรับผม เชื่อสิ ผมจะเป็นครูสอนคุณให้ทำขนมเอง รับรองไม่เกินหนึ่งเดือน คุณต้องทำขนมปังได้แน่”
“คุณมั่นใจหรือคะ ฉันเป็นคนหัวทึบ ยิ่งสอนคุณก็จะยิ่งโมโห”
“ทำขนมนะคุณ ไม่ใช่เรื่องยากสักหน่อย ขอเพียงคุณตั้งใจเรียนเท่านั้น ทุกวันก่อนร้านเปิดสักหนึ่งชั่วโมง เราจะมาหัดทำขนมปังกัน เริ่มจากสูตรง่ายๆ ก่อน คุณคิดว่า พอไหวไหม”
” แต่คุณไม่เหนื่อยเกินไปหรือคะ ไหนจะต้องทำขนมทั้งวันแล้วยังมาช่วยสอนผมอีก”
“ไม่หรอก ผมชอบ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเป็นเชฟ ว่าแต่คุณเถอะจะไหวไหม”
“ไหวค่ะ ฉันอยากเรียน” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย หล่อนคลี่ยิ้มออกมา
“ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหา พรุ่งนี้เราจะเริ่มเรียนทำขนมสูตรแรกกัน”
“ก่อนอื่นคุณต้องเริ่มจากทำความรู้จักส่วนผสมต่างๆ อย่างละเอียด อย่างที่คุณเห็นอยู่ก็คือแป้ง”
ณฐอรปั้นหน้าบึ้ง ส่งค้อนราวกับจะตอกย้ำว่า แม้หล่อนจะทำขนมไม่เป็นแต่ไม่มีทางเสียหรอกที่ทายาทร้านขนมปังอย่างหล่อนจะไม่รู้จักแป้ง หล่อนไม่ใช่ลูกคุณหนูที่เอาแต่เดินกรีดกรายอยู่ในครัวตรงกันข้ามบิดาของหล่อนสอนให้รู้จักขั้นตอนทุกอย่างตั้งแต่การสั่งของ การทำบัญชี
“อย่าเพิ่งทำหน้าบึ้งสิ คุณอาจจะรู้ว่า นี่คือ แป้งแต่รู้ไหมว่า สองห่อนี้ต่างกันยังไง”
หญิงสาวเหลือบมองแป้งสีขาวนวลซึ่งวางอยู่บนโต๊ะหล่อนทราบว่า แป้งหนึ่งนั้นสำหรับทำขนมปังส่วนอีกอันนั้นเรียกว่า แป้งสำหรับทำเค้ก ทั้งสองล้วนแต่เป็นแป้งอเนกประสงค์
“แป้งสำหรับทำขนมปังจะมีส่วนโปรตีนเป็นส่วนประกอบสิบสามถึงสิบสี่เปอร์เซ็นต์ เนื้อจะเป็นเนื้อหยาบสีเป็นสีครีม คุณสมบัติคือ อุ้มน้ำได้ดีกว่า เนื่องจากขนมปังนั้นเราต้องการให้ขึ้นรูปแข็งต่างจากเค้กที่ต้องการให้นุ่มฟู เมื่อเราต้องการคุณสมบัติของสองอย่างรวมกันจึงนำมาผสมโดยมีสัดส่วนของแป้งขนมปังมากกว่า อย่างขนมปังร้านคุณจะใส่แป้งเค้กประมาณหนึ่งในหก คุณดูเนื้อของแป้งนี่สิ เนื้อจะเนียนกว่าขาวกว่า”
“จริงด้วย ฉันไม่เคยสังเกตเลย”
“เอาล่ะทีนี้เราก็มาทำขนมปังกัน เริ่มจากการตวงส่วนที่เป็นของแห้งเข้าด้วยกันนะ หลักการทำขนมที่สำคัญคือ สูตรคุณต้องจำให้แม่นยำ หากหลงลืมอะไรไปจะมีผลต่อเนื้อของขนมจะไม่นุ่มฟู เข้าใจไหม”
ณฐอรพยักหน้า แอบชำเลืองมองหน้าอาจารย์หนุ่ม วันนี้ธนวรรธน์สวมเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนกับกางเกงยีนส์สวมทับไว้ด้วยผ้ากันเปื้อน แม้จะเป็นเสื้อผ้าธรรมดาแบบที่เห็นคนอื่นทั่วไปแต่กลับทำให้ร่างสูงตรงหน้าดูดีอย่างเหลือเชื่อ ตลอดเวลาสองอาทิตย์ที่เชฟหนุ่มมาทำงานในร้านขนม ไม่มีวันไหนที่หล่อนจะได้เห็นเขาในสภาพที่เรียกว่า ‘โทรม’ เลยสักครั้ง แม้งานในร้านจะยุ่งจนหัวหมุนแต่เชฟคนใหม่แห่งร้านขนมนุ่มลิ้นก็สามารถรักษาคอนเซ็ปต์เอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ
‘หล่อ เนี๊ยบ เก่ง’
โครงหน้าคมสันหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่ แต่ส่วนที่โดดเด่นที่สุดคือ นัยน์ตาคมปลาบซึ่งล้อมรอบด้วยขนตาดกหนาเป็นแพขนาดสาวงามอย่างหล่อนยังอาย หลายครั้งที่ณฐอรแอบมองชายหนุ่มแล้วก็อดที่จะเขินอายไม่ได้ ริมฝีปากหยักลึกเต็มตึง คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือดวงตาคมกริบทั้งสองข้าง ยิ่งยามนัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางหล่อนณฐอรก็ยิ่งรู้สึกประหม่า เมื่อสายตาเผลอมองต่ำลงมายังแผงอกแน่นตึงผ่านสาบคอเสื้อของ เนื้อในอกข้างซ้ายก็ยิ่งเต้นระรัว เขาเป็นผู้ชายที่สูงมากขนาดณฐอรซึ่งสูงถึงร้อยหกสิบแปดยังต้องแหงนคอตั้งบ่า กลิ่นหอมอ่อนจากโคโลจน์ของผู้ชายทำเอาสติสตางค์ของลูกศิษย์สาวลดน้อยถอยลงทุกที มีใครเคยบอกเขาบ้างไหมว่า ไม่ควรจ้องหน้าคนอื่นแบบนี้ เพราะมันทำให้สมองของหล่อนหมุนติ้วยิ่งกว่าลูกข่างหมุนรอบแกนเสียอีก
“นี่คุณ ใจลอยไปถึงไหนน่ะ ผมกำลังสอนอยู่นะ”
เสียงเข้มๆ ดึงหญิงสาวหลุดจากภวังค์ ปกติแล้วณฐอรไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนแต่เพราะเผลอคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงได้สะดุ้งสุดตัว โชคดีที่เขาอ่านจิตใจหล่อนไม่ได้ ไม่เช่นนั้นหากธนวรรธน์รู้ว่า หล่อนกำลังจินตนาการถึงตนเองตอนที่ซบหน้าลงบนแผงอกล่ำสันคงจะอับอายกว่านี้แน่ เพียงแค่คิดพิเรนทร์แก้มนวลก็แดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก หล่อนต้องสั่นศีรษะเร็วๆ เพื่อไล่ความฟุ้งซ่าน
“ขะ..ขอโทษค่ะ ฉันกำลังฟังอยู่”
“ฟังหรือว่า แอบหลับในกันแน่ คุณต้องตั้งใจเรียนรู้ไหม”
ณฐอรพยักหน้าเอื้อมมือไปหยิบกระดาษซึ่งจดส่วนผสมต่างๆ หล่อนสูดหายใจเข้าลึกสองสามครั้งเพื่อรวบรวมสมาธิ วัตถุดิบในการทำขนมปังนั้นประกอบไปด้วยแป้งขนมปัง แป้งเค้ก น้ำตาลทราย ยีสต์ นมผง น้ำอุ่น เนย เกลือ เมื่อตวงทุกอย่างครบแล้วก็มาถึงขั้นตอนการทำ
“ก่อนอื่นคุณนำส่วนที่เป็นของแห้งมารวมกันก่อน แป้งที่เราวางทิ้งไว้จะมีความหนักและเกาะกันจึงต้องร่อน เพื่อให้เนื้อขนมปังฟู จากนั้นก็ใส่ยีสต์ น้ำตาลทราย นมผง เกลือใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นค่อยใส่ส่วนที่เป็นของเหลวได้แก่น้ำอุ่น ไข่ไก่ใส่ลงในเครื่องนวดนะเมื่อเริ่มเกาะกันเป็นเนื้อเดียวก็ใส่เนยลงไปนวดจนส่วนผสมเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน รู้ว่า เนื้อแป้งใช้ได้คือ หยิบออกมานิดหนึ่งขยี้ดูว่า น้ำตาลละลายหมดไหม ลองดึงยืดแผ่ให้เป็นแผ่นบางๆ ได้ แสดงว่า แป้งได้ที่แล้ว”
หลังจากนวดด้วยเครื่องอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงเนื้อของโดว์ก็เนียนนุ่มออกเป็นสีเหลืองนวล อาจารย์หนุ่มจัดแจงบิเนื้อแป้งออกมาและทดสอบให้ณฐอรดู เพราะเหตุนี้เองคราวก่อนที่หล่อนกับลูกจ้างในร้านช่วยกันทำเนื้อขนมปังถึงออกมาผิดสูตร นั่นก็เพราะไม่มีวิธีดูเนื้อแป้งนั่นเอง
“พอนวดเสร็จเราก็เอาแป้งออกจากเครื่องแล้วก็พักไว้สิบห้านาทีให้แป้งคลายตัว ระหว่างนี้เราก็เตรียมพื้นที่เพื่อจะขึ้นรูปขนมปัง ส่วนนี่เครื่องชั่ง”
“ทำไมเราต้องใช้เครื่องชั่งด้วยละคะ”
“ก็เพราะอยากให้ขนมปังออกมาชิ้นเท่าๆ กันนะสิ ขืนกะด้วยสายตามีหวังขนมชิ้นเล็กใหญ่จะไม่สวย พอแป้งคลายตัวแล้วก็มาเริ่มขั้นตอนต่อไปนะคือ แบ่งเป็นก้อน ห้ามใช้มือฉีกนะ เนื้อขนมปังจะไม่สวยให้ใช้มีดตัดแบบนี้ ชั่งน้ำหนักแต่ละก้อนสี่สิบกรัม”
ธนวรรธน์ลองทำให้ดูเป็นตัวอย่างหลังจากนั้นก็ปล่อยให้ลูกศิษย์สาวทำบ้าง แป้งขนมชิ้นโตบัดนี้ถูกตัดแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กๆ วางเรียงกันบนโต๊ะหินอ่อนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนวดและขึ้นรูป
“จากนั้นคุณก็ต้องคลึงให้เป็นรูปกลมๆ ใช้สันมือแบบนี้”
หญิงสาวหยิบขนมปังนั้นขึ้นและใช้มือสองข้างปั้นให้เป็นกลมๆ คล้ายดินน้ำมันแต่กลับโดนอาจารย์คนเก่งโวยตั้งแต่ยังไม่เสร็จ
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ คุณต้องคลึงกับโต๊ะแบบนี้ผมเตรียมไว้ให้แล้ว”
ชายหนุ่มนำแป้งขนมปังไว้ใต้อุ้งมือก่อนคลึงกับโต๊ะทิ้งน้ำหนักใต้มือเพียงเล็กน้อย ครู่เดียวเนื้อขนมบิดๆ เบี้ยวๆ ก็กลายเป็นก้อนกลมเรียบเนื้อเนียน แต่พอถึงคราวที่ณฐอรต้องทำมันกลับยากกว่าที่หล่อนคิด
“ทำไมของฉันไม่กลมเลยคะ”
“เพราะคุณไม่เคยทำ อย่างนี้นะเอาแป้งไว้ใต้อุ้งมือแล้วหมุนเป็นวงกลมบนโต๊ะ ไม่ต้องกดมือมากให้รู้สึกเหมือนแป้งกลิ้งอยู่ใต้ฝ่ามือก็พอแล้ว”
ธนวรรธน์หยิบแป้งใส่มือหญิงสาวพร้อมกับเอื้อมมือไปวางด้านหลังฝ่ามืออีกฝ่ายก่อนจะสอนวิธีคลึงแป้ง เขาคงไม่รู้หรอกว่า กิริยาอย่างนั้นทำเอาหญิงสาวถึงกับแก้มร้อนผ่าว แม้หล่อนจะเคยมีเพื่อนชายบ้างสมัยเรียนแต่ไม่เคยมีใครใกล้ชิดเท่ากับชายหนุ่มมาก่อน มือของเขาใหญ่กว่าหล่อนเกือบสองเท่าแต่กลับมีผิวละเอียดนิ่มลื่นมือไม่ต่างจากผู้หญิงแทบไม่น่าเชื่อว่า นี่คือ มือของคนซึ่งทำงานในครัวทุกวี่ทุกวัน
“ได้ไหม..อย่ากดลงกับโต๊ะนะ แป้งจะแบนหมดแค่ประคองให้แป้งกลิ้งอยู่ใต้มือแบบนี้”
พูดจบชายหนุ่มก็สาธิต ณฐอรทำตามครู่หนึ่งหล่อนก็สามารถทำได้ ธนวรรธน์จึงปล่อยให้ลูกศิษย์สาวทำเองจนหมดแป้งที่เตรียมไว้ จากแรกที่รู้สึกว่า ยากก็ทำได้คล่องขึ้น
“กลมแล้ว”
“อย่าเพิ่งดีใจไป นี่มันแค่ขั้นแรก หลังจากเราปั้นแป้งเป็นก้อนหมด ก็มาถึงตอนขึ้นรูป วันนี้ผมจะสอนคุณทำสองแบบนะ คือ แบบกลมปกติแต่เราต้องห่อเนยสดไว้ข้างใน”
ชายหนุ่มเลื่อนชามใส่ซึ่งใส่เนยสดหั่นเป็นชิ้นเล็กขนาดลูกเต๋าเมื่อครู่นี้ตอนที่รอให้แป้งคลายตัวทั้งสองก็ไปเตรียมส่วนผสมนี้เอาไว้ เขาเริ่มจากนำก้อนแป้งมาคลึงด้วยไม้ท่อนกลมเพื่อให้เป็นแผ่นแบนก่อนนำเนยชดชิ้นพอดีคำวางลงไปแล้วห่อปิดหัวปิดท้าย
“คุณต้องปิดหัวท้ายให้ดี ไม่อย่างนั้นตอนที่เอาเข้าอบเนยจะรั่วออกมา ดูไม่สวย จับจีบตอนท้ายแล้วก็ม้วนไว้ด้านล่างพอวางลงไปในพิมพ์จะได้มองไม่เห็น ส่วนด้านบนถ้าอยากให้เรียบก็จีบเป็นวงกลมด้านล่างไปเรื่ยอๆ”
หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่ายแต่ขนมปังของหล่อนกลับมีรูปร่างบิดๆ เบี้ยวๆ ไม่เหมือนกับของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ณฐอรเผลอถอนหายใจ
“ทำไมมันเบี้ยวอย่างนี้ละคะ “
“ใจเย็นๆ สิคุณ ทำขนมห้ามใจร้อน แรกๆ ก็แบบนี้ล่ะ ตอนผมหัดทำใหม่ๆ ก็เบี้ยวแต่พอสักพักหนึ่งก็เข้าที่”
ธนวรรธน์หยิบแป้งอีกชิ้นให้หญิงสาวลองเมื่อทำจนคล่อง เขาจึงสอนการขึ้นรูปเป็นแบบเปีย
“ก่อนอื่นคุณต้องคลึงแป้งให้เป็นแผ่น แล้วใช้มีดตัดเป็นสามแฉก หลังจากนั้นก็นำมาถักเปียแบบหลวมๆ “
“โอ๊ยง่ายมาก แค่ถักเปีย ฉันทำเป็นแน่”
เพราะความใจร้อนหญิงสาวจึงดึงแป้งอย่างแรงส่งผลให้เปียขนมปังบิดๆ เบี้ยวๆ เมื่อถักแล้วดูคล้ายก้อนอุนจิไม่ปาน ณฐอรมองผลงานตัวเองด้วยสีหน้าหงอยๆ
“ผมบอกแล้วไงว่า ต้องใจเย็นๆ แป้งขนมปังเนยสดจะนุ่มมากต้องค่อยๆ ถักเปียและจับเบาๆ ขืนจับแรงก้อนจะแบนเสียหมด”
พอได้คำปลอบหญิงสาวจึงทำอีกครั้งคราวนี้ผลงานของหล่อนดูเข้าท่ามากขึ้น เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงทั้งสองก็ขึ้นรูปขนมปังจนหมด หลังจากนั้นก็ถึงขั้นตอนต่อไปคือ นำเข้าตู้เร่งปฏิกิริยาซึ่งมีลักษะเป็นตู้ปรับอุณหภูมิและมีไอน้ำ เพื่อให้ขนมขึ้นฟูรออบ
“ถ้าอยู่บ้านคุณก็เอาน้ำร้อนรองด้านใต้และคลุมด้านบนไว้ด้วยผ้าชุบน้ำ แต่ในร้านมีตู้นี้ ก็สบายมากขึ้น รอให้ฟูเสร็จแล้วก็เข้าอบ”
“เสร็จแล้วหรือคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ ณฐอรถึงกับคลี่ยิ้ม
“ไม่นึกเลยนะคะว่า ทำขนมปังง่ายแค่นี้เอง แล้วทำไมเมื่อก่อนฉันถึงทำไม่ได้”
“เพราะคุณไม่เคยเรียนยังไงล่ะ การทำเบเกอรี่ไม่ยากหรอกนะคุณ ที่เหลือก็แค่ประสบการณ์ในการ ที่ผมให้คุณลองนวดขนมปังดูนั่นล่ะ ผมอยากให้คุณรู้ว่า เนื้อขนมประมาณไหนเรียกว่า ใช้ได้ ปกติแป้งแต่ละห่อมีน้ำเป็นส่วนประกอบไม่เหมือนกัน แป้งเก่าจะมีความชื้นมาก หากเราใส่น้ำมากไปก็จะแฉะแต่หากว่า แป้งใหม่น้ำก็จะน้อยใส่น้ำเท่าเดิมก็จะแข็งเพราะฉะนั้นคุณต้องหัดดูเนื้อแป้งให้เป็น”
“ขอบคุณนะคะ ฉันรู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะเลย หลังจากนี้ฉันต้องทำอะไรอีกคะ”
“คุณต้องไปล้างหน้า”
“คะ”
คิ้วบางของหญิงสาวเลิกขึ้นเป็นเครื่องหมายคำถาม หล่อนไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำว่า ตอนนี้ใบหน้านวลเลอะไปด้วยคราบแป้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงปลายจมูก ธนวรรรธน์เป็นผู้เฉลยให้ เขายื่นมือมาเกลี่ยเส้นผมปอยหนึ่งไปทัดข้างหูก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเข้มจากในกระเป๋าออกมาเช็ดปลายจมูกให้กับหล่อน
“ตอนนี้คุณมอมแมมมากเลยรู้ไหม”
ณฐอรก้มหน้าแก้มร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นรินรดพวงแก้มนวลโดยไม่ทันตั้งตัว ชายหนุ่มคงไม่รู้หรอกว่า ความใกล้ชิดเช่นนี้จะทำให้คนมีชนักถึงกับพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวรู้สึกได้ถึงไอร้อนผ่าวจากร่างสูงตรงหน้าอีกทั้งตอนนี้ใบหน้าหล่อคมยังอยู่ห่างจากหล่อนไม่ถึงคืบอีกด้วย ดวงตาสีนิลซึ่งเคยเห็นบัดนี้ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า จมูกโด่งที่มีลมหายใจอุ่นกับริมฝีปากหยักลึกสีแดงจัดซึ่งไม่มีแม้แต่หนวดและเคราให้รำคาญตา หน้าตาของเขาช่างหล่อเหลาเสียเหลือเกิน น่าอิจฉาที่พระเจ้าสร้างชายหนุ่มผู้นี้ให้สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และน่าอายเหลือเกินที่หัวใจของหล่อนกลับเต้นแรงราวกับจังหวะร็อคแอนด์โรล หญิงสาวลืมไปว่า ทุกอากัปกิริยาของตนเองจะอยู่ภายใต้สายตาของเชฟหนุ่ม เมื่อได้ยินเสียงกระแอมหญิงสาวก็รีบหลบสายตา
“เอ่อ..ค่ะ ฉันเช็ดเองได้”
หญิงสาวรีบรับผ้าเช็ดหน้านั้นมาและเช็ดอย่างเร็วๆ ตรงปลายจมูกแต่เพราะความรีบยิ่งเช็ดก็ดูเหมือนจะยิ่งทำให้เลอะเทอะมากยิ่งขึ้น
“ให้ผมทำให้เถอะ คุณมองไม่เห็น”
ธนวรรธน์เทน้ำเย็นใส่ผ้าเช็ดหน้าและบรรจงเช็ดเบาๆ ตรงปลายจมูกก่อนที่ผ้าผืนนั้นจะเลื่อนไปตรงข้ามแก้ม สัมผัสแผ่วเบาแบบนั้นทำเอาหญิงสาวต้องหลุบตาลงอย่างเขินอายมากกว่าเดิม สมองของหล่อนกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ถ้าหากสิ่งนั้นไม่ใช่ผ้าแต่เป็นริมฝีปากของเขาล่ะ ยิ่งคิดแก้มนวลก็ยิ่งแดงก่ำ
“เสร็จแล้ว”
“ขะ..ขอบคุณมากค่ะ”
ณฐอรซึ่งบัดนี้กลายเป็นโรคติดอ่างไปชั่วขณะ ถึงไม่มีกระจกแต่หล่อนก็รู้ว่า ตอนนี้ใบหน้าคงแดงก่ำราวกับถูกอังด้วยไฟ หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่มตรงหน้า เมื่อตาของทั้งคู่สบกันหญิงสาวก็รู้สึกเหมือนถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูงเข้าอย่างจัง ดวงตาของเขาราวกับมีมนต์สะกดเพราะมันทำให้หล่อนรู้สึกราวกับจะเป็นอัมพาต
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดง หรือว่า ไม่สบาย”
และแล้วธนวรรธน์ก็ทำให้ทุกอย่างแย่ลงอีกเมื่อเขาเอื้อมมือมาอังตรงหน้าผาก หญิงสาวรีบหลุบสายตาอย่างมีพิรุธ หล่อนอยากจะยกมือกดหน้าอกเอาไว้เพื่อไม่ให้หัวใจกระเด็นกระดอนออกมา หล่อนเป็นโรคหัวใจหรือเปล่าถึงได้รู้สึกแบบนี้ แต่แล้วความทรงจำบางอย่างก็ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว
‘เขามีแฟนแล้ว แถมยังเป็นเกย์อีกด้วย...นี่หล่อนคิดบ้าอะไร...’
หญิงสาวกระเถิบตัวออกห่างชายหนุ่มอีกนิด รีบกระแอมและหลบสายตา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอไปทำบัญชีก่อนนะ”
แม้จะเป็นคำแก้ตัวที่ไม่ได้เรื่องเลยสักนิดแต่ณฐอรก็ต้องทำ ขืนปล่อยให้ตัวเองยืนอยู่ต่อหน้าสายตาคมกริบคู่นั้น หล่อนคงต้องเผลอใจไปอีกเป็นแน่ เป็นครั้งแรกที่ณฐอรอยากให้หล่อนมีเวทย์มนต์เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง หล่อนคงสามารถเสกผู้ชายรูปหล่อให้หายเป็นเกย์...
tangtangmeow
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2554, 14:59:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2554, 14:59:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 2412
<< บทที่ 3 ลงย้อนค่ะ |
เพลา 22 ก.ค. 2554, 15:44:39 น.
อ๊ายๆๆๆ หลงรักคุณธามเข้าแล้ว
อ๊ายๆๆๆ หลงรักคุณธามเข้าแล้ว
gypzz 22 ก.ค. 2554, 16:43:33 น.
ฝ่ายชายดูไม่ค่อยหวั่นไหวเลยนะคะ
ฝ่ายชายดูไม่ค่อยหวั่นไหวเลยนะคะ
แว่นใส 22 ก.ค. 2554, 16:46:08 น.
ไม่ถามความจริงไปเลยล่ะ
ไม่ถามความจริงไปเลยล่ะ
Zephyr 22 ก.ค. 2554, 19:06:48 น.
พี่ธามดูนิ่งมากเลยค่ะ แต่น้องอายนี่จะตายแล้ว คุณอาอี๊นี่ก็ยังไร้เหตุผลและตาบอดเช่นเดิม เฮ้อ
พี่ธามดูนิ่งมากเลยค่ะ แต่น้องอายนี่จะตายแล้ว คุณอาอี๊นี่ก็ยังไร้เหตุผลและตาบอดเช่นเดิม เฮ้อ
ปูสีน้ำเงิน 22 ก.ค. 2554, 19:56:54 น.
เฮียธามนี่บุคลิคน่าหลงไหลจริงๆ
เฮียธามนี่บุคลิคน่าหลงไหลจริงๆ
windy2000 22 ก.ค. 2554, 20:29:57 น.
ชอบมาก ทำไงดี
ชอบมาก ทำไงดี
pseudolife 13 ส.ค. 2554, 23:43:04 น.
"แต่คุณจะไม่เหนื่อยเกินไปหรือคะ ไหนจะต้องทำขนมทั้งวันแล้วยังมาช่วยสอนผมอีก" สรรพนามดูผิดไปนะคะ
"แต่คุณจะไม่เหนื่อยเกินไปหรือคะ ไหนจะต้องทำขนมทั้งวันแล้วยังมาช่วยสอนผมอีก" สรรพนามดูผิดไปนะคะ
pseudolife 27 ก.ย. 2554, 18:08:11 น.
ไม่ลงต่อแล้วหรือจ๊ะ
ไม่ลงต่อแล้วหรือจ๊ะ