เล่ห์รักบงการใจ

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 2

ตอน 2
คิม คาร์ริก เดินเข้าไปในอาคารศิริ ที่เขาต้องมาคุยเรื่องการจัดสัมมนาใหญ่ในรอบปีของธุรกิจในเครือคาร์ริก ซึ่งจะจัดขึ้นอีกไม่นาน หลายบริษัทยื่นขอเสนอพื้นที่พร้อมอำนวยความสะดวกต่างๆให้เขา แต่ยังไม่มีที่ใดถูกใจเขา ผู้บริหารอาคารศิริเป็นรายล่าสุดที่ยื่นข้อเสนอน่าสนใจมาให้ เขาจึงต้องมาคุยพร้อมกับดูสถานที่ไปด้วย งานนี้เขามาด้วยตัวเอง เพราะไม่อยากให้ผิดพลาด

ธุรกิจของคาร์ริก มีทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ อัญมณี ส่งออกเครื่องโภคภัณฑ์ ซึ่งกระจายอยู่หลายประเทศ ฐานใหญ่อยู่ในอเมริกา ซึ่งพ่อกับพี่ชายต่างแม่ของเขาดูแลอยู่ ส่วนประเทศอื่นๆก็มีเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อดูแล โดยแบ่งผลประโยชน์ที่ยุติธรรม การคอรัปชั่นจึงไม่มี

แม่ของเขาพบรักกับพ่อที่อเมริกา ทั้งคู่อยู่กินกันได้สามปี ก็เลิกราด้วยสาเหตุเดียวคือพ่อเขาเจ้าชู้ ไปมีเมียใหม่ แม่เขาทนไม่ได้ จึงต้องเลิกรา แต่เขาก็ไม่เคยขาดความอบอุ่น เพราะพ่อให้ไม่เคยขาดแม่ก็เลี้ยงเขามาด้วยต้นทุนที่ดี เขาจึงได้รับแต่สิ่งดีๆ แต่คนดีมักอยู่ได้ไม่นาน แม่ลาจากไปอยู่บนสวรรค์เมื่อเขาอายุสิบห้า

พ่อเขานั้นเจ้าชู้มาก ไม่ว่าจะไปติดต่องานที่ประเทศไหน ก็จะได้เมียที่ประเทศนั้น และมีลูกด้วยกันเสมอ ส่วนใหญ่แล้วจะมีแค่คนเดียวและจะจัดตั้งบริษัทไว้รองรับลูกเมียทุกคน ดูแลไม่เคยขาดตกบกพร่องเลย ธุรกิจของคาร์ริก จึงมีผู้บริหารรุ่นใหม่ไฟแรง กล้าได้กล้าเสีย กล้าลุย จนเติบโตขึ้นมาครอบครองธุรกิจใหญ่ไปทั่วโลก

เขาถูกส่งให้มาอยู่บ้านเกิดของแม่ แม้ท่านจะไม่อยู่แล้ว แต่คนเป็นยายก็ให้ความรักเขามากมาย ส่วนญาติพี่น้องนั้นไม่สนใจ เพราะตราหน้าว่าพ่อทำให้แม่ต้องตาย ริมฝีปากเขาเหยียดออกหยันเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ แล้วเลิกใส่ใจ ระยะแรกคนเป็นพ่อก็มาอยู่เป็นกุนซือ ให้เรียนรู้งานต่างๆในบริษัทที่ไม่ได้มีพื้นที่ใหญ่โตมากมาย แต่อยู่ในอาคารหรูหรา พนักงานก็ไม่กี่คนเพราะบริษัทฐานใหญ่ซัพพอร์ตทุกเรื่องอยู่แล้ว

เขาเรียนรู้งานทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ ที่สำคัญคือร่างกายที่ต้องพร้อมทุกสถานการณ์ ซึ่งถูกฝึกมาจากฐานใหญ่ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าคู่แข่งหรือศัตรูจะมาในรูปแบบไหนก็รับได้ จึงไม่ยากที่จะกุมบังเหียนงานของบริษัทที่นี่ แต่ถึงกระนั้นเขายังไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้เอง ทุกอย่างยังต้องผ่านคนเป็นพ่อเพื่อกันความผิดพลาด ก่อนจะค่อยๆปล่อยให้เขาเรียนรู้ถูกผิดมาเป็นปี ก็เริ่มจากถอยห่าง วางใจ สุดท้ายก็ทิ้งให้เขาเป็นผู้บริหารเต็มตัว

“สวัสดีค่ะ คุณคิม” เสียงทักทายดังขึ้นทันทีที่เขาเดินผ่านประตูอัตโนมัติเข้ามา สองมือยกขึ้นไหว้พร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนผายมือเชิญ “ด้านนี้ค่ะ” เขาก้าวตามหญิงสาวที่มาคอยต้อนรับ ไปยังห้องประชุมที่เตรียมไว้ ซึ่งเจ้าของอาคารมายืนรออยู่ตรงหน้าห้องประชุมพร้อมเลขานุการหนุ่ม

ศิริพักต์เปิดยิ้มให้เป็นด่านแรก ก่อนจะยื่นมือมาจับกระชับความสัมพันธ์ “สวัสดีค่ะคุณคิม ดิฉันศิริพักต์ ยินดีต้อนรับสู่อาณาจักรศิริกรุ๊ปค่ะ”

“สวัสดีครับ และขอบคุณที่ให้เกียรติ”

“ยินดีค่ะ และขอบคุณที่ให้เกียรติกับศิริกรุ๊ปเช่นกัน”

กล่าวทักทายกันเรียบร้อยแล้ว ศิริพักต์ก็เชิญเขาเข้าไปด้านใน โดยมีวีรยุทธเดินตามหลังไปพลางคิดว่า นายคิม คาร์ริกเห็นในรูปว่าหล่อคมแล้วตัวจริงนั้นเทพบุตรชัดๆ

ทุกคนในห้องประชุมซึ่งมาจากทุกฝ่ายในศิริกรุ๊ป ลุกขึ้นต้อนรับเขา ซึ่งเดินไปนั่งที่เก้าอี้นุ่มด้านหน้าตรงข้ามกับเจ้าของศิริกรุ๊ป จากนั้นการประชุมก็เริ่มด้วยการเปิดวีทีอาร์แนะนำอาคารศิริกรุ๊ป ที่มีความพร้อมในทุกๆด้าน เพื่อรองรับการประชุมใหญ่ของคาร์ริก ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่พร้อมด้วยเทคนิคเทคโนโลยีล้ำๆ การคมนาคม อาหาร เครื่องดื่ม วิวทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ความปลอดภัยต่างๆ ที่จะมาสนับสนุนการตัดสินใจของคิม คาร์ริก ทุกอย่างโดดเด่น หรูหรา ดีพร้อม จนแทบจะหาที่ติดไม่ได้เลย

เมื่อวีทีอาร์จบลง เจ้าของศิริกรุ๊ป คุณศิริพักต์ ก็ลุกขึ้นพูด “นอกเหนือจากสิ่งที่ได้ดูจากวีทีอาร์ ผู้ที่เดินเข้ามาในอาคารของเรา ก็จะได้รับความคุ้มครองด้วยประกันชั้นหนึ่งทันที และทางเรายินดีที่จะรับผิดชอบทุกกรณีที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม และหรือหากคุณไม่พอใจในส่วนใด ศิริกรุ๊ปยินดีที่จะชดใช้ทุกอย่าง ตามสัญญาที่เราได้ตกลงกัน”

“ทางคุณมีคนทำงานนี้เท่าไหร่”

“หนึ่งผู้นำ ต่อบอร์ดี้การ์ดสามคนค่ะ ทุกคนได้รับการฝึกฝน ผ่านการรับรองจากสถานบันชั้นนำของประเทศและของโลก ตลอดระยะเวลาที่ศิริกรุ๊ปได้เป็นผู้นำด้านการจัดงานรับรองแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกมุมโลก เราไม่เคยมีความผิดพลาด ทุกอย่างดี พร้อม เรียบร้อยค่ะ”

น้ำเสียงบอกความมั่นใจของศิริพักต์ ไม่ได้บอกความรู้สึกใดๆแก่คิม คาร์ริกเลย สีหน้ากับแววตาเขายังนิ่ง จนหลายคนที่นั่งอยู่ด้วยรู้สึกอึดอัดเพราะเดาไม่ออกว่าเขาจะพอใจหรือไม่

“ผมอยากดูสถานที่จริง”

“เชิญค่ะ”

ศิริพักต์ตอบรับอย่างยินดี แล้วออกเดินนำลูกค้าคนสำคัญเพื่อไปดูสถานที่ที่จะใช้เป็นที่รับรองผู้บริหารในเครือคาร์ริกทุกคน โดยมีวีรยุทธ ผู้จัดการแต่ละฝ่ายที่มาร่วมประชุมเดินตามไปด้วย ทุกซอก ทุกมุม ทุกสถานที่บอกไว้ ผ่านสายตาของคิม คาร์ริก แต่ยังไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากเขา จนทั้งหมดมาหยุดยืนด้านหลังอาคารศิริ ซึ่งร่มรื่นด้วยสวนสวยและสบายตัวด้วยสายลมพัดที่พัดผ่านมา

“คุณคิม จะลองล่องเรือดูสถานที่ที่ทางเราจะบริการให้ความสำราญด้วยไหมคะ”

“ไม่” คำพูดสั้นๆ ไม่ยืดเยื้อเหมือนเคย ก่อนจะบอกว่า “คุณเตรียมทุกอย่างไว้เยี่ยม ขอบคุณที่สนองความต้องการของเราอย่างดี แล้วผมจะติดต่อมา”

พูดจบ ร่างสูงก็หมุนตัวจะเดินไปทันที ศิริพักต์จึงรีบบอกว่า “ดิฉันจะไปส่ง” ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ เจ้าของศิริกรุ๊ป จึงเดินเคียงข้างผู้บริหารคาร์ริกไปตามทางเดิน โดยมีสายตาของทุกคนในคณะมองตามไป พลางคิดว่าทั้งคู่ดูเหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก แม้อายุจะห่างกันแต่ราศีที่จับตัวอยู่ทำให้ระยะห่างกลายเป็นชิดทันที

ทั้งสองคนเดินเคียงข้างตรงมาที่ด้านหน้าอาคาร ทำให้หญิงสาวในคราบชายหนุ่มรีบเก็บงานที่ทำไว้ในกระเป๋าผ้า เด้งตัวขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน รีบเดินไปที่รถ เพื่อนำรถมารับเจ้านายของพ่อ แม้จะรู้สึกรอยฝ่ามือเขาที่ก้น แต่หน้าที่ของพ่อคือหน้าที่ที่สำคัญของเธอ จึงต้องเก็บไว้ลึกสุดใจ ซึ่งก็พอดีกับที่เขาเดินมายืนตรงหน้าอาคารพอดี

อนุชเปิดประตูด้านหน้าลงมายืนรอที่ประตูด้านหลัง เพื่ออำนวยความสะดวกให้เขา ขณะแอบมองหญิงสาวที่ยืนเคียงข้างเขาอยู่ ซึ่งสวยงามดูมีสง่าราศีผู้ดี จนเธออดชมอยู่ในใจไม่ได้ แถมยังยิ้มให้ก่อนจะหันไปคุยกับเขาด้วย

“ขอบคุณที่มาเยือนศิริกรุ๊ปค่ะ หวังว่าจะได้รับความไว้วางใจ ให้รับใช้นะคะ”

“ขอบคุณเช่นกันครับ”

คิม คาร์ริกพูดแค่นั้น อนุชก็เปิดประตูให้เขาก้าวเข้าไปนั่งในรถทันที ปิดประตูเรียบร้อยแล้วก็เดินอ้อมมาทำหน้าที่ของตัวเอง ขับรถเคลื่อนออกไปจากอาคารศิริกรุ๊ป

ศิริพักต์ยืนมองรถที่วิ่งห่างออกไปอย่างกับสนใจในตัวคิม คาร์ริก แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ ที่เธอสนใจคือใบหน้าของคนขับรถของเขา ที่ทำให้เธอคิดถึงใครบางคน ที่ฝั่งลึกอยู่ในใจเธอมานานกว่ายี่สิบปีต่างหาก

“มองไม่ละสายตาขนาดนั้น หวังเรื่องงานหรือเรื่องอะไรละ”

เสียงที่ดังขึ้นข้างหลัง ทำให้ศิริพักต์ต้องเก็บกดทุกความรู้สึกไว้ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วก็หันหน้ามามองศิวะ ศิริรัตน์ ลูกพี่ลูกน้อง ลูกชายเพียงคนเดียวของพี่ชายของพ่อเธอ ที่คอยแต่จะเลื่อยขาเก้าอี้ของเธอเพื่อเพื่อตำแหน่งประธานศิริกรุ๊ป ซึ่งยืนเอามือล้วงกระเป๋า มองเธอด้วยสายตาที่เหยียดอยู่ในที

“เรื่องงานค่ะ” เธอบอกด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มนิดๆ

“แล้วจะสมหวังหรือเปล่าละ”

“ช่วยภาวนาซิคะ จะได้ด้วยไง” พูดจบ เธอก็เดินจากไป แต่ไปได้ไม่ไกล เมื่อร่างสูงหมุนตัวมายืนขวางหน้าไว้

“พูดแบบนั้นหมายความว่าไง”

“แล้วแต่จะคิดจะ เอาแบบที่พี่สบายใจแล้วกัน แต่สำหรับศิแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”

“จะลองดีกันเหรอ” น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความกร้าวไว้ ไม่ได้ทำให้ศิริพักต์หวั่นแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังยิ้มให้ราวกับรู้ทันเสียอีกแล้วเดินจากไป ทิ้งให้คนข้างหลังกำมือที่ซุกอยู่ในกระเป๋าไว้แน่น เพราะคำพูดนั้นท้าทายเขาชัดๆ

ศิวะเหยียดริมฝีปากออกหยัน ก่อนจะหงุดหงิดไปทั้งใจ ที่เขายังไม่มีช่องทาง เขี่ยเธอให้พ้นจากตำแหน่งที่คู่ควรกับเขามากกว่าเธอ เพราะทำงานให้บริษัทนี้เติบโตขึ้นมามากมาย แต่ต้องมาตกอยู่ใต้อำนาจของเธอ เพียงเพราะเขาไม่ใช่ลูกของผู้ที่มีหุ้นอยู่มากกว่าเท่านั้นเอง จึงเป็นได้แค่รองและรอโอกาสที่สักวันเขาจะเขี่ยเธอให้พ้นไปจากตำแหน่ง และขึ้นมานั่งแทนเสียที
**********
รถเบนซ์คันหรูวิ่งไปบนถนนที่ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อนุชขับรถไปพลางแอบมองใบหน้าคมที่นิ่งไร้ความรู้สึกดั่งเสาหินที่เธอเปรียบไว้ ทั้งที่ไม่อยากมองเพราะยังโกรธที่เขาตีก้นเธอ ส่วนคำพูดนั่นเหรอ เธอไม่ได้ใส่ใจ เพราะมันเป็นแค่คำที่เขาไว้กำราบเธอเท่านั้นเอง

เธอบอกตัวเองว่าให้เลิกมองเขา แต่ไม่รู้ทำไมสายตาเธอจึงคอยมองเขาร่ำไป และเห็นว่าสายตาเขามองตรงไปข้างหน้า นานครั้งจะกะพริบราวกับตัดเรื่องที่คิดอยู่ออกไป ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร และไม่เข้าใจว่าเขาจะนั่งถ่างตาอยู่ทำไม ทำไมไม่หลับตาพัก หลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน

‘เรื่องของคนรวย คนจนอย่างเธอคงไม่เข้าใจ’

อนุชบอกตัวเอง ก่อนจะเลี้ยวรถไปตามทางที่เขาบอกไว้ ซึ่งก็คือทางไปบ้านหลังเบ้อเร่อของเขา แต่แล้ว ...เอี๊ยด!!!
รถที่เบรกอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างหลัง ต้องยกมือขึ้นดันเบาะข้างหน้าไว้ สายตาก็ตวัดมองคนขับอย่างไม่พอใจ อนุชก็หันมามองเขาอย่างขอโทษขอโพย แต่โดนสวนกลับด้วยเสียงราวฟ้าผ่า

“บอกเหตุผลมา”

เธอสะดุ้งด้วยความตกใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนเป็นมองหน้าคมอย่างไม่พอใจ ที่ถูกเขาดุด้วยเรื่องที่ไม่สมควรจะดุเช่นเรื่องนี้ “ลูกแมววิ่งตัดหน้ารถค่ะ”

“แล้วเป็นไง ตายไหม”

คำถามที่ดูเหมือนจะไม่มีความเมตตากรุณาต่อสิ่งใด ทำให้อนุชยิ่งไม่พอใจนายเสาหิน จึงตอบกลับอย่างไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกยังไงเช่นกัน “ไม่รู้สิ”

ดวงตาคมวาบวับ จนอยากจะจับยัยเด็กปากกล้านี่หักคอ ก่อนจะสั่งด้วยเสียงเข้มๆ “ไปได้แล้ว”

“ขอไปดูมันก่อนได้ไหม”

“ไม่”

สิ้นคำว่าไม่ อนุชก็เปิดประตูรถลงไปหน้าตาเฉย คิม คาร์ริก ขบกรามเข้าหากันแน่น ที่เธอกล้าลองดีกับเขา แค่ตีก้นไม่เข็ดใช่ไหม แล้วเปิดประตูรถลงมาเพื่อจัดการเธอให้รู้ผลของการขัดคำสั่งเขา แต่เขายังไม่ทันได้พูดหรือดูอะไร ก็ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย” พร้อมกับบางอย่างที่ลอยมาหาเขา ซึ่งก็ยกมือขึ้นรับโดยทันที

เขาหลุบตาลงมองสิ่งที่อยู่ในมือ ‘ลูกแมว’ สมองเขาบอกได้แค่นั้น ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อมือ เขาพลิกฝ่ามือจับมันขว้างทิ้ง แต่...

“อย่า!”

เสียงร้องห้ามหยุดมือเขาไว้ พร้อมกับคนห้ามผวามาหาเขา เปิดปากถุงผ้าที่เขาไม่รู้ว่าเธอไปหยิบตอนไหน มาใส่ลูกแมวจากมือเขาไป และถือไว้อย่างปกป้องพลางมองหน้าเขาอย่างกับเขาเป็นยักษ์เป็นมาร แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนไปและผวามายืนตรงหน้าเขา

“คุณบาดเจ็บ มันคงตกใจจึงข่วนคุณเข้า”

เสียงบอกนั้นทำให้คิมหลุบตามองข้อมือตัวเอง ที่ตอนนี้มีเลือดซึมออกมาเต็มข้อมือ และยังไม่ทันได้พูดอะไร ผ้าเช็ดหน้าสีขาวลายดอกสีม่วงก็มาซับเลือดให้เขาพร้อมเสียงทุกข์ร้อนดังขึ้น “รีบไปหาหมอกันเถอะ”

พูดจบอนุชก็เปิดประตูรถ ดันร่างสูงที่ยกมือขึ้นมาจับผ้าเซ็ดหน้าซับเลือดไว้ ให้เข้าไปนั่งในรถ แล้วรีบขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัย วางกระเป๋าใส่ลูกแมวไว้ที่เบาะข้าง ขับรถพาเขาไปหาหมอที่คลีนิค ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่เกิดเรื่อง เธอเฝ้ามองหมอทำแผลให้เขาและฉีดยาให้เขาจนเรียบร้อย สีหน้าที่ติดจะกังวลอยู่ตลอดเวลาจึงคลายลง เมื่อหมอบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่ต้องมาฉีดยากันเชื้อแมวบ้าให้ครบจำนวนเท่านั้น

“ขอบคุณครับ”

อนุชยกมือขอบคุณหมอ ซึ่งยิ้มให้อย่างไม่เป็นไร แต่... “แผลที่หลังมือ นั้นโดนแมวขวนมาด้วยหรือเปล่าหนู”

อนุชหลุบตามองมือตัวเอง พลางนึกได้ว่าเธอก็โดนแมวข่วนตอนที่ไปจับมันเหมือนกัน แต่ตอนนั้นมัวแต่ห่วงแมวห่วงเขาจึงลืมไป หมอจึงจับเธอทำแผล และจะฉีดยาให้ แต่คนไข้รีบถอยห่าง พลางบอกว่า

“ไม่ฉีดได้ไหมครับ”

“ไม่ได้ครับ เพราะแมวจรจัดอาจจะมีเชื้อบ้า เราต้องป้องกันไว้ก่อน”

“ไม่มียาทานแทนหรือครับ”
“ไม่มีครับ”

คำตอบของคุณหมอ ทำให้อนุชหน้าเสียเพราะกลัวเข็ม แล้วแอบมองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งก็มองมาอย่างไร้ความรู้สึกเช่นเคย ขณะที่คุณหมอก็รอคำตอบ พอหญิงสาวพยักหน้า ก็เตรียมยาเตรียมเข็มพร้อมจะฉีดทันที เธอมองเข็มที่อยู่ในมือคุณหมอ พอหมอเดินเข้ามาจะฉีด ก็หันไปกอดร่างสูงไว้แน่น ซบหน้ากับอกเขาอย่างหวาดกลัว

คิมยืนนิ่งงันอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่รู้สึกถึงความหวาดกลัวของเธอ เพราะสองแขนนั้นกอดเขาไว้แน่น แถมตัวยังแนบชิดจนเขารู้สึกได้ถึงสรีระของเธอ ความนุ่มของเนื้อตัวและทรวงสาว ที่ทำให้ใจเขารู้สึกแปลกๆ

คุณหมอที่มองอยู่ยิ้มให้กับความน่ารักของทั้งคู่ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองชายหนุ่มอย่างขออนุญาต เขาจึงพยักหน้าให้ฉีดยาอย่างเสียไม่ได้ เพียงปลายเข็มแทงเข้าเนื้อ อนุชก็สะดุ้ง แต่ไม่ถึงอึดใจ ก็ได้ยินเสียงคุณหมอบอกว่า

“เรียบร้อยแล้วครับ”

อนุชค่อยๆดันตัวออกมาจากร่างสูง สีหน้าเธอยังซีดด้วยความกลัว ก่อนจะยกมือไหว้ขอบคุณคุณหมอ จากนั้นก็ออกจากห้องหมอไปจ่ายเงิน รับยา ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ แม้หน้าจะยังซีดแต่ก็ทำหน้าที่ขับรถพาเขากลับมายังบ้านหลังเบ้อเร่อได้อย่างปลอดภัย จอดรถตรงบันไดทางเข้าไปในตัวบ้าน ก็ลงมาเปิดประตูให้เขา

คิมออกมาจากรถ ก็จะเดินขึ้นบันไดจะเข้าบ้าน แต่เพียงก้าวขึ้นผ่านได้สามขั้น เสียงอนุชก็ดังขึ้น “เดี๋ยวค่ะ” เธอเรียกไว้พร้อมกับเดินขึ้นมายืนตรงหน้าเขา “ดิฉันขอโทษ และขอบคุณสำหรับค่ารักษาพยาบาลค่ะ”

คิมแค่ปรายตามองแล้วเดินไป แต่ชายเสื้อก็โดนกระตุก เขาหันมามองอย่างไม่พอใจ แต่อนุชไม่สนใจว่าจะถูกเขามองด้วยสายตาแบบไหน เธอพูดในสิ่งที่ต้องการจะบอก “คุณเลี้ยงแมวได้ไหมคะ”

“บ้านฉันไม่ใช่สถานสงเคราะห์”

“แต่ถ้าคุณจะอนุเคราะห์ ก็ได้บุญมหาศาลเลยนะคะ อีกอย่างบ้านคุณออกใหญ่โต จะไม่เมตตาสัตว์สักนิดเหรอคะ”

คิมสบตาที่มีแววขอร้อง แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ก็มีเสียงลอยมาแทรกกลางระหว่างการพูดคุยของเขากับเธอ “คิมคะ”

อนุชอยากจะหันไปมองคนเรียก แต่เสียงเขาดังให้เธอได้ยินเสียก่อน “ได้ ไปเอามันออกมาซิ”

เธอยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แล้วรีบซอยเท้าลงบันได ไปหยิบกระเป๋าผ้าที่อยู่ในรถออกมา ก็เปิดปากถุงให้ลูกแมวตัวน้อยเดินออกมา

“ว้าย”

เสียงร้องนั้นทำให้อนุชยืดตัวขึ้นยืนพลางมองหญิงสาวที่เดินมายืนข้างร่างสูง รูปร่างเธอสวย ตามชุดที่ใส่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง หน้าตาก็สวย แต่ความสวยหมดไปเพราะเสียงพูดที่บอกถึงจิตใจที่มืดดำ

“แมวที่ไหนคะคิม ต๊าย หน้าตาน่าเกลียดจริงเชียว มันพลัดหลงเข้ามาหรือคะ ฟ้าจะบอกให้คนเอาออกไปทิ้ง”

อนุชรู้สึกสมเพชหญิงสาว แล้วเดินไปจับลูกแมวขึ้นมา พาไปยื่นให้กับคนที่จะอนุเคราะห์ให้ที่อยู่ที่กินมัน โดยไม่สนใจอาการอึ้งกิมกี่ของหญิงสาวที่จะเอามันไปทิ้ง และไม่รู้สาเหตุว่าทำไมนายเสาหินถึงเปลี่ยนใจ หรือเพราะ... เธอปรายตามองสาวสวยแต่หน้าบึ่งเพียงนิด ก็มองมือหนาที่ยื่นมารับลูกแมวไปไว้ในอุ้มมือ เรียบร้อยแล้วก็บอกว่า

“ผมกลับก่อนนะครับ”

เธอยกมือไหว้เขา แล้วเดินห่างออกมา ขณะที่คิมก็อุ้มลูกแมวเดินเข้าบ้าน โดยมีปลายฟ้า หญิงสาวที่มาหาเขาเดินตามไปติดๆ และริจะดัดจริตมารักแมว เอาใจเจ้าของ แต่ต้องล่าถอยเพราะทั้งแมวทั้งเขา ไม่สนใจเธอเลย
***********
ร่างอรชรที่เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไปนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้าของบ้านเลย เขากำลังมองหน้าลูกแมวที่นอนมองหน้าเขาอยู่บนตัก ส่งเสียงครางเบาๆ ก็คิดถึงเสียงของหญิงสาวในคราบผู้ชาย ที่ต่อปากต่อคำกับเขาอย่างไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำมาก่อน แถมยังว่าเขาใจจืดใจดำไม่มีความเมตตากรุณาอีกต่างหาก มุมปากของคิมหยักขึ้นหยัน ก่อนจะเปลี่ยนไปเหมือนจะยิ้มเพราะคิดถึงภาพที่เธอกอดเขาไว้ จนรู้สึกถึงความอวบอิ่มด้วยวัยสาว

“เหมียว”

เสียงลูกแมวที่ร้องออกมา หยุดความคิดทั้งหมดของเขาไว้ พร้อมกับปรับสีหน้าให้นิ่งเฉย เมื่อเห็นใครบางคนเดินเข้ามาหาเขาถึงห้องพักผ่อน

“วันนี้คิมกลับบ้านเร็ว มิน่าฝนจึงตกเมื่อเช้า”

เสียงหวานที่ได้ยิน นั่นคือเสียงของลักษณา ผู้หญิงในวัยสี่สิบห้าที่ยังสาวยังสวยยังอ่อนกว่าวัย แถมรูปร่างก็ยังดูดี เดินกรีดกรายในชุดอยู่กับบ้านสบายๆ เข้ามาหาคิม ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกเลี้ยงเธอ เพราะเธอเป็นเมียของพ่อเขา ที่มาอภิรมย์กับเธอตอนที่มาสอนงาน และชวนให้เธอไปอยู่ด้วยกันที่อเมริกา แต่เธอไม่ไป เพราะรู้ดีว่าเขาไม่หยุดที่เธอ จึงขออยู่ที่นี่อย่างสบายๆกับเงินทองที่เขามีให้เธอใช้มากมาย แถมบ้านที่เธอขอให้ปลูกอยู่ในบริเวณเดียวกับบ้านลูกเลี้ยงด้วย

“งานเสร็จเร็ว”

“ดีจัง งั้นไปทานข้าวกับคุณลักษณ์นะ”

“ผมไม่ว่าง”

“ไม่ว่าง ทำอะไรจ๊ะ”

“เหมียว”

เสียงเจ้าแมวน้อยที่ร้องขึ้น เป็นคำตอบให้ลักษณาหลุบสายตามองลูกแมวน่าตามอมแมม แต่มาอยู่บนตักของผู้ชายที่ไม่เคยชอบสัตว์เลี้ยงได้ยังไง “น่าตาน่ารักเชียว คิมไปได้มาจากไหนเหรอ”

“ข้างถนน”

คำตอบที่ได้ฟังสร้างความแปลกใจให้กับลักษณามากยิ่งขึ้น แล้วเดินไปนั่งบนโซฟาเดียวกันกับเขา ยื่นมือไปลูบหัวเจ้าแมวน้อยอย่างเอ็นดู “คิมจะเลี้ยงเหรอ”

ไม่มีคำตอบ นอกจากจะมองแมวที่ส่งเสียงร้องยังกับจะอ้อนเขา ลักษณาจึงแปลเป็นคำตอบว่าใช่ “ให้คุณลักษณ์ช่วยเลี้ยงไหม”

“อย่าลำบากเลยครับ”

“ลำบากอะไรกันจ๊ะ เรื่องของคิมก็เหมือนเรื่องของคุณลักษณ์นั่นแหละ อย่าคิดเป็นอื่นเป็นไกลซิ แล้วเมื่อกี้ปลายฟ้า เขามาทำอะไรให้คิมไม่สบายใจหรือเปล่า” เสียงลักษณาชวนคุย ขณะหยอกเย้าลูกแมวอย่างกับรักมันหนักหนา

“เปล่า”

“งั้นแสดงว่าคิมทำละซิ หน้าสวยๆถึงได้หงิกไปหาคุณลักษณ์ คิมอย่างถือสาเลยนะ ปลายฟ้าเขาก็เป็นคุณหนูที่ถูกเอาใจมาจนเคยตัว พอใครขัดใจนิดหน่อยก็เป็นแบบนี้แหละ และที่เป็นก็แค่อยากเอาใจคิมเท่านั้นเอง”

ไม่มีเสียงว่าอะไร ลักษณาก็ยิ้มเหมือนเข้าใจ “งั้นคุณลักษณ์ไม่กวนคิมแล้วดีกว่า พักผ่อนเถอะ วันหลังคอยทานข้าวกันก็ได้” พูดจบเธอก็ลุกขึ้น แต่ก่อนจะเดินออกไป ก็ถามย้ำถึงเรื่องลูกแมว ซึ่งการเงียบคือคำตอบจนเธอต้องล่าถอยออกไปในที่สุด

คิมไม่ได้มองการจากไปของแม่เลี้ยง เขาหลุบตามองลูกแมวตัวน้อย ที่วันนี้ดูเหมือนว่ามันจะทำประโยชน์ให้เขาไม่น้อย แล้วเรียกแม่บ้านให้มาเอาตัวมันไปดูแลให้ดีและอย่าให้หายออกไปจากบ้านเด็ดขาด ก็เดินขึ้นบันไดโค้งที่ทอดขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เดินตรงไปยังห้องนอนที่กว้างขวาง ล้อมรอบด้วยห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย และสระว่ายหน้า

ร่างสูงเดินเข้าไปในห้องทำงาน เพื่อสะสางงานที่ค้างให้หมดไป รวมถึงพิจารณาถึงอาคารศิริที่เขาไปดูมาวันนี้ด้วย ว่าจะไว้วางใจพอที่จะต้อนรับคนในตระกูลเขาหรือไม่


ลักษณาเดินตรงมาที่บ้านสีขาวของเธอ เพียงก้าวผ่านประตูบ้านเข้ามา ก็เห็นหญิงสาวที่เธอไปขุดจากบ้านนอก มาลอกคราบจนสวยใสไร้ที่ติด แต่สันดานหยาบๆนั้นยังมีอยู่ไม่เคยเปลี่ยน นั่งเป็นคุณหนูอยู่บนโซฟาตัวสวยของเธอ เปิดยิ้มหวานประจบพร้อมกับลุกขึ้นยืนรอจนเธอเดินไปนั่งบนโซฟาอีกตัว ก็เดินมานั่งเบียดลงข้างๆ วาดแขนไปกอดเอว วางปลายคางบนไหล่มน พลางบอกว่า

“หน้าคุณตึงหมดแล้วเดี๋ยวไม่สวยนะคะ ไปอาบน้ำให้สดชื่น ฟ้านวดหน้าให้ดีไหมคะ”

“ทำไมถึงทำไม่สำเร็จ”

คำถามเรียบแต่น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นทำให้แววตาของปลายฟ้าไหวเป็นระลอกคลื่น ก่อนจะข่มให้สงบและตอบอย่างระมัดระวัง “ก็เขาไม่สนใจฟ้า คุณก็เห็นนี่ค่ะว่าเขาเย็นชากับฟ้ามากแค่ไหน”

“แล้วทำไมถึงไม่พยายาม”

“คนเขาไม่สนใจ ทำยังไง เขาก็ไม่ชายตามองอยู่ดี สองปีมาแล้วที่ฟ้าพยายาม ขนาดแก้ผ้าตรงหน้าเขา เขายังไม่สนใจเลย หรือจริงๆที่เขาไม่สนใจฟ้าเลย เพราะเขาไม่แมนไม่ชอบผู้หญิงกันแน่คะ”

คำถามของปลายฟ้าทำให้ลักษณานิ่งไปเพราะเธอก็เคยคิดเรื่องนี้เหมือนกัน สิบปีที่เธออยู่ใกล้เขา ความสาวความสวยของเธอก็ไม่มีผลกับเขาเหมือนกัน แม้เธอจะไม่แสดงออกโจ่งแจ้ง เพราะคำว่าแม่เลี้ยงค้ำคอ แต่ผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่ใกล้กันก็เหมือนน้ำมันกับไฟ ที่จะต้องโหมเข้าหากัน แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย มีแต่เธอที่ร้อนรนเป็นไฟ แต่เขากลับเป็นน้ำ น้ำที่เย็นเหมือนน้ำแข็ง

“คุณคิดเหมือนฟ้าเหรอคะ”

“เปล่า” ลักษณาบอกพลางเอียงหน้ามามองหน้าปลายฟ้า “แต่ฉันกำลังคิดว่า ฉันเลี้ยงเธออยู่ได้ยังไงตั้งสองปี ทั้งที่เธอไม่ได้เรื่อง”

“คุณ” ปลายฟ้ายกหน้าขึ้นจากบ่าลักษณา แววตาไหววูบอย่างหวาดหวั่น เพราะพอจะรู้นิสัยของคนที่เลี้ยงดูเธออยู่ได้ดี ว่าภายใต้ความสวยนั้นร้ายแค่ไหน “จะไล่ฟ้าเหรอคะ”

“เปล่า แต่คิดว่าบางทีเธอควรจะไปทำงานที่อื่นได้แล้ว”

ปลายฟ้าหน้าซีด แล้วโถมตัวกอดลักษณาไว้แน่น “อย่าไล่ฟ้าเลยนะคะ” เธอรำพึงเสียงเศร้า “ให้ฟ้าอยู่กับคุณ ฟ้าจะปรับปรุงตัว จะทำให้ดีขึ้น จะ...”

“ไปเก็บผ้าเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”

เสียงตัดบทอย่างเฉียบขาดนั้นทำให้มือของปลายฟ้าร่วงลง น้ำตาปริ่มขอบตาเพื่อของความเห็นใจ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางที่จะได้รับ จึงลุกขึ้นเดินไปชั้นบน ลักษณาไม่ได้ปรายตามอง เพราะคนที่ไม่สามารถทำให้เธอสมหวัง ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเลี้ยงอีกต่อไป

************
บนเส้นทางที่การจราจรติดขัด สำหรับคนที่รีบเร่งกลับบ้านหรือไปทำธุระ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางไปไม่น้อย แต่ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับหญิงสาว ที่มีงานอดิเรกทำได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างอนุช เธอนั่งปักเขี้ยวหนุมานเสร็จพอดี ก็ถึงป้ายปลายทางที่จะลง

รถเมล์จอดนิ่งตรงป้าย เธอก็ลงมาจากรถพร้อมผู้โดยสารคนอื่นๆ เดินทองน่องไปยังซอยบ้านพัก ซึ่งเริ่มเปิดไฟขึ้นมาให้ความสว่างแทนที่ดวงอาทิตย์ที่ลับลาจากไปอีกวัน หน้าปากซอยเป็นตลาดนัด ที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า นำสินค้ามาวางขาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นปัจจัยสี่ที่ใช้สำหรับการดำรงค์ชีวิต

เสียงคนซื้อคนขายดังฝ่าเสียงเพลงกันอื้ออึ้งไปหมด อนุชเดินหลีกเดินแทรกผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่ บางครั้งก็ทักทายบางคนที่รู้จัก ไปยังร้านขายพวงมาลัยของเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งมีโต๊ะพับกางออกมาวางพวงมาลัย และปักเสาทำไม้คาดไว้ห้อยเพื่อให้ดูสวยงามด้วย

ไข่มุกเพื่อนของเธอขายพวงมาลัยตั้งแต่แบบธรรมดาพวงละห้าบาท ไปยังพวงละสิบบาทถึงร้อยบาท ขึ้นอยู่กับความสวยงามและการใช้วัสดุคือดอกมะลิในการร้อย ว่ามากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็ขายดีไม่น้อยเพราะข้างๆตลาดนัด มีศาลที่ชาวบ้านนับถือ จึงพากันมาบนบานขอเรื่องต่างๆอยู่เป็นประจำ

“อนุช” เสียงไข่มุกเรียก พลางส่งยิ้มมาให้ ซึ่งอนุชก็ยิ้มตอบพลางเดินมาหาจนมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ

“ขายดีไหม”

“ดี จนแทบจะทำไม่ทันแล้ว เพราะวันนี้เป็นวันพระ คนธรรมะ คนเล่นหวย คนบนบานเรื่องต่างๆจึงพากันมาซื้อเยอะกว่าทุกวัน” ไข่มุกบอกพลางจับดอกมะลิมาเสียบเข็มยาวๆที่ใช้สำหรับร้อยพวงมาลัย “ว่างหรือเปล่า ช่วยร้อยหน่อยซิ”

“ไม่ได้หรอกไข่มุก ฉันต้องรีบไปดูพ่อ เมื่อเช้าไม่ค่อยสบาย”

“ถ้าเรื่องลุงอนันต์ไม่ต้องห่วง แกสบายดีแล้ว เมื่อกี้ฉันก็เจอ ลุงแกออกมาซื้อของกิน และยังซื้อพวงมาลัยฉันไปไหว้พระด้วย แถมยังเล่าเรื่องเธอให้ฟังอีกว่าวันนี้ไปไหนมา แล้วเป็นไงไปขับรถแทนพ่อ สอบอมอหรือเปล่า”

“อนุชเสียอย่างสอบอมออยู่แล้ว”

น้ำเสียงนั้นโอ้อวดนิดๆนั้นทำให้ไข่มุกขำ จากนั้นยื่นเข็มร้อยพวงมาลัยให้เพื่อน ซึ่งก็รับไปทำทันที อนุชร้อยมาลัยได้สวยไม่แพ้ไข่มุก เพราะเรียนมาจากที่เดียวกัน สองคนช่วยกันร้อยช่วยกันขายไม่นานพวงมาลัยจากฝีมือทั้งสองคนก็ขายหมด อนุชเก็บอุปกรณ์ทั้งเข้มทั้งเชือก ริบบิ้นใส่ถุงไว้ให้เพื่อน ซึ่งเดินไปซื้อของกินมื้อเย็นนี้ ไม่นานก็กลับมาพร้อมขวดน้ำเย็นๆมาฝากเธอ

“น้ำส้มจ้ะ”

“แล้วของฉันละ” เสียงที่ดังขึ้นเรียกสายตาสองสาวให้หันไปมอง ศจีเพื่อนสมัยเด็กของทั้งสองคน ใบหน้าสวยด้วยการแต่งแต้มชุดที่ใส่ก็ไม่ต่างกัน เพราะอาชีพนางกลางคืนที่ทำเลี้ยงตัวเองมากกว่าเลี้ยงครอบครัว

“เอาของฉันไปก็ได้” อนุชบอก ไข่มุกก็ยื่นให้

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวยัยไข่มุกจะหาว่าฉันแย่งของเธออีก”

“นั่นมันสมัยเด็ก เธอแย่งมาฉันก็แย่งกลับ แต่สมัยนี้นะถ้าไม่ใช่ของรักของหวงของที่พอแบ่งปันกันได้ ไม่ต้องแย่ง ฉันยอมให้”

“นางเอกเสียไม่มี” เสียงนั้นติดจะหมั่นไส้เล็กๆ แล้วหันมามองไข่มุก “เมื่อกี้ฉันเจอพ่อเธอ ได้ข่าวว่าโรงงานที่ทำอยู่ถูกปิดเหรอ แย่จัง ที่เธอต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นมาอีก มีอะไรให้ฉันช่วยไหม”

“ขอบใจนะ เหนื่อยเพิ่มขึ้นอีกนิด ก็ไม่เป็นไรหรอก”

“อยากสบายเหมือนฉันไหมละ นั่งๆนอนๆ คืนละสี่ห้าพันบางคืนก็ได้เป็นหมื่น อยากกินอยากใช้อะไรก็ได้หมด ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ในตลาดแบบนี้ แล้วรูปร่างหน้าตาอย่างเธออ่อยไม่กี่คืนก็ไม่ต้องมานั่งแล้ว นอนอย่างเดียวก็พอ”

“ไม่ละ ฉันพอใจแบบนี้”

“ฉลาดเสียไม่มี” คำนี้ไม่ได้ชมแต่ประชดเสียมากกว่า “งั้นฉันไปละพี่แกะจะไปส่ง เดี๋ยวคอยนาน” ปากว่าแต่สายตาตวัดมาคล้ายจะเย้ยอนุช แล้วยิ้มให้ไข่มุกพลางโบกมือลา

ทั้งสองคนมองตามหลังไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็หันกลับมามองหน้ากัน “อย่าไปถือสาเลยนะ ศจีก็เป็นแบบนี้แหละ กระแนะกระแหนได้ทุกเวลา แต่ไม่มีอะไรหรอก” ไข่มุกเอ่ยขึ้นเพราะเข้าใจคำพูดที่ถูกทิ้งไว้เมื่อกี้

“ฉันรู้ และไม่เคยบ้าตามคำพูดพล่อยๆของศจีเลย เพราะฉันกับพี่แกะก็เป็นเพื่อนกันเหมือนกับเธอกับศจีนั่นแหละ ยัยนั้นชอบเขาอยู่ฝ่ายเดียว พอไม่ได้ก็หวงก้าง น่าเบื่อจริงๆ” อนุชว่าพลางส่ายหน้า แล้วรับน้ำส้มจากมือเพื่อนมาดื่มจนชื่นใจก็พูดขึ้นมาอีกว่า “แล้วเรื่องของเธอละ ตกลงเป็นยังไง”

“อย่างที่ศจีพูดนั่นแหละ บริษัทที่พ่อทำงานอยู่ ปิดตัวลง เพราะสู้ค้าจ้างที่แพงขึ้นไม่ไหว เจ้าของจึงต้องปิดแล้วย้ายไปเปิดใหม่ที่ประเทศเพื่อนบ้านที่ค้าจ้างถูกกว่า พ่อเลยจะไปขับแท็กซี่ ฉันก็ต้องคิดเรื่องเรียนใหม่ ปิดตายมหาลัยปิด โอนไปเรียนมหาลัยเปิดคงดีที่สุด พ่อกับแม่จะได้ไม่เหนื่อย และไม่ต้องมีหนี้ตามมาด้วย”

“ก็จริงนะ” อนุชพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “สมัยนี้การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐเหมือนการไม่มีโรคนั่นแหละ เพราะดอกเบี้ยแสนแพง แถมเวลาทวงก็โหดถึงขั้นทำร้ายกันหรือไม่ก็ฆ่า อยู่อย่างพอเพียงคิดแบบพอดีมีความสุขดีออก”

“ใช่ แล้วยังมีเวลามาขายพวงมาลัยได้อีกตั้งเยอะ แต่ต้องขยันมากกว่าเรียนมหาลัยปิดเพราะหัวสมองฉันมันขี้เลื้อย ไม่เก่งอย่างเธอ”

“ไม่จริงหรอก วันนี้ก็มีคนบอกว่าฉันโง่อยู่”

“ใคร” ไข่มุกถามอย่างสงสัย แต่อนุชกลับส่ายหน้าพร้อมกับบอกว่า

“ช่างมันเถอะ อย่าไปใส่ใจให้รกสมองเลย แต่เธอคิดดีแล้วนะ ถ้าเราฉลาดแต่ไม่แสวงหาความรู้อื่นๆมาประกอบ โดยเฉพาะความขยัน เราก็ไม่มีวันที่จะประสบความสำเร็จ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มาด้วยความฉลาดอย่างเดียว ต้องมีสิ่งอื่นๆอีกมากมายมาช่วยด้วย เช่นกันถ้าเธอขยันทั้งอ่านหนังสือ ทั้งทำงาน ความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินฝันหรอก เชื่อซิ”

ไข่มุกยิ้มให้เพื่อนที่ให้กำลังใจเธอ “ขอบใจนะนุช ฉันก็คิดอย่างนั้น แม้ว่าความจริงบางทีทฤษฎีกับปฏิบัติมันมักสวนทางกันก็ตาม” ว่าแล้วไข่มุกก็ดูดน้ำส้มปลอบใจตัวเอง แล้วรำพันปนอิจฉาออกมามานิดๆ “เธอนี่โชคดีนะ ถึงจะมีแต่พ่อแต่ก็ดูแลเธออย่างดี ทำแต่งานไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่มีแม่เลี้ยงมาให้ต้องรำคาญใจ ทำไมฉันไม่โชคดีอย่างเธอน่า”

“แล้วตัวเธอไม่โชคดีตรงไหน ถึงจะมีพ่อขี้เหล้าไปนิด แต่รับผิดชอบดีไม่ใช่เหรอ” อนุชบอกทั้งที่ภูมิใจในตัวพ่อ จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันถือของเดินกลับบ้านที่อยู่ในซอยเดียวกัน บ้านของไข่มุกถึงก่อน อนุชส่งของทั้งหมดให้เพื่อนก็เดินต่อไปอีกสิบหลังก็ถึงบ้านเธอ ที่มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยม มีระเบียงด้านหน้าไว้วางกระถางต้นไม้ กับเก้าอี้ไม้รับแขกขนาดเล็กสองตัว

“กลับมาแล้วจ้ะพ่อจ้า”

เธอส่งเสียงบอกพ่อพลางเดินเข้าไปในบ้าน แต่เท้าที่ก้าวผ่านประตูเข้ามาต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นว่าพ่อมีแขก แขกที่รู้ว่าพ่อไม่ได้เชิญมา แต่เชิญตัวเองมา ทั้งที่พ่อพยายามบ่ายเบี่ยงตลอดมานั่นเอง และหน้าตาของพ่อตอนนี้ก็เรียกได้ว่าอดทนจนเต็มกลืนเต็มทีแล้ว เธอกัดฟันกลั้นเสียงหัวเราะไม่ให้ขำหน้าพ่อ ก่อนจะถามแขกที่ดูจะไม่ขยับไปไหน

“อ้าวเจ๊สุดใจ ว่างเหรอจ้ะ ถึงมาคุยกับพ่อได้”

“ว่างจ้ะ แล้วเลิกเรียกพี่ว่าเจ๊ได้แล้ว มันจั๊กจี้” สุดใจ สาวอ้วน เจ้าของร้านชำสุดซอยตอบ พลางยิ้มหวานให้อนุช

“จริงเหรอเจ๊ เอ๊ยพี่ แล้วมาทำไมจ๊ะ หรืออยากจะให้พ่อนุชเล่นจ้ำจี้มะเขือด้วย”

“บ้า น้องนุช” สุดใจว่าพลางบิดมืออย่างอายๆ แต่สายตาวิ้งๆ ก่อนจะถามทีเล่นทีจริง “ว่าแต่เล่นได้เหรอจ๊ะน้องนุช”

“ได้ แต่ไอ้ที่พี่ฝันว่าจะได้จ้ำๆจี้ๆ นะคือตีนพ่อนุชนะ เอามั๊ย”

“ว้าย หยาบคาย” สุดใจอุทานออกมา พลางทำท่าสะบัดสะบิ้งค้อนอย่างเคือง “พี่กลับบ้านก่อนดีกว่า กลับนะคะพี่นันต์ แล้วพรุ่งนี้สุดใจจะมาหาใหม่” พูดจบก็ยิ้มหวานพลางก้าวเดินไปที่ประตูบ้านโดยไม่ได้มองประตู จนเกือบจะชน ก็บ่นว่าประตูไม่หลีกเธอ

อนุชยิ้มขำพลางยืนตัวลีบให้พี่สุดใจ สุดอ้วนพาหุ่นท้วมๆของตัวเองออกไปจากบ้านเธอ จนลับตา ก็ดึงประตูมาปิด ลงกลอนเรียบร้อย ก็หันมามองพ่อที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “มองตามตาละห้อย เสียดายเหรอพ่อ”
“เออ เสียดาย เสียดายที่นุชไม่มานั่งข้างๆ ไม่งั้นจะเขกหัวสักที แล้วนั่นมือไปโดนอะไรมา”

อนุชยิ้มขำพร้อมกับหลุบตามองมือตัวเอง แล้วเข้าไปนั่งใกล้พ่อ บีบนวดบ่าให้หายเคือง ก็เอนหัวซบบ่า เล่าเรื่องของไข่มุกให้พ่อฟังอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะปิดท้ายด้วยเรื่องที่ให้นายเสาหินเลี้ยงแมว

“อะไรนะนุช ให้คุณคิมเลี้ยงแมว”

เสียงพ่อที่ตกใจทำให้เธอเอนตัวออกมา มองหน้าพ่อว่าทำไมต้องตกใจ ก่อนจะยืนยันออกมา “จ้ะ” จากนั้นก็เล่าให้พ่อฟังว่าเธอเจอมันได้ยังไง “จึงปลอบใจมันด้วยการให้มันได้อยู่อย่างสุขสบายในบ้านหลังเบ้อเร่อ”

“แต่คุณคิมเขาไม่ชอบเลี้ยงสัตว์”

“แต่เขาไม่ว่าอะไรนะพ่อ เห็นอุ้มยังกับเอ็นดูมันนักหนา ช่างเถอะเขาจะรักจะชอบหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับนุช ไปเอาข้าวมากินกับพ่อก่อนจะเก็บเสื้อผ้าไปรับน้องพรุ่งนี้ดีกว่า” พูดจบเธอก็ลุกขึ้นไปหลังห้องที่แบ่งไว้เป็นห้องครัว ส่วนคนเป็นพ่อก็นั่งคิดถึงนายหนุ่มอย่างแปลกใจที่เลี้ยงแมว
**********

ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ต.ค. 2558, 14:47:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ต.ค. 2558, 14:47:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 3175





<< ตอน 1   ตอน 3 >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 19 ต.ค. 2558, 18:27:36 น.
น่าสนุก ค่ะ อยากอ่านตอนต่อไปว่านายเสาหิน จะเลี้ยงแมวยังไง น๊า


แว่นใส 19 ต.ค. 2558, 19:38:02 น.
พรุ่งนี้ถามนายคิมเลย


kaelek 19 ต.ค. 2558, 19:53:27 น.
แหม่!! มีของแทนใจเอาไว้ต่างหน้า


Zephyr 21 ต.ค. 2558, 21:56:35 น.
ยินดีเลี้ยงด้วยอ้ะ
ต่อไปอ้วนท้วนแน่ๆเจ้าเหมียว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account