พรร้อยเล่ห์ฉบับรีไรท์
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๓
ดาหลาไม่เชื่อ ร้อยไม่เชื่อ พันไม่เชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตนเป็นเรื่องจริง!
เช้านี้ไม่มีข่าวของหล่อนแม้แต่ข่าวเดียว ในเว็บไซต์ชื่อดังไม่มีกระทู้หล่อน ในอินสตาแกรมของหล่อนความเห็นของบรรดาแฟนคลับหายเกลี้ยง ที่ร้ายกว่านั้น พี่ชายคนสนิทคนที่หล่อนโพสต์ภาพคู่ไม่ยอมรับสาย ให้ฝากข้อความเอาไว้ ส่วนเจ้าของช่องที่หล่อนทำรายได้ให้ไม่รู้กี่ร้อยล้านก็ไม่รับรู้เรื่องราว สั่งให้เลขาโทร.มาบอกว่าให้จัดการเอง แล้วเมื่อครู่นี้คือร้ายที่สุด ชายคนรักจำหล่อนไม่ได้ แววตา ท่าทางของเขาไม่ได้โกหกสักนิด
บ้าอะไร นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
หล่อนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาขณะเดินงงๆออกมาจากห้องของเขา ทำไมเรื่องกลับตาลปัตรเช่นนี้ และความงงก็กลายเป็นความโกรธคนที่มีสิทธิ์มีอิทธิพลจะปกป้องหล่อนแต่กลับเพิกเฉย โกรธจนน้ำตาไหล
“ไอ้พุฒ! ตอนมึงเปิดร้านกูอุตส่าห์ไปเป็นไฮไลต์ให้ อุตส่าห์เกณฑ์เพื่อนๆไปกินร้านมึงไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แล้วนี่เหรอ สิ่งที่มึงตอบแทนกู” หล่อนเริ่มบ่นรุ่นพี่ผู้มีอิทธิพล ก่อนลามไปที่ช่องที่สังกัดอยู่ “ทุเรศ เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงตอนที่กูทำเงินให้พวกมึงบ้างเลยนะ...”
มือเรียวเอื้อมไปกดเรียกลิฟต์ด้วยท่าทีกระแทกกระทั้น พลันนั้นก็คิดอะไรบางอย่างออก
ทุกอย่างดูแปลกๆ แปลกตรงที่มันเงียบกริบจนเกินไป รวดเร็วเกินไป เป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีข่าวหล่อนแม้แต่ข่าวเดียว ไม่ใช่แค่ข่าวเมื่อวานนี้ แต่เป็นทั้งหมดที่ผ่านมา ราวกับว่าโลกนี้ไม่เคยมีดาราที่ชื่อดาหลา นภาภัทรมาก่อน และพลันที่คิดอย่างนั้น แว่วคำพูดของคนบ้าท่าทางลึกลับก็ปรากฏขึ้นในห้วงคิด
‘ถึงกระนั้น ข้าก็จะให้พรเจ้า ดาหลา...พรที่จะทำให้เจ้าได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง...แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าจะต้องไปขออโหสิกรรมคนที่เจ้าเคยพูดจาแย่ ทำร้ายเขาจนเขาผูกใจเจ็บ ร่วมกับการคิดดี พูดดี แต่ถ้าไม่ เจ้าจะสูญเสียทุกอย่างที่เจ้าเคยมี จะไม่มีใครรู้จักดาหลา นภาภัทรอีกต่อไป!’
“บ้า เป็นไปไม่ได้” หล่อนส่ายหน้าให้ความคิดตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ลิฟต์มาถึง จึงก้าวเข้าไป ระหว่างนั้นก็ใช้ความคิดต่อเนื่อง คิดกันให้หัวแตกไปข้าง ต้องคิดให้ออกว่าทำไมทุกอย่างถึงเนียนกริบแบบนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็หาเหตุผลไม่ได้ “งั้นเอาเรื่องธรรศก่อน...เป็นไปได้มั้ยว่า ธรรศกำลังเล่นละครหลอกเรา เพราะที่ผ่านมา เขาชอบเตือนเราเรื่องคำพูด เรื่องการแสดงออกเสมอๆ เตือนไม่ได้ก็เลยเล่นละครแกล้งเสียเลย...ใช่ ต้องใช่แน่ๆ”
หล่อนคิดเป็นตุเป็นตะ จัดการควานหาโทรศัพท์ แล้วกดโทร.หาผู้จัดการส่วนตัวเพื่อปรึกษาว่าจะรับมือกับละครฉากนี้อย่างไรดี
“พี่ส้ม...ช่วยขิงที...” หล่อนกรอกเสียงลงไปทันทีที่ทางนั้นรับสาย
“ขอโทษ นั่นใครพูดคะ”
“จริงสิ ขิงลืมไปได้ยังไงว่า เขาก็ต้องเตี๊ยมกับพี่เหมือนกัน...โอเค งั้นขิงไม่คุยกับพี่แล้วก็ได้ แต่แหม พี่น่าจะส่งซิกบอกอะไรขิงซักหน่อยนะ...”
“ขอโทษค่ะ คุณโทร.ผิดหรือเปล่าคะ” ปลายสายเอ่ยแทรกประโยคของหล่อน ดาหลาหัวเราะอย่างเห็นขัน
“โอเคๆ คงโทร.ผิดมังคะ งั้นแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวจะกลับไปจี้ปาปี๊ให้หลุดให้ได้เลย” หล่อนกดตัดสาย แล้วรอให้ลิฟต์เคลื่อนไปจนถึงชั้นหนึ่งก่อนค่อยกดกลับขึ้นไปหาคนรักอีกครั้ง
เมื่อลงถึงชั้นหนึ่ง พอประตูเปิดออก ผู้ชายคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา
“ชั้นไหนอ่ะคุณ” หล่อนถามชายคนนั้นโดยไม่ได้หันไปมอง มือก็กดหมายเลขชั้นห้องของธรรศ
“ชั้นนั้นแหละ” คนที่ถอยไปยืนชิดมุมด้านหนึ่งตอบกลับมาสั้นๆ
ดาหลาสะดุดน้ำเสียงนั้นด้วยว่าคุ้นหู แต่ก็เลือกที่จะไม่หันไปมอง ตอนนี้หล่อนจำเป็นต้องใช้สมองคิดหาวิธีจี้เพื่อให้ธรรศหลุดจากการแสดงละครให้ได้
ปาปี๊นี่ก็เล่นละครเก่งไม่เบาแฮะ เดี๋ยวยุให้เป็นดาราแทนเป็นผู้ผลิตรายการเลย หล่อนนึกอย่างครึ้มอกครึ้มใจ
“หึหึ” หล่อนได้ยินเสียงหัวเราะเชิงเยาะจากคนร่วมลิฟต์ จึงขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็ยังไม่เห็นไปมองอยู่ดี เนื่องจากคิดว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เสียงหัวเราะนั่นก็คงมอบให้คนปลายสายของเขานั่นละ
ทันใดนั้นเอง จู่ๆไฟในลิฟต์ก็ติดๆดับๆ ก่อนจะมีเสียงดังกึง! แล้วลิฟต์ก็หยุดนิ่ง พร้อมไฟที่ดับพรึบ พัดลมหยุดทำงาน
ดาหลาอุทานออกมาคำหนึ่งด้วยความตกใจ ก่อนหันไปมองคนร่วมชะตากรรม ซึ่งทำให้หล่อนตกใจยิ่งกว่า!
คนบ้าลึกลับคนนั้นนั่นเอง
“นาย!...”
“ตามปกติแล้ว ผู้ที่โดนคำสาป เอ๊ย ได้รับพรต้องเรียกหาข้าเพื่อรับฟังภารกิจ แต่ในกรณีของเจ้า เวลาข้าเหลือน้อย จึงต้องมาหาเจ้าเอง...” เขาเอ่ยเสียงทุ้มกังวาน ตามองหล่อนนิ่ง “ถามคำถามได้”
“นี่มันใช่เวลาบ้าหรือเปล่า อ้อ คนบ้านี่หว่า จะรู้ประสาอะไรวะ” ค่อนเขาเสร็จ หล่อนก็หันไปกดปุ่มฉุกเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ด้านนอก
“ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะไม่มีใครได้ยิน” เสียงทุ้มนั้นดังขึ้นอีก
“หมายความว่าไง” หล่อนหันขวับไปถามอย่างไม่เข้าใจ พลางลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของเขาไปด้วยว่ามีท่าทีมาดร้ายหรือคุกคามหรือเปล่า แต่ไม่พบอะไรนอกจากความเบื่อหน่ายเล็กๆบนท่าทีดูมีอำนาจ
“เพราะข้าเป็นคนทำให้มันหยุดเองน่ะสิ” เขายกมือกอดอกและเอนกายพิงผนัง
“อ๋อ นี่ฝีมือนายเหรอ แล้วทำแบบนี้ต้องการอะไร” ตะคอกถามแล้วก็หันไปกดปุ่มฉุกเฉินอีกครั้ง แต่ภายนอกยังเงียบ ไม่มีสัญญาณใดเตือนว่าจะมีคนได้ยิน
“ต้องการให้เจ้าได้รับบทเรียนจากปากพล่อยๆ การกระทำสุดแย่ของเจ้าไงล่ะ...”
“ให้บทเรียนฉันงั้นเหรอ? งั้นก็แสดงว่าสิ่งที่ฉันเจอตลอดเช้านี้ก็เป็นฝีมือคุณด้วยงั้นเหรอ ตกลงคุณเป็นใครกันแน่ ลูกหลานใคร ทำไมถึงมีอิทธิพลสั่งทุกคนได้ขนาดนี้” น้ำเสียงหล่อนตื่นเต้น แววตาที่มองคนตรงหน้าดีขึ้นจากเดิมมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นตัวประกอบผู้อยากตะกายดาว ตอนเย็นนึกว่าเป็นคนบ้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะดูดีกว่านั้น ดูดีกว่ามากๆด้วย สรรพนามเรียกขานเขาจึงต้องเปลี่ยนด้วย รองรับความดูดีนั้น
“บอกแล้วไงว่าเป็นเทวดาประจำตัวเจ้า ชื่อวายุ” เขาทำหน้าเบื่อเซ็งที่หล่อนไม่ยอมเชื่อเสียที
“นี่มันหน้าสิ่วหน้าขวานนะ ยังจะพูดเล่นอีก มาคุยกันดีๆดีกว่า ว่าที่ทำทั้งหมดเนี่ย ต้องการอะไรแน่”
แทนคำพูดใดๆ เขาดีดนิ้วเปาะครั้งหนึ่ง ไฟที่ดับอยู่พลันสว่าง ลิฟต์เคลื่อนปกติ ดีดอีกครั้งทั้งไฟทั้งลิฟต์พร้อมใจกันดับ ทำเอาดาหลาอ้าปากค้าง
“มายา...”
“เทวดา” เขาเอ่ยขัด มองหล่อนอย่างรำคาญ “ความจริงมีฤทธิ์มากกว่านี้มาก แต่เจ้าไม่เคยทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ข้า พลังของข้าถดถอย เลยแสดงได้ประมาณนี้...เอาละ ทีนี้จะเชื่อข้าได้หรือยัง”
“เทวดาเนี่ยนะ...ทำไมไม่ใส่เสื้อครุยผ้าบางๆ ชฎาไปไหน รองเท้าอีก ปลายข้างหน้าไม่งอน” ดาหลาพูดเหมือนละเมอ ตาก็กวาดมองคนร่างสะโอดสะองในชุดเดียวกับเมื่อวานขึ้นลงมากกว่าสามรอบ
“นั่นมันพระภูมิเจ้าที่!” เขาตอบกลับมาทันที “แต่พอเถอะ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยเรื่องพัสตราภรณ์ของข้า...เรามาดูดีกว่าว่าเจ้าต้องทำอะไรบ้าง”
“ทั้งเรื่องนักข่าวแบน ทั้งเรื่องช่องที่ไม่สนใจ ทั้งธรรศที่จำฉันไม่ได้ เป็นฝีมือคุณทั้งหมดเหรอ” หล่อนถามย้ำอีกครั้ง
“อ้าว ยายคนนี้ เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำหรืออย่างไร ก็บอกว่าใช่ไงเล่า ข้าบอกตั้งแต่เมื่อวานแล้วไงว่าถ้าเจ้ายังไม่หยุดด่าคนอื่นด้วยถ้อยคำรุนแรง เจ้าก็ต้องสูญเสียทุกอย่าง จะไม่มีใครจำดาหลา นภาภัทรได้...” ดูท่าทางท่านเทวดาจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว
ดาหลายังทำหน้าไม่อยากเชื่อ หล่อนมองว่าเขาเป็นคนบ้า เป็นคนเพี้ยน แต่ยามนี้ คิดว่าอาจเป็นหล่อนที่เสียใจจนเพี้ยน เลยสร้างเทวดาขึ้นในจินตนาการ มันจะเป็นไปได้อย่างไร อยู่ๆก็มีเทวดาลอยเลื่อนจากสวรรค์มายืนอยู่ตรงหน้า เทวดาซึ่งหล่อนไม่เคยเชื่อว่ามีด้วยซ้ำ
มีอะไรเหลือเชื่อกว่านี้อีกไหม!
“ให้เวลาอีกห้าวินาที ถ้าไม่ถาม ก็หมดสิทธิ์ถามแล้ว จงอยู่กับการไร้ตัวตนให้สบายใจ” จบคำพูดนั้นก็ปรากฏสายลมพัดวนอยู่ภายในห้องโดยสารนั้น เย็นเยือกจนร่างหล่อนสะท้าน ก่อนที่ร่างสะโอดสะองนั้นจะค่อยๆโปร่งแสงไปต่อหน้าต่อตา
“เฮ้ย ของจริงนี่หว่า” ดาหลาอุทานด้วยความตื่นเต้น “เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป ถามค่ะถาม แล้วฉันต้องทำยังไง ทุกอย่างถึงจะกลับมาเหมือนเดิมคะ” ไม่อยากเชื่อหล่อนก็ต้องเชื่อแล้ว
“เฮ้อ กว่าจะเชื่อกว่าจะถามได้ ลุ้นจนมูลแทบเล็ด...” บ่นอุบ ก่อนทำร่างให้เป็นปกติ แล้วหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อยื่นมาตรงหน้าหล่อน
“รายชื่อคนที่เจ้าเคยใช้คำพูดทำร้ายเขา”
หล่อนเอื้อมมือไปหยิบมาเปิดดู แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเฉพาะหน้าแรกก็มีรายชื่อเต็มหน้ากระดาษแล้ว โดยทุกชื่อจะมีจดไว้ว่าหล่อนพูดหรือทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นว่าอย่างไรบ้าง หน้าสองหน้าสามก็เต็มเหมือนกัน โดยห้ารายชื่อล่าสุดคือ ริสา เด็กยกน้ำที่ชื่อเปรี้ยวหรือปรัศนี นักข่าวคนนั้น เดหลี และธรรศ
“โอ๊ย เยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย แล้วธรรศเนี่ย ไปพูดไม่ดีใส่เมื่อไหร่ ก็แค่น้อยใจเล็กๆน้อยๆตามประสาคนรักกันเองนะ”
“อย่างไรเสียก็ถือเป็นวจีกรรมที่เจ้าต้องรับผิดชอบอยู่ดี อีกอย่างเจ้าลืมแล้วรึ ว่าท้าเลิกกับเขา ข้าก็ทำตามที่เจ้าต้องการแล้วนี่ไง”
“ฉันประชด! อย่างว่าแหละ เป็นเทวดาไม่รู้นิสัยคนเลยสาปมั่วซั่ว” หล่อนอดต่อว่าไม่ได้
ทันใดนั้นก็ปรากฏปากกาด้ามหนึ่งในมือเขา แล้วเขาก็ก้มลงเขียนยุกยิกต่อท้ายชื่อธรรศ เดือดร้อนดาหลาต้องรีบตะครุบปากกาเอาไว้เป็นพัลวัน
“พูดเล่นค่า ไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆซักหน่อย แค่นี้ก็เยอะจนฉันรับกรรมไม่ทันแล้ว”
“นี่เฉพาะคนที่เจ้าปากเสียใส่เขาตรงๆ ไม่นับพวกคนที่เจ้าด่าผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กนะ...”
“จดไว้ทุกคนเลยหรือไงคะ ว่านิดด่าหน่อยก็จดเหรอเนี่ย” หล่อนถามเสียงอ่อย กวาดตามองรายชื่อเหล่านั้นผ่านๆ แต่ก็พอเห็นว่าบางคนที่โดนหล่อนด่าหรือตำหนิ เป็นแค่กรณีเล็กๆเท่านั้น
“ทุกเม็ด”
ดาราสาวทำหน้ามุ่ย “ปล่อยผ่านบ้างก็ไม่ได้ บนสวรรค์ไม่มีคำว่าผ่อนปรนหรือคะ”
“โอ๊ะ ทำเป็นถาม ทีเจ้าเล่า โกรธทุกคนที่ทำให้เจ้าไม่พอใจ โกรธเกินกว่าเหตุ ด่าเขาเกินกว่าความผิด”
“สรุปว่าฉันต้องทำยังไงคะ” หล่อนตัดบทก่อนที่เทวดาจะร่ายความผิดของหล่อนออกมาประจาน
เขาดึงสมุดคืนจากหล่อน เปิดออกแล้วใช้ปากกาขีดเส้นใต้รายชื่อเหล่านั้น ก่อนเงยหน้าบอก
“เอาเฉพาะคนที่โกรธเจ้ามากก็แล้วกัน ซึ่งจะแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือคนที่ผูกใจเจ็บ คิดว่าชาตินี้ยังไงก็จะต้องเอาคืนเจ้าให้ได้ ส่วนที่สองคือคนที่ชีวิตพลิกไปในทางร้าย...คนแรก มนนี่ มนสิชา คนนี้มีเรื่องทะเลาะตอนไปถ่ายแบบด้วยกันที่หัวหิน...”
พอท่านพูด หล่อนก็นึกถึงเหตุการณ์นั้นออก
“แต่เคสนั้นยายมนนี่เป็นคนผิด...” ดาหลาจำได้ว่าครั้งนั้นนางแบบที่ชื่อมนสิชาพยายามจะขอเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่ถ่ายแบบกับหล่อน ด้วยเหตุว่าชุดของเจ้าหล่อนไม่สวย
“เขาผิด แต่เขาก็ขอโทษเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังไม่วายเหน็บแนม จิกกัดเขา แล้วยังประจานเขาให้ได้รับความอับอาย กลายเป็นข่าวใหญ่โต เขากลายเป็นคนเรื่องเยอะเรื่องมาก ทั้งที่เจ้าก็เห็นว่าชุดนั้นไม่เหมาะกับเขาจริงๆ!” ท่านตำหนิเสียงลั่น ดาหลาสะดุ้ง หุบปากฉับ เชิดหน้าไปทางอื่น
“แล้วฉันต้องทำยังไงคะ”
“ไปพูดดีๆ เพราะๆ พร้อมกับบีบนวด ปรนนิบัติพัดวีเขา”
“หะ อะไรนะ! เกินไปหรือเปล่า” หล่อนกรีดเสียง ตาพองโตด้วยความไม่พอใจ “ไอ้พูดดีๆเพราะๆนั่น พอทำได้นะ แต่ปรนนิบัติพัดวีเนี่ย เป็นทาสเลยนะคะนั่น”
“ก็เหมือนกับที่เขาเป็นทาสอารมณ์ของเจ้าไงล่ะ” ท่านวายุทำเสียงสะใจ จนดาหลาสะดุดความรู้สึก
“แหม...ดูท่านไม่ค่อยพอใจกับการลงโทษฉันเท่าไหร่นะคะ” ประชดเสียงขึ้นจมูก แล้วถามต่อ “แค่นี้เหรอคะ”
“สำหรับมนสิชา แค่นี้ แต่รายอื่นไว้ข้าจะบอกวันหลัง อ้อ แล้วจงตระหนักเสมอว่าในการพูดกับเจ้ากรรมนายเวรของเจ้าแต่ละครั้งต้องใช้สมองไตร่ตรองว่าสิ่งนั้นควรพูดหรือไม่ควร พูดไปแล้วคนฟังเขาจะเสียใจ เจ็บใจหรือไม่ ต้อง...”
“โอ๊ย ต้องนั่งแคร์ทุกคนแบบนี้ก็ตายพอดีสิ คำสาปบ้าอะไร...เอ๊ย เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!” ตอนท้ายหล่อนต้องร้องลั่นเมื่อเห็นว่าร่างนั้นค่อยๆโปร่งแสงอีกครั้ง “ท่านสาปมาแบบนี้ เท่ากับทำให้ฉันเป็นคนตอแหลน่ะสิ ต้องพูดดีๆทั้งที่ไม่ได้คิดแบบนั้นงั้นเหรอคะ”
“คนโง่ก็โง่อยู่นั่นเอง” ท่านแค่นเสียงระอา “พูดขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกเรอะว่าต้องทำยังไง...”
“ก็ต้องพูดแต่เรื่องดีๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องจริงนะสิคะ”
“เจ้าต้องปรับตั้งแต่ทัศนคติของเจ้าต่างหากล่ะ...ตรองดูสิว่าทุกวันนี้เจ้าคิดดีหรือเปล่า หรือแค่คิดเอาตามแต่ใจ ตามจิตอันยึดติดในตัวตน นึกว่าตนสูงส่งกว่าคนอื่น”
“ก็ฉันสูงส่งกว่าคนอื่นจริงนี่ ท่านก็เห็น” หล่อนเชิดหน้าขึ้นด้วยความภาคภูมิใจในชื่อเสียงของตน
“เอาเงินวัดอาจจะสูงกว่า แต่คุณธรรมเจ้าต่ำเตี้ยนัก...แต่เอาเถอะ พูดไปตอนนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจจนกว่าจะวันนั้น”
หล่อนเงียบไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิด
“ท่านแน่ใจนะคะว่า ฉันจะได้ทุกอย่างกลับคืนมารวมทั้งธรรศด้วย” ถามด้วยความไม่แน่ใจ เห็นเทวดาแล้วให้หวั่นใจจริงๆ!
“โอ้ ข้าลืมเรื่องเจ้าธรรศไปซะสนิทเลย” คนเป็นเทวดาทำตาโตอย่างนึกได้ ทำเอาหล่อนต้องกลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยใจ
“นั่นไง จะรอดมั้ยเนี่ย ชีวิตฉัน...”
“เรื่องเจ้าธรรศเนี่ย ขอบอกเลยว่ายากกว่าการพยายามคิดดีพูดดีเสียอีก...นั่นก็คือ เจ้าต้องทำให้ธรรศมันรักเจ้า เจ้าคิดดีพูดดีจนติดเป็นนิสัยบวกกับเจ้าธรรศมันเอ่ยคำว่ารักเจ้าเมื่อไหร่ เมื่อนั้น ดาหลา นภาภัทรจะกลับมาเป็นนางพญาของวงการเหมือนเดิม”
“ของง่ายๆพื้นๆ” หล่อนยักไหล่อย่างมั่นใจในตัวเอง ดูแล้วไม่เหนือบ่ากว่าแรงหล่อนซักอย่างเดียว
ท่านวายุไม่เอ่ยอะไร นอกจากหัวเราะหึหึอย่างมีเลศนัยแล้วก็หายตัววับไป พร้อมลิฟต์ที่กลับมาเป็นปกติทุกอย่าง แต่ก่อนที่หล่อนจะขยับตัวไปกดหมายเลขชั้น ท่านก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งอย่างกะทันหัน ทำเอาหล่อนสะดุ้งโหยงเผลอส่งวงค้อนไปให้อีกหน
“ข้าลืมอีกสองเรื่อง”
“ยังมีอีกเหรอคะ โอ๊ย แบบนี้สาปให้ฉันตายไปเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ ทำไมมันเยอะงี้เล่า” ดาหลาจะร้องไห้ออกมาให้ได้
“เจ้าอย่าลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ข้าบ่อยๆ ทุกวันได้ยิ่งดี ทดแทนที่เพิกเฉยมานาน”
“เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ เทวดาทวงบุญทวงกุศล...แล้วอีกเรื่องล่ะคะ”
“ทั้งหมดนั้น เจ้ามีเวลาแค่สามเดือน”
(จบบทที่ ๓)
ให้กำลังใจสาวดาหลาด้วยนะจ๊ะ นางจะทำสำเร็จมั้ยเนี่ย นิสัยแบบนี้
วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2558, 19:12:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2558, 19:12:30 น.
จำนวนการเข้าชม : 977
<< บทที่ ๒ (พร้อมประกาศรายชื่อผู้โชคดี) |
Zephyr 11 ต.ค. 2558, 17:07:15 น.
ขอหัวเราะซ้ำเติมได้มั้ย
ขนาดกับเทวดาที่หวังดี
นางยังพูดแบบนี้เลย
อนาคตรุ่งริ่งแน่ๆ
ขอหัวเราะซ้ำเติมได้มั้ย
ขนาดกับเทวดาที่หวังดี
นางยังพูดแบบนี้เลย
อนาคตรุ่งริ่งแน่ๆ