เพียงใจปรารถนา
อดีตอันแสนโหดร้ายในวัยเด็กทำให้ เวหา เติบโตมาเป็นผู้ชายแข็งกร้าวและเย็นชา ผู้หญิงคนไหนก็ไม่สามารถผ่านด่านหัวใจเขาไปได้ แต่ใช่ว่าเขาจะไร้ความรู้สึก เมื่อผู้หญิงที่เขาแอบรัก แต่ไม่สามารถครอบครอง ถูกคนรักของตนเองขอเลิกและไปแต่งงานกับ ปริญดา หญิงสาวผู้ซึ่งเพียงต้องการหนีปัญหา เธอจึงต้องตกเป็นจำเลยแห่งความโกรธแค้นของชายหนุ่ม ที่สำคัญ...เขาทำให้เธอตกหลุมรัก ยอมจำนน และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีเพื่อแก้แค้นให้สมน้ำสมเนื้อที่เธอทำให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเสียใจ!
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
แต่เมื่อความเข้าใจผิด การโกหกปิดบัง ได้ถูกเปิดเผย จะช่วยให้เธอและเขาเปลี่ยนความแค้น และความชิงชัง ให้เป็นความรักได้หรือไม่......ขอเพียงแค่ใจปรารถนา...รักของทั้งคู่คงไม่เกินความจริง
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 40
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^^ เพิ่งจะทักทายกันไป ข้ามวันแป๊บเดียวเอานิยายมาส่งอีกแล้วคร่า พรุ่งนี้คิวงานราษฎร์งานหลวงเยอะเหลือเกิน กลัวมาลงให้ไม่ทันค่ะ ^^ ''
เหลือแค่บทส่งท้ายที่จะลงวันพุธนี้ เวย์กับปริมก็จะจบบริบูรณ์แล้วนะคะ ช่วงหลังดราม่าหนักมากเขียนไปน้ำตาซึมไปเพราะอินจัดก็มีค่ะ ฮ่าๆๆๆ
แล้วพบกันวันพุุธค่า คืนนี้ขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ฝันดีทุกท่านนะคะ ^_<
เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 40
“ตอนนี้แผลเริ่มแห้งติดกันแล้ว หมอว่าอีกสองอาทิตย์ก็น่าจะตัดไหมได้ ถ้ายังไงวันนัดหมอจะดูอาการอีกที แต่คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรนะครับ” คุณหมอยิ้มตอบพลางเขียนข้อมูลคนไข้ลงบนแฟ้มประวัติ
“ขอบคุณมากครับหมอ” ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณ หันไปยิ้มให้กับเวหา รวมถึงปวราและปริญดาที่รอฟังผลพร้อมกันอยู่ที่ห้องพัก
“ส่วนเรื่องที่คนไข้ต้องการออกจากโรงพยาบาล หมอดูจากรายงานผลการตรวจแล้วคนไข้มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาก ร่าเริงแล้วก็หัวเราะมากขึ้น มีการตอบสนองกับคนรอบข้าง ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่คนไข้จะหายขาดจากโรคซึมเศร้า และหมอก็เห็นว่าน่าจะดีกว่าถ้าคนไข้ได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง วันนี้หมอเลยอนุญาติให้กลับบ้านได้ครับ”
ภาคภูมิยิ้มตื่นเต้นดีใจ เบื่อเต็มทีกับการอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ถูกมัดมือมัดเท้ามานานหลายปี ตั้งแต่วันนี้เขาจะได้เป็นอิสระกลับไปอยู่กับครอบครัวที่จะมีลูกชายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ ผมขออวยพรให้คนไข้มีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเอาแต่คิดเรื่องฆ่าตัวตายอีกแล้ว...” คุณหมอยื่นแฟ้มประวัติให้พยาบาลที่ยืนข้าง ๆ แล้วเอามือล้วงกระเป๋ามองคนไข้ที่เขารักษาด้วยความภูมิใจ “โชคดีนะครับ เจอกันอีกทีวันนัดตัดไหม ผมขอตัวก่อน”
ทุกคนยกมือไหว้บอกลาและขอบคุณคุณหมอ เมื่อทั้งพยาบาลและคุณหมอเดินออกจากห้องไป ปวราก็น้ำตาไหลทันที
“อ้าวปิ่น คุณร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจเหรอที่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ภาคภูมิขมวดคิ้วถาม
ปวราปาดน้ำตาแล้วยิ้ม “ที่ร้องไห้เพราะดีใจต่างหากล่ะคะ ในที่สุดคุณคนเดิมก็กลับมา เราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีก”
ปริญดาเห็นมารดาร้องไห้เธอก็อดร้องตามไปด้วยไม่ได้ “หนูก็ดีใจค่ะที่พ่อจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที คราวนี้ปริมจะพาพ่อไปเที่ยวทะเลทุกอาทิตย์อย่างที่พ่อชอบโดยไม่ต้องขออนุญาตหมออีกแล้ว” เธอยิ้มทั้งน้ำตา มองบิดาที่มีสีหน้าเบิกบานแล้วก็เป็นสุข
“ผู้หญิงนี่ขี้แยจังเลยเวย์ว่าไหมลูก” ภาคภูมิหัวเราะขำยอกล้อกับเวหา
“นั่นน่ะสิครับ” เวหาตอบพลางเดินเข้าไปโอบเอวปริญดาที่ท้องเริ่มนูนเห็นชัดเจน “ทั้งขี้แย ขี้โมโห ขี้งอน ขี้บ่น สารพัดจะ....โอ๊ย” เวหาร้องครางเมื่อโดนถองท้องเข้าให้ แต่ไม่นานก็ยิ้มทะเล้นเห็นฟันขาว “แต่ผมก็รักผู้หญิงขี้แยคนนี้ของผมนะ”
ปริญดาหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที ด้วยความอายจัดที่โดนแซวต่อหน้าบิดาและมารดาเธอจึงแกล้งถองท้องเขาให้อีกที “คนบ้า”
เวหาทำทีโอดโอย ทำตาออดอ้อนซบศรีษะลงบนบ่าปริญดา หญิงสาวยิ่งอายหนัก เธอดึงมือของเวหาที่เอวตนเองออก แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย จนทั้งสองยื้อยุดฉุดกันไปมา จากน้ำเสียงหงุดหงิดทีเล่นทีจริงของหญิงสาว กลายเป็นเสียงหัวเราะของทั้งคู่ที่ทำเอาคนแก่อย่างภาคภูมิและปวราอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
ภาคภูมิถอนหายใจ มองเวหาและปริญดายอกล้อกันด้วยความสุข และจังหวะนั้นเอง สายตาของเขาก็สบประสานกับปวราที่กำลังมองทั้งคู่อยู่เช่นกัน เขาคลี่ยิ้มให้หล่อน ซึ่หล่อนก็ยิ้มตอบกลับมา สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันและกันอยู่อย่างนั้น จนเวหาที่พูดขึ้นมาว่าให้เขาไปจัดเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาถึงละสายตามาได้ ใจของเขาเต้นตึกตัก รู้สึกเขินอายที่จ้องมองปวราไปแบบนั้น ซึ่งดูท่าหล่อนเองก็มีอาการเคอะเขินไม่ต่างกัน
“ผมกับปริมจะไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย ยังไงผมฝากพ่อด้วยนะครับ” เวหาพูดกับปวราที่ตอบรับแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มและขยิบตาให้บิดาที่ทำหน้างง ๆ แล้วเวหาก็เดินประคองปริญดาออกจากห้องไป ทิ้งให้ผู้ใหญ่สองคนได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยคุยกันตามลำพัง
“ขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ที่ผ่านมาคุณย่าจะช่วยออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องท่านก็ตัดหางปล่อยวัดพวกเรากลายเป็นว่าพ่อก็โดนไปด้วย” ปริญดามีสีหน้าขอโทษขอโพยหลังจากที่เวหาจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เวหาปัดปอยผมไปทัดหูหญิงสาว หยิกแก้มเบา ๆ ด้วยอาการหมั่นเขี้ยวจนหญิงสาวร้องคราง แล้วยิ้มขำ “คุณนี่ก็แปลก เขาก็พ่อผมเหมือนกัน ไม่เห็นจะต้องมาขอบคุณอะไรเลย”
ปริญดาลูบแก้มปอย ๆ “ฉันรู้ค่ะ แต่แค่ฉันรู้สึกไม่ดี ที่คุณเพิ่งเจอพ่อได้ไม่ถึงอาทิตย์ แต่ก็ต้องมาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายตั้งมากมาย ทั้งที่ควรเป็นฉันมากกว่าที่ต้องรับผิดชอบ”
“คุณนี่คิดมาก คิดเยอะ บางทีก็คิดเลอะเทอะ...โอ๊ย อีกแล้วนะปริม” เขาจับต้นแขนจุดที่เธอฟาดมือลงมา
“สมควรแล้วนี่ ชอบพูดว่ากันดีนัก” เธอทำเบ้ปาก กอดอกมองค้อนชายหนุ่ม
“อ้อ จริงสิ” ปุบปับปริญดาก็นึกขึ้นได้ “เรื่องที่คุณกับพ่อจะกลับไปคุยกับคุณย่า...คุณแน่ใจนะคะว่าคิดดีแล้วที่ให้พ่อไปแบบนั้น ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณย่าจะทำให้พ่อเครียดขึ้นมาอีก” ถึงแม้บิดาไม่ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านคุณย่าอีกต่อไป เพราะเวหาจัดแจงให้ป้าเดือนเตรียมทำความสะอาดบ้านที่กาญจนบุรีไว้เพื่อพาบิดาย้ายเข้าไปอยู่หลังจากจัดการเรื่องที่บ้านใหญ่เรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็ยังกังวลว่าการพบกับคุณย่าในครั้งนี้จะทำให้อาการบิดาทรุดลงแล้วต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีก
สีหน้าเวหาตึงเครียด “คุณไม่ต้องห่วงหรอก คุณย่าท่าทางจะกลัวผมอยู่เหมือนกัน ถ้าผมไปด้วย ท่านคงไม่กล้าทำอะไร”
“แต่ปริมไม่ไว้ใจคุณย่าเลยค่ะ ตั้งแต่เห็นที่ท่านทำกับพ่อวันนั้น...” ปริญดารู้สึกขนลุกเกรียวเมื่อนึกถึงคำพูดและอาการเกรี้ยวกราดของภารตรี
เวหาโอบไหล่หญิงสาว ลูบต้นแขนเธอขึ้นลงให้เธอสบายใจ “ผมสัญญาว่าจะไม่ให้คุณย่าทำอะไรพ่อได้ ผมว่าดีเสียอีกที่พ่อจะได้คุยกับคุณย่าในสิ่งที่พ่ออยากพูดมานาน เคลียร์กันให้จบ คุณย่าจะได้ไม่ต้องมากวนใจพ่ออีก ต่างคนต่างอยู่ซึ่งผมว่าคุณย่าเองก็คงต้องการแบบนั้น” เขาตอบอย่างมั่นใจ แต่ปริญดาเม้มปากอย่างลังเล สุดท้าย เธอก็พยักหน้ารับ ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
ภาคภูมิบิดมือบนตักไปมา สีหน้ากระวนกระวายขณะที่เวหากำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านคุณย่า
“พ่ออยากจะให้ผมพาไปวันอื่นไหมครับ” เวหาถาม เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของบิดา
“ไม่เป็นไรเวย์ พ่อตั้งใจแล้วว่าจะคุยกับท่านให้จบเรื่องไปเสียที นานแล้วที่พ่อไม่ได้จัดการอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวและปล่อยให้ท่านทำอะไรตามอำเภอใจมาตลอด” ภาคภูมิยิ้มให้ลูกชาย เอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบา ๆ “พ่อขอบใจเวย์มากนะที่มาเป็นเพื่อนพ่อ พ่อไม่อยากให้ปริมกับปิ่นเขามาเจออารมณ์ร้าย ๆ ของท่านอีก”
เวหายิ้มตอบ “ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พ่อมีปัญหาผมก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะครับ ผมว่าตอนนี้พ่อทำใจให้สบายดีกว่า”
ความสุขล้นปรี่เอ่อท่วมใจภาคภูมิกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่เขาไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน เมื่อเวหากลับเข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้ง ความทุกข์ตรมที่บั่นทอนจิตใจเพราะความเศร้าที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปมลายหายสิ้น เขายังจำประโยคเปลี่ยนชีวิตที่เวหาบอกกับเขาได้ขึ้นใจ
‘พ่อคือพ่อของผม ผมรู้ตัวตลอดเวลาว่าผมรักและคิดถึงพ่อแม้จิตใจอีกด้านของผมจะบอกให้เกลียดพ่อก็ตาม...ในเมื่อวันนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อเองก็รักและคิดถึงผมมากแค่ไหน ทำไมผมถึงจะต้องโกหกตัวเองว่าเกลียดพ่ออยู่อีกล่ะครับ...’
ในคืนนั้นหลังจากที่เขาและเวหาปรับความเข้าใจกัน เขาก็ฝันถึงกชอรเหมือนทุก ๆ คืน แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ในฝันที่เคยเห็นแต่กชอรกำลังร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจก่อนจะกรีดข้อมือตัวเอง คืนนั้นเขาฝันว่ากชอรเดินเข้ามากอดเขาแน่น รอยยิ้มแต้มบนริมฝีปากบางสวย ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน ยิ้มให้กัน ก่อนที่กชอรจะเดินลับหายไป แต่เขายังได้ยินเสียงหวานของเธอดังมาจากที่ไกล ๆ ว่า ฉันรักคุณ...
ภาคภูมิเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงฝันนั้น เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มได้เมื่อนึกถึงกชอรในฝัน ความรู้สึกเขาได้เปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่พบลูกชาย กรชอรจะยังคงอยู่ในหัวใจเขาเสมอ แต่เขาจะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหมือนทุกครั้ง เขาจะยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อใดก็ตามที่คิดถึงกชอร
เขาเอนหลังพิงพนักเบาะรถ หลับตาและผ่อนลมหายใจยาว เมื่อลืมตาขึ้นมา เขามองจ้องไปยังถนนด้านหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น พยายามบอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนี้เขาได้ลูกชายกลับคืนมา และกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวบุญธรรมที่เขารักเหมือนลูกแท้ ๆ เขาจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ไม่ต้องเกรงใจมารดาอีกต่อไป เขากำลังจะมีชีวิตใหม่และละทิ้งอดีตที่เจ็บปวดไว้ข้างหลังไปตลอดกาล
“พ่อว่าคุณย่าจะอยู่บ้านไหมครับ ทำไมบ้านดูเงียบ ๆ จัง” เวหามองประตูบ้านเหล็กที่ปิดทึบมองไม่เห็นด้านในผ่านกระจกรถ เขาขับมาถึงได้สักพักแล้ว แต่ยังลังเลไม่แน่ใจ
ภาคภูมิมองดูนาฬิกาข้อมือสีทองที่เวหาให้เขาคืนมา “เวลานี้ท่านไม่ไปไหนหรอก พ่อว่าเราเข้าไปกันเถอะ ถ้าท่านไม่อยู่เราก็ค่อยมาวันหลัง”
เวหาพยักหน้ารับ แล้วล้วงหยิบรีโมทประตูบ้านที่ปริญดาให้เขาเอาไว้ “หวังว่ามันยังคงใช้ได้อยู่นะ” เขาพึมพำก่อนจะยื่นรีโมทไปที่ประตูแล้วกดปุ่มเปิด ไม่นาน ประตูเหล็กบานใหญ่ก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกช้า ๆ เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดบอกถึงความเก่าของประตูว่าอยู่คู่บ้านหลังนี้มานานหลายปี
ภาพบ้านสีครีมซีด ๆ หลังใหญ่ที่มีบริเวณกว้างกินเนื้อที่น่าจะหลายไร่ปรากฎแก่สายตาเวหา ทางเข้าสู่ตัวบ้านที่ไม่ไกลนักทำให้เขาเห็นสภาพโดยรวมของบ้านและสรุปได้ว่าเจ้าของไม่ค่อยใส่ใจที่จะปรับปรุงบ้านเท่าไร ผิดกับต้นไม้ดอกไม้ในสวนหน้าบ้านนานาชนิดที่ออกดอกออกใบสวยงามสร้างบรรยากาศให้บ้านนี้พอน่าอยู่ขึ้นบ้าง
เวหาขับรถเข้าสู่ตัวบ้าน รับรู้ถึงคนข้าง ๆ ที่นั่งนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว เขาหันไปมองก็เห็นใบหน้าที่เครียดขึงขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่มีอะไรต้องเครียดครับพ่อ ผมอยู่ด้วยทั้งคน” เขาพูดให้บิดาคลายกังวล
ภาคภูมิฝืนยิ้ม “พ่อแค่ห่วงว่าท่านอาจจะไม่ยอมตกลงกับสิ่งที่พ่อจะคุยวันนี้”
“ต้องลองดูครับ แต่ผมไม่อยากให้พ่อกลัวคุณย่ามากเกินไปจนไม่กล้าทำในสิ่งที่พ่อต้องการ”
ภาคภูมิพยักหน้า สูดหายใจเข้าลึก “ตกลงลูก งั้นเราเข้าไปกันเถอะ พ่อเองก็อยากคุยให้มันจบ ๆ ไปซะที”
ทั้งสองคนก้าวลงจากรถ ตอนนั้น เด็กรับใช้ที่เคยไปกับภารตรีที่โรงพยาบาลก็เดินลงบันไดบ้านมา พอเธอเห็นภาคภูมิก็ถึงกับผงะตาโต อ้าปากค้าง เดินเงอะ ๆ งะ ๆ เข้ามาหา
“คะ...คุณมาหาคุณท่านหรือคะ” น้ำเสียงออกไม่สู้ดี
“ใช่ คุณแม่อยู่ไหม”
“เอ่อ...ยะ อยู่ค่ะ แต่ว่า...” ตอบไม่เต็มคำ หันหลังมองเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็หน้าซีด
“ใครมาน่ะเปีย” แม่บ้านที่เดินตามออกมาดูเอ่ยถาม พอเห็นว่าเป็นใครก็แทบเข่าอ่อน น้ำตาเออคลอ แล้วเดินแกมวิ่งไปหาภาคภูมิ
“คุณภาค นี่คุณภาคจริง ๆ เหรอคะเนี่ย” แม่บ้านน้ำตาไหล ดีใจที่เห็นหน้าภาคภูมิที่หล่อนไม่คิดว่าจะได้เจอะเจอเขาอีก
“นวลใช่ไหม นี่ยังเป็นแม่บ้านที่นี่อยู่อีกเหรอ ฉันนึกว่าเธอลาออกไปนานแล้วซะอีก” ภาคภูมิจำหล่อนได้ หล่อนเข้ามาทำงานได้สองปีก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาล
“นวลลาออกไปก็ไม่รู้จะทำอะไร อยู่ที่นี่คุณท่านก็ดูแลพวกเราดีอยู่แล้ว” พูดไปน้ำตาไหลไป “แล้วนี่คุณภาคออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอคะ อย่างนี้คุณภาคก็จะกลับมาอยู่ที่บ้านถาวรแล้วสิคะ” ถามอย่างตื่นเต้น
“เปล่าหรอก ฉันกลับมาเก็บของน่ะ ฉันจะย้ายไปอยู่กับลูกชาย วันนี้เลยมาลาคุณแม่เท่านั้นเอง”
แม่บ้านทำหน้าตกใจ “ลูกชายเหรอคะ” แล้วมองไปที่เวหาซึ่งพงกหัวรับเป็นเชิงทักทาย
“เปีย! เปีย! หายหัวไปไหนของแกห๊ะ!” เสียงวางอำนาจที่ตะโกนเรียกลั่นบ้านดังออกด้านนอกทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว
“ซวยอีกแล้วกู” เด็กรับใช้ชื่อเปียพึมพำปาดเหงื่อ ทำหน้าพะอืดพะอมแล้วตะโกนตอบ “ค่า เปียอยู่นี่ค่า” เด็กสาวรีบวิ่งขึ้นบันไดจะเข้าบ้านแต่ก็เกือบชนกับภารตรีที่เดินออกมาพอดี
“เดินให้มันระวังหน่อยสินังนี่!” ภารตรีตวาด ผลักศีรษะของเด็กรับใช้อย่างแรงจนแทบหงายหลัง
“หนูขอโทษค่ะคุณท่าน” เด็กสาวระล่ำระลักยกมือไหว้ขอโทษ
ภาคภูมิถอนหายใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร มารดาเขาก็ไม่เคยเลิกนิสัยกดหัวคนอื่นเสียที
“สวัสดีครับคุณแม่” ภาคภูมิเอ่ยทักทายเสียงหนักแน่น เมื่อภารตรีหันหน้ามาทางเขา หล่อนก็ตกใจแทบสิ้นสติ พอมองไปที่เวหา สีหน้าก็ซีดเผือดผงะถอยหลังรอตั้งรับ
“นี่แก...แกออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่เมื่อไร”
“สองวันได้แล้วครับ” เขาพูดพลางเดินก้าวขึ้นบันไดบ้านช้า ๆ “วันนี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณแม่หลายเรื่อง เสร็จธุระแล้วผมก็จะเก็บข้าวของของผมออกไป เพราะตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น”
ภารตรีก้าวถอยหลังตามจังหวะที่ภาคภูมิก้าวขึ้นบันไดมา ซึ่งเวหาก็เดินตามขึ้นมาด้วย สายตาแข็งกร้าวที่ดูไม่อ่อนแอเหมือนทุกครั้งของภาคภูมิทำเอาหัวใจหล่อนกระตุกวูบ
“กะ แกจะไปอยู่ที่ไหนก็เชิญ แต่ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับแกหรอกนะ” หล่อนปฎิเสธทั้งที่จริงแล้วหล่อนมีเรื่องที่ต้องการให้ลูกชายเซ็นเอกสารยินยอมมอบที่ดินให้ แต่เมื่อเห็นท่าทางขึงขังบวกกับตอนนี้ที่มีเวหายืนกันท่าอยู่ไม่ห่าง หล่อนก็ลงความเห็นว่าต้องยกยอดไปก่อน
“ไม่ครับ ผมต้องการคุยให้จบวันนี้” ภาคภูมิเห็นท่าทางกริ่งเกรงของมารดาไม่กล้าโวยวายเหมือนทุกทีก็ทำให้เขากล้าเผชิญหน้ามากขึ้น “ผมใช้เวลาไม่นาน เสร็จแล้วผมจะไปให้ไกล ไม่ให้คุณแม่ต้องรำคาญใจอีก”
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับแกทั้งนั้น อยากจะไปเก็บของอะไรของแกก็ไป แต่เอาของของแกไปอย่างเดียวนะ ของในบ้านนี้แกไม่มีสิทธิ์”
ภาคภูมิน้ำตาตกใน มารดาไม่เคยคิดในแง่ดีกับเขาเลยสักครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากถือสาหาความกับท่านอีก “ถึงผมจะไม่เต็มใจ แต่ถือว่าผมยกบ้านให้แม่ไปแล้ว ผมไม่เอาของของแม่ไปหรอกครับ”
ภารตรีตาลุกวาว คาดไม่ถึงว่าภาคภูมิจะต่อล้อต่อคำกับหล่อน ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าหล่อนจะพูดหรือสั่งอะไรภาคภูมิก็ไม่เคยขัดใจ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมหล่อนได้ทุกครั้ง แต่พอออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน ภาคภูมิก็กลายเป็นคนละคน หล่อนมองไปที่เวหา และคิดว่าต้องเป็นมันที่ทำให้ลูกชายหล่อนกล้ายอกย้อนแบบนี้
“ใช่สิ ฉันเป็นแม่แกนี่ ฉันอยากได้อะไรแกก็ต้องหามาให้ บ้านหลังนี้ฉันอยากได้แกก็ต้องยกให้ฉัน!”
“ผมไมได้อยากจะคุยเรื่องที่มันผ่านไปแล้วครับแม่ วันนี้ผมต้องการจะคุยกับแม่เรื่องอื่น”
ภารตรีสะบัดหน้าหนี “ฉันบอกแล้วว่าไม่มีอารมณ์คุย!”
“แม่ไม่ต้องพูด แค่ฟังเฉย ๆ ก็พอครับ”
ภารตรีหันขวับมาที่ภาคภูมิ แววตาหล่อนวาวโรจน์ด้วยความโกรธ พอมองเลยไปที่เวหา ทำท่ายักไหล่ กระตุกยิ้มมุมปากราวกับเยาะเย้ย ทำเอาหล่อนสติขาดผึง!
“แกกล้าดียังไงมาสั่งฉัน!”
“ผมไม่อยากเถียงกับแม่นะครับ ผมจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” ภาคภูมิไม่อยากเสียเวลา เพราะรู้ว่ามารดาคงจะโวยวายแบบนี้ไปเรื่อยถ้าเขาไม่พูดในสิ่งที่ต้องการเสียที “เรื่องแรก ผมรู้ว่าแม่อยากได้ที่ดินของผมเอาไปทำธุรกิจร่วมกับภพ แต่ที่ดินตรงนี้ผมตั้งใจจะเก็บไว้ปริม ถือว่าผมขอแล้วกันครับ”
ภารตรีกำหมัดแน่น ความโกรธพลุ่งพล่าน หล่อนและสมภพที่เป็นสายเลือดเดียวกันแท้ ๆ กลับไม่ให้ แต่เอาไปให้ยัยเด็กเหลือขอที่ไม่รู้ว่าแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของตัวเองคือใคร! “นี่แกยังเห็นฉันเป็นแม่อยู่ไหม! ยัยปริมมันเลือดเนื้อเชื้อไขของแกหรือก็ไม่ใช่ แล้วยังจะเอาของของตระกูลไปประเคนให้มันอีก!” นิ้วชี้ที่สวมแหวนทับทิมเม็ดใหญ่ชี้ไปที่หน้าภาคภูมิ
“ที่ดินตรงนั้นผมเป็นคนซื้อด้วยเงินของผมเอง ผมจะให้ใครมันก็เป็นสิทธ์ของผม”
“แต่เงินที่แกซื้อมันเป็นเงินจากบริษัทฉันที่ให้เงินเดือนแก มันก็ถือเป็นเป็นสมบัติของฉันเหมือนกัน!”
ภาคภูมิถอนใจ ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ อยากมีอยากได้จนหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง เขายังแปลกใจตัวเองนักที่หลายปีก่อนหน้านั้นเขายอมตามใจมารดาจนทนไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไรกัน “แม่จะพูดยังไงก็ได้ครับ แต่เอกสารโฉนดที่ดินทุกอย่างเป็นชื่อผม ถ้าผมไม่ยินยอม แม่ก็เอาที่ดินนั้นไปไม่ได้ครับ”
ภารตรีเบ้ปาก กอดอกเชิดหน้าอย่างคนที่เหนือกว่า “แกไปนอนอยู่โรงพยาบาลตั้งหลายปี เอกสารข้าวของอยู่ที่ไหนบ้างแกจำได้เหรอไง หึ ปานนี้โดนปลวกกินไปหมดหรือยังก็ไม่รู้” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก ถึงแม้หล่อนยังไม่ได้เห็นเอกสารที่ว่านั้น แต่ก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้มันก็คงยังอยู่ที่ห้องทำงานในลิ้นชักที่ไหนสักแห่ง และหล่อนจะไม่ให้ภาคภูมิเข้าไปเอาได้อย่างแน่นอน
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ตอนปิ่นเขาโดนคุณแม่ไล่ออกจากบ้าน ปิ่นเก็บเอกสารสำคัญทุกอย่างของผมออกมาด้วย ผมเช็คดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะโดนปลวกกินเหมือนที่คุณแม่ว่านะครับ”
“กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องอันแสบแก้วหูของภารตรีดังไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกตะลึงกับความโมโหร้ายของภารตรี
“ไอ้ลูกไม่รักดี!” ภารตรีตะโกนลั่นแล้วปราดเข้ามาหาภาคภูมิพร้อมกับฟาดมือลงที่ใบหน้าซูบผอมของเขาเต็มแรงจนหน้าหัน
“หยุดนะ!” เวหาเข้ามาขวาง สายตาดุดันจ้องไปที่ภารตรีจนหล่อนหยุดมือยกค้างไว้กลางอากาศ “ถ้าคุณย่าทำอะไรพ่ออีก
แม้แต่ปลายเล็บล่ะก็...”
“ทำไม แกจะมีปัญญาทำอะไรฉัน! แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าย่า ฉันไม่ใช่ย่าแก!”
เวหาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อกดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ กรามแข็งแรงนูนแน่น สะกดตัวเองไม่ให้ใจร้อนตอบโต้อะไรแรง ๆ ออกไป
“เวย์...ไม่เป็นไรลูก” ภาคภูมิกางมือห้าม แต่สายตามองมารดาด้วยความเหนื่อยใจ “แม่ครับ ผมขอเถอะครับ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย วันนี้ผมมาคุยกับคุณแม่ดี ๆ...”
“ดีกับผีน่ะสิ!” หล่อนตวาดตัดบท “ฉันไม่เอาที่ดินเน่า ๆ ของแกก็ได้ จะเอาไปให้ใครหน้าไหนก็เชิญ สมใจแล้ว ทีนี้แกอยากจะไปไหนก็ไป!”
“ยังครับ ผมยังมีอีกเรื่อง” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ภารตรีตัวสั่น ใบหน้าถมึงทึงมองลูกชายด้วยแววตาเกลียดชัง เวหาที่สังเกตุการณ์อยู่ไม่ห่างจับตามองภารตรีทุกการเคลื่อนไหว เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนเป็นแม่ที่เกลียดลูกแท้ ๆ ของตัวเองได้ลงคอเช่นคุณย่าได้อีกแล้ว ทั้งสายตา ทั้งการกระทำและคำพูด ช่างห่างไกลจากคำว่าเป็นแม่ลูกกันโดยสิ้นเชิง
“ผมรู้มาว่าตอนนี้ฐานะที่บริษัทไม่ค่อยจะดีเท่าไร ตั้งแต่คุณแม่ให้ภพเข้ามาบริหารงานแทนก็ดูเหมือนว่าจะกำไรหดหายลงไปเรื่อย ๆ ผมว่าถ้าภพเขาอยากไปเอาดีด้านการเมือง ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ”
ภารตรีตาโต แปลกใจที่ภาคภูมิรู้เรื่องบริษัทได้อย่างไร เพราะแม้แต่ปวราหล่อนก็ไม่เคยปริปากคุยเรื่องนี้ให้ฟัง
ภาคภูมิเหมือนจะรู้ความคิดมารดา เขาจึงตอบไขข้อข้องใจให้ท่าน “ผมให้ปิ่นหาคนเข้าไปทำงานในบริษัท แล้วก็หาทนายประจำให้ผม เพื่อที่จะช่วยดูความเคลื่อนไหวในบริษัทว่าเป็นยังไงบ้าง ถึงผมจะป่วย แต่ผมก็เป็นห่วงบริษัท เป็นห่วงแม่ ถ้าเกิดบริหารงานผิดพลาด มันก็จะกระทบกันไปหมด”
“แกถือดียังไงมายุ่งเรื่องบริษัทฉัน พอพ่อแกตาย ในพินัยกรรมก็บอกอยู่แล้วว่าบริษัทจะตกเป็นของฉัน แกไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามเรื่องนี้!”
“ใช่ครับ บริษัทเป็นของแม่ แต่ในพินัยกรรมคุณพ่อเขียนไว้ว่าให้อยู่ภายใต้การดูแลของผม” เขาไม่อยากจะทำร้ายจิตใจมารดา แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง บริษัทและโรงงานผลิตเหล็กเส้นที่บิดาเขาสร้างมากับมือซึ่งเหลือเพียงธุรกิจสุดท้าย คงต้องพังไม่เป็นท่าเพราะได้คนอย่างสมภพเข้าไปบริหารงาน “และบริษัทจะตกเป็นของผมโดยสมบูรณ์เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้”
“ใครบอกแก” ภารตรีลนลานบอก “ทุกวันนี้ฉันยังต้องเข้าบริษัทประจำ แกไปถามผู้บริหารคนอื่นดูก็ได้”
“แต่คนของผมบอกว่าคุณแม่เข้าบริษัทครั้งล่าสุดคือหกเดือนที่แล้ว และเป็นการเข้าไปเพื่อสละตำแหน่งประธานกรรมการให้กับภพก็เท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่าคุณแม่ยอมรับการปลดเกษียณตัวเอง เพราะฉะนั้น เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้ ผมก็จำเป็นจะต้องเข้าไปบริหารงานแทน”
“ไม่ได้! น้ำหน้าอย่างแกเหรอจะทำอะไรเป็น! ป่วยจนต้องไปนอนโรงพยาบาลบ้าอยู่หลายปีแบบนั้นผู้บริหารคนอื่นเขาคงจะยอมให้แกไปนั่งทำงานหรอกนะ” ภารตรียังเถียงคอเป็นเอ็น
“ครับ ผู้บริหารดี ๆ ที่ไหนเขาจะรับผมเข้าไปทำงานกัน” ภาคภูมิหัวเราะฝืด ๆ “ผมคงไม่ได้กลับเข้าไปทำงานอย่างที่ตั้งใจไว้”
ภารตรีส่งยิ้มเห็นใจให้ลูกชาย “ให้ภพบริหารน่ะดีแล้ว ช่วงแรกก็อย่างนี้แหล่ะ เดี๋ยวพออยู่ตัวบริษัทก็มีกำไรเหมือนเดิม” แต่ภาคภูมิกลับส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมมีคนที่จะเข้าไปทำงานแทนผมในใจอยู่แล้ว”
“ใคร อย่าบอกนะว่ายัยปริม แม่จะไม่ไว้หน้าแกแน่” ภารตรีหมายหัว
“ปริมเขามีนิตสารของเขาอยู่แล้ว แกคงไม่มาหรอกครับ แต่คนที่ผมจะให้ไปทำแทน แม่วางใจได้ว่าเขาจะบริหารงานในบริษัทได้อย่างดีจนคุณแม่สามารถวางมือได้ไร้กังวล ภพเองก็จะได้เป็นนักการเมืองเต็มตัว” พูดเสร็จภาคภูมิก็หันไปยิ้มให้เวหา โอบไหล่กว้างของลูกใจด้วยความภูมิใจ
“ผมจะให้เวย์เข้าไปบริหารแทนภพ ถึงแม้เวย์จะไม่เคยบริหารงานใหญ่ ๆ แต่ผมเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนเรียนรู้เร็ว และสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
เวหามองบิดาด้วยอาการงุนงน ตกใจกับคำประกาศที่เขาคาดไม่ถึง “พ่อ...”
“แกมันบ้าไปแล้วตาภาค!” ภารตรีตะเบ็งเสียง ตกตะลึงพรึงเพริดไม่ต่างกับเวหา “แกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาแกจะไปรู้อะไร ทำงานมาเป็นสิบ ๆ ปีมันก็ต้องมีบ้างที่กำไรหดหาย แกจะมามั่วว่าตาภพบริหารงานแย่ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมให้แกเอาลูกนังอรมามานั่งเชิดหน้าในบริษัทฉันเด็ดขาด!” หล่อนกราดมองภาคภูมิและเวหาด้วยสายตามาดร้ายดุดัน
“ได้สิครับทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อผมมีสิทธิ์เต็มที่ในบริษัทนี้”
“ตาภาค! นี่แกขัดคำสั่งฉันเหรอ!” ภารตรีตะโกนราวกับคนขาดสติ พุ่งเข้าใส่เวหาแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างหนาจนเซ แล้วหันไปเล่นงานกับภาคภูมิด้วยการตบตีเขาไม่ยั้งมือ “แกมันลูกชั่ว! ไอ้ลูกเลว! แกเอาทุกอย่างไปจากฉัน! ตั้งแต่แกไปอยู่กับนังดารานั่น ก็มีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นในบ้านจนฉันต้องขายขี้หน้าคนอื่นเขา!” หล่อนคร่ำครวญทั้งน้ำตา มือก็ไม่วายทำร้ายภาคภูมิที่ยืนนิ่งปล่อยให้หล่อนตบตีจนพอใจ
“ตั้งแต่บ้านจะโดนยึดฉันก็ต้องบากหน้าไปของร้องพ่อนังปิ่นมัน แล้วเป็นไง มันหลอกเอาลูกมาล้างน้ำขายอับอายคนอื่น ยังไม่พอ พ่อแกก็มาคิดสั้นฆ่าตัวตาย ปล่อยให้ฉันต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียว!” ภารตรีเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ หล่อนใช้มือจิกทึ้งหัวตัวเอง น้ำตาไหลพราก ก่อนจะชี้นิ้วสั่นระริกไปที่ภาคภูมิ
“แล้วแกล่ะ แกช่วยอะไรฉันบ้างไหมนอกจากคร่ำครวญจะเป็นจะตายไปหานังดารานั่น! แล้วตอนนี้ฉันสร้างทุกอย่างให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วแกถือสิทธิ์อะไรมาเอาไปจากฉัน แกมีสิทธิ์อะไร ห๊ะ ตาภาค!”
ภารตรีกรีดร้องในตอนท้ายลั่นก่อนจะทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ระเบิดโทสะอย่างคนโกรธจัด ตีอกชกหัวตัวเอง จนแม่บ้านต้องรีบเข้ามาช่วยห้ามปราม
ภาคภูมิน้ำตาคลอ เขารู้ตัวว่าไม่ใช่ลูกชายที่ดีสักเท่าไร ทุกครั้งที่ท่านขออะไรเขาจึงไม่อยากขัดใจ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่เขาจะขอร้องจากมารดา
เขาคุกเข่าก้มตัวลง และยกมือไหว้กราบแทบเท้าภารตรี “ผมขอโทษครับแม่...”
“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากแก!” ภารตรีผลักไหล่ภาคภูมิออกห่าง “และฉันก็จะไม่ยอมให้ลูกชายนอกคอกของแกได้มาทำงานที่บริษัทฉัน คอยดูนะ ฉันจะไปบอกประธานบอร์ดบริษัทให้หมดเลยว่าแกมันบ้า สมองเลอะเลือนจนเอาใครที่ไหนไม่รู้มาทำงาน!” หล่อนตะเบ็งเสียงใส่หน้าลูกชายจนคอแหบแห้ง ปากยังพร่ำพึมพำด่าว่าไม่ยอมหยุด
ภาคภูมิมองมารดาด้วยความระอาใจ หูของเขาอื้ออึ้งกับคำดุด่าที่ฟังมานับครั้งไม่ทวนจนมันชาชินไปถึงหัวใจเขาเสียแล้ว
“คราวนี้...ผมคงต้องขัดคำสั่งแม่จริง ๆ สักครั้ง เชื่อผมเถอะครับว่าสิ่งที่ผมทำมันดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว เรื่องบริษัทผมรับรองได้ว่าเวย์จะดูแลอย่างเต็มที่ และแม่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ ผมจะจัดการให้เวย์โอนเงินเข้าบัญชีแม่ทุกเดือน ถ้าแม่ไม่พอใช้ก็แจ้งกับเลขาของเวย์ได้เลย ส่วนภพ ผมจะช่วยดันให้เขาได้ดิบได้ดีทางการเมือง ภพเขาชอบเด่นชอบดังไม่ชอบที่จะมานั่งประจำตำแหน่งเฉย ๆ หรอกครับ” ภาคภูมิตัดสินใจให้ทุกคนเสร็จสรรพ เขาขยับตัวพยายามจะเข้าไปช่วยมารดาให้ลุกขึ้น แต่ภารตรีปัดมือเขาออกแล้วกรีดร้องใส่ราวกับคนบ้า
“แกทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้นะตาภาค ฉันไม่ยอม!” พูดเสร็จ หล่อนก็ผลักแม่บ้านที่ประคองอยู่จนกระเด็น แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน ฉวยของที่อยู่ใกล้มือที่สุด เป็นรูปสลักม้าไม้ ยกมันขึ้นสูง ภาคภูมิรีบวิ่งเข้าไปร้องห้าม แต่ไม่ทันหล่อนที่ปารูปปั้นนั้นลงพื้นแตกกระจายกลายเป็นเศษไม้
“แกไม่ฟังฉันใช่ไหม ด๊ายย ฉันจะอาละวาดให้บ้านแตก ฉันจะทำลายของในบ้านนี้ให้มันพังให้หมดไม่เหลืออะไรเลย! ดูซิว่าแกยังจะดื้อด้านไม่ยอมฉันอีกไหม!” หล่อนเดินอาด ๆ จะไปหยิบแจกันดอกไม้ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าห้องรับแขก หล่อนยกมันขึ้นมาถือไว้
“แม่ครับ พอเถอะครับ!” ภาคภูมิร้องบอก รีบเดินเข้าไปห้าม มีเวหา แม่บ้านและเด็กรับใช้วิ่งตามเข้ามา
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” ภารตรียกแจกันค้างเอาไว้ มองกราดทุกคนด้วยสายตาวาวโรจน์
“แม่อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมไม่ใช่คนเดิมที่จะคอยตามใจแม่อีกแล้ว วันนี้ผมพูดคำไหนคำนั้น แม่เปลี่ยนใจผมไมได้หรอกครับ” ภาคภูมิบอกด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
เวหาพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าดูแล้วว่าบิดาคงจะอดกลั้นเต็มทีกับการที่ต้องทนทำตามคำสั่งของคุณย่า ไม่ว่าท่านจะต่อรองด้วยวิธีไหนก็ไม่ทำให้บิดาเขาล้มเลิกความตั้งใจได้ แต่ยิ่งทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้ เหตุการณ์ก็ดูจะยิ่งเลวร้ายกว่าเก่า ซึ่งถ้าเขายังปล่อยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองอยู่แบบนี้ คงได้มีข้าวของอีกหลายอย่างเสียหายเป็นแน่
“คุณย่าใจเย็น ๆ ก่อนเถอะครับ แจกันที่คุณย่าถืออยู่คงแพงน่าดู ถ้าคุณย่าโยนมันทิ้งไปคงเสียดายแย่” เวหาเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ
ภารตรีสะดุ้งหันไปมอง สายตาหวาดระแวง “แกยุ่งอะไรด้วย ของของฉัน ไม่ใช่ของของแก!”
“เวย์..เดี๋ยวพ่อคุยเองดีกว่าลูก” ภาคภูมิกระซิบบอก
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมรู้ว่าต้องทำยังไง” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปที่ภารตรี แล้วถอนหายใจยาวพลางเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ
“เอาอย่างนี้ดีกว่าไหมครับคุณย่า เรื่องบริษัท ความจริงผมก็เพิ่งจะรู้จากพ่อวันนี้เหมือนกัน บอกตามตรง ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะดูแลบริษัทใหญ่โตแบบนั้นได้ เพราะผมก็ทำเป็นแต่งานนายแบบ ไม่เคยรู้หรอกว่าการทำงานในบริษัทเนี่ยต้องทำอะไรบ้าง” เวหายักไหล่
“ก็อย่างที่คุณย่าว่านั่นแหล่ะครับ ผู้บริหารที่ไหนเขาจะยอมรับคนอย่างผมไปทำงานตำแหน่งใหญ่ๆกัน”
“เวย์ แต่พ่อตั้งใจไว้แล้วนะลูก” ภาคภูมิร้องท้วง
“แต่ผมคิดว่าข้อเสนอนี้ผมคงรับไว้ไม่ได้ ผมต้องขอโทษพ่อจริง ๆ ครับ”
จบประโยค ภารตรีก็หัวเราะร่วน วางแจกันที่อยู่ในมือกลับคืนที่เดิม “โธ่ตาภาค อยากจะยกสมบัติให้กันแล้วทำไมไม่คุยกันให้เรียบร้อยมาก่อนเล่า” หล่อนเบ้ปาก “หึ แต่ก็ดี...ฉันจะได้ไม่ต้องออกแรงมาก”
ภาคภูมิสีหน้าเคร่งเครียด กำลังจะเถียงกลับมารดาแต่เวหาแทรกขึ้นมาก่อน
“ทีนี้คุณย่าก็สบายใจแล้วนะครับ” เวหายิ้มให้ภารตรี ก่อนจะหันไปบอกบิดา “เราไปเก็บของกันเถอะครับพ่อ ชักช้าเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”
ภาคภูมิพ่นลมหายใจหงุดหงิด คิ้วขมวดชนกันเพราะความขัดใจ เขาอยากจะแย้งและตกลงกับมารดากันตรงนี้ให้จบ แต่พอเห็นสายตาและอาการส่ายศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงปรามของลูกชาย เขาก็ไหล่ตก จำใจพยักหน้าเดินนำเวหาไปด้านบนที่เป็นทางสู่ห้องนอนของเขา
“เก็บของตัวเองไปให้หมดแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้านะไอ้ลูกไม่รักดี!”
“เวย์ ทำไมเวย์ถึงปฎิเสธไม่ไปทำงานที่บริษัทล่ะ จริง ๆ เวย์ไม่ต้องกังวลเรื่องงานนะ เพราะพ่อเตรียมคนที่จะช่วยสอนงานเวย์ไว้แล้ว พ่อเชื่อว่าเก่ง ๆ อย่างเวย์ ใช้เวลาไม่นานก็เรียนรู้งานได้แล้ว” ภาคภูมิพยายามเกลี่ยกล่อมเวหาเมื่อเดินเข้ามาในห้องนอนของตนเอง
เวหายังคงทำตัวตามสบาย มองไปรอบห้องที่ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนกับมีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน “พ่อไว้ใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับว่าผมจะทำมันได้”
ภาคภูมิตบไหล่ลูกชาย แววตาเป็นประกายเชื่อมั่น “อย่างน้อยพ่อก็เลี้ยงเวย์มาจนอายุเจ็ดขวบ ถึงตอนนั้นเวย์จะอายุยังน้อย แต่ความตั้งใจและใฝ่เรียนของเวย์มีมากมายจนพ่อรู้ว่าเวย์ต้องทำงานใหญ่ได้ และตอนนี้ เวย์โตเป็นผู้ใหญ่ ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจของเวย์ มันคือบุคลิกของผู้นำ ที่พ่อคิดดีแล้วว่าเวย์เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด!”
ภาคภูมิมีสีหน้าจริงจัง เขาบีบไหล่ลูกชายราวกับจะย้ำคำพูดของตนเอง “ขอให้พ่อได้ทำอะไรเพื่อเวย์บ้างนะลูก ถ้าเวย์ไม่รับข้อเสนอนี้...พ่อคงนอนตายตาไม่หลับและคงรู้สึกผิดต่อแม่ไปจนวันตาย..”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ โอชิน จุดจบคุณย่าก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่สุดท้ายก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวไม่เหลือใคร เพราะถ้าจัดเต็มกลัวจะดราม่ายาว อิอิ
คุณ lamyong ใคร ใครหั่นหอมแถวนี้คะ ไม่มี๊ คริคริ
เหลือแค่บทส่งท้ายที่จะลงวันพุธนี้ เวย์กับปริมก็จะจบบริบูรณ์แล้วนะคะ ช่วงหลังดราม่าหนักมากเขียนไปน้ำตาซึมไปเพราะอินจัดก็มีค่ะ ฮ่าๆๆๆ
แล้วพบกันวันพุุธค่า คืนนี้ขอตัวไปนอนก่อน ราตรีสวัสดิ์ฝันดีทุกท่านนะคะ ^_<
เพียงใจปรารถนา ตอนที่ 40
“ตอนนี้แผลเริ่มแห้งติดกันแล้ว หมอว่าอีกสองอาทิตย์ก็น่าจะตัดไหมได้ ถ้ายังไงวันนัดหมอจะดูอาการอีกที แต่คิดว่าไม่มีปัญหาอะไรนะครับ” คุณหมอยิ้มตอบพลางเขียนข้อมูลคนไข้ลงบนแฟ้มประวัติ
“ขอบคุณมากครับหมอ” ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณ หันไปยิ้มให้กับเวหา รวมถึงปวราและปริญดาที่รอฟังผลพร้อมกันอยู่ที่ห้องพัก
“ส่วนเรื่องที่คนไข้ต้องการออกจากโรงพยาบาล หมอดูจากรายงานผลการตรวจแล้วคนไข้มีสภาพจิตใจที่ดีขึ้นมาก ร่าเริงแล้วก็หัวเราะมากขึ้น มีการตอบสนองกับคนรอบข้าง ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่คนไข้จะหายขาดจากโรคซึมเศร้า และหมอก็เห็นว่าน่าจะดีกว่าถ้าคนไข้ได้กลับไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง วันนี้หมอเลยอนุญาติให้กลับบ้านได้ครับ”
ภาคภูมิยิ้มตื่นเต้นดีใจ เบื่อเต็มทีกับการอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ถูกมัดมือมัดเท้ามานานหลายปี ตั้งแต่วันนี้เขาจะได้เป็นอิสระกลับไปอยู่กับครอบครัวที่จะมีลูกชายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นหมอขอตัวก่อนนะครับ ผมขออวยพรให้คนไข้มีความสุขกับชีวิตใหม่ที่ไม่ต้องเอาแต่คิดเรื่องฆ่าตัวตายอีกแล้ว...” คุณหมอยื่นแฟ้มประวัติให้พยาบาลที่ยืนข้าง ๆ แล้วเอามือล้วงกระเป๋ามองคนไข้ที่เขารักษาด้วยความภูมิใจ “โชคดีนะครับ เจอกันอีกทีวันนัดตัดไหม ผมขอตัวก่อน”
ทุกคนยกมือไหว้บอกลาและขอบคุณคุณหมอ เมื่อทั้งพยาบาลและคุณหมอเดินออกจากห้องไป ปวราก็น้ำตาไหลทันที
“อ้าวปิ่น คุณร้องไห้ทำไม ไม่ดีใจเหรอที่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” ภาคภูมิขมวดคิ้วถาม
ปวราปาดน้ำตาแล้วยิ้ม “ที่ร้องไห้เพราะดีใจต่างหากล่ะคะ ในที่สุดคุณคนเดิมก็กลับมา เราจะได้กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีก”
ปริญดาเห็นมารดาร้องไห้เธอก็อดร้องตามไปด้วยไม่ได้ “หนูก็ดีใจค่ะที่พ่อจะได้ออกจากโรงพยาบาลเสียที คราวนี้ปริมจะพาพ่อไปเที่ยวทะเลทุกอาทิตย์อย่างที่พ่อชอบโดยไม่ต้องขออนุญาตหมออีกแล้ว” เธอยิ้มทั้งน้ำตา มองบิดาที่มีสีหน้าเบิกบานแล้วก็เป็นสุข
“ผู้หญิงนี่ขี้แยจังเลยเวย์ว่าไหมลูก” ภาคภูมิหัวเราะขำยอกล้อกับเวหา
“นั่นน่ะสิครับ” เวหาตอบพลางเดินเข้าไปโอบเอวปริญดาที่ท้องเริ่มนูนเห็นชัดเจน “ทั้งขี้แย ขี้โมโห ขี้งอน ขี้บ่น สารพัดจะ....โอ๊ย” เวหาร้องครางเมื่อโดนถองท้องเข้าให้ แต่ไม่นานก็ยิ้มทะเล้นเห็นฟันขาว “แต่ผมก็รักผู้หญิงขี้แยคนนี้ของผมนะ”
ปริญดาหน้าแดงซ่านขึ้นมาทันที ด้วยความอายจัดที่โดนแซวต่อหน้าบิดาและมารดาเธอจึงแกล้งถองท้องเขาให้อีกที “คนบ้า”
เวหาทำทีโอดโอย ทำตาออดอ้อนซบศรีษะลงบนบ่าปริญดา หญิงสาวยิ่งอายหนัก เธอดึงมือของเวหาที่เอวตนเองออก แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อย จนทั้งสองยื้อยุดฉุดกันไปมา จากน้ำเสียงหงุดหงิดทีเล่นทีจริงของหญิงสาว กลายเป็นเสียงหัวเราะของทั้งคู่ที่ทำเอาคนแก่อย่างภาคภูมิและปวราอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้
ภาคภูมิถอนหายใจ มองเวหาและปริญดายอกล้อกันด้วยความสุข และจังหวะนั้นเอง สายตาของเขาก็สบประสานกับปวราที่กำลังมองทั้งคู่อยู่เช่นกัน เขาคลี่ยิ้มให้หล่อน ซึ่หล่อนก็ยิ้มตอบกลับมา สายตาของทั้งคู่ยังคงจ้องมองกันและกันอยู่อย่างนั้น จนเวหาที่พูดขึ้นมาว่าให้เขาไปจัดเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาถึงละสายตามาได้ ใจของเขาเต้นตึกตัก รู้สึกเขินอายที่จ้องมองปวราไปแบบนั้น ซึ่งดูท่าหล่อนเองก็มีอาการเคอะเขินไม่ต่างกัน
“ผมกับปริมจะไปจัดการเรื่องค่าใช้จ่าย ยังไงผมฝากพ่อด้วยนะครับ” เวหาพูดกับปวราที่ตอบรับแบบอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ก่อนจะหันไปยิ้มและขยิบตาให้บิดาที่ทำหน้างง ๆ แล้วเวหาก็เดินประคองปริญดาออกจากห้องไป ทิ้งให้ผู้ใหญ่สองคนได้มีโอกาสได้อยู่ด้วยคุยกันตามลำพัง
“ขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ที่ผ่านมาคุณย่าจะช่วยออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องท่านก็ตัดหางปล่อยวัดพวกเรากลายเป็นว่าพ่อก็โดนไปด้วย” ปริญดามีสีหน้าขอโทษขอโพยหลังจากที่เวหาจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เวหาปัดปอยผมไปทัดหูหญิงสาว หยิกแก้มเบา ๆ ด้วยอาการหมั่นเขี้ยวจนหญิงสาวร้องคราง แล้วยิ้มขำ “คุณนี่ก็แปลก เขาก็พ่อผมเหมือนกัน ไม่เห็นจะต้องมาขอบคุณอะไรเลย”
ปริญดาลูบแก้มปอย ๆ “ฉันรู้ค่ะ แต่แค่ฉันรู้สึกไม่ดี ที่คุณเพิ่งเจอพ่อได้ไม่ถึงอาทิตย์ แต่ก็ต้องมาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายตั้งมากมาย ทั้งที่ควรเป็นฉันมากกว่าที่ต้องรับผิดชอบ”
“คุณนี่คิดมาก คิดเยอะ บางทีก็คิดเลอะเทอะ...โอ๊ย อีกแล้วนะปริม” เขาจับต้นแขนจุดที่เธอฟาดมือลงมา
“สมควรแล้วนี่ ชอบพูดว่ากันดีนัก” เธอทำเบ้ปาก กอดอกมองค้อนชายหนุ่ม
“อ้อ จริงสิ” ปุบปับปริญดาก็นึกขึ้นได้ “เรื่องที่คุณกับพ่อจะกลับไปคุยกับคุณย่า...คุณแน่ใจนะคะว่าคิดดีแล้วที่ให้พ่อไปแบบนั้น ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณย่าจะทำให้พ่อเครียดขึ้นมาอีก” ถึงแม้บิดาไม่ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านคุณย่าอีกต่อไป เพราะเวหาจัดแจงให้ป้าเดือนเตรียมทำความสะอาดบ้านที่กาญจนบุรีไว้เพื่อพาบิดาย้ายเข้าไปอยู่หลังจากจัดการเรื่องที่บ้านใหญ่เรียบร้อยแล้ว แต่เธอก็ยังกังวลว่าการพบกับคุณย่าในครั้งนี้จะทำให้อาการบิดาทรุดลงแล้วต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีก
สีหน้าเวหาตึงเครียด “คุณไม่ต้องห่วงหรอก คุณย่าท่าทางจะกลัวผมอยู่เหมือนกัน ถ้าผมไปด้วย ท่านคงไม่กล้าทำอะไร”
“แต่ปริมไม่ไว้ใจคุณย่าเลยค่ะ ตั้งแต่เห็นที่ท่านทำกับพ่อวันนั้น...” ปริญดารู้สึกขนลุกเกรียวเมื่อนึกถึงคำพูดและอาการเกรี้ยวกราดของภารตรี
เวหาโอบไหล่หญิงสาว ลูบต้นแขนเธอขึ้นลงให้เธอสบายใจ “ผมสัญญาว่าจะไม่ให้คุณย่าทำอะไรพ่อได้ ผมว่าดีเสียอีกที่พ่อจะได้คุยกับคุณย่าในสิ่งที่พ่ออยากพูดมานาน เคลียร์กันให้จบ คุณย่าจะได้ไม่ต้องมากวนใจพ่ออีก ต่างคนต่างอยู่ซึ่งผมว่าคุณย่าเองก็คงต้องการแบบนั้น” เขาตอบอย่างมั่นใจ แต่ปริญดาเม้มปากอย่างลังเล สุดท้าย เธอก็พยักหน้ารับ ปล่อยให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง
ภาคภูมิบิดมือบนตักไปมา สีหน้ากระวนกระวายขณะที่เวหากำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังบ้านคุณย่า
“พ่ออยากจะให้ผมพาไปวันอื่นไหมครับ” เวหาถาม เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของบิดา
“ไม่เป็นไรเวย์ พ่อตั้งใจแล้วว่าจะคุยกับท่านให้จบเรื่องไปเสียที นานแล้วที่พ่อไม่ได้จัดการอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวและปล่อยให้ท่านทำอะไรตามอำเภอใจมาตลอด” ภาคภูมิยิ้มให้ลูกชาย เอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบา ๆ “พ่อขอบใจเวย์มากนะที่มาเป็นเพื่อนพ่อ พ่อไม่อยากให้ปริมกับปิ่นเขามาเจออารมณ์ร้าย ๆ ของท่านอีก”
เวหายิ้มตอบ “ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว พ่อมีปัญหาผมก็ต้องช่วยอยู่แล้วล่ะครับ ผมว่าตอนนี้พ่อทำใจให้สบายดีกว่า”
ความสุขล้นปรี่เอ่อท่วมใจภาคภูมิกับคำว่า ‘ครอบครัว’ ที่เขาไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน เมื่อเวหากลับเข้ามาในชีวิตเขาอีกครั้ง ความทุกข์ตรมที่บั่นทอนจิตใจเพราะความเศร้าที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปมลายหายสิ้น เขายังจำประโยคเปลี่ยนชีวิตที่เวหาบอกกับเขาได้ขึ้นใจ
‘พ่อคือพ่อของผม ผมรู้ตัวตลอดเวลาว่าผมรักและคิดถึงพ่อแม้จิตใจอีกด้านของผมจะบอกให้เกลียดพ่อก็ตาม...ในเมื่อวันนี้ผมรู้แล้วว่าพ่อเองก็รักและคิดถึงผมมากแค่ไหน ทำไมผมถึงจะต้องโกหกตัวเองว่าเกลียดพ่ออยู่อีกล่ะครับ...’
ในคืนนั้นหลังจากที่เขาและเวหาปรับความเข้าใจกัน เขาก็ฝันถึงกชอรเหมือนทุก ๆ คืน แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ในฝันที่เคยเห็นแต่กชอรกำลังร้องไห้คร่ำครวญแทบขาดใจก่อนจะกรีดข้อมือตัวเอง คืนนั้นเขาฝันว่ากชอรเดินเข้ามากอดเขาแน่น รอยยิ้มแต้มบนริมฝีปากบางสวย ทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน ยิ้มให้กัน ก่อนที่กชอรจะเดินลับหายไป แต่เขายังได้ยินเสียงหวานของเธอดังมาจากที่ไกล ๆ ว่า ฉันรักคุณ...
ภาคภูมิเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงฝันนั้น เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มได้เมื่อนึกถึงกชอรในฝัน ความรู้สึกเขาได้เปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่พบลูกชาย กรชอรจะยังคงอยู่ในหัวใจเขาเสมอ แต่เขาจะไม่จมอยู่กับความทุกข์เหมือนทุกครั้ง เขาจะยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อใดก็ตามที่คิดถึงกชอร
เขาเอนหลังพิงพนักเบาะรถ หลับตาและผ่อนลมหายใจยาว เมื่อลืมตาขึ้นมา เขามองจ้องไปยังถนนด้านหน้าด้วยแววตามุ่งมั่น พยายามบอกตัวเองว่าทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ตอนนี้เขาได้ลูกชายกลับคืนมา และกำลังจะแต่งงานกับลูกสาวบุญธรรมที่เขารักเหมือนลูกแท้ ๆ เขาจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ไม่ต้องเกรงใจมารดาอีกต่อไป เขากำลังจะมีชีวิตใหม่และละทิ้งอดีตที่เจ็บปวดไว้ข้างหลังไปตลอดกาล
“พ่อว่าคุณย่าจะอยู่บ้านไหมครับ ทำไมบ้านดูเงียบ ๆ จัง” เวหามองประตูบ้านเหล็กที่ปิดทึบมองไม่เห็นด้านในผ่านกระจกรถ เขาขับมาถึงได้สักพักแล้ว แต่ยังลังเลไม่แน่ใจ
ภาคภูมิมองดูนาฬิกาข้อมือสีทองที่เวหาให้เขาคืนมา “เวลานี้ท่านไม่ไปไหนหรอก พ่อว่าเราเข้าไปกันเถอะ ถ้าท่านไม่อยู่เราก็ค่อยมาวันหลัง”
เวหาพยักหน้ารับ แล้วล้วงหยิบรีโมทประตูบ้านที่ปริญดาให้เขาเอาไว้ “หวังว่ามันยังคงใช้ได้อยู่นะ” เขาพึมพำก่อนจะยื่นรีโมทไปที่ประตูแล้วกดปุ่มเปิด ไม่นาน ประตูเหล็กบานใหญ่ก็ค่อย ๆ เลื่อนเปิดออกช้า ๆ เสียงดังเอี๊ยดอ๊าดบอกถึงความเก่าของประตูว่าอยู่คู่บ้านหลังนี้มานานหลายปี
ภาพบ้านสีครีมซีด ๆ หลังใหญ่ที่มีบริเวณกว้างกินเนื้อที่น่าจะหลายไร่ปรากฎแก่สายตาเวหา ทางเข้าสู่ตัวบ้านที่ไม่ไกลนักทำให้เขาเห็นสภาพโดยรวมของบ้านและสรุปได้ว่าเจ้าของไม่ค่อยใส่ใจที่จะปรับปรุงบ้านเท่าไร ผิดกับต้นไม้ดอกไม้ในสวนหน้าบ้านนานาชนิดที่ออกดอกออกใบสวยงามสร้างบรรยากาศให้บ้านนี้พอน่าอยู่ขึ้นบ้าง
เวหาขับรถเข้าสู่ตัวบ้าน รับรู้ถึงคนข้าง ๆ ที่นั่งนิ่งเงียบไม่เคลื่อนไหว เขาหันไปมองก็เห็นใบหน้าที่เครียดขึงขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่มีอะไรต้องเครียดครับพ่อ ผมอยู่ด้วยทั้งคน” เขาพูดให้บิดาคลายกังวล
ภาคภูมิฝืนยิ้ม “พ่อแค่ห่วงว่าท่านอาจจะไม่ยอมตกลงกับสิ่งที่พ่อจะคุยวันนี้”
“ต้องลองดูครับ แต่ผมไม่อยากให้พ่อกลัวคุณย่ามากเกินไปจนไม่กล้าทำในสิ่งที่พ่อต้องการ”
ภาคภูมิพยักหน้า สูดหายใจเข้าลึก “ตกลงลูก งั้นเราเข้าไปกันเถอะ พ่อเองก็อยากคุยให้มันจบ ๆ ไปซะที”
ทั้งสองคนก้าวลงจากรถ ตอนนั้น เด็กรับใช้ที่เคยไปกับภารตรีที่โรงพยาบาลก็เดินลงบันไดบ้านมา พอเธอเห็นภาคภูมิก็ถึงกับผงะตาโต อ้าปากค้าง เดินเงอะ ๆ งะ ๆ เข้ามาหา
“คะ...คุณมาหาคุณท่านหรือคะ” น้ำเสียงออกไม่สู้ดี
“ใช่ คุณแม่อยู่ไหม”
“เอ่อ...ยะ อยู่ค่ะ แต่ว่า...” ตอบไม่เต็มคำ หันหลังมองเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็หน้าซีด
“ใครมาน่ะเปีย” แม่บ้านที่เดินตามออกมาดูเอ่ยถาม พอเห็นว่าเป็นใครก็แทบเข่าอ่อน น้ำตาเออคลอ แล้วเดินแกมวิ่งไปหาภาคภูมิ
“คุณภาค นี่คุณภาคจริง ๆ เหรอคะเนี่ย” แม่บ้านน้ำตาไหล ดีใจที่เห็นหน้าภาคภูมิที่หล่อนไม่คิดว่าจะได้เจอะเจอเขาอีก
“นวลใช่ไหม นี่ยังเป็นแม่บ้านที่นี่อยู่อีกเหรอ ฉันนึกว่าเธอลาออกไปนานแล้วซะอีก” ภาคภูมิจำหล่อนได้ หล่อนเข้ามาทำงานได้สองปีก่อนที่เขาจะย้ายไปอยู่ที่โรงพยาบาล
“นวลลาออกไปก็ไม่รู้จะทำอะไร อยู่ที่นี่คุณท่านก็ดูแลพวกเราดีอยู่แล้ว” พูดไปน้ำตาไหลไป “แล้วนี่คุณภาคออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอคะ อย่างนี้คุณภาคก็จะกลับมาอยู่ที่บ้านถาวรแล้วสิคะ” ถามอย่างตื่นเต้น
“เปล่าหรอก ฉันกลับมาเก็บของน่ะ ฉันจะย้ายไปอยู่กับลูกชาย วันนี้เลยมาลาคุณแม่เท่านั้นเอง”
แม่บ้านทำหน้าตกใจ “ลูกชายเหรอคะ” แล้วมองไปที่เวหาซึ่งพงกหัวรับเป็นเชิงทักทาย
“เปีย! เปีย! หายหัวไปไหนของแกห๊ะ!” เสียงวางอำนาจที่ตะโกนเรียกลั่นบ้านดังออกด้านนอกทำเอาเจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงสุดตัว
“ซวยอีกแล้วกู” เด็กรับใช้ชื่อเปียพึมพำปาดเหงื่อ ทำหน้าพะอืดพะอมแล้วตะโกนตอบ “ค่า เปียอยู่นี่ค่า” เด็กสาวรีบวิ่งขึ้นบันไดจะเข้าบ้านแต่ก็เกือบชนกับภารตรีที่เดินออกมาพอดี
“เดินให้มันระวังหน่อยสินังนี่!” ภารตรีตวาด ผลักศีรษะของเด็กรับใช้อย่างแรงจนแทบหงายหลัง
“หนูขอโทษค่ะคุณท่าน” เด็กสาวระล่ำระลักยกมือไหว้ขอโทษ
ภาคภูมิถอนหายใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร มารดาเขาก็ไม่เคยเลิกนิสัยกดหัวคนอื่นเสียที
“สวัสดีครับคุณแม่” ภาคภูมิเอ่ยทักทายเสียงหนักแน่น เมื่อภารตรีหันหน้ามาทางเขา หล่อนก็ตกใจแทบสิ้นสติ พอมองไปที่เวหา สีหน้าก็ซีดเผือดผงะถอยหลังรอตั้งรับ
“นี่แก...แกออกจากโรงพยาบาลมาตั้งแต่เมื่อไร”
“สองวันได้แล้วครับ” เขาพูดพลางเดินก้าวขึ้นบันไดบ้านช้า ๆ “วันนี้ผมตั้งใจมาคุยกับคุณแม่หลายเรื่อง เสร็จธุระแล้วผมก็จะเก็บข้าวของของผมออกไป เพราะตั้งใจว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น”
ภารตรีก้าวถอยหลังตามจังหวะที่ภาคภูมิก้าวขึ้นบันไดมา ซึ่งเวหาก็เดินตามขึ้นมาด้วย สายตาแข็งกร้าวที่ดูไม่อ่อนแอเหมือนทุกครั้งของภาคภูมิทำเอาหัวใจหล่อนกระตุกวูบ
“กะ แกจะไปอยู่ที่ไหนก็เชิญ แต่ฉันไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับแกหรอกนะ” หล่อนปฎิเสธทั้งที่จริงแล้วหล่อนมีเรื่องที่ต้องการให้ลูกชายเซ็นเอกสารยินยอมมอบที่ดินให้ แต่เมื่อเห็นท่าทางขึงขังบวกกับตอนนี้ที่มีเวหายืนกันท่าอยู่ไม่ห่าง หล่อนก็ลงความเห็นว่าต้องยกยอดไปก่อน
“ไม่ครับ ผมต้องการคุยให้จบวันนี้” ภาคภูมิเห็นท่าทางกริ่งเกรงของมารดาไม่กล้าโวยวายเหมือนทุกทีก็ทำให้เขากล้าเผชิญหน้ามากขึ้น “ผมใช้เวลาไม่นาน เสร็จแล้วผมจะไปให้ไกล ไม่ให้คุณแม่ต้องรำคาญใจอีก”
“วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับแกทั้งนั้น อยากจะไปเก็บของอะไรของแกก็ไป แต่เอาของของแกไปอย่างเดียวนะ ของในบ้านนี้แกไม่มีสิทธิ์”
ภาคภูมิน้ำตาตกใน มารดาไม่เคยคิดในแง่ดีกับเขาเลยสักครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากถือสาหาความกับท่านอีก “ถึงผมจะไม่เต็มใจ แต่ถือว่าผมยกบ้านให้แม่ไปแล้ว ผมไม่เอาของของแม่ไปหรอกครับ”
ภารตรีตาลุกวาว คาดไม่ถึงว่าภาคภูมิจะต่อล้อต่อคำกับหล่อน ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าหล่อนจะพูดหรือสั่งอะไรภาคภูมิก็ไม่เคยขัดใจ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ยอมหล่อนได้ทุกครั้ง แต่พอออกจากโรงพยาบาลมาไม่นาน ภาคภูมิก็กลายเป็นคนละคน หล่อนมองไปที่เวหา และคิดว่าต้องเป็นมันที่ทำให้ลูกชายหล่อนกล้ายอกย้อนแบบนี้
“ใช่สิ ฉันเป็นแม่แกนี่ ฉันอยากได้อะไรแกก็ต้องหามาให้ บ้านหลังนี้ฉันอยากได้แกก็ต้องยกให้ฉัน!”
“ผมไมได้อยากจะคุยเรื่องที่มันผ่านไปแล้วครับแม่ วันนี้ผมต้องการจะคุยกับแม่เรื่องอื่น”
ภารตรีสะบัดหน้าหนี “ฉันบอกแล้วว่าไม่มีอารมณ์คุย!”
“แม่ไม่ต้องพูด แค่ฟังเฉย ๆ ก็พอครับ”
ภารตรีหันขวับมาที่ภาคภูมิ แววตาหล่อนวาวโรจน์ด้วยความโกรธ พอมองเลยไปที่เวหา ทำท่ายักไหล่ กระตุกยิ้มมุมปากราวกับเยาะเย้ย ทำเอาหล่อนสติขาดผึง!
“แกกล้าดียังไงมาสั่งฉัน!”
“ผมไม่อยากเถียงกับแม่นะครับ ผมจะเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน” ภาคภูมิไม่อยากเสียเวลา เพราะรู้ว่ามารดาคงจะโวยวายแบบนี้ไปเรื่อยถ้าเขาไม่พูดในสิ่งที่ต้องการเสียที “เรื่องแรก ผมรู้ว่าแม่อยากได้ที่ดินของผมเอาไปทำธุรกิจร่วมกับภพ แต่ที่ดินตรงนี้ผมตั้งใจจะเก็บไว้ปริม ถือว่าผมขอแล้วกันครับ”
ภารตรีกำหมัดแน่น ความโกรธพลุ่งพล่าน หล่อนและสมภพที่เป็นสายเลือดเดียวกันแท้ ๆ กลับไม่ให้ แต่เอาไปให้ยัยเด็กเหลือขอที่ไม่รู้ว่าแม้แต่พ่อแท้ ๆ ของตัวเองคือใคร! “นี่แกยังเห็นฉันเป็นแม่อยู่ไหม! ยัยปริมมันเลือดเนื้อเชื้อไขของแกหรือก็ไม่ใช่ แล้วยังจะเอาของของตระกูลไปประเคนให้มันอีก!” นิ้วชี้ที่สวมแหวนทับทิมเม็ดใหญ่ชี้ไปที่หน้าภาคภูมิ
“ที่ดินตรงนั้นผมเป็นคนซื้อด้วยเงินของผมเอง ผมจะให้ใครมันก็เป็นสิทธ์ของผม”
“แต่เงินที่แกซื้อมันเป็นเงินจากบริษัทฉันที่ให้เงินเดือนแก มันก็ถือเป็นเป็นสมบัติของฉันเหมือนกัน!”
ภาคภูมิถอนใจ ยิ่งพูดยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ อยากมีอยากได้จนหาเหตุผลร้อยแปดมาอ้าง เขายังแปลกใจตัวเองนักที่หลายปีก่อนหน้านั้นเขายอมตามใจมารดาจนทนไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่โรงพยาบาลได้อย่างไรกัน “แม่จะพูดยังไงก็ได้ครับ แต่เอกสารโฉนดที่ดินทุกอย่างเป็นชื่อผม ถ้าผมไม่ยินยอม แม่ก็เอาที่ดินนั้นไปไม่ได้ครับ”
ภารตรีเบ้ปาก กอดอกเชิดหน้าอย่างคนที่เหนือกว่า “แกไปนอนอยู่โรงพยาบาลตั้งหลายปี เอกสารข้าวของอยู่ที่ไหนบ้างแกจำได้เหรอไง หึ ปานนี้โดนปลวกกินไปหมดหรือยังก็ไม่รู้” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก ถึงแม้หล่อนยังไม่ได้เห็นเอกสารที่ว่านั้น แต่ก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้มันก็คงยังอยู่ที่ห้องทำงานในลิ้นชักที่ไหนสักแห่ง และหล่อนจะไม่ให้ภาคภูมิเข้าไปเอาได้อย่างแน่นอน
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงครับ ตอนปิ่นเขาโดนคุณแม่ไล่ออกจากบ้าน ปิ่นเก็บเอกสารสำคัญทุกอย่างของผมออกมาด้วย ผมเช็คดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะโดนปลวกกินเหมือนที่คุณแม่ว่านะครับ”
“กรี๊ดดด!” เสียงกรีดร้องอันแสบแก้วหูของภารตรีดังไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกตะลึงกับความโมโหร้ายของภารตรี
“ไอ้ลูกไม่รักดี!” ภารตรีตะโกนลั่นแล้วปราดเข้ามาหาภาคภูมิพร้อมกับฟาดมือลงที่ใบหน้าซูบผอมของเขาเต็มแรงจนหน้าหัน
“หยุดนะ!” เวหาเข้ามาขวาง สายตาดุดันจ้องไปที่ภารตรีจนหล่อนหยุดมือยกค้างไว้กลางอากาศ “ถ้าคุณย่าทำอะไรพ่ออีก
แม้แต่ปลายเล็บล่ะก็...”
“ทำไม แกจะมีปัญญาทำอะไรฉัน! แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าย่า ฉันไม่ใช่ย่าแก!”
เวหาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อกดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ กรามแข็งแรงนูนแน่น สะกดตัวเองไม่ให้ใจร้อนตอบโต้อะไรแรง ๆ ออกไป
“เวย์...ไม่เป็นไรลูก” ภาคภูมิกางมือห้าม แต่สายตามองมารดาด้วยความเหนื่อยใจ “แม่ครับ ผมขอเถอะครับ อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย วันนี้ผมมาคุยกับคุณแม่ดี ๆ...”
“ดีกับผีน่ะสิ!” หล่อนตวาดตัดบท “ฉันไม่เอาที่ดินเน่า ๆ ของแกก็ได้ จะเอาไปให้ใครหน้าไหนก็เชิญ สมใจแล้ว ทีนี้แกอยากจะไปไหนก็ไป!”
“ยังครับ ผมยังมีอีกเรื่อง” เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ภารตรีตัวสั่น ใบหน้าถมึงทึงมองลูกชายด้วยแววตาเกลียดชัง เวหาที่สังเกตุการณ์อยู่ไม่ห่างจับตามองภารตรีทุกการเคลื่อนไหว เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนเป็นแม่ที่เกลียดลูกแท้ ๆ ของตัวเองได้ลงคอเช่นคุณย่าได้อีกแล้ว ทั้งสายตา ทั้งการกระทำและคำพูด ช่างห่างไกลจากคำว่าเป็นแม่ลูกกันโดยสิ้นเชิง
“ผมรู้มาว่าตอนนี้ฐานะที่บริษัทไม่ค่อยจะดีเท่าไร ตั้งแต่คุณแม่ให้ภพเข้ามาบริหารงานแทนก็ดูเหมือนว่าจะกำไรหดหายลงไปเรื่อย ๆ ผมว่าถ้าภพเขาอยากไปเอาดีด้านการเมือง ก็ปล่อยเขาไปเถอะครับ”
ภารตรีตาโต แปลกใจที่ภาคภูมิรู้เรื่องบริษัทได้อย่างไร เพราะแม้แต่ปวราหล่อนก็ไม่เคยปริปากคุยเรื่องนี้ให้ฟัง
ภาคภูมิเหมือนจะรู้ความคิดมารดา เขาจึงตอบไขข้อข้องใจให้ท่าน “ผมให้ปิ่นหาคนเข้าไปทำงานในบริษัท แล้วก็หาทนายประจำให้ผม เพื่อที่จะช่วยดูความเคลื่อนไหวในบริษัทว่าเป็นยังไงบ้าง ถึงผมจะป่วย แต่ผมก็เป็นห่วงบริษัท เป็นห่วงแม่ ถ้าเกิดบริหารงานผิดพลาด มันก็จะกระทบกันไปหมด”
“แกถือดียังไงมายุ่งเรื่องบริษัทฉัน พอพ่อแกตาย ในพินัยกรรมก็บอกอยู่แล้วว่าบริษัทจะตกเป็นของฉัน แกไม่มีสิทธิ์มายุ่มย่ามเรื่องนี้!”
“ใช่ครับ บริษัทเป็นของแม่ แต่ในพินัยกรรมคุณพ่อเขียนไว้ว่าให้อยู่ภายใต้การดูแลของผม” เขาไม่อยากจะทำร้ายจิตใจมารดา แต่ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง บริษัทและโรงงานผลิตเหล็กเส้นที่บิดาเขาสร้างมากับมือซึ่งเหลือเพียงธุรกิจสุดท้าย คงต้องพังไม่เป็นท่าเพราะได้คนอย่างสมภพเข้าไปบริหารงาน “และบริษัทจะตกเป็นของผมโดยสมบูรณ์เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้”
“ใครบอกแก” ภารตรีลนลานบอก “ทุกวันนี้ฉันยังต้องเข้าบริษัทประจำ แกไปถามผู้บริหารคนอื่นดูก็ได้”
“แต่คนของผมบอกว่าคุณแม่เข้าบริษัทครั้งล่าสุดคือหกเดือนที่แล้ว และเป็นการเข้าไปเพื่อสละตำแหน่งประธานกรรมการให้กับภพก็เท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่าคุณแม่ยอมรับการปลดเกษียณตัวเอง เพราะฉะนั้น เมื่อคุณแม่ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำงานได้ ผมก็จำเป็นจะต้องเข้าไปบริหารงานแทน”
“ไม่ได้! น้ำหน้าอย่างแกเหรอจะทำอะไรเป็น! ป่วยจนต้องไปนอนโรงพยาบาลบ้าอยู่หลายปีแบบนั้นผู้บริหารคนอื่นเขาคงจะยอมให้แกไปนั่งทำงานหรอกนะ” ภารตรียังเถียงคอเป็นเอ็น
“ครับ ผู้บริหารดี ๆ ที่ไหนเขาจะรับผมเข้าไปทำงานกัน” ภาคภูมิหัวเราะฝืด ๆ “ผมคงไม่ได้กลับเข้าไปทำงานอย่างที่ตั้งใจไว้”
ภารตรีส่งยิ้มเห็นใจให้ลูกชาย “ให้ภพบริหารน่ะดีแล้ว ช่วงแรกก็อย่างนี้แหล่ะ เดี๋ยวพออยู่ตัวบริษัทก็มีกำไรเหมือนเดิม” แต่ภาคภูมิกลับส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมมีคนที่จะเข้าไปทำงานแทนผมในใจอยู่แล้ว”
“ใคร อย่าบอกนะว่ายัยปริม แม่จะไม่ไว้หน้าแกแน่” ภารตรีหมายหัว
“ปริมเขามีนิตสารของเขาอยู่แล้ว แกคงไม่มาหรอกครับ แต่คนที่ผมจะให้ไปทำแทน แม่วางใจได้ว่าเขาจะบริหารงานในบริษัทได้อย่างดีจนคุณแม่สามารถวางมือได้ไร้กังวล ภพเองก็จะได้เป็นนักการเมืองเต็มตัว” พูดเสร็จภาคภูมิก็หันไปยิ้มให้เวหา โอบไหล่กว้างของลูกใจด้วยความภูมิใจ
“ผมจะให้เวย์เข้าไปบริหารแทนภพ ถึงแม้เวย์จะไม่เคยบริหารงานใหญ่ ๆ แต่ผมเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนเรียนรู้เร็ว และสามารถทำงานในตำแหน่งนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง”
เวหามองบิดาด้วยอาการงุนงน ตกใจกับคำประกาศที่เขาคาดไม่ถึง “พ่อ...”
“แกมันบ้าไปแล้วตาภาค!” ภารตรีตะเบ็งเสียง ตกตะลึงพรึงเพริดไม่ต่างกับเวหา “แกเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาแกจะไปรู้อะไร ทำงานมาเป็นสิบ ๆ ปีมันก็ต้องมีบ้างที่กำไรหดหาย แกจะมามั่วว่าตาภพบริหารงานแย่ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมให้แกเอาลูกนังอรมามานั่งเชิดหน้าในบริษัทฉันเด็ดขาด!” หล่อนกราดมองภาคภูมิและเวหาด้วยสายตามาดร้ายดุดัน
“ได้สิครับทำไมจะไม่ได้ ในเมื่อผมมีสิทธิ์เต็มที่ในบริษัทนี้”
“ตาภาค! นี่แกขัดคำสั่งฉันเหรอ!” ภารตรีตะโกนราวกับคนขาดสติ พุ่งเข้าใส่เวหาแล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักร่างหนาจนเซ แล้วหันไปเล่นงานกับภาคภูมิด้วยการตบตีเขาไม่ยั้งมือ “แกมันลูกชั่ว! ไอ้ลูกเลว! แกเอาทุกอย่างไปจากฉัน! ตั้งแต่แกไปอยู่กับนังดารานั่น ก็มีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นในบ้านจนฉันต้องขายขี้หน้าคนอื่นเขา!” หล่อนคร่ำครวญทั้งน้ำตา มือก็ไม่วายทำร้ายภาคภูมิที่ยืนนิ่งปล่อยให้หล่อนตบตีจนพอใจ
“ตั้งแต่บ้านจะโดนยึดฉันก็ต้องบากหน้าไปของร้องพ่อนังปิ่นมัน แล้วเป็นไง มันหลอกเอาลูกมาล้างน้ำขายอับอายคนอื่น ยังไม่พอ พ่อแกก็มาคิดสั้นฆ่าตัวตาย ปล่อยให้ฉันต้องแบกรับภาระอยู่คนเดียว!” ภารตรีเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ หล่อนใช้มือจิกทึ้งหัวตัวเอง น้ำตาไหลพราก ก่อนจะชี้นิ้วสั่นระริกไปที่ภาคภูมิ
“แล้วแกล่ะ แกช่วยอะไรฉันบ้างไหมนอกจากคร่ำครวญจะเป็นจะตายไปหานังดารานั่น! แล้วตอนนี้ฉันสร้างทุกอย่างให้มันกลับมาเป็นเหมือนเดิม แล้วแกถือสิทธิ์อะไรมาเอาไปจากฉัน แกมีสิทธิ์อะไร ห๊ะ ตาภาค!”
ภารตรีกรีดร้องในตอนท้ายลั่นก่อนจะทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น ระเบิดโทสะอย่างคนโกรธจัด ตีอกชกหัวตัวเอง จนแม่บ้านต้องรีบเข้ามาช่วยห้ามปราม
ภาคภูมิน้ำตาคลอ เขารู้ตัวว่าไม่ใช่ลูกชายที่ดีสักเท่าไร ทุกครั้งที่ท่านขออะไรเขาจึงไม่อยากขัดใจ แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่เขาจะขอร้องจากมารดา
เขาคุกเข่าก้มตัวลง และยกมือไหว้กราบแทบเท้าภารตรี “ผมขอโทษครับแม่...”
“ฉันไม่ต้องการคำขอโทษจากแก!” ภารตรีผลักไหล่ภาคภูมิออกห่าง “และฉันก็จะไม่ยอมให้ลูกชายนอกคอกของแกได้มาทำงานที่บริษัทฉัน คอยดูนะ ฉันจะไปบอกประธานบอร์ดบริษัทให้หมดเลยว่าแกมันบ้า สมองเลอะเลือนจนเอาใครที่ไหนไม่รู้มาทำงาน!” หล่อนตะเบ็งเสียงใส่หน้าลูกชายจนคอแหบแห้ง ปากยังพร่ำพึมพำด่าว่าไม่ยอมหยุด
ภาคภูมิมองมารดาด้วยความระอาใจ หูของเขาอื้ออึ้งกับคำดุด่าที่ฟังมานับครั้งไม่ทวนจนมันชาชินไปถึงหัวใจเขาเสียแล้ว
“คราวนี้...ผมคงต้องขัดคำสั่งแม่จริง ๆ สักครั้ง เชื่อผมเถอะครับว่าสิ่งที่ผมทำมันดีที่สุดสำหรับทุกคนแล้ว เรื่องบริษัทผมรับรองได้ว่าเวย์จะดูแลอย่างเต็มที่ และแม่ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายนะครับ ผมจะจัดการให้เวย์โอนเงินเข้าบัญชีแม่ทุกเดือน ถ้าแม่ไม่พอใช้ก็แจ้งกับเลขาของเวย์ได้เลย ส่วนภพ ผมจะช่วยดันให้เขาได้ดิบได้ดีทางการเมือง ภพเขาชอบเด่นชอบดังไม่ชอบที่จะมานั่งประจำตำแหน่งเฉย ๆ หรอกครับ” ภาคภูมิตัดสินใจให้ทุกคนเสร็จสรรพ เขาขยับตัวพยายามจะเข้าไปช่วยมารดาให้ลุกขึ้น แต่ภารตรีปัดมือเขาออกแล้วกรีดร้องใส่ราวกับคนบ้า
“แกทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้นะตาภาค ฉันไม่ยอม!” พูดเสร็จ หล่อนก็ผลักแม่บ้านที่ประคองอยู่จนกระเด็น แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน ฉวยของที่อยู่ใกล้มือที่สุด เป็นรูปสลักม้าไม้ ยกมันขึ้นสูง ภาคภูมิรีบวิ่งเข้าไปร้องห้าม แต่ไม่ทันหล่อนที่ปารูปปั้นนั้นลงพื้นแตกกระจายกลายเป็นเศษไม้
“แกไม่ฟังฉันใช่ไหม ด๊ายย ฉันจะอาละวาดให้บ้านแตก ฉันจะทำลายของในบ้านนี้ให้มันพังให้หมดไม่เหลืออะไรเลย! ดูซิว่าแกยังจะดื้อด้านไม่ยอมฉันอีกไหม!” หล่อนเดินอาด ๆ จะไปหยิบแจกันดอกไม้ที่วางไว้บนโต๊ะหน้าห้องรับแขก หล่อนยกมันขึ้นมาถือไว้
“แม่ครับ พอเถอะครับ!” ภาคภูมิร้องบอก รีบเดินเข้าไปห้าม มีเวหา แม่บ้านและเด็กรับใช้วิ่งตามเข้ามา
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” ภารตรียกแจกันค้างเอาไว้ มองกราดทุกคนด้วยสายตาวาวโรจน์
“แม่อย่าทำแบบนี้เลยครับ ผมไม่ใช่คนเดิมที่จะคอยตามใจแม่อีกแล้ว วันนี้ผมพูดคำไหนคำนั้น แม่เปลี่ยนใจผมไมได้หรอกครับ” ภาคภูมิบอกด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
เวหาพิจารณาสถานการณ์ตรงหน้าดูแล้วว่าบิดาคงจะอดกลั้นเต็มทีกับการที่ต้องทนทำตามคำสั่งของคุณย่า ไม่ว่าท่านจะต่อรองด้วยวิธีไหนก็ไม่ทำให้บิดาเขาล้มเลิกความตั้งใจได้ แต่ยิ่งทั้งคู่ตกลงกันไม่ได้ เหตุการณ์ก็ดูจะยิ่งเลวร้ายกว่าเก่า ซึ่งถ้าเขายังปล่อยให้ทั้งคู่ตกลงกันเองอยู่แบบนี้ คงได้มีข้าวของอีกหลายอย่างเสียหายเป็นแน่
“คุณย่าใจเย็น ๆ ก่อนเถอะครับ แจกันที่คุณย่าถืออยู่คงแพงน่าดู ถ้าคุณย่าโยนมันทิ้งไปคงเสียดายแย่” เวหาเอ่ยน้ำเสียงเนิบนาบ
ภารตรีสะดุ้งหันไปมอง สายตาหวาดระแวง “แกยุ่งอะไรด้วย ของของฉัน ไม่ใช่ของของแก!”
“เวย์..เดี๋ยวพ่อคุยเองดีกว่าลูก” ภาคภูมิกระซิบบอก
“ไม่เป็นไรครับพ่อ ผมรู้ว่าต้องทำยังไง” เขากระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันไปที่ภารตรี แล้วถอนหายใจยาวพลางเอามือล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบาย ๆ
“เอาอย่างนี้ดีกว่าไหมครับคุณย่า เรื่องบริษัท ความจริงผมก็เพิ่งจะรู้จากพ่อวันนี้เหมือนกัน บอกตามตรง ผมเองก็ไม่มั่นใจว่าจะดูแลบริษัทใหญ่โตแบบนั้นได้ เพราะผมก็ทำเป็นแต่งานนายแบบ ไม่เคยรู้หรอกว่าการทำงานในบริษัทเนี่ยต้องทำอะไรบ้าง” เวหายักไหล่
“ก็อย่างที่คุณย่าว่านั่นแหล่ะครับ ผู้บริหารที่ไหนเขาจะยอมรับคนอย่างผมไปทำงานตำแหน่งใหญ่ๆกัน”
“เวย์ แต่พ่อตั้งใจไว้แล้วนะลูก” ภาคภูมิร้องท้วง
“แต่ผมคิดว่าข้อเสนอนี้ผมคงรับไว้ไม่ได้ ผมต้องขอโทษพ่อจริง ๆ ครับ”
จบประโยค ภารตรีก็หัวเราะร่วน วางแจกันที่อยู่ในมือกลับคืนที่เดิม “โธ่ตาภาค อยากจะยกสมบัติให้กันแล้วทำไมไม่คุยกันให้เรียบร้อยมาก่อนเล่า” หล่อนเบ้ปาก “หึ แต่ก็ดี...ฉันจะได้ไม่ต้องออกแรงมาก”
ภาคภูมิสีหน้าเคร่งเครียด กำลังจะเถียงกลับมารดาแต่เวหาแทรกขึ้นมาก่อน
“ทีนี้คุณย่าก็สบายใจแล้วนะครับ” เวหายิ้มให้ภารตรี ก่อนจะหันไปบอกบิดา “เราไปเก็บของกันเถอะครับพ่อ ชักช้าเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน”
ภาคภูมิพ่นลมหายใจหงุดหงิด คิ้วขมวดชนกันเพราะความขัดใจ เขาอยากจะแย้งและตกลงกับมารดากันตรงนี้ให้จบ แต่พอเห็นสายตาและอาการส่ายศีรษะเล็กน้อยเป็นเชิงปรามของลูกชาย เขาก็ไหล่ตก จำใจพยักหน้าเดินนำเวหาไปด้านบนที่เป็นทางสู่ห้องนอนของเขา
“เก็บของตัวเองไปให้หมดแล้วอย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้านะไอ้ลูกไม่รักดี!”
“เวย์ ทำไมเวย์ถึงปฎิเสธไม่ไปทำงานที่บริษัทล่ะ จริง ๆ เวย์ไม่ต้องกังวลเรื่องงานนะ เพราะพ่อเตรียมคนที่จะช่วยสอนงานเวย์ไว้แล้ว พ่อเชื่อว่าเก่ง ๆ อย่างเวย์ ใช้เวลาไม่นานก็เรียนรู้งานได้แล้ว” ภาคภูมิพยายามเกลี่ยกล่อมเวหาเมื่อเดินเข้ามาในห้องนอนของตนเอง
เวหายังคงทำตัวตามสบาย มองไปรอบห้องที่ยังคงสะอาดสะอ้านเหมือนกับมีคนเข้ามาทำความสะอาดทุกวัน “พ่อไว้ใจผมขนาดนั้นเลยเหรอครับว่าผมจะทำมันได้”
ภาคภูมิตบไหล่ลูกชาย แววตาเป็นประกายเชื่อมั่น “อย่างน้อยพ่อก็เลี้ยงเวย์มาจนอายุเจ็ดขวบ ถึงตอนนั้นเวย์จะอายุยังน้อย แต่ความตั้งใจและใฝ่เรียนของเวย์มีมากมายจนพ่อรู้ว่าเวย์ต้องทำงานใหญ่ได้ และตอนนี้ เวย์โตเป็นผู้ใหญ่ ความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจของเวย์ มันคือบุคลิกของผู้นำ ที่พ่อคิดดีแล้วว่าเวย์เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ที่สุด!”
ภาคภูมิมีสีหน้าจริงจัง เขาบีบไหล่ลูกชายราวกับจะย้ำคำพูดของตนเอง “ขอให้พ่อได้ทำอะไรเพื่อเวย์บ้างนะลูก ถ้าเวย์ไม่รับข้อเสนอนี้...พ่อคงนอนตายตาไม่หลับและคงรู้สึกผิดต่อแม่ไปจนวันตาย..”
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
คุณ โอชิน จุดจบคุณย่าก็ไม่มีอะไรมากค่ะ แค่สุดท้ายก็ต้องอยู่ตัวคนเดียวไม่เหลือใคร เพราะถ้าจัดเต็มกลัวจะดราม่ายาว อิอิ
คุณ lamyong ใคร ใครหั่นหอมแถวนี้คะ ไม่มี๊ คริคริ
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ต.ค. 2558, 00:05:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ต.ค. 2558, 00:05:29 น.
จำนวนการเข้าชม : 1383
<< ตอนที่ 39 | บทส่งท้าย >> |
lamyong 6 ต.ค. 2558, 09:10:49 น.
คุณย่าก็แรงจนหยดสุดท้ายจริง ๆ สรุปแล้วเวย์จะเข้าไปทำงานบริษัทพ่อมั๊ยน๊า
คุณย่าก็แรงจนหยดสุดท้ายจริง ๆ สรุปแล้วเวย์จะเข้าไปทำงานบริษัทพ่อมั๊ยน๊า
โอชิน 6 ต.ค. 2558, 19:38:19 น.
เฮ้อ..เพลียจิตกับคุณย่า..ปูนนี้แล้ว..ยังปลงไม่ได้อีก..แต่อย่างน้อยๆพ่อลูกเขาก็เข้าใจกันมากขึ้นละนะ
เฮ้อ..เพลียจิตกับคุณย่า..ปูนนี้แล้ว..ยังปลงไม่ได้อีก..แต่อย่างน้อยๆพ่อลูกเขาก็เข้าใจกันมากขึ้นละนะ