ปรุงสูตรรัก
ณฐอร รู้ดีว่า ตัวเองไม่ได้เกิดมาเพื่อทำขนม แต่แล้วโชคชะตาทำให้เธอต้องรับผิดชอบร้านขนมปังเลื่องชื่อของตระกูล เธอจึงต้องหาผู้ช่วย

นิยามเดียวที่คิดออก เกี่ยวกับธนวรรธน์ ก็คือ หล่อล่ำ ดำถึก แต่เขากลับทำขนมเก่งสุดยอด

แต่แล้วหัวใจเจ้ากรรมกลับทำให้เธอต้องหวั่นไหวกับผู้ชายที่คิดว่า เป็นเกย์ แถมเขายังมีแฟนที่สวยขนาดน้องปอยยังอาย!



Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3 ลงย้อนค่ะ

Chapter 3ต้องขอโทษเพื่อนๆ ด้วยนะคะ ที่ลงข้ามตอน ตอนที่แล้วคือ บทที่ สี่ อันนี้คือ บทที่สามค่ะ ส่วนอีกตอนคือ บทที่ห้าค่ะ อ่านเลยสองตอนก็แล้วกันนะคะ คนเขียนมึนค่ะ ขออภัย ช่วงนี้นอนน้อยค่ะเลยเบลอ ขอโต๊ดนะก๊าบ

“นี่หลานหัวดื้อของคุณยังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

ทยุตเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างภรรยาสาวเดินออกมาจากห้องน้ำ เขาแอบฟังสองอาหลานคุยกันตั้งแต่เมื่อครู่และเฝ้ารอจังหวะเพื่อพูดสิ่งที่อยู่ในใจ

“ใช่ ไม่รู้จะดื้อไปถึงไหน รู้อยู่แล้วว่า ทำขนมไม่เป็นยังคิดว่าจะบริหารร้านได้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า ลูกสาวพี่ณัฐจะฉลาดน้อยอย่างนี้” มาลีสบถ

ทยุตหรี่ตามองภรรยา ร่างของหญิงในวัยสี่สิบปลายบัดนี้แทบไม่เหลือเค้าของความสวย มาลีเป็นผู้หญิงเรียบๆ ถ้าจะมองผ่านก็แทบไม่มีอะไรสะดุดตาแถมยังแต่งตัวเชย แรกทีเดียวเขาไม่ได้สนใจหล่อนนัก แต่พอรู้ว่า เป็นถึงทายาทร้านขนมปังชื่อดังก็สนใจทันที

ชีวิตในวัยเด็กของทยุตเติบโตมาอย่างยากลำบาก มารดาเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาด พ่อที่ใช้ชีวิตไม่เป็นโล้เป็นพาย วันแต่ละวันหมดไปกับการก๊งเหล้าและเล่นพนัน เมื่อเมาก็กลับบ้านทุบตีภรรยา ชีวิตของลูกโทนอย่างทยุตจึงต้องช่วยแม่ทำงานจะมีบ้างที่ได้หยุดพักคือ ไปโรงเรียนแต่พอตกเย็นก็ต้องช่วยงานในร้านจนมืดค่ำดึกดื่น เคราะห์ที่ดีได้มาเรียนต่อในกรุงเทพ ชายหนุ่มจึงเริ่มหางานทำไปด้วย แต่เพราะนิสัยเกียจคร้านเอาแต่สังคมกับเพื่อนฝูงทำให้เรียนตกๆ หล่นๆ สุดท้ายจึงตัดสินใจเลิกเรียนกลางคัน กลางวันเขาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป ส่วนกลางคืนทำงานเป็นพนักงานรับรถ รายได้ไม่พอใช้เนื่องจากติดการพนันงอมแงม จนกระทั่งได้มาเจอกับมาลี

แรกทีเดียวทยุตคิดว่า ชีวิตของเขาหลังแต่งงาน คงจะมีแต่ความสุขมีเงินทองใช้ไม่ขาดมือมาเพราะญาติทางภรรยาร่ำรวยแต่ตอนหลังถึงได้รู้ว่า บิดาของมาลีนั้นเป็นคนจีนอพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ นิสัยมัธยัสถ์อีกทั้งยังรักลูกผู้ชายมากว่า เมื่อบิดาเสียชีวิตลง แทนที่มาลีจะได้แบ่งสมบัติกลับได้เป็นแค่ผู้ช่วย

ทยุตจึงพูดให้ภรรยาเริ่มเห็นว่า บิดาไม่ยุติธรรมโดยเฉพาะการยกร้านให้อาณัฐพี่ชายเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวผิดกับหล่อนที่ทำงานงกๆ แต่ไม่ได้อะไรตอบแทน แรกทีเดียวมาลีไม่ได้คิดอะไรเพราะความรักพี่น้องแต่พอนานวันเข้าความหวาดระแวงก็สั่นคลอน ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องเริ่มห่างเหิน จนสุดท้ายสองพี่น้องก็ถึงขั้นมองหน้ากันไม่ติด

เมื่อรู้ว่า ไม่มีทางแย่งร้านมาจากพี่เขยได้จึงตัดสินใจชวนภรรยาไปเปิดร้านขนมนุ่มลิ้นอีกสาขาหวังจะได้เป็นเฒ่าแก่และได้กำไรเต็มๆ แต่เพราะลูกค้ายังติดอยู่กับร้านใหญ่ทำให้กิจการแค่พอไปได้ ไม่อู้ฟู่อย่างที่คิดไว้ แถมเขายังเป็นทาสของการพนันจนถอนตัวไม่ขึ้นทำให้เงินทุนเริ่มหดหาย เหมือนฟ้าเข้าข้างเมื่อพี่เขยเกิดอุบัติเหตุเขาจึงนึกถึงการครอบครองร้านใหญ่อีกครั้ง

“นี่หลานคุณทำขนมไม่เป็นงั้นหรือ”

“ไม่ใช่แค่ทำไม่เป็นนะ แค่คุมคนงานยังไม่ได้เลย นี่ดีนะที่ฉันผ่านไปเห็นเข้า ถามจากพวกเด็กหลังร้านถึงได้รู้ว่า ทำขนมปังไม่ฟูเหมือนเดิมจนโดนลูกค้ามาต่อว่า คงคิดว่า ถ้าหาเชฟมาจะช่วยได้งั้นสิ”
“นี่ถึงกับประกาศหาเชฟกันเลย อย่างนี้คนเขาก็รู้กันหมดสิว่า เชฟลาออก มีหวังลูกค้าหนีหายหมด สิ้นคิดจริงๆ”

“ฉันถึงว่า ยายอายโตแต่ตัวแต่ไม่รู้จักใช้หัวสมองคิด อย่างนี้พวกร้านคู่แข่งก็ยิ่งได้ใจ พอรู้ว่า พี่ณัฐเข้าโรงพยาบาลแถมยังประกาศหาเชฟ คนอื่นก็จับทางได้หมดแล้ว แต่ฉันไม่ยอมหรอกเรื่องอะไรจะปล่อยให้ร้านขนมที่ป๊าสร้างมากับมือต้องพังพินาศเพราะฝีมือคนเดียว ฉันจะเข้าไปช่วย”

“แต่เมื่อวันก่อนคุณก็ยื่นข้อเสนอให้หลานเซ็นยกร้านให้คุณแล้วไม่ใช่หรือ”

“ใช่..แต่อายไม่ยอม คิดมากไม่เข้าเรื่อง ในเมื่อพูดกันยากนักฉันก็จะทำให้ดู พรุ่งนี้ฉันจะเข้าไปคุมทุกอย่างจนกว่าแกจะยอมรับ เชื่อสิ....สุดท้ายแล้วอายก็ต้องยอมยกร้านขนมให้ฉันอยู่ดี ฉันดูอาการพี่ณัฐแล้วนะ ถึงฟื้นมาก็คงไม่เหมือนเดิม จะให้ทำขนมปังเฝ้าร้านคงไม่ได้แน่ๆ สู้ยกให้เราสองคนทำจะดีกว่า ถ้าป๊ากับม๊ายังอยู่ก็ต้องเห็นด้วย ดูสิเนี่ยเป็นยังไง พอพี่ณัฐป่วยทุกอย่างก็แย่ไปหมด”

“ป๊าของคุณน่ะลำเอียงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นี่มันยุคไหนแล้ว ผู้ชายกับผู้หญิงก็มีความสามารถเหมือนกันนั่นล่ะ โดยเฉพาะคุณเรียนจบมาด้านคหกรรมโดยตรง ทำขนมก็เก่งกว่าแต่ป๊าคุณก็ยังฝังใจอยู่นั่นล่ะว่า มรดกต้องยกให้ลูกชายคนโต ผมว่า พี่ชายคุณคงต้องประจบป๊าจนใจอ่อนยอมยกสมบัติให้ เจ้าเล่ห์จริงๆ เลย”

“พี่ณัฐเนี่ยนะ” มาลีถามขึ้นสีหน้าสงสัย
“ใช่ เห็นหงิมๆ แบบนี้แต่ที่จริงแล้ว น้ำนิ่งไหลลึก เขามองออกว่า กิจการร้านขนมปังนี้ต้องไปอีกไกลก็เลยคิดฮุบเอาไว้คนเดียวทั้งที่ความจริงตัวเองก็เคยทำงานอยู่บริษัทการเงินใหญ่โตแต่กลับมาแย่งกิจการของน้อง พระเจ้าลงโทษเลยเห็นไหม ต้องนอนป่วยจะเป็นตายเท่ากันแบบนี้”

สมัยก่อนนั้นอาณัฐเคยเป็นผู้จัดการของบริษัทแห่งหนึ่งแต่พอบิดาต้องการจะวางมือจากร้านขนมก็ให้ประกาศิตให้ลูกชายลาออกแม้ตอนนั้นมาลีจะคัดค้านแต่อีกฝ่ายก็ไม่เห็นด้วย

“พี่ณัฐน่าสงสาร จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่ฟื้น”

“คุณต่างหากที่น่าสงสาร ร้านขนมปังนุ่มลิ้นโด่งดังมาได้ก็เพราะคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะช่วยปรับสูตรให้ พี่ชายคุณหรือจะทำได้ คุณทำขนมเก่งกว่าที่พัฒนามาถึงยี่สิบไส้ก็เพราะคุณคนเดียว ขนาดเรามาเปิดสาขาสองยังมีลูกค้าตรึมเลย”

ทยุตได้ทีก็ยุ เพราะต้องการให้ภรรยาสาวเกลียดครอบครัวเดิมให้มากที่สุด โดยเฉพาะพี่เขยซึ่งไม่ถูกกัน ตั้งแต่เริ่มเป็นแฟนกันอาณัฐก็มีท่าทีคัดค้านอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะไม่อยากให้น้องสาวคนเดียวต้องแต่งงานกับคนซึ่งไม่ยอมทำงานทำการไปวันๆ ตอนแรกพี่เขยพยายามบังคับให้เขาไปช่วยงานที่ร้านแต่ชายหนุ่มไม่เห็นด้วย เรื่องอะไรเขาต้องลำบากทำงานทั้งที่เป็นผู้ชาย เขาอยากทำด้านบริหารและคุมการเงินมากกว่าแต่ติดคนเดียวคือ พี่เขยแต่บัดนี้ทางสะดวกอีกไม่นานร้านขนมปังนุ่มลิ้นก็จะต้องตกเป็นของเขาและภรรยาขาดก็แต่การวางแผนให้รอบคอบเท่านั้น

“ฉันรู้แต่หลานไม่ยอมจะให้ทำยังไง”

“ให้ผมช่วยพูดดีไหม หลานคุณจะได้ยอมรับความจริงเสียที”

“ไม่ต้อง...ฉันไม่อยากให้คุณลงมายุ่ง แค่นี้ก็วุ่นวายพอแล้ว ถ้ายังไงคุณช่วยดูแลร้านของเราระหว่างที่ฉันไม่อยู่จะดีกว่า”

“เอางั้นหรือ”

“หมั่นไปดูๆ เด็กมันบ้าง ถึงจะเก่งแต่ก็ไว้ใจไม่ได้อยู่ดี เกิดมันลักลอบหยิบเงินไปจะทำยังไง”
“ไม่ต้องห่วง เงินทุกบาททุกสตางค์ไม่มีทางหลุดรอดจากผมอยู่แล้ว วางใจได้ คุณไปช่วยร้านใหญ่ให้สบายเถอะ ทางนี้ผมจัดการเอง”

ทยุตรับปากอย่างมุ่งมั่น เรื่องเงินทองถือเป็นเรื่องสำคัญแต่สิ่งหนึ่งที่ภรรยาสาวคิดไม่ถึงก็คือ เงินเหล่านั้นอาจไม่เข้ากระเป๋าเพราะบางทีมันอาจต้องไปเป็นต้นทุนต่อยอดที่บ่อนการพนันแห่งใดแห่งหนึ่งในบ่ายวันพรุ่งนี้

“เห็นไหมแค่นี้ไม่ยากเลยอาย แค่ใส่ส่วนผสมทุกอย่างลงไปแป๊บเดียวก็ได้แล้ว” มาลีพูดขึ้น
หล่อนมาถึงร้านขนมปังตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อช่วยหลานสาว หลังจากเตรียมส่วนผสมทุกอย่างเพื่อนวดแป้งและเปิดเครื่อง เมื่อเครื่องนวดทำงานก็หันไปเตรียมไส้ต่อ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาขนมปังหน้าตาน่ารับประทานก็สุกจากเตา

ตลอดเวลาหล่อนเฝ้าดูอาสาว หยิบนู่นจับนู่นนี่อย่างคล่องแคล่วเช่นเดียวกับเด็กในร้านที่ต่างช่วยกันมือเป็นระวิง ไม่ต่างจากสมัยที่นันทาเคยอยู่ บัดนี้ร้านที่เคยคิดว่า ต้องปิดสามารถเปิดได้อีกครั้ง ลูกจ้างคนหนึ่งเดินไปเปิดประตูร้านเพื่อเตรียมรับลูกค้าที่จะมาซื้อขนม ขนมปังส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ปกติร้านแห่งนี้จะเปิดเวลาแปดโมงตรง บางครั้งจะมีลูกค้ามายืนรอตั้งแต่ประตูเหล็กยังไม่เปิดด้วยซ้ำ

“ถ้าอายตั้งใจเสียหน่อยนะก็ทำได้ บอกแล้วไงว่า ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก ให้อี๊มาช่วย”

“แล้วร้านของอาอี๊ลีละคะ จะทำยังไง”

“ก็ให้อาทยุตช่วยดู เด็กๆ ที่นั่นก็ทำกันได้ อี๊สอนให้เด็กทำเป็นทุกขั้นตอนถึงเวลาจะได้ไม่ลำบาก ถ้าเกิดทำแบบพ่อเรานะหรือ ไม่ได้เรื่องหรอกเอะอะอะไรก็ให้นันทาทำ ดูสิเนี่ยเป็นยังไง พอตัวเองป่วยร้านก็รวนไปหมด ร้านของเราต้องคุมเอง นี่อะไรลูกทั้งคนก็ยังทำขนมไม่เป็นเสียชื่อหมด”

ได้ทีมาลีก็วกเข้ามาเรื่องเดิม สีหน้าที่เปี่ยมด้วยความตำหนิทำเอาณฐอรถึงกับหน้าชาไปหมด เมื่อก่อนหล่อนไม่เคยคิดมาก่อนว่า การทำขนมไม่เป็นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ในชีวิต แต่หลังจากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นถึงได้รู้ว่า ที่บิดาพร่ำสอนมันเพราะเหตุใด ในเมื่อหล่อนเป็นทายาทร้านขนมอย่างน้อยก็ควรจะทำเป็นบ้างเพื่อประโยชน์ในการดูแลกิจการอีกทั้งจะได้ช่วยลูกน้องเวลาแก้ปัญหา

“ป๊าคงไม่คิดว่า ตัวเองจะป่วย ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ”

“ก็เพราะไม่รอบคอบนะสิ เสียดายนะปู่ของเราเป็นคนมองการณ์ไกล ปู่สอนเสมอว่า จะทำอะไรให้รู้จักวางแผนให้รอบคอบแต่พี่ณัฐสิไม่ได้เรื่องเลย ทำอะไรเหลาะแหละ”

“ทำไมอี๊ลีพูดอย่างนี้ละคะ ป๊าไม่ได้อยากให้ตัวเองป่วยสักหน่อย ไม่มีใครรู้อนาคตล่วงหน้าหรอกนะคะ”

“ก็เพราะพ่อของเราเอาใจนังนันทามากเกินไปนะสิ เอะอะก็ให้มันกุมอำนาจภายในร้าน งานก็ไม่ยอมสอนให้เด็กๆ มันทำ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ทำเป็นกันหมดแล้ว พอมันเกิดหัวหมอนัดหยุดงานก็เลยวุ่นวายไปหมด มันหวงวิชาเพราะจะเอาไว้โกงเงินเดือน พี่ณัฐนั่นล่ะที่ไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของมัน จนถูกมันปั่นหัว”

“ป๊าไม่ได้ถูกใครปั่นหัวนะคะอี๊ลีกรุณาอย่าพูดแบบนี้”

“เออน่า..ไม่ต้องมาขึ้นเสียงหรอก เรามันก็เหมือนกับพ่อของเรานั่นล่ะ พอฟังคนพูดความจริงเข้าหน่อยก็ทนไม่ได้ ร้อนตัวขึ้นมาเชียว”

“ทำไมอามาลีต้องกระแนะกระแนอายแบบนี้ด้วย ตอนนี้ป๊าป่วยหนักนอนอยู่ในไอซียู แต่อากลับพูดเหมือนกับว่า พ่อเป็นคนผิดอย่างนั้น”

น้ำเสียงที่สั่นจนคนฟังรู้สึกได้ ณฐอรอยากจะร้องไห้ออกมตอนนี้เลยด้วยซ้ำ หล่อนไม่เข้าใจว่า เพราเหตุใดมาลีถึงได้จงใจพูดจาแดกดันแบบนี้

“เอาเถอะ....อี๊ไม่พูดก็ได้ ถ้าอยากอยู่แต่ในความฝันก็เชิญ เร่งมือเข่าหน่อยเถอะ วันนี้เปิดร้านวันแรกรับรองว่า ลูกค้าต้องเยอะแน่ ต้องนวดแป้งเผื่อไว้อีกสักหกกิโล”

เป็นอย่างที่มาลีพูดจริงๆ เพราะทันทีที่ร้านเปิด ลูกค้าก็พากันมาออแน่นร้าน ต่างสั่งขนมปังคนละไม่ต่ำกว่าห้าชิ้นเพื่อนำไปฝากหลังจากร้านปิดไปถึงสองวัน ช่วงบ่ายก็วุ่นวายเหมือนเช่นเคยเป็นไส้ขนมปังที่เตรียมไว้ไม่พอเนื่องจากแม่ครัวจำเป็นอย่างณฐอรคำนวนปริมาณไว้ไม่ถูก มาลีจึงโทรหาสามีให้ช่วยซื้อของมาเพิ่มเตรียมทำของวันนี้และพรุ่งนี้ เกือบชั่วโมงต่อมาทยุตก็มาพร้อมกับของที่สั่งเมื่อเห็นหน้าหลานสาวก็เอ่ยทัก

“เป็นไงยายอาย เหนื่อยละสิท่า”

“สวัสดีค่ะอาทยุต ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยซื้อของมาให้”

สีหน้าของหญิงสาวซีดเซียว ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วเผือดลงกว่าเดิม ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงไปหมด ณฐอรเอื้อมมือไปรับถุงมาจากอาเขยก่อนจะนำถุงนั้นไปวางไว้ในครัว ปล่อยให้เด็กส่วนหนึ่งช่วยขายขนมปังหน้าร้าน เมื่อเดินไปถึงมาลีก็ยืนรออยู่แล้ว หล่อนนำหมูสามชั้นออกจากถุงนำไปเตรียมเพื่อทำไส้หมูแดงในครัวหลังร้านปล่อยให้หลานกับอาเขยได้คุยกัน

“ยุ่งล่ะสิ”

“เรื่อยๆ ค่ะแล้วคุณอาละคะ”

“ยุ่งเหมือนกัน ร้านโน้นก็ลูกค้าเยอะ แต่โชคดีที่เด็กในร้านทำได้ เห็นว่า ลูกจ้างที่นี่ไม่ได้เรื่องเลยใช่ไหม ทำขนมปังก็นิ่มๆ เละๆ”

ณฐอรเม้มปากแน่น สีหน้าเจื่อนสนิท มาลีคงไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้สามีฟัง แต่จะโทษใครได้ในเมื่อทั้งหมดเป็นเรื่องจริง

“เป็นเพราะอายด้วยละคะ ไม่รู้จะสอนคนงานยังไง พอเขาทำผิดอายก็แก้ไม่ถูกก็เลยไปกันใหญ่นี่ดีนะคะที่อี๊ลีมาช่วย”

“แล้วอย่างนี้ยังจะดื้อคุมร้านเองอีกหรือ มีหวังลูกค้าหนีหายหมด ทำไมไม่ให้อี๊ของเราช่วยดูแลให้ล่ะ”

คำพูดทื่อๆ ทำเอาหญิงสาวสะอึก ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่า สิ่งที่ทยุตต้องการคือ อะไร ทั้งที่จริงตัวหล่อนเองไม่ได้เห็นแก่เงินทองแต่เพราะร้านขนมปังคือ สมบัติตกทอดจากรุ่นปู่มาถึงพ่อ หน้าที่ของหล่อนคือ รักษามันไว้ให้ดีที่สุด

“อย่าว่า อาอย่างั้นอย่างนี้เลยนะ คนที่ทำอะไรไม่เป็นอย่างเราน่ะ ควรจะอยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า หรือไม่ก็ออกไปหางานทำตามที่เรียนมา เห็นว่า จบด้านเศรษฐศาสตร์มาไม่ใช่หรือ ทำงานบริษัทสบายกว่าเยอะจะมานั่งทำขนมปังงกๆ ไปทำไม”

“แต่ร้านนี้เป็นความหวังของป๊านะคะ อายทิ้งร้านไปไม่ได้ อีกไม่นานป๊าก็จะฟื้นแล้ว ถึงตอนนั้นอายค่อยออกไปหางานทำก็ได้”

“ป๊าเราน่ะไม่มีทางฟื้นหรอก เมื่อเช้านี้อาก็เพิ่งคุยกับหมอมา คงต้องนอนเป็นผักไปอย่างนั้นล่ะ เราเคยเห็นคนประสบอุบัติเหตุทางสมองเป็นปกติด้วยหรือ อย่างมากก็แค่พยักหน้าได้หลับตาได้ อายน่าจะทำใจได้แล้วนะ”

“ทำไมอาถึงพูดแบบนี้ นั่นมันป๊าของอายนะ”

“ทำไมพูดตรงไปหรือ....อาก็พูดไปตามที่เห็น ถ้าจะโกรธก็ช่วยไม่ได้ หมอก็บอกไม่ใช่หรือว่า โอกาสที่พ่อเราจะหายน้อยมาก ถ้าถอดท่อไม่ได้อาจต้องเจาะคอ”

“ใช่ค่ะ แต่หมอก็ไม่ได้บอกว่า ไม่มีทาง เมื่อก่อนนี้เคยมีคนไข้ที่อาการหนักแบบป๊าแต่สุดท้ายก็หายดี”
“แต่ก็คงไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่ๆ ลองคิดดูนะอายจะปล่อยให้อี๊ลีมาช่วยแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ ทางที่ดีเราควรจะโอนร้านให้อี๊เขาเสีย ให้เขามีสิทธิ์ขาดตัดสินใจในร้าน ไม่อย่างนั้นมันก็เหมือนการกินแรง เรียกให้มาช่วยเฉยๆ แต่ไม่ได้อะไรตอบแทน ไม่รู้สึกว่า เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ”

“ทำไมคุณอาถึงพูดอยางนี้ละคะในเมื่ออาอี๊ลีเป็นคนเสนอตัวมาช่วยเอง อายไม่ได้ขอร้องสักหน่อย”

“นี่เราหมายถึงว่า อี๊ลียุ่งไม่เข้าเรื่องละสิ”

“อายไม่ได้พูดอย่างนั้นนะคะ เพียงแต่คิดว่า ถ้ามันลำบากนักอายจะให้เงินเดือนอี๊ลีก็ได้ อยากได้เท่าไหร่บอกมาเลยระหว่างนี้อายจะพยายามเรียนรู้งานให้เร็วที่สุด ต่อไปอี๊ลีจะได้ไม่ต้องเหนื่อยอีก"

"เออดี เอะอะก็เอาเงินมาฟาดหัว เท่าไหรล่ะ อายคิดว่า ค่าจ้างของคนที่มีประสบการณ์สูงขนาดนี้ ค่าจ้างของคนที่ร่วมก่อตั้งร้านมาทำให้ร้านนี้ประสบความสำเร็จ ถ้าไม่มีอี๊ของเรา ป่านนี้ร้านก็คงไม่ถึงไหน ที่รายการทีวีมาถ่ายทำก็เพราะเป็นเพื่อนของอารู้ไหม อายควรจะขอบคุณพวกเราไว้มากๆ”

“อายรู้ค่ะ แล้วก็สำนึกบุญคุณอาทั้งสองมาตลอด แต่ร้านนี้เป็นของป๊า ระหว่างที่ป๊ายังไม่สบายอยู่ หน้าที่อายคือ รักษามันไว้”

“ทั้งที่ไม่มีปัญญานะหรือ”ทยุตแค่นเสียงแววตาที่ปราดมองมาทำเอาณฐอรหน้าชา” อาไม่เข้าใจว่า เราจะดื้อไปทำไม ก็แค่เซ็นโอนแกร๊กเดียวก็สิ้นเรื่องแล้ว ส่วนเราก็รับส่วนแบ่งไปสบายดีออก ไม่ต้องเหนื่อย ถ้าวันนี้อี๊ลีไม่มาช่วย ป่านนี้ร้านก็คงปิดอีกวัน รู้ไหมว่า วันนี้รายได้เข้าร้านไปตั้งเท่าไหร่”

ณฐอรกัดฟัน ยิ่งพูดหล่อนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนถูกกดให้ถล่มจมดิน ไม่เคยมีสักครั้งที่อาเขยจะพูดจารุนแรงกับหล่อนมากเช่นนี้มาก่อน ทยุตพูดถูกหล่อนไม่มีความสามารถแต่ถึงแม้จะรู้เช่นนั้นณฐอรก็ไม่ยอมแพ้ หล่อนไม่มีทางยอมสูญเสียร้านไปเด็ดขาด

“อายรู้ค่ะ อายเข้าใจดีแต่อายก็ยังยืนยันคำเดิมถ้าหากจะมีการยกร้านนี้ให้ใครต้องเป็นการตัดสินใจของป๊าเท่านั้นและอายจะไม่ทำอะไรโดยพลการจนกว่าป๊าจะฟื้น ถ้าไม่มีอะไรแล้วอายขอตัวไปช่วยอี๊ลีก่อนนะคะ เชิญตามสบายเถอะค่ะ”

หญิงสาวตัดบทและรีบเดินจ้ำๆ เข้าไปในครัว ทิ้งให้ชายอีกคนกระแทกตัวลงบนเก้าอี้ด้วยความหงุดหงิด ณฐอรไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เบื้องหลังหล่อนจะมีคนพูดไล่หลังมา

“ทำเป็นพูดดีไป สักวันแล้วจะรู้สึก”

กว่าณฐอรจะปิดร้านได้เวลาก็ล่วงเลยไปถึงเกือบทุ่ม มาลีกำลังช่วยเก็บข้าวของกับลูกจ้างอีกคน หลังจากตรวจเช็คบัญชีเจ้าของร้านสาวก็พบกับความผิดปกติ

“เอ๊ะ นี่เงินจากลิ้นชักหายไปไหน” หญิงสาวถามขึ้นเมื่ออยู่กับลูกจ้างสาวตามลำพัง พนักงานเก็บเงินคนนี้มาทำงานได้สองเดือนแล้ว ปกติทุกวันตอนตรวจนับเงินไม่เคยมีปัญหา
“เอ่อ...คือว่า...คุณทยุต”
“ทำไมหรือ อาทยุตทำอะไร”

“คุณทยุตบอกว่า วันนี้เป็นคนซื้อของมาเข้าร้านก็เลยขอเบิกเงินล่วงหน้าไปก่อน”

“เบิกล่วงหน้า” หญิงสาวทวนคำ เงินจำนวนที่หายไปนั้นมากกว่าเงินค่าของสดที่อีกฝ่ายซื้อมาเข้าร้านเสียอีก

“ทำไมหนูไม่บอกฉัน”

“หนูพยายามแล้วค่ะ แต่ไม่มีโอกาส คุณทยุตบอกว่า ถ้าหนูไม่ให้จะไล่หนูออก คุณอายอย่าโกรธหนูเลยนะคะ”

“แต่มันมากเกินไปนะ เงินตั้งสองหมื่นห้า ค่าของสดที่ซื้อมาก็มีแค่พวกเนื้อหมูไม่กี่กิโลแล้วก็พวกผักราคาอย่างมากหักจากของที่ซื้อมา รวมถึงที่จะซื้อวันพรุ่งนี้ ก็แค่หลักพันเท่านั้นแล้วนี่ใบเสร็จรับเงินอยู่ไหน”
พนักงานสาวส่ายหน้า นอกจากเบิกเงินเกินจำนวนแล้วทยุตยังไม่ยอมทำกฎของร้านอีกด้วย เงินที่หยิบออกไปจากเครื่องเท่ากับว่า หายไป ณฐอรยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น หล่อนรู้ดีว่า อาเขยนั้นไม่ซื่อแต่ไม่คิดว่า จะทำกันถึงขนาดนี้แค่มาช่วยงานวันเดียวกลับหยิบเงินออกไปจากลิ้นชักเสียเฉยๆ

“ฉันจะถามอี๊ลีถามให้รู้เรื่อง”

“อย่าเลยนะคะคุณอาย ทำอย่างนี้ไม่ดีหรอกค่ะ เกิดพรุ่งนี้คุณมาลีไม่มาช่วยจะทำยังไงคะ”

“ก็ให้มันรู้ไปสิว่า แค่นี้อาอี๊ลีจะโกรธ สมัยป๊ายังสบายดีก็เข้มงวดเรื่องระบบบัญชีในร้านมาก ไม่อย่างนั้นก็ควบคุมรายรับรายจ่ายไม่ได้ ไม่ใช่เอะอะก็มาหยิบไปตามอำเภอใจแบบนี้”

“มีอะไรหรือ เสียงดังไปถึงหลังร้านเลย เกิดอะไรขึ้น”

มาลีซึ่งเพิ่งจะล้างมือเสร็จและออกมาจากห้องน้ำเตรียมจะกลับบ้าน ส่วนทยุตนั้นกลับไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นแล้วอ้างว่า มีธุระ ณฐอรจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังแต่แทนที่อีกฝ่ายจะเข้าใจกลับมีสีหน้าบึ้งตึงมากกว่าเดิม

“อายพูดแบบนี้หมายความว่า ยังไง คิดว่า ทยุตโกงหรือ”
“เปล่านะคะ อายแค่อี๊ฟังเฉยๆ ”
“แต่น้ำเสียงเรามันบอกอย่างนั้น อี๊กับอาทยุตรึอุตส่าห์มาช่วยงานในร้าน แต่นี่อะไรกันเรากลับหาเรื่องคิดว่า อาเขาจะยักยอกเงินหรือก็แค่สองหมื่นห้าเท่านั้น เขาอาจจะเอาไปช่วยซื้อหมูกับของสดเตรียมไว้พรุ่งนี้ก็ได้ คิดมากไม่เข้าเรื่อง”

“แต่คุณอาทยุตก็น่าจะลงบัญชีให้เรียบร้อยไม่ใช่จู่ๆ หยิบไปเฉยๆ แบบนี้ มันไม่ดีนะคะ อย่างนี้อายจะทำบัญชียังไงคะมันจะวุ่นวายกันไปหมด” ณฐอรแย้ง

“แล้วที่ทำอยู่ยังไม่วุ่นงั้นสิ รู้เอาไว้ด้วยนะอาย วันนี้ทั้งวันถ้าไม่ได้อี๊คอยช่วย ป่านนี้ร้านก็ปิดนี่อะไรกันคนทำงานมาเหนื่อยๆ แทนที่จะพูดเรื่องที่มันรื่นหู อายกลับพูดถึงสามีของอี๊ในทางที่ไม่ดี อย่างนี้มันไม่ให้เกียรติกันเลยนี่นา”

“คือว่า อาย...”

หญิงสาวลำคอขมปร่า รู้ทั้งรู้ว่า อีกฝ่ายผิดเต็มประตูแต่มาลีก็ยังคงเป็นคนเดิมที่เข้าข้างสามีตะพึดตะพือ อย่างที่บิดาเคยว่าไว้ เมื่อความรักบังตาก็ทำให้คนตาบอด สมัยปู่ของหล่อนเคยอยู่ก็เคยเตือนอาสาวเกี่ยวกับพฤติกรรมไม่น่าไว้ใจเรื่องเงิน แต่ยิ่งเตือนมาลีก็ยิ่งโกรธจนถึงกับมองหน้ากันไม่ติด

“จำเอาไว้นะอาย ถ้าหากจะให้อี๊มาช่วยที่ร้านอีกละก็ ห้ามพูดถึงอาทยุตแบบนั้นเด็ดขาด เขาเป็นคนดี อุตส่าห์ทิ้งร้านเพื่อมาช่วยซื้อของให้เรา”

“ก็ได้ค่ะ แต่อายก็ขอให้อาทยุตช่วย เอาเงินมาคืนและทำบัญชีกับใบเสร็จให้เรียบร้อยด้วยค่ะ ถ้าซื้ออะไรมาเข้าร้านเท่าไหร่ก็ขอให้มีใบเสร็จตรงกับรายการแค่นี้ก็เรียบร้อย”

“มากเกินไปแล้วนะอาย แกนี่ชักจะลามปามเกินไปแล้ว อาทยุตเขาไม่โกงหรอก”

“ก็รู้ว่าไม่โกงค่ะ แต่ต้องทำให้ถูกกฎ”
“งั้นก็ดีถ้ามันเรื่องมากนัก งั้นต่อไปแกซื้อของสดเข้าร้านเองก็แล้วกัน แต่ถ้าของไม่ครบก็ไม่ต้องคุยกันอีกปิดร้านยาวกันไปเลย ส่วนเรื่องเงินพรุ่งนี้จะให้ทยุตเอามาคืนแต่เช้าจะได้หมดเรื่องเสียที เหลือเชื่อจริงๆ เลย ทำคุณบูชาโทษ”

มาลีฉวยกระเป๋าเดินปึงปังออกจากร้านไปทิ้งให้ณฐอรยืนนิ่งอยู่แต่เพียงลำพัง หญิงสาวยกมือขึ้นก่ายหน้าผากเมื่อรู้ว่า นับจากนี้หล่อนคงไม่อาจทำงานได้โดยสงบสุขอีกแล้ว


เช้าวันต่อมาเป็นวันที่เคร่งเครียดของณฐอรอีกเช่นเคยเนื่องจากอาสาวเกิดอาการงอนไม่ยอมพูดด้วย แม้จะช่วยทำงานแต่ก็เต็มไปด้วยความเย็นชา ผ่านไปถึงบ่ายสามโมงหญิงสาวถึงได้มีโอกาสรับประทานอาหารมื้อแรกของวัน ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในห้องพักเบรค เสียงจากคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น

“จำเอาไว้นะ เอานี่ใส่ลงไปในโดว์ขนมปัง”

“ทะ..ทำไมต้องใส่ด้วยคะ”
“ฉันสั่งให้แกทำ แกก็ทำตามนี้สิ จะมัวเรื่องมากอะไร หรือว่า อยากโดนไล่ออก”

“แต่นี่เป็นแป้งขนมปังที่คุณอายเพิ่งนวดเสร็จ”

“จะทำหรือไม่ทำ บอกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าแกไม่ฟังคำสั่งฉัน แต่พรุ่งนี้แกก็ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ฉันไล่แกออก” ทยุตแค่นเสียงตาวาว

ณฐอรย่องออกจากห้อง หล่อนได้ยินเสียงที่ดังแว่วมาจึงยิ่งสนใจ ขณะที่หยุดเพื่อฟังบทสนทาทั้งหมด สายตาก็จ้องไปเบื้องหน้า อาเขยทำท่าดุใส่คนงาน สีหน้าของเด็กสาวจากต่างแดดเผือดสนิทด้วยความกลัว
“นั่นอะไรคะ ทำไมต้องใส่ในขนมของอายด้วย ไหนขอดูหน่อยสิ”

หญิงสาวปราดเข้ามาแต่แล้วทยุตกลับดึงขวดไปหลบไว้ด้านหลัง สีหน้าตื่น คงเพราะกลัวคนจะรู้ถึงได้แสร้งโมโหกลบเกลื่อน

“แกจะทำอะไรอาย นี่มันเรื่องของฉันกับเด็ก ไม่ต้องยุ่ง”

“แต่อายได้ยิน อาทยุตสั่งให้ใส่อะไรลงไปคะ เพราะอะไรต้องทำแบบนั้นด้วย” ณฐอรคาดคั้น ทยุตคงโกรธเรื่องที่ถูกถามเรื่องเงิน แต่ทำไงได้ ในเมื่อต้องทำงานร่วมกันหล่อนก็ต้องยึดมั่นใจหลักฐาน บิดาเคยย้ำเสมอว่า อาเขยนั้นไว้ใจไม่ได้ หากไม่มีทยุตสักคน สองพี่น้องก็คงไม่แตกคอ ป่านนี้มาลีคงยังทำงานอยู่ในร้าน ไม่ปั้นปึ่งใส่พี่ชายเหมือนอย่างทุกวันนี้

“แกไม่ต้องมายุ่ง ถอยไปเดี๋ยวนี้นะ”

ทยุตตะคอกแต่ณฐอรซึ่งกำลังโมโหปราดเข้าไปใกล้ หล่อนต้องการรู้ว่า สิ่งที่อยู่หลังอาเขยคือ อะไรจึงเอื้อมมือไปคว้าขวดตรงหน้า ขณะที่กำลังแย่งยื้อกันไปมานั้น ขวดก็กระเด็นหลุดมือ ผงที่กระจายอยู่เต็มพื้นทำให้หญิงสาวรู้ได้ว่าคืออะไร

“ทำไมอาถึงต้องทำแบบนี้”

“ทำไม....ฉันทำอะไร แกอย่ามาใส่ความฉันนะ เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้วหาว่า ฉันยักยอกเงิน ฉันไม่ได้ทำสักหน่อย”
“อาจงใจแกล้งอาย อาสั่งให้เด็กใส่เกลือลงไปในขนมปังของอายใช่ไหม...เพราะอะไร”

“ฉันไม่ได้ทำ แกอย่ามาพูดมั่วๆ นะ”

“หลักฐานเห็นอยู่ตำตา อาทำแบบนี้ทำไม”

“เพราะหลานอย่างแกมันหัวดื้อน่ะสิ รั้นเหมือนพ่อไม่มีผิด งกอีกต่างหาก รู้บ้างไหมว่า ร้านนี้เป็นของฉันกับอาอี๊ของแก ส่วนแกนั่งๆ นอนๆ รับเงินสบายใจเฉิบ ปล่อยให้คนอื่นต้องทำงานงกๆ ทำขนมไม่เป็นแล้วยังสะเอะมาคุมร้าน หน็อยที่มีเงินก็เพราะกินแรงคนอื่น ตั้งแต่ป๊าแกแล้ว งกไม่เข้าเรื่อง”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ ป๊าไม่เคยโกงใคร ร้านนี้ปู่ยกให้กับป๊าเอง”

“เชอะ ถ้าไม่ใช่เพราะป๊าแกเอาแต่ประจบ มีหรือจะได้ร้าน ฉันรู้ทันหรอกน่า นี่เห็นว่า อาอี๊แกเขาเป็นคนเงียบๆ ไม่ช่างเอาใจ ถึงได้ชุบมือเปิบ เป็นพี่ชายประสาอะไรเห็นแก่ตัวที่สุด”

“พอได้แล้วนะ หยุดว่า ป๊าของอายได้แล้ว ไม่อย่างนั้นอายไม่เกรงใจด้วย”
“แล้วที่ผ่านมาแกเกรงใจฉันนักหรือไง ทำเหมือนฉันเป็นหัวหลักหัวตอ ถ้าไม่เห็นแก่มาลีฉันไม่มาร้านนี้ให้เสียเวลาหรอก”
สองคนต่างตะโกนแผดอารมณ์ใส่กัน จนกระทั่งมาลีซึ่งอยู่หน้าร้านปราดเข้ามาห้าม
“นี่มันอะไร กัน ทะเลาะกันเสียงดังไปถึงหน้าร้าน ทำแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น”
“ก็หลานคุณนะสิ มาใส่ความผม”

“ใส่ความ” มาลีทวนคำ ปราดตามองหลานสาวอย่างไม่ไว้ใจ” เรื่องอะไรอีกล่ะอาย คราวก่อนก็ทีหนึ่งแล้วนะ ว่างนักหรือไง”

“แต่คราวนี้อายไม่ผิดนะคะอี๊ อายได้ยินอาทยุตสั่งให้เด็กเอาเกลือใส่ลงไปในขนมปัง”

“พูดเป็นการ์ตูน ไปได้ ทยุตจะทำแบบนั้นไปทำไม”

“ก็เพราะต้องการกลั่นแกล้งอายยังไงคะ”

“เรานี่มันมากเกินไปแล้วนะอาย แต่งเรื่องบ้าๆ บอๆ ขึ้นมาได้ อาทยุตหวังดีกับร้านของเรานะ เมื่อวานก็อุตส่าห์ช่วยซื้อของมาให้แล้วยังมาช่วยงานทั้งวันอีก”

“อายไม่ได้โกหกนะคะ อี๊ต้องเชื่ออาย ให้เด็กในร้านเป็นพยานได้ ไหนหล่อนลองบอกมาสิว่า อาทยุตสั่งให้ทำอะไร”

เด็กสาวเหลียวมองเลิ่กลั่กก่อนจะรีบโบกไม้โบกมือแล้วส่ายหน้าไม่ยอมบอก พูดละล่ำลัก สีหน้าตื่น
“หนูไม่รู้ค่ะ หนูไม่รู้จริงๆ หนูไม่เกี่ยวอะไรด้วย ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”

“เดี๋ยวหล่อนจะไปไหน ยังไปไม่ได้” ณฐอรพยายามยื้อแขนอีกฝ่ายเอาไว้ แต่คนงานรีบสะบัดและวิ่งหลบไปหน้าร้าน

“ชักจะเอาใหญ่แล้วนะอาย นี่กล้าใส่ร้านอาทยุตงั้นหรือ”

“ไม่นะคะ อายไม่ได้ทำ อาทยุตจงใจใส่เกลือลงไปจริงๆ นี่ไงคะ หลักฐาน อี๊ลีดูสิคะ” ณฐอรชี้ตรงพื้นที่มีผงสีขาวเกลื่อนอยู่โดยทั่ว แต่มาลีส่ายหน้าแบบไม่เชื่อหันไปมองสามีทันควัน

“ผมไม่ได้ทำนะคุณ ผมเดินของผมอยู่ดีๆ ก็มากระชากข้อมือ ผมก็เลยทำขวดเกลือหล่น จะมีใครบ้าที่ไหนเอาเกลือไปใส่ในขนม ของซื้อของขาย ขาดทุนป่นปี้หมด หลานคุณคงเพี้ยนไปแล้ว หรือไม่ก็อ่านนิยายมากไป เรื่องอะไร ผมต้องทำแบบนั้นด้วย”

“เพราะอาโกรธที่ถูกต่อว่า เรื่องเงินเมื่อวานนี้ใช่ไหมคะ แต่อายทำตามกฎของร้าน ไม่ได้มีอคติอะไรเลย”
“กฎที่มั่วไปหมดนะหรือ เลิกพูดเรื่องไร้สาระเสียทีอาย อี๊เหนื่อยเต็มที เมื่อไหร่เราจะเลิกทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียทีนะ”

“ทำไมอาอี๊ต้องเข้าข้างอาทยุตด้วย รู้ทั้งรู้ว่า เขาทำผิด เขายักยอกเงินไปแต่อี๊ก็ทำเฉย พอตอนนี้เขาจงใจแกล้งอาย อี๊ก็ไม่สนใจอีก ทำเหมือนเราไมใช่อาหลานกัน”

“ก็เพราะใช่นะสิ ฉันถึงได้มาช่วยงานที่ร้านนี้ แต่ถ้าแกยังทำนิสัยเด็กๆ แบบนี้ก็พอกันดี ฉันเบื่อ”
“ค่ะ ก็ดีถ้าอี๊ไม่มีเหตุผล อายก็จะไม่ไว้หน้าเหมือนกัน ในเมื่อคุณอาทำตัวไม่น่าไว้ใจละก็ ต่อไปนี้อาทยุตห้ามเข้ามาที่ร้านอีก ใครจะเบิกเงินต้องผ่านอายก่อนทุกครั้ง”

“นี่แกกล้าพูดอย่างนี้หรือ”

“ยังไงร้านนี้ก็เป็นร้านของอายนะคะ ป๊าสร้างมันมากับมือ อายจะไม่ยอมให้ทุกอย่างต้องพังเด็ดขาด”

“ก็ดี งั้นเชิญแกกอดร้านเน่าๆ เอาไว้คนเดียวเถอะ ฉันไม่ช่วยอีกแล้ว ปล่อยให้ร้านเจ้งไปเลยก็ดี พี่ณัฐจะได้รู้ว่า มีลูกสาวไม่ได้เรื่อง”





tangtangmeow
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ค. 2554, 14:57:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ค. 2554, 14:57:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1988





<< บทที่ 4 พ่อครัวหรือขุนศึก...   บทที่ 5 หัวใจที่ไม่ยอมเชื่อฟัง >>
Zephyr 22 ก.ค. 2554, 18:49:16 น.
ยายป้ามาลีใจร้ายยยย หน้ามืดหลงสามีไม่ลืมหูลืมตาเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account