ดาวล้อมมุก
เพราะสูญเสียพ่อแม่ไปจากอุบัติเหตุ ทำให้ดาวรดาดูแลน้องสาวอย่างกับไข่ในหิน บางครั้งเธอคงลืมไปว่าคนเราอาจดูแลกันได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องหัวใจ ดาวรดาจะทำอย่างไรเมื่อรักครั้งแรกของน้องสาวเกิดขึ้นกับชายหนุ่มต้องห้าม!!!
Tags: gagayear, ดาว, มุก, นิยายรัก,

ตอน: ตอนที่ 2

หายไปนานกว่าจะเคลียร์งานทุกอย่างและได้มีอกาสนำนิยายมาลงให้อ่านกันใหม่ ไม่รู้ยังมีคนติดตามอ่านอยู่ไหม แต่จะไม่หายไปนานแบบนี้อีกแน่นอนค่ะ

.....................................................................

- 2 –

“ผมอยากเข้าห้องน้ำ ช่วยแกะไอ้พวกนี้ออกไปหน่อยได้ไหม” ภาวินเปิดปากตัดกระแสลมร้อนระหว่างพี่ชายกับคนรัก ทีมงานรีบวิ่งเข้าไปแกะสลิง
ดาวรดารู้สึกขอบคุณชายหนุ่มผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของคนรักยิ่งนัก หากเขาไม่ตะโกนขึ้นมาเธอคงอกแตกตาย เขาสบตาเธอเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเดินผ่านหน้าไป หญิงสาวรู้ถึงเจตนาของการอยากเข้าห้องน้ำทันที
“แล้วนายไม่คิดจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อยหรือไง เผื่อจะดีขึ้น” ภาวินบอกกับคนกลัวความสูงที่ยืนเก้ๆ กังๆ เด็กหนุ่มผงกศีรษะแทนคำตอบแล้วเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย
ดาวรดามองตามแผ่นหลังของภาวินแล้วอมยิ้ม แรกเห็นเธอฟันธงว่าชายหนุ่มที่ซ่อนตัวไว้ภายใต้ความขมุกขมัวคนนี้ไม่สนใจโลกภายนอกสักเท่าไหร่ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คิด...ขณะที่กำลังเพลินอยู่กับการมองแผ่นหลังของเขา คนถูกมองก็หันมาสบตาแล้วส่งสัญญาณให้เธอเดินตามไป
“คุณมีอะไรอยากจะพูดกับเจ้านี่ไม่ใช่เหรอ” ภาวินว่าพร้อมกับโบ้ยหน้าไปที่คนต้นเหตุ เมื่อเดินมาถึงห้องแต่งตัว “หรือว่าอยากเข้าห้องน้ำกับผม” เขาแกล้งกระเซ้าเธอเล่น ก่อนจะเดินหายไปทางห้องน้ำ หญิงสาวเบ้ปากใส่
“ชื่อนัทใช่ไหมเรา” เธอถาม เด็กหนุ่มพยักหน้า “คุณแม่เป็นอะไรทำไมนัทถึงอยากได้รถเข็นไปให้ท่าน”
“วันนั้นผมไม่ได้ไปช่วยแม่ขายของเพราะตามเพื่อนไปดูหนัง แม่ก็เลยโดนรถชนตอนเข็นรถก๋วยเตี๋ยวกลับบ้านฮะ...” ครีเอทีฟสาวตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เมื่อเสียงของเขาเริ่มสั่น
“เอาล่ะไม่เป็นไร ไหนๆ ตั้งใจจะทำเพื่อแม่แล้วก็ทำให้ถึงที่สุดสิ”
“ผมอยากทำนะพี่แต่ผมกลัวความสูงฮะ”
“ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ก็กลับบ้านไปนอนร้องไห้ แล้วก็อยู่กับความรู้สึกผิดไปจนตายดีไหม…ลังเลแบบนี้นอกจากไม่ได้เงินไปซื้อรถเข็นให้แม่แล้วยังทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาด้วยนะ” เธอบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“...” เด็กหนุ่มไม่ตอบได้แต่กัดฟันจนกระพุ้งแก้มเกร็ง
ภาวินซึ่งเดินกลับมาจากห้องน้ำหยุดยืนอยู่ห่างๆ นี่ก็มากพอแล้วสำหรับการเข้าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น สำหรับเขาไม่มีอะไรดีไปกว่าการอยู่ห่างจากผู้คน
“นั่งพักสักห้านาทีนะ แล้วก็กลับบ้านไปซะ” ดาวรดาทำท่าจะลุกขึ้น แต่ถูกอีกฝ่ายคว้ามือไว้
“ผมจะทำฮะ”
“เอาอย่างนี้แล้วกัน นี่ถ้าไม่เห็นว่านัทรักแม่นะพี่ไม่ให้หรอก” เธอแกะสร้อยเงินเส้นเล็กๆ ที่ข้อมือออกส่งให้ เด็กหนุ่มมองสร้อยเส้นนั้นอย่างสงสัย “เนี่ยเป็นสร้อยข้อมือที่แม่พี่ให้ สร้อยเส้นนี้เหมือนเป็นเครื่องรางประจำตัวพี่ตั้งแต่คุณแม่พี่เสียไป พี่ให้ยืม เผื่อนัดจะดีขึ้น”
“จะดีหรือครับพี่” เด็กหนุ่มลังเลก่อนจะรับสร้อยเงินเส้นนั้นมากำไว้
“เอาน่า พี่แค่ให้ยืม ไม่ได้ให้เลยเสียหน่อย แต่นัทต้องรับปากกับพี่อย่างหนึ่งนะ” เด็กหนุ่มยิ้มพยักหน้าแล้วจัดแจงใส่สร้อยเส้นนั้นที่ข้อมือ “เวลาขึ้นไปบนนั้นให้นัทสูดหายใจลึกๆ และคิดว่ามันไม่สูง ถ้าไม่ไหวก็เงยหน้ามองข้างบนเอาไว้ เข้าใจไหม ที่สำคัญอย่าให้นึกถึงสิ่งที่เราตั้งใจทำเพื่อแม่”
“ครับ”
ดาวรดาจำได้เธอเคยอ่านเจอว่าโรคกลัวพวกนี้ต้องแก้ด้วยกำลังใจและการเผชิญหน้า ซึ่งหญิงสาวไม่แน่ใจว่าจะได้ผลแค่ไหน แต่ดีกว่าไม่ลองดู
“คุยกันเสร็จหรือยัง ถ้านานกว่านี้ข้างนอกเขาจะคิดว่าผมท้องผูกนะ” ท่าทางกวนโทสะของเขาทำให้ดาวรดาหันไปค้อน
ภาวินรู้สึกหงุดหงิดหน่อย เขาเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ หาเหตุผลที่ชัดเจนไม่พบว่าทำไมต้องเข้ามายุ่งเรื่องนี้ คำตอบเดียวที่ชายหนุ่มค้นมาใช้เป็นข้ออ้างได้คือ ‘นี่เป็นงานของคุณย่า’

“จะดีหรือดาว” จีรณาถามคิ้วขมวดมุ่น หลังจากดาวรดาบอกว่าเด็กหนุ่มเจ้าปัญหาขึ้นสลิงอีกครั้ง
“เอาน่า ขืนชักช้าเดี๋ยวคนนั้นแผลงฤทธิ์จะยุ่งนะ” เธอบุ้ยใบ้ไปทางภาวินที่ยืนให้ทีมงานใส่สลิงด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ หญิงสาวอาศัยช่วงที่พงษ์โภคินทร์ออกไปคุยโทรศัพท์มัดมือชกทุกคนในกองถ่าย กว่าเขาจะเดินเข้ามา นัทก็ถูกสลิงดึงขึ้นไปลอยเท้งเต้งอยู่บนอากาศเรียบร้อยโรงเรียนจีน
“ดาว” พงษ์โภคินทร์กดน้ำเสียงหนักลงบนชื่อนั้น เขาทำตาดุใส่แต่อีกฝ่ายแกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้ ระหว่างถ่ายทำเธอจึงเล่าเรื่องนัทให้เขาฟัง เมื่อชายหนุ่มรู้ถึงเหตุผลที่เด็กหนุ่มต้องยอมสู้กับโรคกลัวความสูงเพื่อแลกกับเงิน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก สิ่งที่ดาวรดากังวลตอนที่คือความเชื่อของเธอที่ว่า...
ความรักเอาชนะความกลัวได้จะเป็นจริงหรือไม่?
ถ้าเธอคิดผิดจะแก้ปัญหานี้ต่อไปอย่างไร?
เธอกำลังจะได้คำตอบเมื่อนพนับถอยหลัง งานเริ่มต้นอีกครั้งตามกลไกของมัน
ดาวรดาลุ้นตัวโก่งเมื่อเห็นสีหน้าซีดเซียวของนัทผ่านมอร์นิเตอร์ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะถอดใจ จีรณาที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาแยกเขี้ยวใส่เธอ แต่สุดท้ายนัทก็ฮึดสู้ถ่ายจนจบโดยไม่ทำให้เธอขายหน้า กว่าจะได้ช็อตที่สวยถูกใจผู้กำกับก็กินเวลาไปเกือบห้าชั่วโมง
“คุณทำยังไงเหรอดาว เด็กนั่นถึงเลิกกลัว” พงษ์โภคินทร์ขณะที่อีกฝ่ายง่วนอยู่กับการเก็บสัมภาระ
“ไม่ได้ทำอะไรค่ะ ก็แค่เชื่อ”
“เชื่อ” เขาย้ำคำเหมือนไม่เชื่อ “อะไรของคุณ”
“ดาวก็แค่เชื่อว่าความรักที่นัทมีต่อแม่ของเขาจะช่วยให้เขาผ่านความกลัวของตัวเองไปได้”
ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่เข้าใจนัก แต่เมื่องานผ่านไปได้ก็เปล่าประโยชน์ที่จะหาเหตุผล เขายื่นซองสีขาวให้เธอ “แค่ค่าตัวประกอบคงไม่พอล่ะมัง”
ดาวรดารับซองมาถือไว้แล้วอมยิ้ม ขณะที่นัทเดินเข้ามาหา พงษ์โภคินทร์จึงเสเดินไปทางอื่น หญิงสาวอดที่จะขบขันกับท่าทางกระอักกระอ่วนของเขาไม่ได้
“ขอบคุณมากนะครับ” เด็กหนุ่มบอกขณะส่งสร้อยข้อมือคืน
“ต่อไปนัทก็ไม่ต้องกลัวความสูงอีกแล้วนะ ค่อยๆ สู้กับมันเดี๋ยวเราจะชนะเอง” เธอพูดไปใส่สร้อยที่ข้อมือไปด้วย
“ผมจะพยายามนะครับพี่ดาว...เอ่อแล้วพี่วินล่ะครับ”
“เหมือนจะกลับไปแล้วนะ”
“ผมยังไม่ทันขอบคุณพี่เขาเลย” เด็กหนุ่มพ้อเสียงอ่อย
“คุณพงษ์” เธอบุ้ยใบ้ไปที่เจ้าของชื่อพร้อมกับยื่นซองสีขาวให้ “ฝากพี่ให้เพราะเห็นว่านัททำเพื่อแม่ น่าจะพอซื้อรถเข็นได้อย่างที่นัทตั้งใจ จะได้ไม่ต้องไปทำอะไรเสี่ยงๆ อีก”
แม้จะยกมือไหว้และกล่าวขอบคุณแต่เด็กหนุ่มยังมีท่าทีลังเล
“รับไปเถอะ” ดาวรดายัดซองใส่มือให้เด็กหนุ่ม เขากำมันไว้ขณะที่มองไปทางพงษ์โภคินทร์
“ผมอยากขอบคุณคุณพงษ์ครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เดี๋ยวพี่บอกให้ นัทรีบกลับเถอะดึกแล้ว” หญิงสาวตัดบทเพราะรู้ดีว่าพงษ์โภคินทร์รู้สึกเก้อเขินมากกับเรื่องเช่นนี้ อีกฝ่ายจึงลากลับอย่างเสียไม่ได้


เจ้าชายอสูร!
ดารดาคิด ผู้ชายที่ทำหน้าที่สารถีส่งเธอกลับบ้านคนนี้มักทำตาดุ ท่าทางขึงขัง น่าเกรงขาม แต่หัวใจอ่อนโยน เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียน หญิงสาวจำได้ว่าตอนที่เธอพบเขาครั้งแรก ตัวเองเดินกะเผลกไปนั่งในโรงอาหารเพราะข้อเท้าแผลงจากการซ้อมแบดมินตัน ขณะที่เธอกระหายน้ำและกำลังชั่งใจว่าจะต่อสู้กับความเจ็บลุกไปซื้อน้ำดื่มไหวหรือไม่ เขาเดินมาวางขวดน้ำลงตรงหน้าแล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เดินผ่านไป เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งวันที่เธออดรนทนไม่ไหวจึงคว้าหมับที่ข้อมือและบอกให้เขานั่งเป็นเพื่อน นั่นล่ะถึงได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว และสนิทสนมกันจนกระทั่งเรียนจบ
“ยิ้มอะไร” เขาถามขณะหยุดรถรอไฟเขียว อีกฝ่ายหลุดออกจากความทรงจำ
“เปล่ายิ้ม” เธอหลิ่วตา
“ก็เห็นอยู่” เขาเคาะนิ้วชี้กับพวงมาลัยก่อนจะปล่อยเบรกให้แล่นต่อ
“ทำไมคุณวินไม่กลับพร้อมกันล่ะคะ” เธอเฉไฉเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นรอยย่นที่หัวคิ้วของเขา
“เห็นบอกว่าจะรีบกลับไปทำเค้ก”
“ทำเค้ก” เธอทวนคำหางเสียงสูง
“อื้อ เห็นท่าทางแบบนั้นน่ะ นายวินทำขนมเค้กอร่อยมากนะดาว เห็นว่าพรุ่งนี้มีออเดอร์แต่เช้าคืนนี้ก็เลยต้องไปเตรียมของ” เขาบอกตายังคงจับจ้องที่ถนน
“ดาวจำได้ว่าคุณวินจบด้านไอทีมาไม่ใช่เหรอคะ ทำไมมาทำเค้กเสียล่ะ”
พงษ์โภคินทร์เคยเปรยถึงน้องชายคนนี้ให้ฟังว่าเขาจบเทคโนโลยีสารสนเทศจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง หญิงสาวจึงอดสงสัยไม่ได้
“ใช่คุณจำไม่ผิดหรอก แต่เรื่องทำขนมนี่ได้มาจากอาเภา” เขาหันมายิ้มให้เธอแวบหนึ่ง “แม่ของนายวินน่ะ”
“ไม่น่าเชื่อ ผู้ชายที่ดูผู้ช้าย ผู้ชาย กลับทำเค้กขาย แต่น่าเสียดายนะคะน่าจะไปทำงานด้านไอทีเรียนเก่งออก”
“จริงๆ นายวินเกือบได้ไปทำงานที่โบว่า” บริษัทโบว่าที่เขาพูดถึงคือบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ที่เพิ่งมาเปิดสาขาในประเทศไทย
“อ้าว แล้วทำไมไม่ไปล่ะคะ”
“พอดีมีเรื่องเสียก่อน...” เขาเหลือบมองร้านโจ๊กอร่อยเจ้าประจำที่รถกำลังจะแล่นผ่าน “เอ้อ! ดาว คุณหิวไหม”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ดาวอยากกลับบ้านมากกว่า”
“เป็นห่วงมุกล่ะสิ” เขาถามกลับอย่างรู้ใจก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายสู่เส้นทางกลับบ้านของเธอ อีกฝ่ายยิ้มตอบ
สมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน ดาวรดาและพงษ์โภคินทร์เป็นเพื่อนสนิทที่ตัวติดกันเป็นตังเม จนทุกคนคิดว่าเป็นคู่รักกัน แต่สำหรับเขาและเธอความสัมพันธ์นั้นยังคลุมเครือ แม้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกดีต่อกันแต่ไม่มีใครล้ำเส้นคำว่า “เพื่อน” ในวันที่สำเร็จการศึกษาหญิงสาวต้องเผชิญกับโชคชะตาที่โหดร้ายเกินคาด เธอสูญเสียบุพการีไปอย่างไม่มีวันกลับ และสูญเสียเขาในคราวเดียวกัน วันที่เธอต้องการใครสักคนเคียงข้าง “พงษ์โภคินทร์” คือคำตอบแรก แต่เธอกลับได้รู้ข่าวว่าเขาไปเรียนต่อเมืองนอกอย่างกะทันหัน ไม่มีทั้งคำปลอบใจและคำล่ำลา
โชคชะตา!!
พรหมลิขิต!!
หรือความบังเอิญ!! ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง
เมื่อต้นปีที่แล้วบริษัทรินธาราในเครือไอยรากรุ๊ปที่พงษ์โภคินทร์เป็นกรรมการผู้จัดการได้เลือกทำโฆษณาน้ำดื่มตราหมูบินกับบริษัทฟ้าแอดเวอร์ไทซิ่ง นั่นทำให้เขาและเธอได้พบกันอีกครั้ง แม้จะรู้สึกขุ่นเคืองแต่ดาวรดาโตพอที่จะเก็บมันไว้ในใจและรู้ว่าอะไรสำคัญกว่า อายุสามสิบสองปีไม่มากไม่น้อยไปที่จะเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจผู้คน เมื่อชายหนุ่มเดินเข้ามาเพื่อสานสัมพันธ์อีกครั้งและชี้แจงเหตุผลที่ต้องไปโดยไม่กล่าวลา หญิงสาวไม่ได้เข้าใจและยอมรับเขาในทันทีแต่มิได้โยนโอกาสทิ้งด้วยอารมณ์
“วันนั้นที่บ้านมีเรื่องให้คุณย่าต้องส่งผมไปเรียน ผมต้องไปเดี๋ยวนั้น ไม่ได้ตั้งตัวและไม่มีทางอื่นให้เลือกอีกเลย เอาไว้ถ้าผมพร้อมจะเล่าให้คุณฟังนะดาวว่าเกิดอะไรขึ้น” เขาบอกในวันที่มีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง
“ค่ะ” เพียงเห็นรอยความเจ็บปวดในแววตาของเขาหญิงสาวก็ตอบได้เพียงเท่านั้น
ทุกคนย่อมมีเหตุผลในการกระทำเสมอ เธอเชื่อว่าเหตุผลของพงษ์โภคินทร์ต้องมีอิทธิพลมากพอให้เขาตัดสินใจไปในวันนั้น
เกือบปีแล้วที่กลับมาคุยกันอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดารดายอมลบคำว่าเพื่อนที่กั้นกลางระหว่างเธอและเขาออกและยอมรับว่าเขาเป็นคนพิเศษ แต่บางครั้งเธอก็ยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไปในความรัก ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไรและจะเติมให้เต็มได้อย่างไร

แสงจันทร์ในคืนเดือนแรมทำให้มองเห็นผืนน้ำสีเลือดกระเพื่อมไหวเป็นระลอกน้อย หญิงสาวผุดขึ้นผุดลงเหมือนกำลังจะถูกกลืนหายไป ความข้นหนืดเย็นเยือกเกาะติดทั่วสรรพางค์กายดั่งมีมือเป็นร้อยฉุดรั้งให้จมดิ่ง ยิ่งดิ้นรนยิ่งเข้าใกล้มือมัจจุราช ความกลัวห่อหุ้มหัวใจจนสนิท เนื้อตัวสั่นเทาและเธอกำลังจะพ่ายแพ้ต่อความตาย พลันมืออบอุ่นคว้าฉุดช่วยเธอหลุดพ้นขึ้นสู่ฝั่ง แต่สองร่างนั้นกลับถูกดูดกลืนหายไปไม่เหลือร่องรอย
“แม่...พ่อ...ไม่นะ...ไม่”
เสียงสะอื้นของมุกไมตรีทำให้ดาวรดาปรี่มาที่โซฟา เธอประคองน้องขึ้นมากอดด้วยความสงสารจับใจ ตั้งแต่วันที่พ่อกับแม่จากไปดูเหมือนน้องสาวของเธอไม่เคยนอนหลับสนิทสักคืน
“มุก...มุก นี่พี่นะ ไม่เป็นไรนะ” เธอเรียกสติน้องสาวพร้อมกับลูบผมตบไหล่เบาๆ อีกฝ่ายงัวเงียขยี้ตา
“พี่ดาวมาแล้วเหรอคะ พอดีมุกอ่านนิยายเพลินไปหน่อย หลับไปตอนไหนไม่รู้” มุกไมตรีบอกด้วยความไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองตอนหลับ
“พอดีกองถ่ายมีปัญหาน่ะ พี่เลยกลับช้า” ดาวรดาวางคลายออ้มกอดก่อนจะวางกระเป๋าและมองไปที่โต๊ะอาหาร “นี่มุกยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ”
“พอวางสายจากพี่ดาว มุกกะว่าอ่านนิยายจบตอนก่อนค่อยกินน่ะค่ะ นี่มุกละเมออีกแล้วเหรอคะ”
เธอพยักหน้าพร้อมกับลูบผมยาวสลวยของน้องสาวที่อายุห่างกันสิบสองปีอย่างเอ็นดู “ไปล้างหน้าก่อนไป เดี๋ยวพี่อุ่นกับข้าวให้จะได้มากินพร้อมกัน”
ดาวรดามองตามหลังน้องสาว เธอยังจำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่ได้อย่างขึ้นใจ มุกไมตรีเปรียบดั่งสมบัติชิ้นเดียวและชิ้นสุดท้ายในชีวิต แม้ต้องแลกด้วยอะไรก็ตามเธอต้องดูแลมุกเม็ดนี้อย่างดีที่สุด

เสียงน้ำจากฝักบัวดังเป็นจังหวะราวกับมันกำลังล่อลวงฝุ่นละอองและเหงื่อไคลตามร่างกายให้ไหลลงไปเต้นระบำร่วมกัน น้ำได้พาความอ่อนล้าของร่างกายออกไปแต่จิตใจยังหนักอึ้ง เขายังแบกมันอยู่
เรื่องราวในอดีต!
ทุกครั้งยามถูสบู่ปัดป่ายมือไปโดนรอยแผลเป็นนูนยาวที่บ่า มันยังเจ็บและเหมือนแผลนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน พงษ์โภคินทร์ทอดถอนใจก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวมาซับหยดน้ำตามผิวเนื้อสีแทน เขาเดินไปเปิดลิ้นชักหยิบรูปใบหนึ่งขึ้นมาดูเช่นทุกคืน ค่ำคืนนี้คงยาวนานเช่นเคย...



โปรดติดตามต่อตอนที่ 3













กากะเยีย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2558, 11:58:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2558, 12:03:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 794





<< ตอนที่ 1   
Zephyr 17 ต.ค. 2558, 02:04:28 น.
ชักน่าสงสัย
พงษ์โภคินทร์ตัวจริงรึป่าวนะ หึหึ

หายไปนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก เลยค่า
อ่านจนลืมไปลแ้วอ่า
อ่านใหม่นะ


กากะเยีย 18 ต.ค. 2558, 01:51:17 น.
ขอโทษค่ะ จะไม่หายไปนานอีก

พงษ์โภคินทร์กับแผล ต้องตามต่อไป อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account