เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 1

เล่ห์รักบงการใจ

ตอน 1
เมฆสีเทาบนฟ้ากว้างล่องลอยไปตามแรงลมที่พัดแรง เหนือตึกสูงใหญ่ใจกลางเมืองหลวง บนถนนที่โยงใยคล้ายใยแมลงมุม รถยนต์มากมายวิ่งสวนกันไปมา บางช่วงก็ติดขัด บางช่วงก็เคลื่อนไปได้ดี เมฆสีเทาที่เห็นเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ลอยต่ำลงบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานสายฝนคงโปรยปรายลงมาแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ ไม่ถึงสิบนาทีเม็ดฝนก็โปรยเป็นละอองลงมา

หน้ากระจกรถเบนซ์คลาสสิคคันหรู เม็ดฝนเกาะอยู่เพียงบางๆ แล้วเริ่มหนาขึ้นพร้อมๆกับหัวรถเลี้ยวสู่ถนนที่ทอดยาวไปถึงโรงแรมสุดหรู กระทั่งมาจอดสนิทหน้าประตูทางเข้า รปภ.ที่ยืนอำนวยความสะดวกให้กับทุกคนที่เข้ามาเป็นแขกของโรงแรม รีบกางร่มพร้อมเดินเข้ามาเปิดประตูด้านหลังให้คนสำคัญที่นั่งอยู่ทันที

ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดสูทสีดำออกมายืนอยู่ข้างรถ ใบหน้าคมเข้มบ่งบอกถึงสองสัญชาติที่ผสมกันอย่างลงตัว ดวงตาสีน้ำตาลเฉี่ยวอย่างกับพญาเหยี่ยว บอกความหยิ่งทระนงในตัว รูปร่างสมาร์ตสูงเด่นเป็นสง่า จนทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้ๆหันมามองอย่างเกรงๆผสมความชื่นชม ในความเป็นตัวเขาที่งดงามอย่างกับเทพบุตรลงมาจุติ

ประตูตรงคนขับถูกเปิดออก คนเปิดยืดตัวขึ้นเต็มความสูงร้อยหกสิบห้า สวมหมวกสีดำไว้บนหัว สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่แขนยาวติดกระดุมถึงคอ ชายเสื้อเก็บไว้ในกางเกงสแสคสีดำอย่างเรียบร้อย ใบหน้าขาว ดวงตากลมโต จมูกโด่งรับกับพวงแก้มอิ่ม ริมฝีปากหยักเป็นหยดน้ำสวย เครื่องหน้าทุกอย่างลงตัว จนหลายคนที่ได้เห็นต่างสงสัยว่าเป็น คนขับรถคนนี้เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่น

“เอารถไปจอดที่ด้านหลัง แล้วรอตรงลิฟต์ทางออก”

“ครับ”

คนขับรับคำสั่งแล้วชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินเข้าไปในโรงแรม คนขับก็หันมามองรปภ. เปิดยิ้มให้เล็กน้อยก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่งทำหน้าที่ของตัวเอง ขับรถเบนซ์คันหรูไปจอดไว้ที่จอดรถด้านหลังโรงแรม ซึ่งมีหลังคากันแดดกันฝนให้เรียบร้อย ก็เปิดประตูลงมาพร้อมกระเป๋าผ้าใบใหญ่ กดล็อกรถด้วยกุญแจก็รีบเดินมานั่งที่ม้านั่งหินอ่อนข้างลิฟต์ ตามคำสั่งที่ได้รับมาไม่มีผิดเพี้ยน

กระเป๋าผ้าที่ถือมาวางลงบนตัก เปิดกระเป๋าหยิบอุปกรณ์ทำเงินให้ออกมา สดึงขึงผ้าให้ตึง ก็ลงมือทำ เข็มที่ร้อยด้ายสีแดงปักขึ้นปักลงไปตามแบบที่วาดไว้ ความตั้งใจใส่ใจลงไปในงานที่ทำ แต่บางขณะก็คิดถึงภาพเก่าในวันวาน...
ดวงตะวันคล้อยลงลับหายไปจากสายตา แต่ต้นไม้ข้างกำแพงรั้วสีขาวในเขตโรงเรียนยังพลิ้วไหวไปตามแรงลม ใบไม้สีน้ำตาลแกมเหลืองปลิดปลิวลงจากต้น ร่อนผ่านอากาศดังขนนกที่ไร้น้ำหนักลงมานอนนิ่งอยู่บนฝ่ามือเล็ก ดวงตากลมโตมองไม่กะพริบ ก่อนจะแย้มยิ้มคล้ายจะถูกใจเพราะค่อยๆกรีดนิ้วป้อมๆมากำใบไม้ไว้จนหายวับไปจากสายตา

‘อนุช’

เสียงเรียกนั้น ทำให้เจ้าของชื่อหันไปมองด้านหลัง พอเห็นคนเรียก เรียวปากเล็กก็ยิ้มกว้าง ทิ้งใบไม้ในมือ วิ่งไปหา พอใกล้จะถึงก็โถมตัวเข้าใส่ จนคนรับเซไปข้างหลังก้าวหนึ่ง ก็ก้มตัวลงอุ้มเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบไปไว้ในอ้อมแขน หอมแก้มยุ้ยระเรื่อด้วยสีเลือดฝาดทั้งซ้ายและขวาจนชื่นใจ ก็ถามออกมา

‘วันนี้เรียนหนักไหมลูก’

‘ไม่ค่ะ หนูชอบเรียน และวันนี้หนูก็ทำการบ้านเสร็จแล้วด้วย’ เสียงเจื้อยแจ้วโอ้อวดทำให้คนเป็นพ่อยิ้มกว้าง ก่อนจะชมออกมา

‘เก่งจริงลูกพ่อ’

คำชมที่ได้รับทำให้เด็กหญิงยิ้มหน้าบาน แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้มพ่อพลางวาดแขนไปกอดคอพ่อไว้แน่น มองใบหน้าพ่อที่เปื้อนยิ้มอยู่เป็นนิจ ก็ถามออกมา ‘พ่อเหนื่อยไหมคะ’

เสียงเล็กๆที่ถามออกมา ทำให้หัวใจคนเป็นพ่อเอิบอิ่มและหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ‘ไม่เหนื่อยเลยลูก’ เสียงทุ้มนุ่มบอกลูกพลางยกมือขึ้นลูบเส้นผมหยักศกเบาๆ ‘หนูหิวหรือเปล่า’

‘ไม่ค่ะ คุณครูมีขนมให้กินอิ่มตื้อเลย’ บอกพลางลูบท้องป่องๆ

‘งั้นกลับบ้านกัน’

เด็กหญิงพยักหน้า แล้วซบหน้ากับบ่ากว้างของพ่อ กางแขนออกรอรับสายลม ที่พัดผ่านมายามพ่อก้าวเดินออกไปจากโรงเรียน ไปตามทางเดินที่แทบจะไร้ผู้คน เพราะกลับบ้านกันไปเกือบจะหมดแล้ว กระทั่งมาหยุดข้างรถยนต์คันหรู ผู้เป็นพ่อก็เปิดประตูรถออก วางตัวเด็กหญิงให้นั่งที่เบาะหน้า ซึ่งก็มองอุปกรณ์ในรถอย่างสนใจ แต่เมื่อพ่อเปิดประตูเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย เด็กหญิงก็ได้รู้ว่าในรถคันนี้ไม่ได้มีกันแค่สองคนพ่อลูกเท่านั้น

‘เรียบร้อยแล้วใช่ไหม’

‘ครับคุณคิม’

เสียงตอบของพ่อทำให้เด็กหญิงเอี่ยวตัวไปมองด้านหลัง และก็ได้เห็นผู้ชายใส่เสื้อขาวกางเกงดำนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ริมฝีปากเล็กๆเปิดยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ ‘สวัสดีค่ะ หนูชื่ออนุช วรลักษณ์ เป็นลูกสาวพ่ออนันต์ค่ะ’ เด็กหญิงแนะนำตัวตามที่คุณครูสอนมา เมื่อเจอผู้ใหญ่

‘ฉันคิม คาร์ริก เป็นเจ้านายพ่อเธอ’

เด็กหญิงยิ้มให้โดยไม่รู้ว่าเสียงนั้นบอกความถือตัว และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอเขา หลังจากนั้นในแต่ละปีเด็กหญิงก็จะได้เจอเขาเพียงครั้งหรือสองครั้ง บางปีก็ไม่เจอ และไม่เคยได้ยินคำพูดเขาอีก แต่ค่อยๆเรียนรู้ว่าความเป็นตัวเขา ที่ทระนงหยิ่งจองหอง มองเธอด้วยหางตาเป็นประจำ และได้รู้เพิ่มขึ้นมาว่า เขามีชื่อเต็มว่า คิม ชโรบล คาร์ริก พร้อมกับรู้ว่าพ่อเป็นคนขับรถให้เขามาจนทุกวันนี้ ... วันนี้ที่เธอมาขับรถให้เขาแทนพ่อ

ดวงตาคมมีแววแปลกใจ เมื่อเดินออกมาจากตัวบ้าน เพื่อมาขึ้นรถของตัวเองที่ต้องมาจอดรอตรงบันไดหินอ่อนเหมือนเช่นทุกวัน แต่คนขับรถที่ยืนอยู่ข้างรถนั้นไม่ใช่คนเดิมเหมือนที่ผ่านมา แม้จะใส่เสื้อผ้าเหมือนกัน แต่รูปลักษณ์นั้นต่างกันสิ้นเชิง ‘พ่อเธอไปไหน’

เสียงถามนั้นบอกให้รู้ว่าคนที่ยืนอยู่เป็นใคร สายตาที่มองมาก่อนตวัดมองไปนั้นทำให้ ‘เธอ’ ที่เขาเอ่ยออกมาต้องยกมือไหว้ ก่อนจะลดลงมาจับกระเป๋าผ้าสีขาวที่สะพายอยู่บนไหล่ พร้อมกับบอกว่า ‘พ่อไม่สบายค่ะ วันนี้จึงขอหยุด’ เสียงหวานตอบชัดเจน และเป็นครั้งแรกที่พ่อไม่สบายตั้งแต่ทำงานให้เขา

‘ไปหาหมอหรือยัง’

‘เรียบร้อยแล้วค่ะ’

‘งั้นเธอก็กลับไปได้แล้ว’ พูดจบร่างสูงก็เดินลงบันไดมาที่รถ แต่ไม่อาจจะเปิดประตูรถได้ เมื่อเธอไม่ยอมถอยออกไป ดวงตาคมจึงฉายความไม่พอใจ แต่เธอก็ใช่ว่าจะสนใจ

‘ดิฉันมาทำหน้าที่แทนพ่อค่ะ”

“ฉันยังไม่อยากตาย”

“ดิฉันขับรถเป็น และมีใบขับขี่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง’เสียงเธอตอบทันควัน เพราะน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งดูถูกไม่เคยเปลี่ยน
‘งั้นก็ไม่ต้อง ไม่มีพ่อเธอ ฉันก็ขับเองได้’

‘ทราบค่ะ แต่นี้คือหน้าที่ของพ่อ เมื่อพ่อไม่สามารถมาทำได้ ดิฉันก็ต้องทำแทน เพื่อ... เสียงหวานหยุดหายไป เมื่อสิ่งที่คิดนั้นไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมาดีหรือไม่ และแอบมองหน้าคมที่เลิกคิ้วเข้มขึ้นอย่างบอกให้รู้ว่ากำลังสงสัยว่ามีอะไรทำไมเธอถึงไม่พูดออกไปให้หมด เธอเม้มริมฝีปากไว้เพียงนิด ก็พูดออกมา ‘ไม่ให้ถูกตัดเงินเดือนค่ะ’

‘พ่อเธอรับเงินเดือนเป็นเดือน ไม่ใช่รายวัน ที่หยุดไปวันหนึ่งแล้วจะถูกตัด หรือคิดว่าฉันจะร้าย จึงรีบมาทำหน้าที่แทน’
นั่นแหละที่เธอคิดไว้ แต่ไม่ตอบออกมา แต่เขาก็เหมือนจะรู้ น้ำคำจึงเยาะหยันนัก

‘โง่’

เสียงต่อว่านั้นทำให้แววตาเธอขุ่นขึ้น อย่างไม่มีความเกรงกลัว เพราะชีวิตที่ขาดแม่ อยู่กับพ่อที่สอนให้เธอรู้จักเข้มแข็งทำให้เธอไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด อยากจะต่อปากต่อคำออกไป แต่คนที่ตราหน้าเธอว่าโง่ เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถด้านหลังเสียก่อน จึงเท่ากับยอมรับเธอเป็นคนขับ จึงต้องข่มอารมณ์ขุ่นไว้ แล้วเปิดประตูรถไปทำหน้าที่ตัวเอง แต่เธอยังไม่ขับรถออกไป หันหน้ามามองหน้าคมที่นิ่งยังกับเสาหิน

‘อธิบายให้ดิฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ว่าดิฉันโง่เรื่องอะไร เผื่อจะได้ฉลาดขึ้น’

‘เธอเรียนหนังสือถึงชั้นไหนแล้ว’

‘มหาวิทยาลัยปีสาม’

‘ครูบาอาจารย์ไม่สอนหรือไง ว่าการทำงานเป็นรายเดือนกับรายวัน ค่าตอบแทนมันต่างกันยังไง’

‘สอนมั่งค่ะ แต่พอดีว่าดิฉันสมองขี้เลื้อย หรือเรียกว่าโง่อย่างคุณว่ามั่ง จึงไม่จำ’ อนุชพูดตรงพลางประชดตัวเองให้สะใจเล่น แต่คนที่ไม่เล่นกับเธอทำหน้ากระด้างขึ้นมา

‘งั้นฉันบอกไป สมองขี้เลื่อยอย่างเธอ ก็คงไม่จำเหมือนเดิม ไปได้แล้ว ฉันรีบ’

เธอเข่นเขี้ยวเขาอยู่ในใจ และจำต้องหันกลับมาทำหน้าที่ตัวเอง เพราะเขามองข้ามหัวเธอไปข้างหน้าแล้ว จึงสตาร์ทรถขับเคลื่อนออกมาจากบ้านหลังเบ้อเร่อ มาถึงโรงแรมที่เขาบอกระหว่างทาง ซึ่งไม่ต้องเดาก็รู้ว่านักธุรกิจอย่างเขา คงมาประชุมหรือนัดพบใครเพื่อเจรจาธุรกิจแน่นอน ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาทำธุรกิจอะไร เพราะพ่อไม่เคยบอก และนี่ก็เป็นครั้งแรกในรอบสิบสามปีที่เขาพูดกับเธอมากขนาดนี้
********

อนุชยืดตัวขึ้น เมื่อรู้สึกเมื่อยคอและต้องการพักสายตาที่จดจ่ออยู่กับการปักผ้าครอสติชที่เธอทำอยู่ รูปหนุมานนี้ทำเงินให้เธอได้ไม่น้อย และที่เธอทำก็เพื่อช่วยผ่อนแรงของพ่อที่หาเงินมาเลี้ยงเธอเพียงลำพังคนเดียว ส่วนแม่นั้นตั้งแต่เด็กจนโต เธอไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงและเธอไม่เคยถามพ่อหาแม่เช่นกัน

เธอเรียนเรื่องการปักผ้าครอสติช มาจากชุมชนที่อาศัยอยู่ บ้านพักของเธอกับพ่ออยู่ในแหล่งที่คนทั่วไปเรียกว่าสลัมซึ่งมีศูนย์ฝึกอาชีพตามโครงการของรัฐบาล ที่อยากจะยกระดับให้กับคนหาเช้ากินค่ำได้มีอาชีพเลี้ยงตัว เธอไปเรียนเพราะพ่ออยากให้เธอมีความรู้ติดตัวไว้เลี้ยงตัวเองในวันข้างหน้า และป้องกันสิ่งแวดล้อมที่จะทำร้ายเธอยามที่พ่อไม่อยู่ อีกอย่างพ่อบอกว่าสิ่งเหล่านี้ยังช่วยกล่อมเกลาจิตใจในตัวเธอให้อ่อนโยน ไม่ให้แข็งกระด้างตามพ่อไปด้วย

หญิงสาวได้ความรู้จากที่นี่หลายอย่าง ทั้งการแกะสลัก การจัดดอกไม้ การทำโปรยทานหลายรูปแบบ แต่ที่เริ่มมามีรายได้ ก็ตอนที่ทำโปรยทานให้เพื่อนที่เรียนด้วยกันในวัยมัธยม นำไปใช้ในงานบวช จนคุณครูประจำชั้นมาเห็นเข้า จึงได้จ้างให้เธอทำเพราะเห็นว่าประณีตสวยงาม ตอนแรกเธอปฏิเสธ จะทำให้ฟรี

แต่คุณครูรู้ฐานะทางบ้านของเธอดี จึงให้เงินเป็นค่าตอบแทนและยังหาลูกค้ามาให้เธอทำเรื่อยๆ จนกลายเป็นอาชีพให้เธอทำควบคู่ไปกับการเรียน ซึ่งไม่ได้โง่อย่างใครบางคนว่า เธอมีผลการเรียนอันดับต้นๆของห้อง แม้จะไม่ใช่ที่หนึ่ง แต่ก็ไม่เคยตกจากที่สาม แถมยังสอบชิงทุนได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยดังให้คนเป็นพ่อได้ภาคภูมิใจได้อีก

‘นายเสาหิน’

อนุชตั้งฉายาให้เจ้านายของพ่อ คนอะไรปากจัด หยิ่งยโส จองหอง กี่ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน เธอเคืองขุ่นเขาอยู่ในใจ แล้วปัดเรื่องนี้ทิ้งไป มาจดจ่ออยู่กับการปักผ้าครอสติช เพื่อให้เสร็จเร็วๆ โดยไม่เห็นว่าภาพที่เธอนั่งทำงานนั้นเข้าตาของคนที่เธอนินทาอยู่ในใจ ซึ่งมองมาตั้งแต่เดินออกมาจากลิฟต์แล้ว

รองเท้าสองคู่ของผู้หญิงและผู้ชาย สะท้อนเข้าตาของคนที่ก้มหน้าปักกอสติสอยู่ จึงมองไล่ตั้งแต่เท้าขึ้นไปหาหน้า ก็ได้เห็นหน้าเจ้าของรองเท้า หนึ่งนั้นคือนายเสาหิน อีกหนึ่งนั้นคือหญิงสาวแสนสวย ปากแดงแก้มแดงชุดแดงรองเท้าแดง ยืนคล้องแขนเขาอยู่

อนุชหน้าเจื่อนไป เมื่อเห็นเขามองผ้าครอสติชของเธอ จึงรีบเก็บไว้ในกระเป๋าผ้า โดยไม่เห็นว่าหญิงสาวปากแดงกำลังจับตามองเธออย่างสงสัย เสร็จแล้วก็ยืดตัวขึ้น มองหน้าเขา ซึ่งก็สั่งเธอทันทีว่า

“ไปเอารถมาได้แล้ว”

“ครับ”
“อุ้ย ผู้ชายหรือจ๊ะ นึกว่าผู้หญิง” เสียงดัดจริตให้หวานนั้นชวนให้หญิงสาวที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายอยากอ้วก แต่ยังจากไปไม่ได้ เมื่อผู้หญิงของนายเสาหิน ยังคุยต่อ “เมื่อกี้ที่แอบเป็นกุลสตรีนั่นเห็นนะจ๊ะ” เสียงพูดนั้นแปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากอวดตัวว่ารู้ว่าเธอเป็นผู้ชายใจหญิง ทั้งที่รู้ไม่จริง

“ขอตัวครับ” อนุชว่าพร้อมกับหยิบถุงผ้ามาถือไว้แล้วรีบเดินไป โดยไม่แก้ไขความเข้าใจของหญิงสาว เพราะเธออยากให้เข้าใจอย่างนี้อยู่แล้ว อีกอย่างนายเสาหินก็ไม่เห็นจะเดือดร้อน ที่เธอมาขับรถให้เขาในมาดผู้ชาย

หญิงสาวที่ควงแขน คิม คาร์ริก มองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียว ก็ละสายตามามองผู้ชายที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่เธอเคยควง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาที่หล่อยังกับเทพบุตร หุ่นล่ำๆกล้ามเป็นมัดๆ ที่อวดในนิตยสารปาปารัสซี่ ที่เคยแอบถ่ายรูปเขามาได้ เพราะเป็นผู้ชายในฝันของสาวๆทั้งเมือง แถมยังรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้านอีกต่างหาก

“คิมเปลี่ยนคนขับรถเมื่อไรคะ คราวก่อนที่เจอกัน ช่ายังเห็นเป็นชายสูงวัยอยู่เลย” ชาช่า หรือสิริชา มหาบุตร ไอโซสาวเจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ซึ่งนัดคุยกับเขาเพื่อนำเพชรในร้านตัวเองออกไปสู้สายตาชาวโลก เพราะธุรกิจของเขาครอบคลุมไปทุกทวีปนั่นเอง

“สนใจเหรอ”

“ห่วงคิมมากกว่าค่ะ” เธอบอกเมื่อความหมายเขานั่นแปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าเธอเข้าไปยุ่ง จึงต้องตอบเพื่อให้เห็นว่าเธอใส่ใจเขามากกว่า “เพราะคนสมัยนี้ไว้ใจกันได้ยาก แต่ช่างเถอะ เมื่อคิมเลือกมาแล้ว ก็แสดงว่าเขาดีแล้ว ว่าแต่คิมจะพาช่าไปทานข้าวที่ไหนคะ”

“คุณเลือกมาแล้วกัน”

“ไม่คิดจะเลือกให้ช่าบ้างเหรอคะ” เสียงเธออ้อนอยากให้เขาทำสักครั้งก็ยังดี เพราะจำได้ว่าตั้งแต่เธอคบกับเขามา ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เธอชวนเขาไปเที่ยว ทานข้าวดูหนัง หรือทำอะไรก็แล้วแต่ เขาไป แต่ไม่เคยที่จะเอาใจเธอเลย คราวนี้ก็เหมือนกัน คำถามของเธอหายไปกับสายลม เธอหน่ายใจแต่ไม่หน่ายเขาเพราะทั้งภาพลักษณ์และรูปลักษณ์ของเขานั้น มัดใจเธออยู่นั้นเอง “งั้นร้านอาหารอิตาเลียนก็แล้วกันนะคะ ช่าอยากทาน”

เขาพยักหน้า แล้วเดินควงแขนเธอไปขึ้นรถที่มาจอดเทียบรอ โดยไม่ได้ปรายตาคนขับรถของเขาที่ทำหน้าที่เปิดปิดประตูรถให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ก่อนจะขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย ขับรถออกไปจากโรงแรม ตรงไปสู่เส้นทางร้านอาหารที่เขาบอก

สายฝนหยุดไปแล้ว อนุชขับรถไปเรื่อยๆ แม้สายตาจะมองทางเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังเห็นการออดอ้อนออเซาะของหญิงสาว ที่นั่งเบียดกระแซะจนแทบจะเกยขึ้นไปบนตักนายเสาหินแล้ว สายตาก็เชิญชวน นิ้วเรียวกรีดกรายไปบนเสื้อสูทของเขา ปลายเกยคางกับไหล่หนา ชี้ชวนให้ดูบางอย่างในโทรศัพท์ที่วิบวับเพราะคริสตัลที่แต่งแต้มไว้

เธอแอบยิ้มเมื่อได้ยินเสียงยัยปากแดงพูดเป็นนกแก้วนกขุนทองอยู่เพียงคนเดียว ส่วนนายเสาหินนั้นเธอไม่ได้ยินเสียงเขาตอบเลย แล้วทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเห็นสายตาคมตวัดมองมาเห็นรอยยิ้มของเธอเข้า ไม่นานรถยนต์หรูก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าร้านอาหารอิตาลี เธอรีบเปิดประตูลงจากรถไปเปิดประตูให้เขากับยัยปากแดง

ทั้งคู่เดินควงเข้าไปในร้าน เธอก็มองหาที่นั่ง พอเห็นว่ามีสวนหย่อมไว้ให้นั่ง ก็เปิดประตูรถหยิบกระเป๋าผ้าของตัวเองออกมา เดินไปนั่งที่ม้านั่งทันที เปิดกระเป๋าหยิบขนมปังไส้กรอกกับน้ำออกมา กินจนอิ่ม ก็หยิบโทรศัพท์มือถือราคาถูก โทรไปหาคนเป็นพ่อ ซึ่งป่านนี้คงจะห่วงเธอไม่น้อยไปกว่าที่เธอห่วงท่านเหมือนกัน

“คุณคิมว่าอะไรหรือเปล่าลูก” เสียงคนเป็นพ่อถามขึ้นทันทีที่เธอทักทายไป

“ไล่กลับ”

“อะไรนะ!”

เสียงตกใจจนเธอต้องรีบบอกว่า “แค่ตอนแรกเท่านั้นจ้ะพ่อ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พ่อสบายใจได้ แล้วพ่อเป็นยังไงบ้าง ทานข้าว ทานยา หายเวียนหัวปวดหัวหรือยัง”

“ถามเป็นชุดเลย” เสียงสัพยอกดังมาให้เธอยิ้ม พร้อมกับฟังเสียงที่บอกว่า “ดีขึ้นแล้วลูก ไม่ต้องห่วงพ่อ ดูแลคุณคิมให้ดีก็พอ และอย่าไปเถียงคำไม่ตกฟาก เหมือนเวลาอยู่กับพ่อละ คุณคิมเขาไม่ชอบคนพูดมาก”

“ไม่ทันแล้วพ่อ”

“อนุช”

เสียงติดจะดุนั้นทำให้เธอหน้าตูม เพราะยังมีเสียงอบรมออกมาอีกหลายประโยค “ก่อนไปพ่อก็สั่งแล้ว ทำไมไม่ฟัง แล้วนี้ไปพูดอะไรกับท่านบ้าง ท่าน...”

เสียงยังดังมาอีกหลายคำ จนเธอรับปากว่าจะพยายามอดทนนั่นแหละ คำของพ่อจึงได้หยุดไป จากนั้นเธอก็เล่าให้พ่อฟังว่าครึ่งวันนี้เธอพาเขาไปไหนมาบ้าง ไม่นานก็วางสาย หยิบงานตัวเองมาทำ แต่คราวนี้เธอระวังไม่ให้เขาเห็นว่าเธอทำงานอื่น ในเวลาทำงานให้เขา
*******

อาคารศิริ ตั้งเด่นอยู่บนถนนสายหลักของเมืองหลวง ด้านหลังตึกนั้นห่างจากแม่น้ำที่เปรียบเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของเมืองเพียงแค่ห้าสิบเมตร รอบตัวตึกก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ที่จัดเป็นสวนไว้ให้ทุกคนได้มาพักผ่อนหย่อนใจหลังจากการทำงานที่หนักและตึงเครียด

อาคารหลังนี้สูงสามสิบชั้น เป็นทั้งโรงแรม ศูนย์การประชุม การค้า ที่รองรับนักท่องเที่ยว บุคคลชั้นนำต่างๆมาแล้วมากมาย เพราะตั้งอยู่ในที่ๆเรียกว่าทำเลทอง เจ้าของก็คือนายศิระกับนางศิริ ศิริรัตน์ มีลูกสาวสองคน คือ ศิริโสภากับศิริพักต์ ศิริโสภานั้นแต่งงานไปอยู่กับสามีที่อเมริกา จึงมีแต่ศิริพักต์ที่ดูแลกิจการทั้งหมดของตระกูล

นายศิระ เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อน นางศิริกับศิริพักต์ลูกสาว จึงจับมือกันมากุมบังเหียนมรดกชิ้นนี้ไว้ ท่ามกลางการแก่งแย่ง ที่ไม่ใช่แค่ทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังมีเครือญาติที่อยากจะครอบครองเป็นเจ้าของอาคารนี้เช่นกัน โดยเฉพาะลูกพี่ลูกน้องสายเลือดทางฝ่ายบิดาที่พร้อมจะเลื่อยเก้าอี้ที่นั่งอยู่ทุกเวลา

“คุณศิครับ”

เสียงที่เรียกดังขึ้นข้างหลัง ทำให้หญิงสาวในวัยสี่สิบห้า แต่ยังสาวสวยอย่างกับหญิงสาวในวัยสามสิบ ยืนมองวิวนอกกระจกอยู่ในห้องทำงาน หันหน้ามามองคนที่เรียก หญิงสาวในวัยสามสิบเลขาของเธอ วีรยุทธ วัชระ ที่มีความสัมพันธ์เป็นญาติห่างๆกับเธอนั่นเอง

“มีอะไรเหรอวี”

“คุณศิลืม” วีรยุทธเรียกศิริพักต์ว่าคุณตั้งแต่เด็ก เพราะแม่ของเธอที่เป็นเครือญาติกับศิริพักต์สอนให้เรียก

เสียงตอบกลับเหมือนจะหยั่งความทรงจำ ทำให้คิ้วเรียวของนายสาวขมวดเข้าหากัน ก่อนจะยิ้มออกมา พร้อมกับเดินมาที่โต๊ะทำงาน “ไม่ลืมหรอกว่าบ่ายนี้ฉันมีประชุมสำคัญ” เสียงบอกพลางหลุบตามองนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือ “เหลือเวลาอีกครั้งชั่วโมง นัดสำคัญก็จะมาถึง แต่เธอมีเรื่องอื่นมาคุยกับฉันอีกไหม”

“มีครับ ตารางเวลาของวันนี้ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ว่าบ่ายนี้งานต้องเป็นของเรานะครับ”

“ฉันก็หวังอย่างนั้น แต่เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่าย ครั้งนี้เราประชุมกับเสือ ที่ฉันได้ยินมาว่าเขาเก่งกาจในชั้นเชิงธุรกิจนัก งานไหนที่เขาจับหรือจ้องไว้ ไม่เคยพลาด แถมยังโสด หล่อ รวย เฟอร์เฟคไปเสียทุกอย่าง ที่สำคัญยังไม่มีผู้หญิงคนไหนจับจองเป็นเจ้าของหัวใจ”
“ใช่ครับ และเพราะเขาเป็นแบบที่คุณศิว่า จึงมีข่าวล่ำข่าวลือเกี่ยวกับเขามากมาย และทำให้ผมต้องล้วงลึกหาข้อมูลของเขามากกว่าคนอื่นๆเพื่อไม่ให้งานพลาด ก็ได้ข่าวสำคัญมากๆมาข่าวหนึ่ง” คำพูดนี้เรียกความสงสัยจากสีหน้านายสาวทันที เลขาหนุ่มจึงพูดต่อโดยไม่ต้องให้ถาม “คุณศิมานั่งก่อนไหมครับ เพราะสิ่งที่ผมจะบอกอาจจะมีหลายคำถามตามมา”

ศิริพักต์ยิ้มให้บางๆแล้วเดินเข้ามานั่งที่โซฟานุ่มมุมห้องทำงาน วีรยุทธก็เดินตามมานั่งตัวตรงกันข้าม แล้วพูดขึ้นมา “คุณศิเคยสงสัยไหมครับ ว่าทำไมชื่อของเขาถึงมีคำว่าชโรบลรวมอยู่ด้วย”

“ไม่ เพราะเขามีแม่เป็นคนไทย ซึ่งธรรมดาของลูกครึ่งก็มักจะมีสกุลของคนเป็นแม่หรือพ่อร่วมอยู่ในชื่อสกุลอยู่แล้ว”

“ถูกครับ แต่คำว่าชโรบลไม่ใช่เป็นนามสกุล มันเป็นชื่อ ชื่อคนสำคัญที่เพียงเอ่ยออกมาคุณศิก็จะรู้จักทันที”

“ใคร”

“ท่านผู้หญิงชโรบล วงค์มหาจักร”

ศิริพักต์รู้จักจริงๆ เพราะครอบครัวเธอกับครอบครัวท่านผู้หญิงนั้นไปมาหาสู่กันอยู่ แม้ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกันแต่ก็นับถือกันอยู่ ซึ่งเธอไม่เคยได้ยินว่าท่านมีหลานชายเป็นลูกครึ่งเลย หรือว่า... เธอนึกไปถึงลูกสาวเพียงคนของท่านที่ไปอยู่ต่างประเทศ แล้วได้ข่าวว่าเสียชีวิตไปจากสาเหตุอาการป่วย

“คุณศิไม่สงสัยอะไรเหรอครับ” วีรยุทธถามเมื่อเห็นสีหน้านายสาวยังนิ่งเรียบ

“เธอพูดมาได้เลย”

“เขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวที่เกิดจากลูกสาวที่เสียไป แต่ไม่ใช่จากอาการป่วยอย่างที่ได้ยินมานะครับ ข่าวที่ผมได้มานั้นบอกว่าเพราะตรอมใจจากความเจ้าชู้ของสามี และข่าวลือที่ว่าหัวใจของนายคิม คาร์ริก ตายด้าน ไม่อยากมีความรักก็คงจะจริง คงไม่อยากตรอมใจเหมือนคนเป็นแม่”

“ผู้หญิงที่เห็นอยู่ข้างกาย จึงเป็นแค่คู่ควง แต่บางข่าวก็บอกว่าเขาเป็นชายรักชาย การมีผู้หญิงก็แค่สิ่งของที่ใช้ปกปิดเรื่องนี้ของเขาเท่านั้น ที่สำคัญน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องของเขา เพราะไม่เคยปรากฏว่าเขาคบหากับใครเป็นเพื่อนเลย และที่สำคัญเหนือกว่าสิ่งที่เธอสืบมาเขามีแม่เลี้ยงสาวสวยอยู่ข้างตัวด้วย”

“คุณศิรู้”

“บางเรื่องที่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดเสมอไป ใช่ไหม”
วีรยุทธรู้สึกเหมือนเด็กอ่อนหัดแล้วมาท้ารบกับผู้ใหญ่ที่เก่งกาจ ยิ้มเขินให้ตัวเองและชมความแยบยลของนายสาว ที่ใช้ความนิ่งสยบความเก่งของเขาได้อยู่หมัด และไม่อยากจะเชื่อว่าเลขาที่มีประสิทธิภาพอย่างเขาจะพลาดความลับข้อนี้

“ข่าวล่ำข่าวลือนะ ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน และเชื่อถือไม่ค่อยได้ด้วย จะใช้มาตัดสินใครก็ไม่ได้เช่นกัน”
“ก็จริงครับ แต่บางทีข่าวล่ำข่าวลือก็เกิดมาจากข่าวที่มีมูลความจริงอยู่บ้างนะครับ เหมือนที่เขาเปรียบเทียบกันไว้ว่า ถ้าไม่มีมูลหมาก็ไม่ขี้”

“แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น สิบตาเป็นก็ไม่เท่าเราได้เจอได้สัมผัสด้วยตัวเอง ในเมื่อยังไม่เจอก็อย่าไปตัดสิน อย่าไปมองเขาแบบนั้นเด็ดขาด และควรเก็บสิ่งที่รู้ไว้ให้ดี ไม่งั้นเธออาจจะเจอดีเสียเอง เพราะถ้าไปสืบข้อมูลเขาได้ลึกขนาดนี้ ก็น่าจะรู้คนของตระกูลนี้เป็นยังไง”

“ครับ นี่ก็เสียวๆอยู่ ว่าจะมีใครมาเอามือมาแตะไหล่แล้วซัดเปรี้ยงเข้าที่หน้าบ้าง”

“อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเธอก็จะรู้”

“อย่าพูดให้ผมกลัวซิครับ” ว่าแล้ววีรยุทธก็ยิ้มขำ พลางมองนายสาวที่เขารับใช้มาเกือบสิบปี เรื่องธุรกิจนั้นเธอก็เก่งไม่น้อยกว่าใครเหมือนกัน ไม่งั้นคงไม่นำพาศิริกรุ๊ปให้เติบโตมาถึงทุกวันนี้

“หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด และถ้าพลาดเพียงนิดเดียว เราก็จบเห่”

“จะไม่มีอะไรพลาดครับ เพราะผมเตรียมทุกอย่างไว้ยิ่งกว่าพร้อมเสียอีก”

“ขอบใจนะวี แล้วมีอะไรอีกไหม”

“ไม่มีแล้วครับ”

ศิริพักต์ยิ้มให้เพียงนิด ก็ลุกเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน หยิบแฟ้มเอกสารหลายแฟ้มที่รอให้ลงชื่อมาเปิดอ่าน ตรวจทานด้วยความรอบคอบก่อนจะเซ็นต์ชื่อลงไป

วีรยุทธมองนายสาวที่จดจ่ออยู่กับงาน ก็ได้แต่สงสาร เท่าที่จำได้ ห้าปีที่ผ่านมา เขาก็เห็นเธอทำแต่งาน ชีวิตส่วนตัวของเธอนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรมากมาย แต่ที่รู้แน่ๆคือเธอโสด ไปเที่ยวหรือก็น้อย สังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็แทบจะไม่มี ทั้งๆที่มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ เดินเข้ามาหาให้เลือกเป็นคู่ใจมากมาย หลายคนดีเลิศเทียบเท่าเธอ บางคนก็มากกว่าเธอก็มี แต่เธอก็ไม่สนใจใคร

‘เพราอะไร’
เขาถามตัวเองมาหลายครั้งและถามคนเป็นแม่ที่พอจะรู้จักอดีตของเธอ แต่แม่ก็บอกว่าไม่รู้ เขาจึงยังไม่ได้คำตอบและไม่กล้าถามเธอด้วย

แฟ้มเอกสาราถูกยื่นมาให้เขา ซึ่งยื่นมือไปรับแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เพียงได้ยินเสียงประตูปิดลง ศิริพักต์ก็ละสายตาจากเอกสารที่อ่านอยู่ หมุนเก้าอี้ไปมองผ่านกระจกใสห้องทำงาน นกตัวน้อยที่บินอย่างอิสระนั้นทำให้เธออิจฉา ไม่ใช่เพราะอิสรภาพที่มันมี แต่เป็นหัวใจที่ไม่ต้องแบกรับอะไรต่างหาก
*******
บ่ายโมงตรง รถเบนซ์คันหรูก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของอาคารศิริ คนขับรถรีบเปิดประตูรถออกมาทำหน้าที่ให้เจ้านายด้วยความนอบน้อม ร่างสูงออกมายืนอยู่ข้างรถ ขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อยก็จะก้าวเดิน แต่...

“เดี๋ยวครับ” เสียงคนขับหวานยังกับผู้หญิงแต่รูปลักษณ์นั่นคือผู้ชาย แต่ก็หยุดเท้าของคนที่กำลังจะก้าวไปไว้ได้ และหันมามองด้วยสายตาที่เป็นคำถามว่ามีอะไร เธอจึงใช้ปลายนิ้วชี้ที่ปลายคางตัวเองบอกใบ้ให้เขารู้ว่ามีบางอย่างติดอยู่ แต่เขาไม่มองตามที่เธอบอก นอกจากจะถามว่า

“มีอะไร”

“ลิปสติกติดอยู่ที่ปลายคางคุณ”

คิม คาร์ริก นิ่งไปเมื่อรู้ว่าใครฝากไว้ให้ เขาออกอาการหงุดหงิดเพราะไม่ชอบให้ใครมาแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ คงเป็นตอนที่เธอจูบลาเขาเมื่อกี้ เห็นทีต้องทำบางอย่างให้รู้ตัวเสียแล้วว่าอย่ามาล้ำเส้นที่เขาขีดไว้ “เช็ดออกให้ฉันซิ”
อนุชกะพริบตา เพราะไม่คิดว่าเขาจะใช้เธอ “คุณมีผ้าเช็ดหน้าเปล่าละ”

“ไม่มี”

“แล้วจะเช็ดกับอะไร”

ถามแล้วก็เม้มริมฝีปากเพราะไม่มีคำตอบใดออกมา จึงต้องครุ่นคิดว่าจะทำยังไง จะเอาผ้าเช็ดหน้าเธอออกมาเช็ดรอยลิปสติกของผู้หญิงอื่นให้เปื้อนก็ไม่ใช่เรื่อง แต่จะปล่อยให้เขาไปคุยงานทั้งที่ที่ปลายคางแดงเป็นรูปปากอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ จึงเดินไปยืนใกล้ๆ แล้วยกมือขึ้นใช้ชายแขนเสื้อขึ้นจะเช็ดให้เขา แต่ดวงตาคมมองอย่างไม่พอใจ หญิงสาวจึงมองตอบ พลางถามว่า

“จะให้เช็ดไหมคะ”

ดวงตาคมมองนิ่งเพียงอึดใจ ก็เชิดหน้าขึ้นบอกความจำใจรับความอนุเคราะห์แย่ๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะมีมาก่อน เพราะผู้หญิงที่อยู่ใกล้เขาแต่ละคน จะพกผ้าเช็ดหน้าหอมกรุ่นหรือไม่ก็กระดาษทิชชูนุ่มเนียนหอมมากเช่นกัน แต่หญิงสาวในคราบผู้ชายคนนี้ไม่มี ช่างเป็นผู้ชายได้แนบเนียนจริงๆ

อนุชจึงใช้ปลายแขนเสื้อเช็ดรอยลิปสติกของยัยปากแดงที่ฝากไว้ให้เขาก่อนจะแยกจากกันก่อนหน้านี้ อย่างทุลักทุเล เพราะเขาไม่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เธอเลย “คุณก้มลงมาหน่อยซิ ดิฉันเช็ดไม่ถนัด”

เสียงเธอบอกแต่เขามองเป็นคำสั่ง ซึ่งไม่เคยมีผู้หญิงคนใครสั่งเขามาก่อน นอกจากคนเป็นแม่ที่จากเขาไปนานแล้ว หรือแม้แต่เจ้าของคำที่รวมอยู่ในชื่อเขา คิมคอแข็งและไม่ทำตาม อนุชจึงมองอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่ก้มก็เชิญเช็ดเองแล้วกัน”

“มีปัญญาแค่นี้เหรอ”

“มากกว่านี้ก็มี” เสียงเธอออกจะขุ่นเมื่อถูกดูถูกอีกครั้ง แล้วกระโดดขึ้นหลังเขา คนที่ไม่ทันตั้งตัวและไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำ เซไปเล็กน้อย พอตั้งตัวได้ก็จะเหวี่ยงตัวเธอทิ้ง แต่เธอไวยังกับลูกลิง เช็ดรอยแดงแรงจนเขารู้สึกแสบ แล้วลงมายืนมองอยู่ตรงหน้าเขา พลางยิ้มออกมาราวกับได้สร้างผลงานครั้งยิ่งใหญ่ “หมดแล้ว เชิญคุณไปได้”

“กล้ามากนะ” เสียงเขาเค้นออกมา ขณะนัยน์ตาก็วาวขึ้นราวกับยักษ์ที่จะจับมนุษย์หักคอ ขณะที่ใจก็เดือดดาลอยากฟาดก้นคนที่อยู่ตรงหน้าสักสองสามที

“ถ้าไม่กล้าแล้วจะให้ทำไงคะ”

สิ้นเสียงท้าทาย ฝ่ามือหนาก็ฟาดลงที่ก้นหญิงสาวทันที “เพี้ยะ”

“อุ้ย” เสียงร้องบอกความตกใจมากกว่าจะเจ็บ และมองคนตีอย่างคาดไม่ถึงว่าเขาจะทำกับเธอแบบนี้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความโกรธ แต่เขาจะมีสีหน้ารู้สึกใดๆด้วยรึก็ไม่ นอกจากความเฉยชาเท่านั้น

“จำไว้ว่าฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”

“ไม่เคยเห็นว่าเป็นอยู่แล้ว”

“แล้วเห็นว่าเป็นอะไร”

“คนเย็นชา บ้าอำนาจ เย่อหยิ่ง เอาแต่ใจและหยาบคายร้ายกาจที่สุด” เพราะความโมโหเธอจึงใส่เขาไม่ยั้ง ก่อนจะอึ้งไปเมื่อเขาบอกว่า

“จะจำไว้ และจำเพิ่มเข้าไปอีกอย่างว่า... เธอเป็นของฉัน”

*******
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ




pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2558, 16:54:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2558, 16:54:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 4410





   ตอน 2 >>
phakarat 9 ต.ค. 2558, 19:48:47 น.
กรีด กรีด เข้มแท้พ่อคู้ณ


แว่นใส 9 ต.ค. 2558, 20:55:47 น.
จองตัวและหัวใจไว้แล้ว


Zephyr 11 ต.ค. 2558, 16:04:07 น.
ไม่สนใจใครเพราะสนใจคนข้างตัวสินะ


ผักหวาน 24 พ.ย. 2558, 12:30:20 น.
ต๊าย จองหลังจากเช็ดรอยลิปสติกของคู่ควงให้นี่หรือคะ ไม่เอาเนาะหนูนุช


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account