เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!

แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทส่งท้าย

เพียงใจปรารถนา

บทส่งท้าย

งานแต่งงานของเวหาและปริญดาถูกจัดขึ้นหลังจากงานแต่งงานของก้องเกียรติและนิรชาหนึ่งเดือนหลังจากนั้น มีลาวัลย์และทรงยศเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าว และภาคภูมิกับปวราเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง งานแต่งงานเล็ก ๆ ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย มีเฉพาะภายในครอบครัวที่มีแต่ญาติและเพื่อนสนิทไม่กี่คน

ถึงแม้ลาวัลย์จะขัดใจเล็กน้อยที่งานแต่งงานลูกชายบุญธรรมทั้งทีก็อยากจะให้มันใหญ่โตโออ่าสมกับเป็นลูกเจ้าของไร่กุหลาบเสียหน่อย แต่หล่อนก็เข้าใจความต้องการของเวหาที่อยากให้เรื่องวุ่นวายในครอบครัวเป็นความลับและรู้เฉพาะคนสนิทเท่านั้น และแม้แต่เพื่อนหรือญาติที่สนิทด้วยกันเองก็ได้รู้ความจริงแค่ว่าปริญดาเป็นลูกติดที่เกิดก่อนที่ปวราจะแต่งงานกับภาคภูมิ แต่ไม่มีใครรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของคนทั้งคู่ นอกจากหล่อนและสามีเท่านั้น

ในตอนแรก ญาติฝ่ายหล่อนที่โกรธแค้นภาคภูมิเพราะทำให้กชอรต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย ยังทำใจยอมรับภาคภูมิไม่ได้ แต่พอได้ฟังเรื่องราวจากเวหาว่าภาคภูมิต้องทำตามคำสั่งภารตรีและทุกข์ทรมานจากโรคซึมเศร้าและคิดฆ่าตัวตายมาหลายครั้ง ก็ทำให้ญาติของหล่อนหลายคนเลิกติดใจเอาความ เพื่อความสุขของคู่แต่งงานใหม่และเด็กที่กำลังจะเกิดมา

แม้แต่ตัวหล่อนและสามีเอง ต้องทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับภาคภูมิได้ หล่อนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อครั้งเวหาโทรมาบอกว่าได้เจอกับภาคภูมิและตกลงจะย้ายให้มาอยู่ที่นี่ด้วยกัน แต่เมื่อภาคภูมิมาถึงแล้วขอโทษหล่อนที่แทบจะกราบแนบเท้า บอกเหตุผลที่ทำให้เขามาพบเวหาไม่ได้ ก็พอจะทำให้หล่อนเห็นใจได้บ้าง

ที่สำคัญ เป็นเพราะหล่อนรักเวหามาก เมื่อเห็นลูกชายบุญธรรมอ้อนวอนขอให้หล่อนเลิกโกรธเกลียดภาคภูมิ หล่อนจึงโยนเรื่องบาดหมางในอดีตระหว่างภาคภูมิทิ้งไป เพราะหล่อนเองก็อยากเห็นเวหาได้มีความสุข ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องมีอะไรค้างคาใจกันอีก

ส่วนปริญดาและปวรา เมื่อได้ฟังเรื่องราวอันน่าหดหู่ของทั้งคู่ ก็ทำให้หล่อนถึงกับต้องเสียน้ำตาให้ ความจงเกลียดจงชังที่เคยมีมลายหายไปอย่างง่ายดาย พอปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปจากใจได้แล้ว หล่อนกับปวราก็พูดกันได้ง่ายขึ้นจนกลายมาเป็นเพื่อนที่คุยกันถูกคอ สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว สำหรับปริญดา หล่อนรักและเอ็นดูมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเปิดใจรับเธออีกครั้ง

“อยู่นี่เอง...ผมหาตั้งนาน มาทำนั่งทำอะไรคนเดียวอยู่ตรงนี้จ๊ะ” ทรงยศที่เพิ่งเดินออกมาจากตัวบ้านมาที่ระเบียงเอ่ยทักภรรยา
ลาวัลย์เงยหน้ายิ้มให้สามี คว้ามือของเขาที่ยื่นมาให้และกุมมือไว้หลวม ๆ “ฉันก็แค่อยากมาสูดอากาศคิดอะไรเพลิน ๆ น่ะค่ะ คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ผมแค่จะมาตามคุณเข้าบ้านน่ะ หนูปริมกับคุณปิ่นเขาทำอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็เลยให้ผมมาตามคุณ”

หล่อนจึงลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้หวายแล้วเดินตามสามีเข้าไปในบ้าน “แล้วนี่เวย์กับคุณภาคจะมากันกี่โมงคะ ไม่ได้เจอกันเกือบจะสองเดือน ปริมคงจะดีใจน่าดู นี่อุตสาห์บอกว่าไม่ต้องไปเตรียมอาหารให้เหนื่อยก็ไม่เชื่อ ให้เดือนทำหรือไม่ก็สั่งจากร้านข้างนอกมาแป๊บเดียวก็ได้แล้ว” หล่อนพึมพำบ่น เวหากับภาคภูมิกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯเพื่อจัดการธุระเรื่องบริษัทได้เดือนกว่า ๆ แล้ว ระหว่างที่ทั้งคู่ไม่อยู่ เวหาก็สั่งให้ปริญดากับปวรามาอยู่ที่บ้านใหญ่เพื่อที่จะได้ดูแลกันได้ทั่วถึง

“โธ่ คุณก็ หนูปริมไม่ได้เจอเวย์นานขนาดนั้น ก็คงอยากจะทำอะไรพิเศษๆให้สามีบ้างนั่นแหล่ะ นี่หนูปริมแกก็ดูแฮปปี้ดีจะตาย ตื่นเต้นจนลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมอาหารตั้งหลายอย่าง”

“เฮ้อ...ฉันก็แค่ไม่อยากให้แกเหนื่อยมาก อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดอยู่แล้ว”

“คุณนี่ก็พอกันกับเจ้าเวย์เลย โทรมาทุกวันวันละห้าเวลา ท้องนะไม่ได้ป่วยหนัก ไม่ต้องกังวลกันขนาดนั้นก็ได้”

ลาวัลย์ตีแขนเขาดังเพลี๊ยะ “คุณนี่ก็จริง ๆ เลย นี่หลานคนแรกของเรานะ แล้วก็ลูกคนแรกของตาเวย์ด้วย ก็ต้องห่วงต้องกังวลเป็นธรรมดา”

ภรรยาทำหน้าเครียดแต่ทรงยศเห็นเป็นเรื่องขำ “จ้า ๆ ผมขอโทษ ผมก็แค่เห็นว่าปริมเขาแข็งแรงดี ท้องโตมากแล้วแต่ก็ยังเดินเหินคล่อง ผมก็คิดว่าไม่ต้องห่วงอะไรกันมาก”

เสียงล้อรถบดถนนที่ดังอยู่หน้าบ้าน หยุดบทสนทนาของทั้งคู่ และเป็นลาวัลย์ที่เอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “สงสัยตาเวย์กับคุณภาคมาแล้วมั้งคะ” หล่อนออกเดินแกมวิ่งนำหน้า เข้าไปยังห้องโถงของบ้าน เห็นปวราและปริญดาที่เดินอุ้ยอ้ายออกมาจากห้องอาหารหล่อนก็รีบเข้าไปประคอง

“เดินช้า ๆ ก็ได้ลูก เดี๋ยวจะล้มเอา”

“บอกหนูปริมแต่ตัวเองนี่ก็เดินเร็วไม่แพ้กันเลยนะ” ทรงยศเอ่ยแซว ทำเอาลาวัลย์ส่งค้อนให้วงใหญ่

ปวราหัวเราะและยิ้มตาม “ไม่ได้เจอกันนานก็อย่างนี้แหล่ะค่ะ ตื้นเต้นอยากเจอหน้ากันเร็ว ๆ”

ทรงยศเลยแซวปวราให้บ้าง “อย่างนี้คุณปิ่นก็ตื่นเต้นที่จะได้เจอคุณภาคด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ”

ประโยคนั้นถึงกับเรียกเลือดสูบฉีดแก้มหล่อนจนแดงก่ำ หัวเราะแก้เขินไปไม่เป็น จังหวะนั้นเองที่เวหาพลุ่งพรวดเข้ามาในบ้านตะโกนร้องเรียกหาปริญดา ทำเอาสาว ๆ ทั้งสามคนร้องตกใจไปตาม ๆ กัน

“ปริม...” เวหาพึมพำพร้อมกับรอยยิ้มหวานเมื่อเห็นภรรยายืนอยู่กลางบ้าน เขาก้าวยาว ๆ เข้าไปหา ทำท่าเก้ ๆ กัง ๆ เพราะมีปวราและลาวัลย์ยืนขนาบข้าง และเหมือนหญิงสูงวัยสองคนจะรู้ตัว โดยเฉพาะลาวัลย์ส่งยิ้มหมั่นไส้ไปให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเปิดทางให้คนใจร้อนได้คุยกับภรรยา

ปริญดายิ้มเขิน ๆ เธออยากจะกอดเขาให้ชื่นใจ ให้หายคิดถึง แต่ผู้ใหญ่ยืนอยู่เต็มบ้านเธอจึงได้แต่เกาะแขนเขาแล้วเอ่ยทักทาย

“เป็นไงบ้างคะ ขับรถมาเหนื่อยไหม”

เวหายิ้มตอบ “ไม่เหนื่อยหรอก ขับไม่กี่ชั่วโมงเอง แต่คิดถึงคุณมากกว่า...” สายตาเขาประกายวาววับ

ปริญดาใบหน้าร้อนผ่าว แต่ก็กระซิบตอบชายหนุ่มว่า “ฉันก็คิดถึงคุณค่ะ...”

ยิ้มเวหากว้างขึ้นไปอีก เขาก้มลงมองท้องที่ยื่นออกมาแล้วเอื้อมมือไปลูบแผ่วเบา “คิดถึงลูกสาวเราด้วย อีกไม่นานผมก็จะได้เจอปลายฟ้าแล้วสินะ” เวหาพูดถึงชื่อลูกสาวที่ตั้งให้คล้องจองกับชื่อภรรยา โดยทั้งคู่ตกลงกันไว้ว่าถ้าเป็นลูกสาวเขาจะให้เธอตั้ง ส่วนลูกชายเขาจะเป็นคนตั้งเอง

“ค่ะ กำหนดคลอดอีกสองเดือน เวลาผ่านไปเร็ว แป๊ป ๆ เดี๋ยวคุณก็ได้เจอลูกสาวเราแล้ว”

“แต่สองเดือนที่ผมไปกรุงเทพฯ แล้วไม่ได้เจอคุณ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเวลามันผ่านไปช้าจังเลยก็ไม่รู้”

ปริญดาหน้าแดงกับประโยคชวนเลี่ยนของเวหา เธอทำทีเป็นตบต้นแขนเขาเบา ๆ แก้เขินแล้วพึมพำ “บ้า”

“เอ้า ทักทายเมียเสร็จ ทีนี้ถึงตาแม่บ้างได้หรือยัง” ลาวัลย์ร้องท้วงทีเล่นทีจริง

เวหายิ้มพรายแล้วเดินไปกอดมารดาบุญธรรม หอมซ้ายทีขวาที “โถ ไม่ต้องน้อยใจไปครับแม่ ผมก็คิดถึงแม่ไม่แพ้เมียเหมือนกัน” พูดแล้วก็หัวเราะคิก พลางยกมือไหว้ทรงยศ ปวรา และป้าเดือนที่ยืนอยู่ในห้องโถงด้วยกัน

“พี่เวย์! พี่เวย์กลับมาแล้ว!” ไหมฝันร้องตะโกนขณะวิ่งลงบันไดบ้านมา พอถึงตัวเวหาได้ก็โถมเข้ากอดเขาเต็มแรง

“คิดถึงพี่เวย์จังเลย พี่เวย์สบายดีนะ”

“สบายดีจ้ะ เห็นว่าใกล้สอบชิงทุนเข้ามหาลัยแล้วใช่ไหม ไหวป่าวเราน่ะ”

“โห ดูถูก ระดับไหมสบายอยู่แล้ว พี่เวย์ไม่ต้องห่วง ว่าแต่...ของฝากที่ไหมอยากได้ พี่เวย์ซื้อมาให้ด้วยใช่ป่ะคะ”

เวหาส่ายหน้ากับความแก่นแก้วของน้องสาว “ไม่ลืมหรอกน่า ซื้อมาให้หมดแล้ว อยู่ในรถโน่น” พอพูดถึงของฝาก เขาก็นึกขึ้นได้ว่าบิดาอาสาจะเอาของที่หลังรถลงมาให้เขา

“อ้าว ผมลืมพ่อสนิทเลย เดี๋ยวผมมานะ” เวหาหันหลังเดินออกไปตามบิดา

“ดูสิ คิดถึงเมียจนลืมพ่อตัวเอง หนูปริมเอาเวย์ซะอยู่หมัดเลยนะลูก” ทรงยศหัวเราะ

ลาวัลย์หัวเราะตามบ้าง “นั่นสิคะ ตั้งแต่มีเมียมีลูก แหม สำบัดสำนวนขี้อ้อนขึ้นมาเชียว”

แม้แต่ปวราก็ขอออกความเห็นด้วย “ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันนะคะว่าเวย์เขาจะมีบุคลิกนี้ด้วย ปกติเห็นเขาชอบทำหน้าเครียด ๆ เขร่งขรึมตลอดเวลา”

“ก็เพราะพี่ปริมนั่นแหล่ะค่ะที่ทำให้พี่เวย์เปลี่ยนเป็นคนละคน แต่ก่อนใคร ๆ ก็ว่าพี่เวย์น่ะเป็นเสือยิ้มยาก แต่หลังแต่งงานมีลูกน่ะเหรอคะ ยิ้มไม่หุบทั้งวันจนคนเขานึกว่าพี่เวย์น่ะเพี้ยนไปแล้ว” ไหมฝันหัวเราะขำไม่หยุด พาเอาคนอื่น ๆ หัวเราะถูกอกถูกใจตามไปด้วย มีแต่ปริญดาที่ยืนยิ้มแก้มแดงปลั่งกับคำชมกลาย ๆ นั้น

“คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ หัวเราะกันเสียงดังเชียว” เวหาที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมมือที่ถือถุงพะรุงพะรังโดยมีภาคภูมิเดินตามหลังเข้ามา

พอทุกคนเห็นภาคภูมิเท่านั้น ต่างก็ร้องอุทาน พากันตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงรากับคนละคนของเขา

เวหายิ้มหน้าบาน เพราะเป็นความคิดของเขาที่ขอร้องให้บิดาเปลี่ยนสีผมที่เคยเป็นสีขาวทั้งศีรษะย้อมให้ดำสนิท และตัดผมเสียใหม่ โกนหนวดโกนเคราจนทำให้ดูหนุ่มขึ้น รวมทั้งพยายามขุนน้ำหนักท่านให้เพิ่มขึ้นจนมีกล้ามเนื้อ ไม่ซูบซีดผอมแห้งอีกต่อไป “เป็นไงครับลุคใหม่พ่อ ดูดีขึ้นใช่ไหมล่ะ ไอเดียผมเลยนะเนี่ย”

“พ่อดูดีแล้วก็ดูแข็งแรงขึ้นจริง ๆ ค่ะ ก่อนไปยังดูไม่สดใสเหมือนตอนนี้เลย” ปริญดาพูดชม มองความเปลี่ยนแปลงของบิดาบุญธรรมตรงหน้าด้วยความทึ่ง

ภาคภูมิหัวเราะเขิน ๆ พลางเอามือลูบผมไปด้วย “เวย์รบเร้าพ่อหลายครั้งจนต้องยอมตามใจ บอกว่าถ้าจะมาเป็นชาวสวนชาวไร่ต้องทำร่างกายให้แข็งแรงดูดี”

“ถูกแล้วค่ะคุณภาค ถ้าจะมาปักหลักอยู่ที่นี่ล่ะก็ ต้องแข็งแรง อดทน ตากแดดตากฝนได้” ลาวัลย์ช่วยเสริม “แต่วัลย์จะไม่ใช้งานคุณภาคเยอะหรอกนะคะ วัลย์กลัวคุณปิ่นเล่นงานเอา”

ปวราที่ถูกพาดพิงได้แต่อมยิ้ม หล่อนหันไปที่ภาคภูมิและสบประสานสายตากับเขาที่ยิ้มมาให้พอดี ทันใดนั้นหัวใจของหล่อนก็เต้นแรง รู้สึกเขินอาย ใบหน้าร้อนวูบวาบจนต้องเสมองไปทางอื่น ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างจากตอนที่หล่อนพบเขาครั้งแรกไม่มีผิด เป็นอาการของคนตกหลุมรัก ตื่นเต้น ขวยเขิน อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาของเขาที่เหมือนว่าได้ย้อนเวลาไปในช่วงนั้น จนทำให้หล่อนเผลอตัวเผลอใจนึกว่าตัวเองเป็นสาวแรกรุ่นอีกครั้ง

“มาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วปริมว่าเราเข้าไปทานอาหารกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะเย็นไม่อร่อยเสียก่อน” ปริญดาชวนทุกคน

“ไปครับไป กลับมาคราวนี้ผมมีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนฟังตั้งหลายเรื่องแน่ะ” พูดเสร็จ เวหาก็ส่งของให้ป้าเดือน “ยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าอยู่หลังรถอีกนะครับป้า ให้ปาหนันหรือเด็กมาช่วยด้วยก็ได้ ป้าจะได้ไม่ต้องยกเอง”

“ได้ค่ะคุณหนู” หล่อนยิ้มตอบพร้อมกับรับของจากเวหามา จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปด้านในบ้าน บรรยากาศที่เงียบสงบ เอิกเกริกครึกครื้นขึ้นมาทันที

“อื้อ..ไม่เอาแล้วค่ะ พอได้แล้ว” ปริญดาผลักใบหน้าเขาออกจากแก้มเธอ บอกกลั้วเสียงหัวเราะ ตั้งแต่ได้อยู่กันสองคนในห้องเขาก็ไม่ยอมห่างกายเธอเลย

เวหาดึงมือหญิงสาวออก แล้วกดจมูลงบนแก้มนวล “ก็ผมคิดถึง อยากกอด อยากหอมนี่น่า ยิ่งช่วงท้องแก้มคุณนี่น่าฟัดน่าหยิกเป็นบ้า ผมก็อดใจไม่อยู่ล่ะสิ” พูดจบก็จูบลงบนแก้มอีกฝั่ง

“แต่ฉันจั๊กจี้นี่คะ ตอหนวดคุณทิ่มหน้าฉันจนเจ็บไปหมดแล้วดูสิ”

“โธ่ ขอผมชื่นใจอีกนิดนึงน้า...”

“อื้อ ก็บอกแล้วไงคะว่ามันจั๊กจี้” เธอใช้มือยันคางเขาออกห่าง

เวหาทำหน้าบูด มือตกลงข้างกาย “นี่คุณไม่คิดถึงผมเลยใช่ไหม ขอหอมแค่นี้ก็ไม่ได้ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือนจะตามใจกันบ้างก็ไม่มี”

ปริญดามองใบหน้ามู่ทู่ของสามีแล้วก็กลั้นยิ้ม ไม่เคยเห็นเขาทำตัวขี้งอนเป็นเด็กแบบนี้มานาน ยิ่งสีหน้าออกอาการเหมือนเด็กเอาแต่ใจด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เธออดขำไม่ได้

“คิดถึงค่ะ คิดถึงมากด้วย” ปริญดาเอาใจด้วยการกอดแขนเขาไว้ “แต่คุณเอาไว้จูบต่อพรุ่งนี้ได้ไหมล่ะ ตอนนี้ฉันอยากฟังคุณเล่าเรื่องที่บริษัทมากกว่า”

“ก็ผมเล่าที่โต๊ะอาหารให้ทุกคนฟังไปหมดแล้วนี่”

“ก็คุณเล่าแค่ว่าทำงานเป็นยังไง เพื่อนร่วมงานดีไหม แต่ฉันยังมีอะไรอยากถามคุณอีกตั้งเยอะนี่...น้า...อย่าขัดใจคนท้องเลยนะคะ” ปริญดาเอาหน้าซบต้นแขน ทำเสียงออดอ้อน

เวหาถอนใจ ไม่รู้เขากลายเป็นลูกเสือเชื่อง ๆ คอยทำตามคำสั่งเธอไปตั้งแต่เมื่อไร เพียงเธอทำเสียงหวานอ้อนวอน ทำหน้าไร้เดียงสาเข้าหน่อยก็ตามใจเธอไปหมดทุกอย่าง

เขาจูบลงบนกระหม่อมเธอเบา ๆ “แล้วคุณอยากรู้อะไรล่ะ”

ปริญดายิ้ม นั่งตัวตรง แล้วโน้มคอเขาลงมาหอมแก้มฟอดใหญ่ “ก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณย่าท่านเป็นอย่างไรบ้างหลังจากคุณเข้าไปทำงานที่บริษัทแล้ว ท่านยังคอยพยายามขัดขวางคุณอยู่อีกหรือเปล่า”

ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบใจการกระทำของคุณย่า แต่อย่างน้อยเธอก็ยังสำนึกในบุญคุณที่ท่านเลี้ยงดูเธอกับมารดาช่วงที่บิดาต้องเข้าโรงพยาบาล เธอเรียนจบมีเงินเก็บจนสร้างนิตยสารเองได้ก็เพราะมีคุณย่าคอยส่งเสีย เห็นท่านเหลือตัวคนเดียวแบบนี้ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

“เล่นเอาพ่อกับผมเหนื่อยเหมือนกันกว่าท่านจะยอมได้ คุณก็คงรู้ว่าเวลาท่านไม่ได้ดั่งใจจะอาละวาดขนาดไหน ดีว่าที่ผ่านมาอาภพเองก็ไม่ได้สร้างผลงานเสียเท่าไร กรรมการบอร์ดบริหารเลยเห็นด้วยกับพ่อ และผมเองก็ทำให้เขาเห็นว่าผมสามารถบริหารงานได้ดี ยิ่งทำให้ท่านเกลียดผมกับพ่อมากขึ้นไปอีก” คิ้วของเขาแทบจะชนกันเมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ ยังจำได้ดีถึงเสียงกรีดร้องไม่พอใจของคุณย่าเมื่อรู้ว่ากรรมการบอร์ดบริหารยอมรับเขาเข้าไปทำงาน รวมถึงอาสมภพที่ยอมตกลงตามเงื่อนไขของบิดาที่จะเสนอเงินก้อนใหญ่ให้เอาไว้ใช้เล่นการเมือง รวมถึงเงินเดือนแต่ละเดือนที่บิดาจัดไว้ให้อาสมภพเพื่อล่อใจให้ยอมสละตำแหน่งแต่โดยดี

“สภาพจิตใจคุณย่าก็คงไม่ต้องพูดถึง พอลงที่ผมกับพ่อไม่ได้ก็ไปลงกับพวกคนรับใช้ในบ้านแทน ตอนนี้ที่บ้านนั้นทุกคนจะขยับตัวไปไหนก็ระแวงกลัวไม่ถูกใจท่านไปหมด จากที่เป็นคนโมโหร้ายอยู่แล้วคราวนี้ล่ะยิ่งหนักเลย ผมเลยปรึกษากับพ่อว่าน่าจะให้พยาบาลที่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยาคนมาดูแลคุณย่าน่าจะดีกว่า”

ปริญดาทำหน้าหนักใจ “แล้วพยาบาลจะเอาท่านอยู่เหรอคะ”

“ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ ต้องลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องลองหาวิธีอื่นดู พ่อเองก็จะพยายามไปเยี่ยมท่านบ่อย ๆ”

“ถ้าฉันคลอดแล้ว ฉันอยากไปหาท่านบ้าง คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ”

เวหาหัวเราะเบา ๆ พลางลูบผมเธอเล่น “ผมจะว่าคุณทำไมล่ะ ดีซะอีกที่คุณเลิกโกรธท่านได้ ผมเองก็ไม่ถือสาหาความอะไรท่านแล้ว คุณอยากจะไปเมื่อไรก็ไปพร้อมผมได้เลย”

ปริญดายิ้มตอบเขา “ขอบคุณค่ะ”

“อ้อ..ช่วงนี้ที่บริษัทผมเริ่มจัดวางระบบงานใหม่กับพ่อเรียบร้อยแล้ว ก็คงไม่ต้องเข้าบริษัททุกวัน อาจมีบ้างที่ผมต้องไปดูโรงงานที่ปราจีนบุรี ครั้งนี้ก็เลยได้อยู่กับคุณนานหน่อย คุณดีใจไหม”

หญิงสาวสวมกอดเอวแล้วซบลงบนไหล่กว้าง “ดีใจสิคะ หลายอาทิตย์มานี้ฉันต้องนอนเหงาอยู่คนเดียว คิดถึงอ้อมกอดคุณทุกวัน”

เวหากอดตอบ วางคางลงบนศีรษะเธอ “เดี๋ยวพอบ้านใหม่เสร็จ ขับรถจากบริษัทกลับบ้านแป๊บเดียวก็ถึง ทีนี้คุณจะได้เห็นผมทุกวันจนเบื่อ” เขาพูดถึงที่ดินของบิดาที่ยกให้ปริญดากับเขาเอาไว้สร้างเรือนหอ อีกหลายเดือนกว่าจะสร้างเสร็จ ระหว่างนี้เขาเลยต้องให้ปริญดามาอยู่ที่กาญจบุรีไปพลางก่อน

“แต่เดี๋ยวพอฉันกลับไปทำงานนิตสาร คุณเองก็คงจะยุ่งเรื่องงานที่บริษัท เวลาที่จะเจอตรงกันก็คงน้อยลง”

“ผมเป็นถึงประธานบริษัท วันไหนงานยุ่งก็ให้ลูกน้องช่วยทำ ไม่เห็นจะยาก” เขาทำวางมาดผู้บริหารใหญ่

เธอแกล้งเบ้ปาก “ค่ะ ท่านประธาน ระวังนะคะ โบ้ยงานให้ลูกน้องทำมาก ๆ ระวังลูกน้องจะเอือมเอา”

เวหาส่ายหน้าแย้งทันควัน “ไม่มีทาง ประธานหล่อ ใจดี สปอร์ต แบบนี้ มีแต่ลูกน้องนั่นแหล่ะที่รุมกันมาช่วยผมทำงาน”

“นี่แน่ะ” เธอหยิกแขนเขา ทำเสียงดุ “ถ้าคุณหมายถึงลูกน้องสาว ๆ ล่ะก็ ลืมไปได้เลย แล้วอย่าให้ฉันรู้ว่าคุณไปเกาะแกะสาวคนไหนนะ...น่าดู”

“ผมน่ะเหรอจะไปเกาะแกะสาวที่ไหน มีแต่สาว ๆ นั่นแหล่ะจะมาเกาะแกะผม คุณก็รู้หนิปริม”

“ไม่รู้ล่ะ ฉันเตือนไว้ก่อน ผู้ชายอย่างคุณยิ่งแก่ยิ่งฮอต แล้วยิ่งเคยเป็นนายแบบมาด้วย ก็ยิ่งเข้าทาง ทั้งพวกสาวโสดและก็ไม่โสดคงพากันมาต่อคิวของานคุณทำเป็นแถว” เธอพูดฉุน ๆ

เวหาเงยหน้าหัวเราะร่ากับคำเปรียบของปริญดา เขาดึงร่างหญิงสาวเข้ามากอดแล้วหอมแก้มเธอด้วยความเอ็นดู “นี่คุณกลายเป็นเมียขึ้หึงไปตั้งแต่เมื่อไรกัน หืมม...”

เธอเบี่ยงตัวหนีอ้อมกอดเขา หน้าตายังบึ้งตึง “พอฉันคลอดปลายฟ้า ฉันก็คงยุ่งกับการเลี้ยงลูกจนไม่มีเวลามาห่วงสวย และพอฉันไม่สวย คุณก็จะเบื่อแล้วไปสนใจผู้หญิงอื่นไงล่ะ”

“อ้ออ...อย่างนี้นี่เอง...” เวหาลากเสียงยาว มุมปากกระตุกยิ้ม ก่อนจะจับคางเธอให้มาเผชิญหน้ากับเขา

“ฟังผมนะปริม” สั่งเสียงเข้มแต่แววตาเปี่ยมไปด้วยรัก “กว่าเราสองคนจะรักกันและกลายมาเป็นครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ได้ ผมเกือบจะเสียคุณกับลูกไปเพราะความทิฐิของผม ถ้าผมไม่ยอมฟังแม่คุณอธิบาย ปานนี้ผมคงฝังใจว่าคุณคือเลือดเนื้อเชื้อไขอีกคนของพ่อแล้วหนีเตลิดไป แล้วถ้าผมไม่ยอมเปิดใจเรื่องพ่อ ตอนนี้ผมก็คงจะนั่งเถียงกับคุณทุกวันจนหาความสุขในชีวิตครอบครัวไม่ได้” เขายิ้มแล้วใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้านวลอย่างรักใคร่

“และตอนนี้ผมก็กำลังอดทนตั้งใจทำงานเพื่อบริษัทของพ่อ เพื่อที่ผมจะได้สร้างฐานะที่มั่นคง ให้เมียกับลูกได้อยู่ดีกินดี ผมรักครอบครัวขนาดนี้แล้วคุณจะให้ผมไปสนใจผู้หญิงที่ไหนกัน”

ปริญดาหน้าเสีย เธอรู้ว่าตัวเองก็พูดเกินไป ตั้งแต่คบกันมาเขาไม่เคยนอกลู่นอกทางที่ไหนหรือทำให้เธอเสียใจเพราะเรื่องผู้หญิงเลยสักครั้ง “ฉันขอโทษค่ะ” พึมพำเสียงอ่อย

“ผมไม่โกรธคุณหรอก อารมณ์คนท้องแก่ก็อย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง ผมเข้าใจ” เขาฉีกยิ้มกว้าง จนหญิงสาวยิ้มตามพลางหัวเราะ

“แต่ผมอยากให้คุณเชื่อใจผมและเลิกกังวลเรื่องผู้หญิงคนอื่นซะ เอาเวลาคิดเรื่องนั้นไปคิดถึงผมกับลูกดีกว่า เพราะความรักที่ผมมีให้คุณกับลูก มันมากมายเกินกว่าที่ผู้หญิงคนไหนจะมาพรากมันไปได้ คุณสบายใจได้”

ปริญดายิ้มอบอุ่น น้ำตาคลอหน่วย พยักหน้าตอบรับเขา ผู้ชายคนนี้สร้างความประหลาดใจให้เธอได้เสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้ จากที่เธอเคยมองเขาเป็นคนก้าวร้าวเย็นชาและเป็นเสือผู้หญิง แต่อีกด้านหนึ่งของเขากลับเป็นคนที่มีความรักมั่นคงและยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรักเหมือนครั้งที่เขาเคยรักนิรชา พอมารักกับเธอ ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เปิดเผยด้านที่เป็นผู้ชายอ่อนโยนอบอุ่น บางครั้งก็ขี้เล่นหยอกล้อ จนทำให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก

หญิงสาวถอนใจอย่างเป็นสุขแล้วพิงศีรษะแนบกับอกกว้างของเขา การอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้ ก็เหมือนกับการได้ที่พักพิงใจดี ๆ นี่เอง กลิ่นกาย น้ำเสียงทุ้มนุ่ม มือใหญ่ที่ลูบสัมผัสต้นแขนเธอช่างสร้างความพึงพอใจและความสุขให้เธออย่างล้นเหลือ

ในชีวิตนี้เธอไม่ขออะไรอีกแล้วนอกจากเขา...ที่จะเข้ามาเติมเต็มชีวิตเธอ...จากนี้และตลอดไป...



“เวย์ มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทุกคนเขาตามหากันให้ทั่ว” นิรชาที่เดินมาเจอเขายืนอยู่หน้าห้องน้ำร้องทัก

เวหาหันไปมอง หน้าตาซีดเซียวเมื่อเอ่ยถาม “น้ำ...ปริมคลอดแล้วใช่ไหม ปริมปลอดภัยดีใช่ไหม”

นิรชายิ้มให้กับคุณพ่อมือใหม่ “คลอดแล้วจ้ะ หน้าตาน่าเกลียดน่าชังเชียว แล้วปริมก็ปลอดภัยดีด้วย ตอนนี้ปริมออกจากห้องคลอดแล้วทุกคนก็เลยตามหาเวย์กันให้วุ่น”

ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอก “ก็เรากลัวนี่ ตอนอยู่ในห้องคลอดกับปริม เห็นปริมร้องไห้เจ็บปวดทรมานแบบนั้น เราทนดูไม่ได้หรอก พยายามจะอยู่จนปริมคลอดแต่เราไม่ไหวจริงๆ”

“ก็อย่างนี้แหล่ะ คลอดลูกน่ะ ตอนเราคลอดน้องกาย ก้องก็ไม่ต่างจากเวย์เลย” เธอตบแขนเขาเบา ๆ “ไปเถอะ ไปเจอหน้าลูกสาวเวย์กัน ตอนนี้ลุง ๆ ป้า ๆ เห่อกันใหญ่”

เวหาเดินตามนิรชาไปยังห้องพักของปริญดา ภาคภูมิที่เพิ่งไปตามหาตัวเขาก็เดินกลับมาพอดี

“อ้าว เจอเวย์แล้วเหรอลูก ไป ๆ เข้าไปข้างในกัน ปริมเรียกหาเวย์อยู่น่ะ” เขาผลักประตูห้องเดินนำเข้าไป พอทั้งหมดเดินเข้ามา เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดปริญดาก็ร้องงอแงเสียงดัง มือไม้ปัดไปมาอย่างไม่พอใจ

“โถ ๆ คงรู้ว่าพ่อจะมา เลยร้องเรียกใหญ่” ลาวัลย์พูดขึ้น

“มาได้สักทีนะพ่อลูกชาย แทนที่จะอยู่กับเมียแต่กลัวหัวหดหนีไปซะงั้น” ทรงยศตีหน้าขรึมแต่หัวเราะขำ

“ตอนผมยิ่งกว่านี้อีกครับคุณลุง แทบจะเป็นลมคาห้องคลอดไปเลย” ก้องเกียรติที่อุ้มลูกอยู่ส่ายหน้ากับประสบการณ์ของตนเอง

“มาใกล้ ๆ ที่เตียงนี่สิเวย์ ปลายฟ้าร้องเรียกพ่อใหญ่แล้ว” ปวราที่ยืนอยู่ข้างเตียงกวักมือเรียก

เวหามองภรรยาที่กำลังอุ้มลูกสาวตัวแดงด้วยใบหน้าที่เหนื่อยล้าแต่มีแววตาแช่มชื่นเบิกบาน เขาส่งยิ้มให้เธอแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปหา สายตาเลื่อนไปมองร่างเล็ก ๆ ที่กำลังร้องไห้ดิ้นไปมาแล้วน้ำตาเขาก็เอ่อซึม

“ลองอุ้มลูกดูหน่อยไหมคะ” ปริญดายื่นลูกสาวให้เขา

“ได้เหรอ...” เสียงสั่น กล้า ๆ กลัว ๆ

“ได้สิคะทำไมจะไม่ได้” เธอยิ้มขำ แล้วพยักหน้าเป็นเชิงให้เขามารับลูกไป

เวหาเช็ดมือที่ชื้นเหงื่อเข้ากับเสื้อ เดินเข้าไปชิดเตียงแล้วยื่นมือออกไปรับร่างลูกสาวมาสู่อ้อมอก ทันทีที่ร่างอุ่นสัมผัสกับอ้อมแขนเขา เด็กน้อยก็หยุดร้อง สบตาใสแจ๋วมองตอบผู้เป็นบิดา ทำเสียงงึมงัมราวกับพอใจอยู่สักพัก ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดนอนหลับสบายภายใต้ไออุ่นอ้อมกอดของบิดา

น้ำตาเวหาไหลมาตามร่องแก้มด้วยความตื้นตัน เขาถึงกับครั่นคร้ามงงงวยไปกับพลังอันเหนียวแน่นของสายสัมพันธ์ที่ร้อยรัดระหว่างเขากับลูก รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปขณะก้มมองลูกสาวตัวน้อยหลับปุ๋ย

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างพาชื่นมื่นกับภาพของคุณพ่อมือใหม่ที่ได้กอดลูกสาวตัวน้อยครั้งแรก ลาวัลย์น้ำตารื้นตามเวหา ทรงยศโอบไหล่ภรรยามองทั้งแล้วยิ้มปลาบปลื้มใจ ส่วนภาคภูมิได้แต่ยืนนิ่งมองเวหา ภาพครั้งเมื่อเขาประคองร่างน้อยของลูกชายเอาไว้ในอ้อมกอด มีกชอรคอยพูดหยอกล้อกับลูกอยู่ข้างกายผุดเข้ามาความคิด มันทำเขาให้สุขล้นเผลอยิ้มกับความทรงจำนั้น เขาหันไปมองปวราที่ยืนข้างกัน เห็นหล่อนน้ำตาไหลเขาก็เอื้อมมือไปกุมมือหล่อนไว้ ปวราหันหน้ามามองเขา แววตาประกายความประหลาดใจ พอเขายิ้มให้และบีบประสานมือกันไว้ แววตานั้นก็เรืองรองสดใสยิ้มตอบเขากลับมาเช่นกัน

“ดีจังเลยนะที่กายกับปลายฟ้าเกิดใกล้ ๆ กัน จะได้เป็นเพื่อนเล่นกันได้” นิรชากระซิบกับสามี

ก้องเกียรติมองลูกชายในอ้อมกอด โยกแขนไปมา กระซิบตอบภรรยา “แต่ผมนี่คิดไปแล้วว่าจะขอจองปลายฟ้าให้ตากายของเรา น้ำว่าดีไหม”

นิรชายิ้มขำกับความคิดล้ำไปไกลของเขา “ก็ลองดูสิคะ แต่ดูท่าทางเวย์จะหวงลูกสาวไม่ใช่เล่น น้ำว่าคงจะยากอยู่หรอกค่ะ” เธอมองเวหาที่อุ้มลูกสาวไว้แนบอกราวปกป้อง

“ก็ต้องลองดู....” ก้องเกียรติหมายมั่นปั่นมือ



“ปริมว่าแกเป็นเด็กเลี้ยงง่ายนะคะ” ปริญดาเอ่ยขึ้นขณะมองสามีประคองกอดลูกสาว

“อืม...ดูสิ ไม่งอแงเลย” เวหาตอบ สายตาไม่ห่างไปจากใบหน้าจิ้มลิ้มในอ้อมกอด

“ขอบคุณนะคะสำหรับของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิต” เธอยิ้มพร่าพรายให้เขา

เวหาเงยหน้ามอง “ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณ ปริม...คุณเป็นคนให้กำเนิดปลายฟ้า ทำให้ผมได้รู้ว่าความรู้สึกของการเป็นพ่อคนนั้นมันเป็นยังไง” เวหายิ้มน้อย ๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูเธอ

“คุณและลูกเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม...ผมรักคุณ...”

หัวใจของปริญดาเต้นระรัวมีชีวิตชีวา เธอมองผ่านดวงตาคมเข้มและได้เห็นหัวใจของเธออยู่ในตาเขา เห็นความสุขที่เต้นระริกเปล่งประกายเรืองรอง ในชีวิตนี้เธอไม่ขออะไรอีกแล้วนอกจากครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่มีเขาคอยอยู่เคียงข้างกันตลอดไป

“ฉันก็รักคุณค่ะ...”


จบบริบูรณ์

<><><><>><><><><><><><><><><><><>

สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่่าน ^^ มาถึงบทส่งท้าย บทสรุปเรื่องราวความรักของเวหาและปริม หวังว่าทุกท่านคงสนุกกับการอ่านและชื่นชอบกันบ้างไม่มากก็น้อยค่ะ ^_^

แล้วก็ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน คอมเม้นท์ กดไลค์ให้นิยายของนักเขียนต๊อกต๋อยคนนี้ด้วยค่ะ ^^ เพราะถ้าไม่มีนักอ่านติดตาม คอมเม้นท์ เปลวหอมเองก็คงไม่มีกำลังใจเขียนเรื่องนี้จนจบได้ กราบขอบคุณนักอ่านทุกท่านงาม ๆ เลยค่ะ^___^

เรื่องนี้ใช้เวลาในการเขียนหลายปีมากค่ะ เขียน ๆ หยุด ๆ ท้อบ้าง คิดไม่ออกบ้าง แต่งนิยายไว้หลายเรื่อง ทุกเรื่องค้างตลอด 555 แต่เพียงใจปรารถนาเขียนมาหลายตอนและใกล้จะจบเลยกัดฟันแต่งจนอวสานได้ ปลาบปลื้มตัวเองมากกกกค่ะ 55

อาทิตย์หน้าจะลงนิยายเรื่องใหม่นะคะ ฝากติดตามผลงานด้วยค่ะ

ตอบเม้นท์ค่า

คุณ lamyong คุณย่าแรงตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่องเลยจ้า ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ ^^

คุณ โอชิน บางทีอายุก็ไม่ช่วยให้จิตใจคนปลงกับกิเลสได้ เหมือนกับคุณย่าปริมกับเวย์เนี่ยแหล่ะค่ะ อิอิ ขอบคุณสำหรับการติดตามอ่านนะคะ ^^

ปล. คุณ Zephyr ไม่ได้เห็นคอมเม้นท์ช่วงนี้แต่อยากจะขอบคุณที่ติดตามคอมเม้นท์มาตลอดทุกตอนเลยนะคะ แล้วอย่าลืมติดตามเรื่องใหม่เปลวหอมด้วยนะค้า ^^



เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2558, 09:52:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ต.ค. 2558, 09:52:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1506





<< ตอนที่ 40   
โอชิน 7 ต.ค. 2558, 10:42:10 น.
จบแล้ว..แฮปปี้เอนดิ้ง..คนอ่านยิ้มน้อยยิ้มใหญ่..!
นี่คือความสุขของนักหัดเขียนทุกคนค่ะ เราเองก็เป็นแค่นักหัดเขียนค่ะ เขียนดีบ้างไม่ดีบ้างก็แก้ๆเกลาๆกันไป ออกทะเลเสียก็เยอะ แต่ก็มีความสุขค่ะที่ได้เขียน ประคับประครองหัวใจและความฝันของตัวเองต่อไปนะคะ เขียนไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังมีคนอ่าน รึถ้าไม่มีใครตามอ่านจริงๆ เราเก็บไว้อ่านเอง ฟินเอง เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวก็ได้นี่เนอะ คิดแบบนี้ก็มีความสุขไปอีกแบบค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่าาาา


เปลวหอม 7 ต.ค. 2558, 11:13:28 น.
คุณ โอชิน -- ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ ตัวเองเริ่มลองแต่งนิยายตั้งแต่สมัยเรียน เคยเอามาลงที่เว็บนี้ บางทีพอไม่มีคนอ่าน คนคอมเม้นท์ก็ท้อและคิดจะเลิกหลายทีค่ะ แต่เราคิดซะว่างานเขียนเป็นงานอดิเรก เราทำแล้วมีความสุข ก็ไม่ต้องไปเครียดว่าจะมีคนชอบและอ่านนิยายเราหรือเปล่า ก็คงจะเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเบื่อนั่นแหล่ะค่ะ อิอิ

มีโอกาสจะแวะไปติดตามผลงานของคุณโอชินนะคะ ^_<


lamyong 8 ต.ค. 2558, 09:41:50 น.
ครอบครัวสุขสันต์ สุดท้ายทุกคนมีความสุขสมหวัง เหลือแต่คุณย่าที่ต้องอยู่คนเดียว 555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุก ๆ นะคะ รออ่านนิยายเรื่องใหม่ของคุณเปลวหอมค่า


Zephyr 9 ต.ค. 2558, 21:49:31 น.
มาแล้วค่ะ รีบอ่านกลัวคุณเปลวหอมลบก่อน 5555
ซาบซึ้ง น้ำตาคลอ แง้วๆๆๆๆ
เราอ่านทบๆๆกันสามสี่ตอน เลยอารมณ์พีคมาก ตามเวย์ ตามปริม ตามพ่อภาค แม่ปิ่น เฮ้อ ทั้งสุขและทุกข์เนอะ
จบที่ลงเอยด้วยดี โล่งเลยค่ะ เหลือแต่ยานี่ละ ที่ยังปล่อยวางคิดไม่ได้ซะที

ต้องมีภาคต่อน้า หึหึหึ เปิดมาขนาดนี้
เค้าจะรอนะคะ หึหึ
น้องกายกะน้องปลาย เอ รึน้องฟ้า
เอาเลยต่ะ อยากเห็นพ่อเวย์หนวดกระตุกมากกกกกกก
ขอบคูณจริงๆค่ะ ที่กลับมาอัพให้จนจบเลยค่ะ ไม่ค้างคาแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account