เสน่ห์รักคล้องใจ
Tags: แต่งงาน,คลุมถุงชน,พ่อแง่แม่งอน
ตอน: ตอนที่ 1
สวัสดีค่ะนักอ่านเว็บเลิฟทุกท่าน ^^ เอานิยายเรื่องใหม่มาส่งตามสัญญาแล้วค่ะ เรื่องนี้ไม่เครียดและดราม่าเหมือนเรื่องที่แล้ว ออกแนวพระเอกนางเอกทะเลาะกันไปมา หวานบ้าง งอนกันบ้าง ไม่มีปมหนัก ๆ ให้คนอ่านเครียดแน่นอนค่ะ ^_^
ฝากติดตามและติชมผลงานเรื่องใหม่ของเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่า~~
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 1
แสงแดดอุ่นในยามสายสาดส่องผ่านหน้าต่างบนคอนโดชั้นสิบสี่เข้ามากระทบร่างของชายหญิงที่กำลังนอนกอดก่ายบรรเลงเพลงรักกันอย่างเร่าร้อนอยู่บนเตียง ร่างใหญ่ของชายหนุ่มขยับไปตามจังหวะเพลงรักหลังจากที่ถูกหญิงสาวใต้ร่างจุดไฟตัณหาให้ลุกฮือขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ขาเรียวเกี่ยวกระหวัดรอบสะโพกของเขาไว้เป็นที่ยึด มือก็คอยลูบไล้สัมผัสแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามชื้นเหงื่อ
เธอจิกเล็บสีแดงสดลงบนไหล่กว้างอย่างแรง เมื่อเขากำลังพาเธอเข้าไปใกล้สวรรค์มากขึ้นทุกที และเมื่อชายหนุ่มหยัดร่างตัวเองเข้ากับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ร่างบางของเธอก็แอ่นขึ้นเพื่อรับความสุขสมจากเขาอย่างเต็มตื้น หญิงสาวหลับตากรีดร้องเสียงกระเส่าด้วยความสุขอีกครั้งเมื่อรู้ว่าได้มาถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
“จีน่ามีความสุขจังเลยค่ะวิน คุณนี่สุดยอดไปเลย” หญิงสาวเอ่ยชมชายหนุ่มเสียงหอบ หลังจากบทรักเร่าร้อนเพิ่งจบไปหมาด ๆ เธอพลิกตัวเพื่อกอดร่างใหญ่ของเขาไว้ มือก็คอยลูบไล้ไรขนอ่อน ๆ บริเวณหน้าท้องแข็งแกร่งอย่างห้ามใจไม่อยู่ ก่อนจะผงกศรีษะขึ้นไปจูบคางสากแรง ๆ ทีหนึ่ง แล้วเอนซบที่ไหล่กว้างอย่างเป็นสุข
“คุณเองก็เร่าร้อนไม่แพ้กัน” อัศวินพูดยอหญิงสาวเพื่อเอาใจ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็แค่บทรักธรรมดาที่ช่วยทำให้เขาหายอยากจากความต้องการทางกายก็เท่านั้น
“วินปากหวานอย่างนี้น่ะสิคะ สาว ๆ ถึงได้หลงคุณไม่ลืมหูลืมตา” จีน่าเย้า
อัศวินไม่พูดอะไรต่อจากนั้นได้แต่นอนโอบกอดร่างบางของจีน่านางแบบสาวลูกครึ่งอเมริกันที่ชวนเขาขึ้นเตียงเมื่อคืนวานหลังจากที่ทั้งคู่ต่างก็มีงานรัดตัวจนไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ และขณะที่เขากำลังลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนอยู่นั้น เสียงโทรศัพทมือถือบนหัวเตียงก็ดังขึ้น เขาจูบที่หน้าผากมนของหญิงสาวทีหนึ่งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“มีอะไรนนท์ โทรมากวนแต่เช้า” อัศวินกรอกเสียงอู้อี้ไปตามสาย
จีน่าลุกตามมานั่งซ้อนหลังชายหนุ่มก่อนจะโอบเอวเขาไว้แล้วก้มหน้าชิดแนบแผ่นหลังกว้าง เธอเบนสายตาขึ้นไปที่ต้นคอของเขา มองรอยสักเล็ก ๆ รูปหัวหมาป่ากำลังแยกเขี้ยว แววตาคมดุดันของมันช่างเหมือนกับดวงตาของเจ้าของรอยสักไม่ผิดเพี้ยน เธอก้มลงจูบที่รอยสักนั้นเบา ๆ แล้วรัดเอวเขาแน่นขึ้นจนทรวงอกบดเบียดอยู่กับแผ่นหลังเปลือยที่ยังชื้นเหงื่อของเขา
“เอ่อ...คุณวรรณน่ะครับ คุณวรรณท่าน เอ่อ...” ชานนท์บอร์ดี้การ์ดของเขาเอ่ยตะกุกตะกัก
“เออ ฉันลืมไปเลยว่ะ วันนี้ฉันนัดแม่ไว้นี่หว่า และนี่กี่โมงแล้วเนี่ย ตายโหง... ขอบใจนะที่นายโทรมาตาม ฉันจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดแล้วกัน บอกแม่ฉันว่าอย่างเพิ่งงอนออกไปก่อนล่ะ” อัศวินหันไปหยิบนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา และเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงกว่าแล้ว วันนี้เขามีนัดกับมารดาไปทำบุญกระดูกบิดาที่วัดในตอนเช้าเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบที่บิดาเขาเสียชีวิตมาได้สี่ปีแล้ว และเขาจะไปทำบุญกับมารดาเขาทุกปี
อัศวินปลดอ้อมแขนของจีน่าออก แล้วหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษ เขาลุกขึ้นยืนและทำท่าว่าจะวางสายโทรศัพท์ แต่บอร์ดี้การ์ดของเขาเอ่ยท้วงขึ้นมาก่อนเขาจึงถามไปว่ามีอะไร
“คือว่า ตอนนี้คุณวรรณท่าน ท่าน...”
“อะไรวะไอ้นนท์ จะพูดก็พูดมา ฉันยิ่งรีบ ๆ อยู่” อัศวินพูดน้ำเสียงหงุดหงิด
“คือ ตอนนี้คุณวรรณท่านอยู่.... อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะครับ”
“อะไรนะ! แม่ฉันอยู่โรงพยาบาล! แม่ฉันเป็นไรไปวะ แล้วทำไมนายไม่ดูแลแม่ฉันให้ดี ฉันสั่งแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่ใกล้ ๆท่านเผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยทัน แล้วนี่อะไร นายปล่อยให้แม่ฉันต้องเข้าโรงพยาบาล คอยดูนะ ถ้าแม่ฉันเป็นอะไรไป ฉันเอานายตายแน่” อัศวินพูดรัวเป็นชุดพร้อมคำขู่
“คือ คุณวินใจเย็น ๆ นะครับ ตอนนี้คุณวรรณท่านปลอดภัยแล้ว ผมอยู่ที่โรงพยาบาลและเห็นว่าท่านฟื้นแล้วก็เลยโทรมาครับ” ชานนท์ค่อย ๆ พูดกับเจ้านายหนุ่มปลายสายหวังจะให้เขาใจเย็น เพราะรู้ว่าอัศวินรักมารดามาก และเมื่อรู้ว่าอมลวรรณมาเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้ก็คงจะตกใจ
“แม่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว งั้นนายบอกมาแล้วกันว่าแม่ฉันอยู่โรงพยาบาลอะไร ห้องไหน” อัศวินรีบก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และเมื่อรู้ว่ามารดาเขาพักอยู่โรงพยาบาลไหน เขาก็รีบล้างหน้าล้างตาแต่งตัวทันที ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
“แม่คุณเข้าโรงพยาบาลเหรอคะวิน ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” จีน่าถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ตอนนี้แม่ผมปลอดภัยแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง ยังไงผมจะติดต่อคุณอีกทีแล้วกัน ไปนะ” หยิบนาฬิกาข้อมือที่หัวเตียงมาใส่ และคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถขึ้นมาใส่ลงกระเป๋ากางเกง เขาก้มลงหอมแก้มและจูบริมฝีปากบางของหญิงสาวที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเร็ว ๆ แล้วเดินก้าวยาว ๆ ออกจากห้องนอนไป
“สงสัยอีแกหนังเหี่ยวนั่นต้องแกล้งป่วยแน่ ๆ หึ คงจะรู้ว่าลูกชายคนโปรดมาขลุกอยู่กับฉันเลยทำเป็นมารยาคิดจะขัดขวางล่ะสิ หึ ไม่มีทางซะหรอก ยังไงลูกชายแกก็หลงฉันหัวปักหัวปำแล้วล่ะ” จีน่าพูดพึมพำกับตัวเอง เบ้ปากยิ้มพึงใจ ‘อีแกนั่นจะทำหน้ายังไงนะถ้ารู้ว่าลูกชายตัวเองให้เงินฉันใช้เล่นแต่ละเดือนเหยียบทีละหลายหมื่น คอนโดก็ไม่ต้องเช่า รถก็ไม่ต้องซื้อ’ หญิงสาวคิดอย่างสะใจ จากนั้นจึงบิดขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์
“แม่...เป็นยังไงบ้าง” อัศวินที่เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามารีบถลาไปที่เตียงทันที ก่อนจะเอ่ยถามถึงอาการของมารดาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นศีรษะที่ขมับด้านซ้ายมีผ้าก๊อซปิดแผลอยู่
“ตอนนี้แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ ดีที่ตานนท์พาแม่มาส่งโรงพยาบาลทัน” อมลวรรณตอบลูกชาย
“ผมขอโทษที่ผิดนัดแม่นะ วันหลังผมจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก แล้วตกลงแม่เป็นอะไรกันแน่ครับ หัวแม่ไปโดนอะไรมา ไอ้นนท์ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าแม่ฉันเป็นอะไร” อัศวินเอ่ยขอโทษกับมารดาพร้อมกับจับมืออวบนั้นขึ้นมากุมไว้ แล้วหันไปคาดคั้นเอากับบอร์ดี้การ์ดของเขาที่ยืนอยู่ปลายเตียงเสียงเข้ม
“เอ๊ะ วิน แม่บอกแล้วใช่ไหมไม่ให้ไปเรียกนนท์เขาแบบนั้น ถึงนนท์เขาจะเป็นลูกน้องเราแต่วินก็ไม่ควรจะไปจิกเรียกเขาอย่างนั้นนะลูก นนท์ออกไปก่อนเถอะลูกไป เดี๋ยวแม่คุยกับวินเอง” หันหน้ามาดุลูกชายที่ชอบใช้คำไม่สุภาพเรียกชานนท์ที่อายุแก่กว่า เธอเอ็นดูชานนท์เหมือนลูกชายคนนึง เธอรู้สึกถูกชะตาและไว้วางใจในตัวชายหนุ่มตั้งแต่สามีเธอจ้างเขามาเป็นบอร์ดี้การ์ดให้อัศวินได้สองปีก่อนที่จะเสียชีวิตไป
ชานนท์พยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
“ตกลงแม่เป็นอะไรครับ” อัศวินไม่อยากจะเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระ จึงรีบเข้าเรื่องถามถึงอาการของมารดาทันที
“แม่ตกบันไดหัวฟาดพื้นน่ะ แม่มัวแต่โกรธที่วินไม่มาสักที เลยเดินเข้า ๆ ออก ๆ ไปดูว่าเมื่อไรวินจะกลับ พอแม่เห็นว่าวินคงไม่มาแล้ว ก็เลยจะกลับขึ้นห้อง กะว่าไว้ไปทำพรุ่งนี้ก็ได้ ตอนนั้นแม่รู้สึกปวดท้องมาก ๆ พยามจะเกาะราวบันไดเดินกลับไปที่ห้องแต่ตอนที่แม่เอามือกุมท้องแล้วพยายามเดินขึ้นบันได้นั่นแหล่ะ จึงก้าวพลาดพลัดตกลงมา และมารู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว” อมลวรรณอธิบายให้ลูกชายฟัง
“ผมไม่ดีเอง ผมขอโทษนะครับแม่ ดูสิแม่เลยต้องมาเจ็บตัวเพราะผมเลย แล้วนี่แม่เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” อัศวินจับแขนมารดาพลิกไปมาเพื่อหาบาดแผลฟกช้ำ แต่ก็ไม่มีร่องรอยอะไร
“เอ่อ...แม่แค่ฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ พอดีตอนนั้นขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ชั้น เลยไม่เจ็บตัวเท่าไร”
“ที่จริงแม่โทรมาตามผมก็ได้หนิครับ”
“แม่รู้ว่าวินน่ะอยู่กับยัยจีสตริงอะไรนั่นใช่มั๊ยล่ะ หึ แม่เลยไม่อยากโทรไปขัดความสุข” มองค้อนลูกชายทีนึงก่อนจะสลัดมือออกจากมือใหญ่ที่กุมไว้
“เธอชื่อจีน่าครับแม่ไม่ใช่จีสตริง” เขาถึงกับหลุดขำกับสรรพนามที่มารดาใช้เรียกคู่นอนของเขา
“ย่ะ แม่จีนงจีน่าอะไรของวินนั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่าแม่นั่นมีดีอะไรนักหนาจนทำให้วินลืมแม่ได้” อมลวรรณทำปากเบ้พูดเสียงสะบัด
“โธ่ แม่ก็รู้นี่ครับ ว่าไม่มีใครสำคัญสำหรับผมเท่ากับแม่อีกแล้ว เลิกโกรธผมนะ” พูดง้อเสร็จก็ก้มลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่
“ไม่ต้องมาทำเป็นประจบเอาใจแม่หรอก ถ้าอยากให้แม่หายโกรธ วินทำตามที่แม่ขอร้องสักอย่างได้ไหม” อมลวรรณสบตาลูกชายอย่างมีความหวัง
“ว่ามาเลยครับ เพื่อแม่ผมยอมทำทุกอย่างอยู่แล้ว” เขาฉีกยิ้มกว้าง แต่ในใจนึกสังหรณ์ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่คิดไว้หรือเปล่า
“ก็เรื่องที่แม่ขอวินบ่อย ๆ นั่นแหล่ะ วินน่ะสามสิบห้าแล้วนะลูก แม่อยากให้เราแต่งงานสักที และเลิกยุ่งกับยัยจีน่าปลิงดูดเลือดนั่นด้วย”
“ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้...” เขาหัวเราะแต่สีหน้าไม่บ่งบอกว่าตลกกับคำพูดตัวเอง “ขอเวลาอีกสักสองสามปีไม่ได้เหรอครับ ยังไงผมก็ต้องแต่งงานเพื่อแม่อยู่แล้ว นะครับแม่” อัศวินอ้อนวอนมารดา เพราะด้วยนิสัยรักสนุกของเขา จึงยังไม่อยากผูกมัดกับใครตอนนี้
“แม่กลัวไม่มีเวลาให้วินนานขนาดนั้นน่ะสิ” อมลวรรณพูดเสียงอ่อยเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แม่หมายความว่าไงครับ” อัศวินขมวดคิ้วทันที่ที่ได้ยินมารดาพูดเช่นนั้น
“ก็อาการปวดท้องวันนี้น่ะสิ มันไม่ใช่แค่ปวดท้องธรรมดา...” เธอเงียบไปพักนึงแล้วมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ทำหน้าอยากรู้เต็มแก่ “หมอเขาบอกว่าแม่...แม่เป็น...เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร” พูดเสร็จก็เอามือปิดหน้าสะอื้นไห้
“แม่เป็นมะเร็ง! เป็นไปได้ยังไงในเมื่อแม่ออกจะแข็งแรงขนาดนี้ ผมว่าหมอต้องตรวจแม่ผิดแน่ ๆ” อัศวินร้องตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาพูด มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อแม่เขารักษาสุขภาพขนาดนี้ กินอาหารก็ตรงเวลา และอาหารแต่ละมื้อก็ดี ๆ ทั้งนั้น ไม่มีทางที่แม่เขาจะมาเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารแน่ ๆ
“ตอนแรกแม่ก็ตกใจเหมือนกัน แต่หมอเขายืนยันว่าแม่เป็นมะเร็งจริง ๆ อีกอย่างเจ้าของโรงพยาบาลนี้ก็เป็นเพื่อนกับพ่อเราด้วย แม่เชื่อว่าโรงพยาบาลเขามีมาตราฐานดี คงไม่ตรวจผิดพลาดแน่นอน” อมลวรรณหันไปทางลูกชายที่ตอนนี้ยืนเอามือกุมขมับทำท่าคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดี
“นะวินนะ ถือว่าทำเพื่อแม่สักครั้งก่อนแม่จะตาย แม่อยากเห็นวินเป็นฝั่งเป็นฝาสักที ถึงแม้แม่จะไม่รู้ว่าจะอยู่ทันเห็นหลานหรือเปล่าก็ตาม” เธอจับมือใหญ่ของลูกชายขึ้นมากุมไว้ พูดจาเว้าวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายง่าย ๆ อย่างนั้นนะ ผมไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรเด็ดขาด” เขาบีบมือมารดาเพื่อให้กำลังใจ
“แม่ก็จะไม่ยอมเป็นอะไรไปก่อนที่จะเห็นวินแต่งงานแน่ ๆ ตกลงวินแต่งงานนะลูก” พูดย้ำกับลูกชายอีกครั้ง
อัศวินเงียบอยู่นานเมื่อได้ยินมารดาพูดจาเว้าวอนเขาขนาดนี้ ตกลงเขาจะต้องสละโสดใช่ไหมเนี่ย เขารู้ว่ามารดาคาดหวังเรื่องที่จะให้เขาแต่งงานมานานแล้ว หล่อนพยายามเฟ้นหาผู้หญิงดี ๆ มาให้เขาเลือกไปเป็นภรรยา เขาก็พยายามเอาใจด้วยการคบกับพวกผู้หญิงที่มารดาสรรหามาให้ แต่ก็ไม่มีใครถูกใจเขาสักคน ครั้นจะหาเองก็มีแต่พวกผู้หญิงที่คอยหวังแต่สมบัติของเขากันทั้งนั้น แล้วเขาจะหาผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนที่ถูกใจเขามาแต่งงานด้วยล่ะทีนี้
“ก็ได้ครับ ผมจะแต่งงาน” พูดเสร็จเขาก็เห็นรอยยิ้มของมารดาขึ้นมาทันที “แต่ขอเวลาผมหาผู้หญิงดี ๆ สักคนมาเป็นลูกสะใภ้ให้แม่นะ”
“ขอบใจนะวินที่ยอมทำตามที่แม่ขอร้อง ส่วนเรื่องลูกสะใภ้น่ะ แม่หาไว้ให้แล้วล่ะ วินไม่ต้องไปเสียเวลาหาผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนหรอก รับรองคนนี้วินต้องถูกใจแน่ ๆ จ้ะ ทั้งน่ารัก ทั้งฉลาด มารยาทก็เรียบร้อย แถมยังเป็นลูกสาวเพื่อนแม่อีก วินเองก็รู้จักนะลูก น้องแพรไงล่ะ จำน้องได้ไหม คนที่เคยมาที่บ้านเราครั้งหนึ่งกับครอบครัวตอนงานเลี้ยงส่งวินไปเรียนต่อที่สวิสไง”
อมลวรรณรีบบรรยายสรรพคุณว่าที่ลูกสะใภ้ที่เธอเตรียมไว้ให้ลูกชายหลังจากที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเจอรุ้งรวีเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยพร้อมกับลูกสาวโดยบังเอิญ เลยได้แอบคุยกันตอนที่ลูกสาวเธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำและรู้ว่าฝ่ายนั้นเองก็กำลังมองหาลูกเขยอยู่เหมือนกัน
“แพร?...แพรไหนครับแม่ ผมจำไม่เห็นได้” อัศวินขมวดคิ้วถาม พยายามนึกว่าผู้หญิงที่แม่พูดถึงคนนั้นเป็นใคร แต่นึกเท่าไรเขาก็นึกไม่ออก แถมชื่อก็ยังไม่คุ้นอีกต่างหาก
“แพรคนที่วินเผลอไปทำน้ำหวานหกใส่จนน้องเขาร้องไห้ฟูมฟายกลับบ้านไปยังไงล่ะ เอ...แม่จำได้ว่าตอนนั้นหนูแพรยังอยู่แค่ม.ต้นเองนะ” อมลวรรณทวนความจำให้อัศวิน
เขาขมวดคิ้วแทบจะชนกัน พึมพำพลางคิดย้อนไปถึงคืนนั้น “แพร....ทำน้ำหวานหกใส่เหรอครับ....”
“หนูแพรที่อ้วนปุ๊กลุ๊ก มีปานดำอยู่ข้างแก้มไง” พูดเสร็จเธอก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออัศวินร้องอุทานออกมาเสียงดัง
“หยี! ยัยเด็กหัวฟู ตัวอ้วน ที่มีปานดำใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ที่แก้มนั่นน่ะเหรอครับ แหว่ะ วินไม่เอาด้วยหรอกนะหน้าตาอัปลักษณ์แบบนั้นน่ะ” อัศวินร้องอย่างรังเกียจพร้อมเบ้ปาก
พอมารดาเขาพูดถึงเหตุการณ์ที่เขาทำน้ำหกใส่เด็กผู้หญิงอ้วน ใบหน้ามีปานดำในคืนงานเลี้ยงส่ง เขาก็จำได้ทันทีว่ายัยน้องแพรที่แม่พูดถึงก็คือยัยเด็กหน้าตาน่าเกลียดคนนั้นนั่นเอง และคืนนั้นเขาก็ไม่ได้เผลอทำน้ำหวานหกใส่ยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นอย่างที่มารดาหรือใคร ๆ คิด แต่เขาทั้งตั้งใจและจงใจทำให้มันหกใส่ยัยเด็กนั่นและเสแสร้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก
เขาเองใช่ว่าอยากจะรังแกเด็กหรอกนะ เพียงแต่แค่ไม่ชอบรอยยิ้มเอียงอายกับสายตาหวานเชื่อมที่มองมาเวลาที่คุยกับเธอเลยสักนิด เพราะมันทำให้เขารู้สึกขนลุกเมื่อมีผู้หญิงหน้าตาดูไม่จืดแถมยังตัวอ้วนฉุมาทำท่าทางกระเดียดเขินอายใส่เขา และตอนนั้นมารดาเขาก็พยายามจะให้เขาชวนยัยเด็กแพรนั่นคุยให้ได้จนเขาต้องหาทางหลุดพ้นด้วยการแกล้งทำน้ำหวานหกใส่ และแผนของเขาก็ได้ผล เมื่อยัยเด็กอ้วนหัวฟูวิ่งร้องไห้หน้าตาตื่นออกจากห้องโถงไป
“ตาวิน! ทำไมไปว่าน้องเขาอย่างนั้นล่ะ ถึงแม้ตอนเด็ก ๆ น้องอาจจะไม่น่ารัก แต่โตขึ้นสวยเช้งอย่าบอกใครเลยนะลูก แม่ว่าสวยกว่ายัยจีสตริงของวินอะไรนั่นอีก” อมลวรรณยังไม่ยอมแพ้ เพราะเธอคุยกับเพื่อนเธอไว้เรียบร้อยแล้วว่ายังไงก็อยากให้ทั้งสองแต่งงานกัน
“แล้วแม่ไปเห็นน้องเขาแล้วเหรอครับถึงว่าสวยน่ะ หน้าตาอัปลักษณ์อย่างนั้นโตขึ้นจะสวยสักเท่าไรกันเชี๊ยว แอบไปทำศัลยกรรมมาหรือเปล่าก็ไม่รู้” อัศวินทำเสียงเหยียด ๆ
“เอ๊ะ ตาวินหนิ! จะพูดจะจาอะไรก็ให้เกียรติหนูแพรเขาบ้างนะ” อมลวรรณบอกเสียงดุพร้อมกับตีแขนลูกชายที่ยืนทำหน้าปะหลักปะเหลือกอยู่ข้าง ๆ หล่อนถอนหายใจ และส่ายหน้าระอากับนิสัยปากเสียที่แก้ไม่หายของอัศวิน
“เมื่อวันก่อนแม่บังเอิญเจอรุ้งกับหนูแพรที่ห้าง เห็นครั้งแรกแม่ยังตกใจเลยว่าจากเด็กหน้าตาธรรมดาจะกลายมาเป็นสาวสวยได้ขนาดนั้น ปานดงปานดำอะไรนั่นก็หายไปแล้วด้วยนะ แม่ยืนยันได้เลยนะว่าน้องแพรน่ะไม่ได้ไปทำศัลยกรรมมาแน่นอน เพราะแม่น่ะออกงานสังคมบ่อย ๆ เจอนางแบบพลาสติกมาก็เยอะ เรื่องอย่างนี้แม่ดูไม่พลาดหรอก” เธอทำหน้าและน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
“เนี่ยนะ รุ้งบอกว่าต้องคอยไล่พวกแมลงวันแมลงหวี่ที่รุมตอมแจกขนมจีบหนูแพรจนปวดหัวไปหมด” เธอบอกเสียงตื่นเต้น พยายามยกยอลูกสาวเพื่อนสนิทเต็มที่เพื่อโน้มน้าวใจลูกชาย
“ผมนึกว่าไล่แมลงวันแมลงวี่ที่รุมตอบลูกสาวเพราะค้างปีไม่มีใครเอาซะอีก” อัศวินยักไหล่พูดหน้าตาย สงสัยคงจะหาผู้ชายให้กับลูกสาวไม่ได้พอมาเจอมารดาเขาที่อยากให้ลูกชายแต่งงานเข้าหน่อยเลยจะรีบคว้าโอกาสไว้สิท่า เขาเยาะเย้ยในใจ
“ตาวิน! ถ้าเรายังไม่หยุดพูดว่าหนูแพรเขาอีกนะ แม่จะไม่คุยกับเราอีกเลยคอยดู...โอ๊ย” อมวรรณขึ้นเสียงดุลูกชาย แล้วรีบแกล้งเอามือกุมศรีษะร้องด้วยความเจ็บปวด
อัศวินรีบร้องถามมารดาด้วยสีหน้าตกใจ “แม่! ปวดหัวเหรอครับ ให้ผมตามหมอมาดูอาการแม่นะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไปตามหมอ แต่มืออวบของมารดาคว้ามือเขาเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรลูก แม่แค่ปวดจี๊ด ๆ น่ะ”
“แน่ใจนะครับแม่” เขาถามย้ำ
“จ้ะ เอ่อ...ตกลง...วินแต่งกับหนูแพรนะลูก ยังไงแม่ก็ว่าหนูแพรนี่แหล่ะเหมาะกับลูกที่สุดแล้ว นะวินนะ ถือว่าแม่ขอร้อง” อมลวรรณรีบวกกลับมาเข้าเรื่องแต่งงานเพราะกลัวลูกชายจะเฉไฉ
“ถ้าจะให้ผมแต่งงานกับยัยน้องแพรอะไรนั่น....ก็ได้ครับ แต่ผมจะต้องเห็นหน้าน้องเขาก่อนว่าสวยจริงอย่างที่แม่ว่าหรือเปล่า และถ้าไม่จริงอย่างที่พูดผมก็ไม่แต่ง” อัศวินยื่นคำขาด เพราะถ้าให้เขาต้องทนแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ อ้วนฉุล่ะก็ เขาขอไปลาตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่า
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้วจ้ะ เดี๋ยวแม่จะรีบนัดครอบครัวโน้นให้มาเจอกัน และจะได้ตกลงหาฤกษ์หายามวันแต่งไปด้วยเลย แม่ขอบใจนะวิน ที่ทำตามคำขอร้องขอแม่ ที่นี้แม่ก็จะได้นอนตายตาหลับสักที” อมลวรรณพูดด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอยอมทำตามคำขอร้องของเธอสักที หลังจากที่เคยรบเร้าแล้วไม่เป็นผลอยู่นาน
“บอกแล้วไงครับว่าไม่ให้พูดเรื่องตาย ยังไงแม่ก็ต้องหาย เดี๋ยวนี้หมอเก่ง ๆ เยอะแยะไป แม่ต้องอดทนและเข้มแข็งไว้มาก ๆ นะครับ” พูดเสร็จเขาก็สวมกอดผู้เป็นมารดาเพื่อให้กำลังใจ
“จ้ะ แม่จะเข้มแข็ง ยิ่งแม่มาได้ยินว่าวินจะแต่งงานเพื่อแม่อย่างนี้ด้วยแล้ว แม่ยิ่งมีกำลังใจขึ้นอีกเป็นกองเลย” พลางคลายอ้อมกอดจากลูกชาย แล้วยิ้มบาง ๆ ไปให้
“ดีแล้วล่ะครับ” อัศวินยิ้มตอบมารดา เขาดีใจที่เห็นว่ามารดาเขามีรอยยิ้มถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้ายแรง แต่เขาสิกลับไม่ดีใจเลยสักนิดที่มารดาเขาต้องมาป่วยแบบนี้ แล้วไหนจะเรื่องแต่งงานกับยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นอีก แม้มารดาเขาจะบอกว่ายัยน้องแพรอะไรสวยขึ้นก็เถอะ แต่ตอนเด็กหน้าตาน่าเกลียดขนาดนั้นโตขึ้นมันจะสวยไปได้สักเท่าไรกันเชียว
“แพรไม่มีวันแต่งกับคนพรรนั้นเด็ดขาดนะคะ พ่อช่วยพูดกับแม่รุ้งให้หน่อยสิคะ” พิชชาภาโวยลั่นห้องนั่งเล่นภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมหยักศกยาวเป็นคลื่นที่ล้อมรอบใบหน้ารูปหัวใจปลิวสยายเมื่อหญิงสาวสะบัดตัวลุกขึ้นเดินมานั่งข้างบิดาพร้อมกับเกาะแขนเขย่าอ้อนวอน
“แต่พ่อเห็นด้วยกับแม่เขานะแพร พ่อว่านายวินก็ดีนะลูก อายุแค่สามสิบห้า แต่บริหารงานทั้งโรงแรม รีสอร์ทในเครือจนรุ่งเรือง กำไรต่อปีที่ได้ก็ใช่น้อยซะเมื่อไร เก่ง ๆ แบบนี้พ่อชอบ แถมครอบครัวเราก็ยังรู้จักกับครอบครัวฝ่ายนั้นด้วย พ่อว่าเหมาะสมกันดีออก” ปิยวัฒน์พูดถึงว่าที่ลูกเขยอย่างชื่นชมในความสามารถ เข้าข้างความคิดของภรรยาที่จะให้แต่งงานกับอัศวิน จึงทำให้หญิงสาวข้าง ๆ ถึงกับปล่อยมือที่เกาะแขนอยู่ทันที
“คุณพ่อ! นี่คุณพ่อก็เห็นด้วยกับแม่รุ้งเหรอคะ ทำไมทุกคนไปเข้าข้างอีตาพี่วินนั่นกันหมดนะ พีท...พีทช่วยพูดให้พี่หน่อยสิ นะพีทนะ” เมื่อเห็นว่าทั้งบิดาและมารดาต่างก็เห็นด้วยที่จะให้เธอแต่งงานกับอัศวิน เลยหันไปหาเป้าหมายใหม่คือพิรภพให้มาเป็นพรรคพวกแทน
“พีทก็เห็นด้วยเหมือนกันนะ พี่วินออกจะนิสัยดี ทั้งหล่อ ทั้งรวย ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว มีพี่แพรนั่นแหล่ะตาบอด มัวแต่ไปชอบไอ้ผู้ชายหน้าหม้อหูดำนั่นอยู่ได้” พิรภพที่นอนเอกเขนกอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาหันมาบอกพี่สาวที่นั่งตีหน้ายักษ์อยู่ข้าง ๆ บิดา
“นายพีท! อย่ามาว่าพี่ภัทรแบบนั้นนะ! ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า” พิชชภาลุกขึ้นตวาดน้องชายแทบจะทันทีที่ได้ยินพิรภพพูดจาว่าร้ายอนุภัทรแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้ปีกว่า หลังจากที่เธอกลับมาจากอเมริกาแล้วเข้าทำงานเป็นฝ่ายการตลาดให้กับบริษัทบิดาของเธอเองซึ่งเป็นบริษัทผลิตครีมอาบน้ำรวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม
“โธ่ พี่แพร ใคร ๆก็รู้ทั้งนั้นแหล่ะว่าไอ้พี่ภัทรของพี่น่ะ เจ้าชู้ขนาดไหน นอกจากจะหน้าหม้อแล้วยังหน้าเงินอีกต่างหาก” พิรภพพูดพร้อมเบ้ปาก แล้วหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านตามเดิม
“จะมากไปแล้วนะนายพีท! กล้าดียังไงมาว่าพี่ภัทรแบบนี้!” พิชชาภาตวาดแว๊ดใส่น้องชายก่อนจะหยิบหมอนบนโซฟาเดินไปยังพิรภพที่กำลังนอนไม่สนใจเสียงแปดหลอดของเธอ แล้วฟาดลงบนนิตยสารที่เขาถืออยู่อย่างแรง
“โอ๊ยย! พี่แพร พีทเจ็บนะ เป็นบ้าอะไรเนี่ย!” พิรภพพยายามลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก้มหัวเอามือตั้งกาดหลบหมอนที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง
“พอได้แล้ว!” รุ้งรวีตะโกนบอกพิชชาภาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง และเมื่อเห็นว่าลูกสาวเธอหยุดยืนอยู่อย่างนั้น เธอจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตาพีทพูดถูกทุกอย่าง นายภัทรนั่นทั้งเจ้าชู้ เสเพล และยังเกาะเรากินอีกด้วยนะยัยแพร เราน่ะมัวแต่ไปหลงมันอยู่ได้ แม่ขอสั่งตั้งแต่วันนี้เลยนะ ให้เราเลิกกับนายนั่นซะ แล้วเตรียมตัวแต่งงานกับตาวินได้เลย อ่อ แล้วอาทิตย์นี้ทำตัวให้ว่างด้วยล่ะ ครอบครัวเราจะนัดเจอกับครอบครัวโน้นเพื่อคุยเรื่องแต่งงาน เข้าใจที่แม่พูดไหม” รุ้งรวีสั่งลูกสาวน้ำเสียงเฉียบขาด เธอมั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้พิชชาภามีความสุขได้แน่นอน
“ทำไมทุกคนถึงไม่สงสารแพรบ้างเลย แพรกับอีตาพี่วินนั่นเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว และมันก็ตั้งหลายปีมาแล้ว อยู่ ๆ จะให้ไปแต่งงานกับเขาแพรทำไม่ได้หรอกค่ะ แล้วแพรกับพี่ภัทรก็รักกัน และเราก็จะแต่งงานกัน พ่อกับแม่ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าคนที่ไม่ได้รักกันแต่งงานกันไปแล้วจะมีความสุขได้ยังไง แม่กับพ่ออยากเห็นแพรทุกข์ทรมานใช่ไหม ถึงได้จับแพรแต่งงานไปกับคนที่แพรไม่ได้รัก!” พิชชาภาปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งครอบครัวเธอถึงได้ทำร้ายจิตใจเธอด้วยการบังคับเธอแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักแบบนี้ แถมยังตั้งแง่รังเกียจคนที่เธอรักอีกด้วย
“แพร...ฟังพ่อนะ” พูดเสร็จปิยวัฒน์ก็ลุกขึ้นเดินไปหาลูกสาวที่กำลังสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ จากนั้นจึงโอบไหล่แล้วตบเบาๆเป็นการปลอบใจก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พวกเรารู้ว่าการจับแพรแต่งงานกับตาวินแบบนี้น่ะมันเป็นการคลุมถุงชนก็จริง แต่พ่อคิดว่ามันก็ยังดีกว่าที่จะให้แพรของพ่อไปแต่งงานกับนายภัทรที่ทำตัวเจ้าชู้ประดิน หน้าที่การงานก็ไม่มั่นคง แล้วอย่างนี้พ่อกับแม่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่พาลูกไปลำบากอด ๆ อยาก ๆ น่ะ แพรเชื่อพ่อกับแม่สักครั้งเถอะนะลูก” เขาพยายามจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบโดยการค่อย ๆ พูดตะล่อมให้พิชชาภาใจอ่อน
“ทำไมทุกคนถึงต้องให้ร้ายพี่ภัทรด้วย พี่ภัทรไม่เคยนอกใจแพร พี่ภัทรรักแพรแล้วแพรก็รักพี่ภัทรด้วย ได้ยินไหมคะว่าแพรรักพี่ภัทร! แล้วแพรก็จะแต่งงานกับพี่ภัทรคนเดียวเท่านั้น!” พิชชาภาแผดเสียงลั่นอีกครั้งก่อนจะปาดน้ำตาแล้ววิ่งขึ้นห้องตนเองไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของบิดาและมารดาแม้แต่น้อย
“เฮ้อ รุ้งว่าพี่วัฒน์เอารูปของนายภัทรที่นักสืบไปถ่ายมาได้ให้ยัยแพรดูดีไหมคะ ลูกของเราจะได้ตาสว่างสักที เห็นอย่างนี้แล้วรุ้งหนักใจจริง ๆ กลัวว่าจะหนีตามนายภัทรนั่นไปถ้าเราห้ามไม่ให้สองคนนั้นแต่งงานกัน” รุ้งรวีหันไปถามสามีที่กลับมานั่งข้างเธอบนโซฟา
“พี่ว่าอย่าเพิ่งดีกว่า ลูกของเราหลงนายนั่นอย่างนี้ถ้าเกิดเห็นรูปพวกนั้นพี่กลัวว่ายัยแพรจะทำใจไม่ได้ แล้วเกิดคิดมากทำร้ายตัวเองขึ้นมาไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เหรอ อีกอย่างพี่ว่าถึงยัยแพรจะคิดหนี นายภัทรนั่นก็คงไม่ยอมแน่ เพราะหน้าเงินอย่างนั้นคงไม่คิดจะพาลูกสาวเราที่มีแต่ตัวหนีไปหรอก” เขาบอกให้ภรรยาคลายกังวล
“จริงด้วยครับแม่ พีทว่าเรารีบให้พี่แพรกับพี่วินแต่งงานกันให้เร็วที่สุดดีกว่า ไอ้หน้าเงินนั่นมันจะได้เลิกยุ่งกับพี่แพรสักที” พิรภพสนับสนุนความคิดของบิดา เขาไม่ชอบขี้หน้าไอ้ตี๋ขี้เก๊กนั่นเลยจริง ๆ เวลาที่พี่สาวพามันมาบ้านที่ไรเขารู้สึกอยากจะตั๊นหน้าทุกทีเวลาที่มันทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของเขาใหญ่โตแค่ไหน
“แล้วตกลงรุ้งคุยกับคุณวรรณเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเรื่องตาวินน่ะ ไม่ใช่ว่าฝ่ายชายเขาไม่เต็มใจจะแต่งแล้วเราไปบังคับเขามาเพื่อลูกสาวเราหรอกนะ” ปิยวัฒน์มองหน้าภรรยาเหมือนต้องการเค้นคำตอบ
“โธ่ รุ้งจะไปบังคับตาวินให้มาแต่งงานกับยัยแพรได้ยังไงล่ะคะ ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่ตกลงรุ้งก็ไม่ตื๊อหรอกค่ะ” เธอกระอ้อมกระแอ่มตอบสามี เพราะเขาไม่รู้ว่าเธอกับอมลวรรณคุยอะไรกันบ้างเพื่อให้ทั้งสองได้แต่งงานกัน
“พี่ก็ถามไปงั้นแหล่ะ เพราะเห็นว่าตาวินไม่ได้เจอยัยแพรตั้งหลายปี ครั้งล่าสุดที่เจอยัยแพรหน้าตายังดูไม่จืดอยู่เลย พี่ก็เลยคิดว่าตาวินคงไม่ตอบตกลงง่าย ๆ หรอก”
“แหม เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะวันที่รุ้งบังเอิญเจอวรรณตอนนั้นยัยแพรก็อยู่ด้วย แล้ววรรณก็ชื่นชมลูกสาวเราไม่ขาดปาก ถ้าตาวินเห็นต้องถูกใจและชอบยัยแพรของเราจนอยากจะเร่งวันแต่งงานให้มาถึงเร็ว ๆแน่ค่ะ” รุ้งรวีพูดด้วยความปลื้มใจในตัวลูกสาว
“พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” พูดเสร็จก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าอัศวินและลูกสาวเขาลงเอยได้ด้วยดีเขาก็คงจะมีความสุข และจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนายอนุภัทรนั่นด้วย
“หึ ไว้รอดูตอนวันอาทิตย์นี้ก็แล้วกันค่ะ ตาวินต้องตะลึงเมื่อได้เห็นยัยแพรของเราแน่ ๆ” รุ้งรวีพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าลูกชายเพื่อนของเธอจะต้องชอบพิชชาภาลูกสาวเธอแน่นอน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าวันพฤหัสค่า ^_<
ฝากติดตามและติชมผลงานเรื่องใหม่ของเปลวหอมด้วยนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่า~~
เสน่ห์รักคล้องใจ ตอน 1
แสงแดดอุ่นในยามสายสาดส่องผ่านหน้าต่างบนคอนโดชั้นสิบสี่เข้ามากระทบร่างของชายหญิงที่กำลังนอนกอดก่ายบรรเลงเพลงรักกันอย่างเร่าร้อนอยู่บนเตียง ร่างใหญ่ของชายหนุ่มขยับไปตามจังหวะเพลงรักหลังจากที่ถูกหญิงสาวใต้ร่างจุดไฟตัณหาให้ลุกฮือขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ขาเรียวเกี่ยวกระหวัดรอบสะโพกของเขาไว้เป็นที่ยึด มือก็คอยลูบไล้สัมผัสแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามชื้นเหงื่อ
เธอจิกเล็บสีแดงสดลงบนไหล่กว้างอย่างแรง เมื่อเขากำลังพาเธอเข้าไปใกล้สวรรค์มากขึ้นทุกที และเมื่อชายหนุ่มหยัดร่างตัวเองเข้ากับเธอเป็นครั้งสุดท้าย ร่างบางของเธอก็แอ่นขึ้นเพื่อรับความสุขสมจากเขาอย่างเต็มตื้น หญิงสาวหลับตากรีดร้องเสียงกระเส่าด้วยความสุขอีกครั้งเมื่อรู้ว่าได้มาถึงสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
“จีน่ามีความสุขจังเลยค่ะวิน คุณนี่สุดยอดไปเลย” หญิงสาวเอ่ยชมชายหนุ่มเสียงหอบ หลังจากบทรักเร่าร้อนเพิ่งจบไปหมาด ๆ เธอพลิกตัวเพื่อกอดร่างใหญ่ของเขาไว้ มือก็คอยลูบไล้ไรขนอ่อน ๆ บริเวณหน้าท้องแข็งแกร่งอย่างห้ามใจไม่อยู่ ก่อนจะผงกศรีษะขึ้นไปจูบคางสากแรง ๆ ทีหนึ่ง แล้วเอนซบที่ไหล่กว้างอย่างเป็นสุข
“คุณเองก็เร่าร้อนไม่แพ้กัน” อัศวินพูดยอหญิงสาวเพื่อเอาใจ ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันก็แค่บทรักธรรมดาที่ช่วยทำให้เขาหายอยากจากความต้องการทางกายก็เท่านั้น
“วินปากหวานอย่างนี้น่ะสิคะ สาว ๆ ถึงได้หลงคุณไม่ลืมหูลืมตา” จีน่าเย้า
อัศวินไม่พูดอะไรต่อจากนั้นได้แต่นอนโอบกอดร่างบางของจีน่านางแบบสาวลูกครึ่งอเมริกันที่ชวนเขาขึ้นเตียงเมื่อคืนวานหลังจากที่ทั้งคู่ต่างก็มีงานรัดตัวจนไม่ได้เจอกันเกือบอาทิตย์ และขณะที่เขากำลังลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียนอยู่นั้น เสียงโทรศัพทมือถือบนหัวเตียงก็ดังขึ้น เขาจูบที่หน้าผากมนของหญิงสาวทีหนึ่งก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับ
“มีอะไรนนท์ โทรมากวนแต่เช้า” อัศวินกรอกเสียงอู้อี้ไปตามสาย
จีน่าลุกตามมานั่งซ้อนหลังชายหนุ่มก่อนจะโอบเอวเขาไว้แล้วก้มหน้าชิดแนบแผ่นหลังกว้าง เธอเบนสายตาขึ้นไปที่ต้นคอของเขา มองรอยสักเล็ก ๆ รูปหัวหมาป่ากำลังแยกเขี้ยว แววตาคมดุดันของมันช่างเหมือนกับดวงตาของเจ้าของรอยสักไม่ผิดเพี้ยน เธอก้มลงจูบที่รอยสักนั้นเบา ๆ แล้วรัดเอวเขาแน่นขึ้นจนทรวงอกบดเบียดอยู่กับแผ่นหลังเปลือยที่ยังชื้นเหงื่อของเขา
“เอ่อ...คุณวรรณน่ะครับ คุณวรรณท่าน เอ่อ...” ชานนท์บอร์ดี้การ์ดของเขาเอ่ยตะกุกตะกัก
“เออ ฉันลืมไปเลยว่ะ วันนี้ฉันนัดแม่ไว้นี่หว่า และนี่กี่โมงแล้วเนี่ย ตายโหง... ขอบใจนะที่นายโทรมาตาม ฉันจะรีบกลับบ้านให้เร็วที่สุดแล้วกัน บอกแม่ฉันว่าอย่างเพิ่งงอนออกไปก่อนล่ะ” อัศวินหันไปหยิบนาฬิกาข้อมือของตัวเองขึ้นมาดูเวลา และเห็นว่าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงกว่าแล้ว วันนี้เขามีนัดกับมารดาไปทำบุญกระดูกบิดาที่วัดในตอนเช้าเพราะวันนี้เป็นวันครบรอบที่บิดาเขาเสียชีวิตมาได้สี่ปีแล้ว และเขาจะไปทำบุญกับมารดาเขาทุกปี
อัศวินปลดอ้อมแขนของจีน่าออก แล้วหันมายิ้มเป็นเชิงขอโทษ เขาลุกขึ้นยืนและทำท่าว่าจะวางสายโทรศัพท์ แต่บอร์ดี้การ์ดของเขาเอ่ยท้วงขึ้นมาก่อนเขาจึงถามไปว่ามีอะไร
“คือว่า ตอนนี้คุณวรรณท่าน ท่าน...”
“อะไรวะไอ้นนท์ จะพูดก็พูดมา ฉันยิ่งรีบ ๆ อยู่” อัศวินพูดน้ำเสียงหงุดหงิด
“คือ ตอนนี้คุณวรรณท่านอยู่.... อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะครับ”
“อะไรนะ! แม่ฉันอยู่โรงพยาบาล! แม่ฉันเป็นไรไปวะ แล้วทำไมนายไม่ดูแลแม่ฉันให้ดี ฉันสั่งแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่ใกล้ ๆท่านเผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยทัน แล้วนี่อะไร นายปล่อยให้แม่ฉันต้องเข้าโรงพยาบาล คอยดูนะ ถ้าแม่ฉันเป็นอะไรไป ฉันเอานายตายแน่” อัศวินพูดรัวเป็นชุดพร้อมคำขู่
“คือ คุณวินใจเย็น ๆ นะครับ ตอนนี้คุณวรรณท่านปลอดภัยแล้ว ผมอยู่ที่โรงพยาบาลและเห็นว่าท่านฟื้นแล้วก็เลยโทรมาครับ” ชานนท์ค่อย ๆ พูดกับเจ้านายหนุ่มปลายสายหวังจะให้เขาใจเย็น เพราะรู้ว่าอัศวินรักมารดามาก และเมื่อรู้ว่าอมลวรรณมาเข้าโรงพยาบาลอย่างนี้ก็คงจะตกใจ
“แม่ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว งั้นนายบอกมาแล้วกันว่าแม่ฉันอยู่โรงพยาบาลอะไร ห้องไหน” อัศวินรีบก้มลงไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และเมื่อรู้ว่ามารดาเขาพักอยู่โรงพยาบาลไหน เขาก็รีบล้างหน้าล้างตาแต่งตัวทันที ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
“แม่คุณเข้าโรงพยาบาลเหรอคะวิน ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” จีน่าถามด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ตอนนี้แม่ผมปลอดภัยแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง ยังไงผมจะติดต่อคุณอีกทีแล้วกัน ไปนะ” หยิบนาฬิกาข้อมือที่หัวเตียงมาใส่ และคว้ากระเป๋าสตางค์กับกุญแจรถขึ้นมาใส่ลงกระเป๋ากางเกง เขาก้มลงหอมแก้มและจูบริมฝีปากบางของหญิงสาวที่นั่งเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงเร็ว ๆ แล้วเดินก้าวยาว ๆ ออกจากห้องนอนไป
“สงสัยอีแกหนังเหี่ยวนั่นต้องแกล้งป่วยแน่ ๆ หึ คงจะรู้ว่าลูกชายคนโปรดมาขลุกอยู่กับฉันเลยทำเป็นมารยาคิดจะขัดขวางล่ะสิ หึ ไม่มีทางซะหรอก ยังไงลูกชายแกก็หลงฉันหัวปักหัวปำแล้วล่ะ” จีน่าพูดพึมพำกับตัวเอง เบ้ปากยิ้มพึงใจ ‘อีแกนั่นจะทำหน้ายังไงนะถ้ารู้ว่าลูกชายตัวเองให้เงินฉันใช้เล่นแต่ละเดือนเหยียบทีละหลายหมื่น คอนโดก็ไม่ต้องเช่า รถก็ไม่ต้องซื้อ’ หญิงสาวคิดอย่างสะใจ จากนั้นจึงบิดขี้เกียจลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างสบายอารมณ์
“แม่...เป็นยังไงบ้าง” อัศวินที่เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามารีบถลาไปที่เตียงทันที ก่อนจะเอ่ยถามถึงอาการของมารดาด้วยสีหน้าเป็นห่วงเมื่อเห็นศีรษะที่ขมับด้านซ้ายมีผ้าก๊อซปิดแผลอยู่
“ตอนนี้แม่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วล่ะ ดีที่ตานนท์พาแม่มาส่งโรงพยาบาลทัน” อมลวรรณตอบลูกชาย
“ผมขอโทษที่ผิดนัดแม่นะ วันหลังผมจะไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นอีก แล้วตกลงแม่เป็นอะไรกันแน่ครับ หัวแม่ไปโดนอะไรมา ไอ้นนท์ บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าแม่ฉันเป็นอะไร” อัศวินเอ่ยขอโทษกับมารดาพร้อมกับจับมืออวบนั้นขึ้นมากุมไว้ แล้วหันไปคาดคั้นเอากับบอร์ดี้การ์ดของเขาที่ยืนอยู่ปลายเตียงเสียงเข้ม
“เอ๊ะ วิน แม่บอกแล้วใช่ไหมไม่ให้ไปเรียกนนท์เขาแบบนั้น ถึงนนท์เขาจะเป็นลูกน้องเราแต่วินก็ไม่ควรจะไปจิกเรียกเขาอย่างนั้นนะลูก นนท์ออกไปก่อนเถอะลูกไป เดี๋ยวแม่คุยกับวินเอง” หันหน้ามาดุลูกชายที่ชอบใช้คำไม่สุภาพเรียกชานนท์ที่อายุแก่กว่า เธอเอ็นดูชานนท์เหมือนลูกชายคนนึง เธอรู้สึกถูกชะตาและไว้วางใจในตัวชายหนุ่มตั้งแต่สามีเธอจ้างเขามาเป็นบอร์ดี้การ์ดให้อัศวินได้สองปีก่อนที่จะเสียชีวิตไป
ชานนท์พยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ
“ตกลงแม่เป็นอะไรครับ” อัศวินไม่อยากจะเสียเวลาพูดเรื่องไร้สาระ จึงรีบเข้าเรื่องถามถึงอาการของมารดาทันที
“แม่ตกบันไดหัวฟาดพื้นน่ะ แม่มัวแต่โกรธที่วินไม่มาสักที เลยเดินเข้า ๆ ออก ๆ ไปดูว่าเมื่อไรวินจะกลับ พอแม่เห็นว่าวินคงไม่มาแล้ว ก็เลยจะกลับขึ้นห้อง กะว่าไว้ไปทำพรุ่งนี้ก็ได้ ตอนนั้นแม่รู้สึกปวดท้องมาก ๆ พยามจะเกาะราวบันไดเดินกลับไปที่ห้องแต่ตอนที่แม่เอามือกุมท้องแล้วพยายามเดินขึ้นบันได้นั่นแหล่ะ จึงก้าวพลาดพลัดตกลงมา และมารู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว” อมลวรรณอธิบายให้ลูกชายฟัง
“ผมไม่ดีเอง ผมขอโทษนะครับแม่ ดูสิแม่เลยต้องมาเจ็บตัวเพราะผมเลย แล้วนี่แม่เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า” อัศวินจับแขนมารดาพลิกไปมาเพื่อหาบาดแผลฟกช้ำ แต่ก็ไม่มีร่องรอยอะไร
“เอ่อ...แม่แค่ฟกช้ำนิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ พอดีตอนนั้นขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ชั้น เลยไม่เจ็บตัวเท่าไร”
“ที่จริงแม่โทรมาตามผมก็ได้หนิครับ”
“แม่รู้ว่าวินน่ะอยู่กับยัยจีสตริงอะไรนั่นใช่มั๊ยล่ะ หึ แม่เลยไม่อยากโทรไปขัดความสุข” มองค้อนลูกชายทีนึงก่อนจะสลัดมือออกจากมือใหญ่ที่กุมไว้
“เธอชื่อจีน่าครับแม่ไม่ใช่จีสตริง” เขาถึงกับหลุดขำกับสรรพนามที่มารดาใช้เรียกคู่นอนของเขา
“ย่ะ แม่จีนงจีน่าอะไรของวินนั่นแหล่ะ ไม่รู้ว่าแม่นั่นมีดีอะไรนักหนาจนทำให้วินลืมแม่ได้” อมลวรรณทำปากเบ้พูดเสียงสะบัด
“โธ่ แม่ก็รู้นี่ครับ ว่าไม่มีใครสำคัญสำหรับผมเท่ากับแม่อีกแล้ว เลิกโกรธผมนะ” พูดง้อเสร็จก็ก้มลงหอมแก้มมารดาฟอดใหญ่
“ไม่ต้องมาทำเป็นประจบเอาใจแม่หรอก ถ้าอยากให้แม่หายโกรธ วินทำตามที่แม่ขอร้องสักอย่างได้ไหม” อมลวรรณสบตาลูกชายอย่างมีความหวัง
“ว่ามาเลยครับ เพื่อแม่ผมยอมทำทุกอย่างอยู่แล้ว” เขาฉีกยิ้มกว้าง แต่ในใจนึกสังหรณ์ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกับที่คิดไว้หรือเปล่า
“ก็เรื่องที่แม่ขอวินบ่อย ๆ นั่นแหล่ะ วินน่ะสามสิบห้าแล้วนะลูก แม่อยากให้เราแต่งงานสักที และเลิกยุ่งกับยัยจีน่าปลิงดูดเลือดนั่นด้วย”
“ผมว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องนี้...” เขาหัวเราะแต่สีหน้าไม่บ่งบอกว่าตลกกับคำพูดตัวเอง “ขอเวลาอีกสักสองสามปีไม่ได้เหรอครับ ยังไงผมก็ต้องแต่งงานเพื่อแม่อยู่แล้ว นะครับแม่” อัศวินอ้อนวอนมารดา เพราะด้วยนิสัยรักสนุกของเขา จึงยังไม่อยากผูกมัดกับใครตอนนี้
“แม่กลัวไม่มีเวลาให้วินนานขนาดนั้นน่ะสิ” อมลวรรณพูดเสียงอ่อยเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แม่หมายความว่าไงครับ” อัศวินขมวดคิ้วทันที่ที่ได้ยินมารดาพูดเช่นนั้น
“ก็อาการปวดท้องวันนี้น่ะสิ มันไม่ใช่แค่ปวดท้องธรรมดา...” เธอเงียบไปพักนึงแล้วมองหน้าลูกชายที่ตอนนี้ทำหน้าอยากรู้เต็มแก่ “หมอเขาบอกว่าแม่...แม่เป็น...เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร” พูดเสร็จก็เอามือปิดหน้าสะอื้นไห้
“แม่เป็นมะเร็ง! เป็นไปได้ยังไงในเมื่อแม่ออกจะแข็งแรงขนาดนี้ ผมว่าหมอต้องตรวจแม่ผิดแน่ ๆ” อัศวินร้องตกใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาพูด มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อแม่เขารักษาสุขภาพขนาดนี้ กินอาหารก็ตรงเวลา และอาหารแต่ละมื้อก็ดี ๆ ทั้งนั้น ไม่มีทางที่แม่เขาจะมาเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารแน่ ๆ
“ตอนแรกแม่ก็ตกใจเหมือนกัน แต่หมอเขายืนยันว่าแม่เป็นมะเร็งจริง ๆ อีกอย่างเจ้าของโรงพยาบาลนี้ก็เป็นเพื่อนกับพ่อเราด้วย แม่เชื่อว่าโรงพยาบาลเขามีมาตราฐานดี คงไม่ตรวจผิดพลาดแน่นอน” อมลวรรณหันไปทางลูกชายที่ตอนนี้ยืนเอามือกุมขมับทำท่าคิดไม่ตกว่าจะเอายังไงดี
“นะวินนะ ถือว่าทำเพื่อแม่สักครั้งก่อนแม่จะตาย แม่อยากเห็นวินเป็นฝั่งเป็นฝาสักที ถึงแม้แม่จะไม่รู้ว่าจะอยู่ทันเห็นหลานหรือเปล่าก็ตาม” เธอจับมือใหญ่ของลูกชายขึ้นมากุมไว้ พูดจาเว้าวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายง่าย ๆ อย่างนั้นนะ ผมไม่ยอมให้แม่เป็นอะไรเด็ดขาด” เขาบีบมือมารดาเพื่อให้กำลังใจ
“แม่ก็จะไม่ยอมเป็นอะไรไปก่อนที่จะเห็นวินแต่งงานแน่ ๆ ตกลงวินแต่งงานนะลูก” พูดย้ำกับลูกชายอีกครั้ง
อัศวินเงียบอยู่นานเมื่อได้ยินมารดาพูดจาเว้าวอนเขาขนาดนี้ ตกลงเขาจะต้องสละโสดใช่ไหมเนี่ย เขารู้ว่ามารดาคาดหวังเรื่องที่จะให้เขาแต่งงานมานานแล้ว หล่อนพยายามเฟ้นหาผู้หญิงดี ๆ มาให้เขาเลือกไปเป็นภรรยา เขาก็พยายามเอาใจด้วยการคบกับพวกผู้หญิงที่มารดาสรรหามาให้ แต่ก็ไม่มีใครถูกใจเขาสักคน ครั้นจะหาเองก็มีแต่พวกผู้หญิงที่คอยหวังแต่สมบัติของเขากันทั้งนั้น แล้วเขาจะหาผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนที่ถูกใจเขามาแต่งงานด้วยล่ะทีนี้
“ก็ได้ครับ ผมจะแต่งงาน” พูดเสร็จเขาก็เห็นรอยยิ้มของมารดาขึ้นมาทันที “แต่ขอเวลาผมหาผู้หญิงดี ๆ สักคนมาเป็นลูกสะใภ้ให้แม่นะ”
“ขอบใจนะวินที่ยอมทำตามที่แม่ขอร้อง ส่วนเรื่องลูกสะใภ้น่ะ แม่หาไว้ให้แล้วล่ะ วินไม่ต้องไปเสียเวลาหาผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนหรอก รับรองคนนี้วินต้องถูกใจแน่ ๆ จ้ะ ทั้งน่ารัก ทั้งฉลาด มารยาทก็เรียบร้อย แถมยังเป็นลูกสาวเพื่อนแม่อีก วินเองก็รู้จักนะลูก น้องแพรไงล่ะ จำน้องได้ไหม คนที่เคยมาที่บ้านเราครั้งหนึ่งกับครอบครัวตอนงานเลี้ยงส่งวินไปเรียนต่อที่สวิสไง”
อมลวรรณรีบบรรยายสรรพคุณว่าที่ลูกสะใภ้ที่เธอเตรียมไว้ให้ลูกชายหลังจากที่เมื่ออาทิตย์ก่อนเจอรุ้งรวีเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาลัยพร้อมกับลูกสาวโดยบังเอิญ เลยได้แอบคุยกันตอนที่ลูกสาวเธอขอตัวไปเข้าห้องน้ำและรู้ว่าฝ่ายนั้นเองก็กำลังมองหาลูกเขยอยู่เหมือนกัน
“แพร?...แพรไหนครับแม่ ผมจำไม่เห็นได้” อัศวินขมวดคิ้วถาม พยายามนึกว่าผู้หญิงที่แม่พูดถึงคนนั้นเป็นใคร แต่นึกเท่าไรเขาก็นึกไม่ออก แถมชื่อก็ยังไม่คุ้นอีกต่างหาก
“แพรคนที่วินเผลอไปทำน้ำหวานหกใส่จนน้องเขาร้องไห้ฟูมฟายกลับบ้านไปยังไงล่ะ เอ...แม่จำได้ว่าตอนนั้นหนูแพรยังอยู่แค่ม.ต้นเองนะ” อมลวรรณทวนความจำให้อัศวิน
เขาขมวดคิ้วแทบจะชนกัน พึมพำพลางคิดย้อนไปถึงคืนนั้น “แพร....ทำน้ำหวานหกใส่เหรอครับ....”
“หนูแพรที่อ้วนปุ๊กลุ๊ก มีปานดำอยู่ข้างแก้มไง” พูดเสร็จเธอก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออัศวินร้องอุทานออกมาเสียงดัง
“หยี! ยัยเด็กหัวฟู ตัวอ้วน ที่มีปานดำใหญ่เบ้อเริ่มอยู่ที่แก้มนั่นน่ะเหรอครับ แหว่ะ วินไม่เอาด้วยหรอกนะหน้าตาอัปลักษณ์แบบนั้นน่ะ” อัศวินร้องอย่างรังเกียจพร้อมเบ้ปาก
พอมารดาเขาพูดถึงเหตุการณ์ที่เขาทำน้ำหกใส่เด็กผู้หญิงอ้วน ใบหน้ามีปานดำในคืนงานเลี้ยงส่ง เขาก็จำได้ทันทีว่ายัยน้องแพรที่แม่พูดถึงก็คือยัยเด็กหน้าตาน่าเกลียดคนนั้นนั่นเอง และคืนนั้นเขาก็ไม่ได้เผลอทำน้ำหวานหกใส่ยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นอย่างที่มารดาหรือใคร ๆ คิด แต่เขาทั้งตั้งใจและจงใจทำให้มันหกใส่ยัยเด็กนั่นและเสแสร้งว่ามันเป็นอุบัติเหตุต่างหาก
เขาเองใช่ว่าอยากจะรังแกเด็กหรอกนะ เพียงแต่แค่ไม่ชอบรอยยิ้มเอียงอายกับสายตาหวานเชื่อมที่มองมาเวลาที่คุยกับเธอเลยสักนิด เพราะมันทำให้เขารู้สึกขนลุกเมื่อมีผู้หญิงหน้าตาดูไม่จืดแถมยังตัวอ้วนฉุมาทำท่าทางกระเดียดเขินอายใส่เขา และตอนนั้นมารดาเขาก็พยายามจะให้เขาชวนยัยเด็กแพรนั่นคุยให้ได้จนเขาต้องหาทางหลุดพ้นด้วยการแกล้งทำน้ำหวานหกใส่ และแผนของเขาก็ได้ผล เมื่อยัยเด็กอ้วนหัวฟูวิ่งร้องไห้หน้าตาตื่นออกจากห้องโถงไป
“ตาวิน! ทำไมไปว่าน้องเขาอย่างนั้นล่ะ ถึงแม้ตอนเด็ก ๆ น้องอาจจะไม่น่ารัก แต่โตขึ้นสวยเช้งอย่าบอกใครเลยนะลูก แม่ว่าสวยกว่ายัยจีสตริงของวินอะไรนั่นอีก” อมลวรรณยังไม่ยอมแพ้ เพราะเธอคุยกับเพื่อนเธอไว้เรียบร้อยแล้วว่ายังไงก็อยากให้ทั้งสองแต่งงานกัน
“แล้วแม่ไปเห็นน้องเขาแล้วเหรอครับถึงว่าสวยน่ะ หน้าตาอัปลักษณ์อย่างนั้นโตขึ้นจะสวยสักเท่าไรกันเชี๊ยว แอบไปทำศัลยกรรมมาหรือเปล่าก็ไม่รู้” อัศวินทำเสียงเหยียด ๆ
“เอ๊ะ ตาวินหนิ! จะพูดจะจาอะไรก็ให้เกียรติหนูแพรเขาบ้างนะ” อมลวรรณบอกเสียงดุพร้อมกับตีแขนลูกชายที่ยืนทำหน้าปะหลักปะเหลือกอยู่ข้าง ๆ หล่อนถอนหายใจ และส่ายหน้าระอากับนิสัยปากเสียที่แก้ไม่หายของอัศวิน
“เมื่อวันก่อนแม่บังเอิญเจอรุ้งกับหนูแพรที่ห้าง เห็นครั้งแรกแม่ยังตกใจเลยว่าจากเด็กหน้าตาธรรมดาจะกลายมาเป็นสาวสวยได้ขนาดนั้น ปานดงปานดำอะไรนั่นก็หายไปแล้วด้วยนะ แม่ยืนยันได้เลยนะว่าน้องแพรน่ะไม่ได้ไปทำศัลยกรรมมาแน่นอน เพราะแม่น่ะออกงานสังคมบ่อย ๆ เจอนางแบบพลาสติกมาก็เยอะ เรื่องอย่างนี้แม่ดูไม่พลาดหรอก” เธอทำหน้าและน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มร้อย
“เนี่ยนะ รุ้งบอกว่าต้องคอยไล่พวกแมลงวันแมลงหวี่ที่รุมตอมแจกขนมจีบหนูแพรจนปวดหัวไปหมด” เธอบอกเสียงตื่นเต้น พยายามยกยอลูกสาวเพื่อนสนิทเต็มที่เพื่อโน้มน้าวใจลูกชาย
“ผมนึกว่าไล่แมลงวันแมลงวี่ที่รุมตอบลูกสาวเพราะค้างปีไม่มีใครเอาซะอีก” อัศวินยักไหล่พูดหน้าตาย สงสัยคงจะหาผู้ชายให้กับลูกสาวไม่ได้พอมาเจอมารดาเขาที่อยากให้ลูกชายแต่งงานเข้าหน่อยเลยจะรีบคว้าโอกาสไว้สิท่า เขาเยาะเย้ยในใจ
“ตาวิน! ถ้าเรายังไม่หยุดพูดว่าหนูแพรเขาอีกนะ แม่จะไม่คุยกับเราอีกเลยคอยดู...โอ๊ย” อมวรรณขึ้นเสียงดุลูกชาย แล้วรีบแกล้งเอามือกุมศรีษะร้องด้วยความเจ็บปวด
อัศวินรีบร้องถามมารดาด้วยสีหน้าตกใจ “แม่! ปวดหัวเหรอครับ ให้ผมตามหมอมาดูอาการแม่นะ” ว่าแล้วก็ทำท่าจะหมุนตัวเดินออกไปตามหมอ แต่มืออวบของมารดาคว้ามือเขาเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรลูก แม่แค่ปวดจี๊ด ๆ น่ะ”
“แน่ใจนะครับแม่” เขาถามย้ำ
“จ้ะ เอ่อ...ตกลง...วินแต่งกับหนูแพรนะลูก ยังไงแม่ก็ว่าหนูแพรนี่แหล่ะเหมาะกับลูกที่สุดแล้ว นะวินนะ ถือว่าแม่ขอร้อง” อมลวรรณรีบวกกลับมาเข้าเรื่องแต่งงานเพราะกลัวลูกชายจะเฉไฉ
“ถ้าจะให้ผมแต่งงานกับยัยน้องแพรอะไรนั่น....ก็ได้ครับ แต่ผมจะต้องเห็นหน้าน้องเขาก่อนว่าสวยจริงอย่างที่แม่ว่าหรือเปล่า และถ้าไม่จริงอย่างที่พูดผมก็ไม่แต่ง” อัศวินยื่นคำขาด เพราะถ้าให้เขาต้องทนแต่งงานกับผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ อ้วนฉุล่ะก็ เขาขอไปลาตายแล้วเกิดใหม่ดีกว่า
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้วจ้ะ เดี๋ยวแม่จะรีบนัดครอบครัวโน้นให้มาเจอกัน และจะได้ตกลงหาฤกษ์หายามวันแต่งไปด้วยเลย แม่ขอบใจนะวิน ที่ทำตามคำขอร้องขอแม่ ที่นี้แม่ก็จะได้นอนตายตาหลับสักที” อมลวรรณพูดด้วยความดีใจอย่างล้นเหลือที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอยอมทำตามคำขอร้องของเธอสักที หลังจากที่เคยรบเร้าแล้วไม่เป็นผลอยู่นาน
“บอกแล้วไงครับว่าไม่ให้พูดเรื่องตาย ยังไงแม่ก็ต้องหาย เดี๋ยวนี้หมอเก่ง ๆ เยอะแยะไป แม่ต้องอดทนและเข้มแข็งไว้มาก ๆ นะครับ” พูดเสร็จเขาก็สวมกอดผู้เป็นมารดาเพื่อให้กำลังใจ
“จ้ะ แม่จะเข้มแข็ง ยิ่งแม่มาได้ยินว่าวินจะแต่งงานเพื่อแม่อย่างนี้ด้วยแล้ว แม่ยิ่งมีกำลังใจขึ้นอีกเป็นกองเลย” พลางคลายอ้อมกอดจากลูกชาย แล้วยิ้มบาง ๆ ไปให้
“ดีแล้วล่ะครับ” อัศวินยิ้มตอบมารดา เขาดีใจที่เห็นว่ามารดาเขามีรอยยิ้มถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองป่วยด้วยโรคร้ายแรง แต่เขาสิกลับไม่ดีใจเลยสักนิดที่มารดาเขาต้องมาป่วยแบบนี้ แล้วไหนจะเรื่องแต่งงานกับยัยเด็กอัปลักษณ์นั่นอีก แม้มารดาเขาจะบอกว่ายัยน้องแพรอะไรสวยขึ้นก็เถอะ แต่ตอนเด็กหน้าตาน่าเกลียดขนาดนั้นโตขึ้นมันจะสวยไปได้สักเท่าไรกันเชียว
“แพรไม่มีวันแต่งกับคนพรรนั้นเด็ดขาดนะคะ พ่อช่วยพูดกับแม่รุ้งให้หน่อยสิคะ” พิชชาภาโวยลั่นห้องนั่งเล่นภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมหยักศกยาวเป็นคลื่นที่ล้อมรอบใบหน้ารูปหัวใจปลิวสยายเมื่อหญิงสาวสะบัดตัวลุกขึ้นเดินมานั่งข้างบิดาพร้อมกับเกาะแขนเขย่าอ้อนวอน
“แต่พ่อเห็นด้วยกับแม่เขานะแพร พ่อว่านายวินก็ดีนะลูก อายุแค่สามสิบห้า แต่บริหารงานทั้งโรงแรม รีสอร์ทในเครือจนรุ่งเรือง กำไรต่อปีที่ได้ก็ใช่น้อยซะเมื่อไร เก่ง ๆ แบบนี้พ่อชอบ แถมครอบครัวเราก็ยังรู้จักกับครอบครัวฝ่ายนั้นด้วย พ่อว่าเหมาะสมกันดีออก” ปิยวัฒน์พูดถึงว่าที่ลูกเขยอย่างชื่นชมในความสามารถ เข้าข้างความคิดของภรรยาที่จะให้แต่งงานกับอัศวิน จึงทำให้หญิงสาวข้าง ๆ ถึงกับปล่อยมือที่เกาะแขนอยู่ทันที
“คุณพ่อ! นี่คุณพ่อก็เห็นด้วยกับแม่รุ้งเหรอคะ ทำไมทุกคนไปเข้าข้างอีตาพี่วินนั่นกันหมดนะ พีท...พีทช่วยพูดให้พี่หน่อยสิ นะพีทนะ” เมื่อเห็นว่าทั้งบิดาและมารดาต่างก็เห็นด้วยที่จะให้เธอแต่งงานกับอัศวิน เลยหันไปหาเป้าหมายใหม่คือพิรภพให้มาเป็นพรรคพวกแทน
“พีทก็เห็นด้วยเหมือนกันนะ พี่วินออกจะนิสัยดี ทั้งหล่อ ทั้งรวย ใครไม่เอาก็บ้าแล้ว มีพี่แพรนั่นแหล่ะตาบอด มัวแต่ไปชอบไอ้ผู้ชายหน้าหม้อหูดำนั่นอยู่ได้” พิรภพที่นอนเอกเขนกอ่านนิตยสารอยู่บนโซฟาหันมาบอกพี่สาวที่นั่งตีหน้ายักษ์อยู่ข้าง ๆ บิดา
“นายพีท! อย่ามาว่าพี่ภัทรแบบนั้นนะ! ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดดีกว่า” พิชชภาลุกขึ้นตวาดน้องชายแทบจะทันทีที่ได้ยินพิรภพพูดจาว่าร้ายอนุภัทรแฟนหนุ่มที่คบกันมาได้ปีกว่า หลังจากที่เธอกลับมาจากอเมริกาแล้วเข้าทำงานเป็นฝ่ายการตลาดให้กับบริษัทบิดาของเธอเองซึ่งเป็นบริษัทผลิตครีมอาบน้ำรวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความสวยความงาม
“โธ่ พี่แพร ใคร ๆก็รู้ทั้งนั้นแหล่ะว่าไอ้พี่ภัทรของพี่น่ะ เจ้าชู้ขนาดไหน นอกจากจะหน้าหม้อแล้วยังหน้าเงินอีกต่างหาก” พิรภพพูดพร้อมเบ้ปาก แล้วหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่านตามเดิม
“จะมากไปแล้วนะนายพีท! กล้าดียังไงมาว่าพี่ภัทรแบบนี้!” พิชชาภาตวาดแว๊ดใส่น้องชายก่อนจะหยิบหมอนบนโซฟาเดินไปยังพิรภพที่กำลังนอนไม่สนใจเสียงแปดหลอดของเธอ แล้วฟาดลงบนนิตยสารที่เขาถืออยู่อย่างแรง
“โอ๊ยย! พี่แพร พีทเจ็บนะ เป็นบ้าอะไรเนี่ย!” พิรภพพยายามลุกขึ้นนั่งพร้อมกับก้มหัวเอามือตั้งกาดหลบหมอนที่ฟาดลงมาไม่ยั้ง
“พอได้แล้ว!” รุ้งรวีตะโกนบอกพิชชาภาด้วยสีหน้าขุ่นเคือง และเมื่อเห็นว่าลูกสาวเธอหยุดยืนอยู่อย่างนั้น เธอจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตาพีทพูดถูกทุกอย่าง นายภัทรนั่นทั้งเจ้าชู้ เสเพล และยังเกาะเรากินอีกด้วยนะยัยแพร เราน่ะมัวแต่ไปหลงมันอยู่ได้ แม่ขอสั่งตั้งแต่วันนี้เลยนะ ให้เราเลิกกับนายนั่นซะ แล้วเตรียมตัวแต่งงานกับตาวินได้เลย อ่อ แล้วอาทิตย์นี้ทำตัวให้ว่างด้วยล่ะ ครอบครัวเราจะนัดเจอกับครอบครัวโน้นเพื่อคุยเรื่องแต่งงาน เข้าใจที่แม่พูดไหม” รุ้งรวีสั่งลูกสาวน้ำเสียงเฉียบขาด เธอมั่นใจว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้พิชชาภามีความสุขได้แน่นอน
“ทำไมทุกคนถึงไม่สงสารแพรบ้างเลย แพรกับอีตาพี่วินนั่นเคยเจอกันแค่ครั้งเดียว และมันก็ตั้งหลายปีมาแล้ว อยู่ ๆ จะให้ไปแต่งงานกับเขาแพรทำไม่ได้หรอกค่ะ แล้วแพรกับพี่ภัทรก็รักกัน และเราก็จะแต่งงานกัน พ่อกับแม่ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าคนที่ไม่ได้รักกันแต่งงานกันไปแล้วจะมีความสุขได้ยังไง แม่กับพ่ออยากเห็นแพรทุกข์ทรมานใช่ไหม ถึงได้จับแพรแต่งงานไปกับคนที่แพรไม่ได้รัก!” พิชชาภาปล่อยให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่อาจห้ามได้อีกต่อไป เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทั้งครอบครัวเธอถึงได้ทำร้ายจิตใจเธอด้วยการบังคับเธอแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักแบบนี้ แถมยังตั้งแง่รังเกียจคนที่เธอรักอีกด้วย
“แพร...ฟังพ่อนะ” พูดเสร็จปิยวัฒน์ก็ลุกขึ้นเดินไปหาลูกสาวที่กำลังสะอื้นไห้ราวกับจะขาดใจ จากนั้นจึงโอบไหล่แล้วตบเบาๆเป็นการปลอบใจก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“พวกเรารู้ว่าการจับแพรแต่งงานกับตาวินแบบนี้น่ะมันเป็นการคลุมถุงชนก็จริง แต่พ่อคิดว่ามันก็ยังดีกว่าที่จะให้แพรของพ่อไปแต่งงานกับนายภัทรที่ทำตัวเจ้าชู้ประดิน หน้าที่การงานก็ไม่มั่นคง แล้วอย่างนี้พ่อกับแม่จะมั่นใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่พาลูกไปลำบากอด ๆ อยาก ๆ น่ะ แพรเชื่อพ่อกับแม่สักครั้งเถอะนะลูก” เขาพยายามจะเอาน้ำเย็นเข้าลูบโดยการค่อย ๆ พูดตะล่อมให้พิชชาภาใจอ่อน
“ทำไมทุกคนถึงต้องให้ร้ายพี่ภัทรด้วย พี่ภัทรไม่เคยนอกใจแพร พี่ภัทรรักแพรแล้วแพรก็รักพี่ภัทรด้วย ได้ยินไหมคะว่าแพรรักพี่ภัทร! แล้วแพรก็จะแต่งงานกับพี่ภัทรคนเดียวเท่านั้น!” พิชชาภาแผดเสียงลั่นอีกครั้งก่อนจะปาดน้ำตาแล้ววิ่งขึ้นห้องตนเองไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของบิดาและมารดาแม้แต่น้อย
“เฮ้อ รุ้งว่าพี่วัฒน์เอารูปของนายภัทรที่นักสืบไปถ่ายมาได้ให้ยัยแพรดูดีไหมคะ ลูกของเราจะได้ตาสว่างสักที เห็นอย่างนี้แล้วรุ้งหนักใจจริง ๆ กลัวว่าจะหนีตามนายภัทรนั่นไปถ้าเราห้ามไม่ให้สองคนนั้นแต่งงานกัน” รุ้งรวีหันไปถามสามีที่กลับมานั่งข้างเธอบนโซฟา
“พี่ว่าอย่าเพิ่งดีกว่า ลูกของเราหลงนายนั่นอย่างนี้ถ้าเกิดเห็นรูปพวกนั้นพี่กลัวว่ายัยแพรจะทำใจไม่ได้ แล้วเกิดคิดมากทำร้ายตัวเองขึ้นมาไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เหรอ อีกอย่างพี่ว่าถึงยัยแพรจะคิดหนี นายภัทรนั่นก็คงไม่ยอมแน่ เพราะหน้าเงินอย่างนั้นคงไม่คิดจะพาลูกสาวเราที่มีแต่ตัวหนีไปหรอก” เขาบอกให้ภรรยาคลายกังวล
“จริงด้วยครับแม่ พีทว่าเรารีบให้พี่แพรกับพี่วินแต่งงานกันให้เร็วที่สุดดีกว่า ไอ้หน้าเงินนั่นมันจะได้เลิกยุ่งกับพี่แพรสักที” พิรภพสนับสนุนความคิดของบิดา เขาไม่ชอบขี้หน้าไอ้ตี๋ขี้เก๊กนั่นเลยจริง ๆ เวลาที่พี่สาวพามันมาบ้านที่ไรเขารู้สึกอยากจะตั๊นหน้าทุกทีเวลาที่มันทำตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของเขาใหญ่โตแค่ไหน
“แล้วตกลงรุ้งคุยกับคุณวรรณเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเรื่องตาวินน่ะ ไม่ใช่ว่าฝ่ายชายเขาไม่เต็มใจจะแต่งแล้วเราไปบังคับเขามาเพื่อลูกสาวเราหรอกนะ” ปิยวัฒน์มองหน้าภรรยาเหมือนต้องการเค้นคำตอบ
“โธ่ รุ้งจะไปบังคับตาวินให้มาแต่งงานกับยัยแพรได้ยังไงล่ะคะ ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่ตกลงรุ้งก็ไม่ตื๊อหรอกค่ะ” เธอกระอ้อมกระแอ่มตอบสามี เพราะเขาไม่รู้ว่าเธอกับอมลวรรณคุยอะไรกันบ้างเพื่อให้ทั้งสองได้แต่งงานกัน
“พี่ก็ถามไปงั้นแหล่ะ เพราะเห็นว่าตาวินไม่ได้เจอยัยแพรตั้งหลายปี ครั้งล่าสุดที่เจอยัยแพรหน้าตายังดูไม่จืดอยู่เลย พี่ก็เลยคิดว่าตาวินคงไม่ตอบตกลงง่าย ๆ หรอก”
“แหม เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เพราะวันที่รุ้งบังเอิญเจอวรรณตอนนั้นยัยแพรก็อยู่ด้วย แล้ววรรณก็ชื่นชมลูกสาวเราไม่ขาดปาก ถ้าตาวินเห็นต้องถูกใจและชอบยัยแพรของเราจนอยากจะเร่งวันแต่งงานให้มาถึงเร็ว ๆแน่ค่ะ” รุ้งรวีพูดด้วยความปลื้มใจในตัวลูกสาว
“พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” พูดเสร็จก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถ้าอัศวินและลูกสาวเขาลงเอยได้ด้วยดีเขาก็คงจะมีความสุข และจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนายอนุภัทรนั่นด้วย
“หึ ไว้รอดูตอนวันอาทิตย์นี้ก็แล้วกันค่ะ ตาวินต้องตะลึงเมื่อได้เห็นยัยแพรของเราแน่ ๆ” รุ้งรวีพูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าลูกชายเพื่อนของเธอจะต้องชอบพิชชาภาลูกสาวเธอแน่นอน
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าวันพฤหัสค่า ^_<
เปลวหอม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2558, 11:11:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2558, 11:11:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1982
ตอนที่ 2 >> |
เปลวหอม 12 ต.ค. 2558, 11:21:17 น.
ขอตอบเม้นท์จากเรื่องที่แล้วนิดนึงนะคะ
คุณ lamyong ขอบคุณสำหรับการติดตามคอมเม้นท์กันมาตลอดค่ะ ^^ ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
คุณ Zephyr ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามคอมเม้นท์ทุกตอนของนิยายเปลวหอมนะคะ ^_^ เรื่องภาคต่อของลูก ๆ ยังไม่เคยคิดเลยค่ะ อิอิ พอคุณ Zephyr ทักขึ้นมาก็เริ่มดูน่าสนใจ ยังไงจะเก็บไว้พิจารณานะคะ ตอนนี้ฝากคุณ Zephyr ติดตามเรื่องใหม่อีกเรื่องด้วยนะคะ
ขอตอบเม้นท์จากเรื่องที่แล้วนิดนึงนะคะ
คุณ lamyong ขอบคุณสำหรับการติดตามคอมเม้นท์กันมาตลอดค่ะ ^^ ฝากนิยายเรื่องใหม่ด้วยนะคะ
คุณ Zephyr ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามคอมเม้นท์ทุกตอนของนิยายเปลวหอมนะคะ ^_^ เรื่องภาคต่อของลูก ๆ ยังไม่เคยคิดเลยค่ะ อิอิ พอคุณ Zephyr ทักขึ้นมาก็เริ่มดูน่าสนใจ ยังไงจะเก็บไว้พิจารณานะคะ ตอนนี้ฝากคุณ Zephyr ติดตามเรื่องใหม่อีกเรื่องด้วยนะคะ
lamyong 12 ต.ค. 2558, 12:48:26 น.
เรื่องใหม่มาแล้วววว ดูท่าว่าพระเอกกับนางเอกคู่นี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยนะเนี่ย
เรื่องใหม่มาแล้วววว ดูท่าว่าพระเอกกับนางเอกคู่นี้จะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันตั้งแต่เริ่มเรื่องเลยนะเนี่ย