แกะรอยกามเทพ (รีไรต์)
'เทวานิรมิต' โรงแรมหรูกลางกรุงที่ใครเขาว่างดงามดุจเทวดารังสรรค์
แต่ทำไมหญิงสาวบ้านนาคนหนึ่งจึงบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากมา
เป็นหน้าที่ของพี่สาวที่ต้องกลับไปสืบหาความจริงจากสมุดบันทึกของน้อง

1 ใน 3 ชายในบันทึกผู้เกี่ยวพันกับเทวานิรมิต

'ทัดเทพ' ผู้บริหารหนุ่มซึ่งมีข่าวหย่าร้างกับภรรยา

'อัครวินท์' หัวหน้าแผนกผู้สุขุม อ่อนโยน

และ 'นายเจ๋ง' ช่างซ่อมบำรุงปากเสียที่เคยมีปากเสียงกับน้องเธอ

ไม่มีใครน่าไว้ใจสักคน...ในสถานที่ดุจต้องคำสาปสวรรค์แห่งนี้ 'เทวานิรมิต'

fb page : http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๙ HOT!





นับเป็นครั้งที่สองต่อจากเมื่อแรกเจอชายหนุ่มบนห้างสรรพสินค้าที่เธอได้เห็นเขาในชุดลำลอง ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตสีเข้มอย่างที่ผู้เป็นเจ้านายมักใส่ทำงาน ซ้ำเขายังเปลี่ยนมาขับรถเอสยูวี โดยมีบุตรชายนั่งเบาะข้างคนขับเป็นเพื่อน สุภาพสตรีอย่างเธอและลูกสาวของเขานั่งยังที่นั่งด้านหลังด้วยกัน

ทัดเทพแวะพาทุกคนทานอาหารที่ดอนหอยหลอด ก่อนจะเดินทางต่อไปยังคอนโดมิเนียมติดชายทะเลหัวหิน ผู้ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีสีสัน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่พ้นเด็กชายพัทธดนย์ซึ่งสรรหาเรื่องมาเล่าสลับกับซักถามได้ตลอดทาง แต่ผู้เป็นพ่อก็พูดคุยโต้ตอบกับลูกชายได้ไม่รู้เบื่อเช่นกัน

พวกเธอมาถึงคอนโดมิเนียมสูงกว่ายี่สิบชั้นก่อนเที่ยงเสียอีก แม้ตัวตึกสีขาวภายนอกจะไม่สะดุดตาอย่างโรงแรมเปิดใหม่ซึ่งผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่ภายในของสถานที่แห่งนี้ก็ใหญ่โตโอ่อ่า สะอาดสะอ้านดีทีเดียว แล้วยังมีสระว่ายน้ำใหญ่ที่เพียงแค่เห็นไกลๆ แววตาเด็กทั้งสองก็เป็นประกาย

"พ่อครับ พัทธ์อยากว่ายน้ำ"

"พิมพ์ก็อยากค่ะ แต่ว่ายไม่เป็น" ท้ายประโยคของเด็กหญิงอ่อยลง

ทัดเทพยกกระเป๋าเดินทางลงจากหลังรถ ก่อนเขาจะย่อตัวรวบบุตรสาวมากอด

"ตอนนี้น้องพิมพ์ยังว่ายไม่ได้ แต่คราวหน้าพ่อจะสอนนะคะ" เขาเอ่ยสบายๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ให้แกรู้ว่าต้องมีโอกาสนั้นอย่างแน่นอน

เด็กหญิงโอบแขนรอบคอบิดาอย่างเด็กที่ต้องการที่พึ่งพิงตลอดเวลา เมื่อเขาลุกยืนเต็มความสูง ทัดเทพก็อุ้มลูกสาวไว้มือหนึ่ง ขณะอีกมือก็หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตน

ไม่ต้องให้ใครบอก พัทธดนย์สะพายกระเป๋าเดินทางใบเล็กลายซูเปอร์ฮีโร่ของตนพร้อมกับถือกระเป๋าให้พี่สาวอีกใบ เป็นภาพครอบครัวที่ทำให้ทิวบุญสะท้อนใจ

เธอไพล่นึกถึงน้องสาวผู้อ่อนแอ ขี้อ้อนพ่อแม่ของตน แต่สิ่งที่เธอทำแตกต่างจากเด็กชายผู้นี้ เพราะแท้จริงเธอเองก็อ่อนแอ อิจฉาความรัก ความสนใจที่น้องได้รับมากกว่า เธอไม่เคยช่วยเหลือหรือแสดงน้ำใจใดๆ กับอุ้มบุญเช่นนี้เลย

หญิงสาวเคยคิดว่าการแก้แค้นของตนคือการสั่งสอน ให้บทเรียนแก่ผู้ที่ทำลายครอบครัวเธอ แต่นั่นอาจไม่ใช่ทั้งหมด เธอเองอาจกำลังเรียนรู้บางสิ่งก็เป็นได้

............................

ห้องพักของครอบครัวธำรงคกุลอยู่บนชั้นสิบสองของตึกสูง มีเครื่องเรือนและเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ตกแต่งครบครัน ในห้องไร้กลิ่นอับ เครื่องเรือนทุกชิ้นสะอาด ไร้คราบฝุ่นอย่างได้รับการดูแลทำความสะอาดสม่ำเสมอ

ภายในประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ครัว และสองห้องนอน เมื่อเลื่อนเปิดประตูกระจกระเบียงออกไปก็เห็นทิวทัศน์ของทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่และทะเลไกลสุดลูกหูลูกตา

"อ้าว เลยมัวแต่ชมวิวกันสามคน" เขาว่าล้อๆ ทั้งลูกน้องและลูกตนที่ยืนเกาะราวระเบียง

พัทธดนย์วิ่งกระโดดโลดเต้นกลับเข้าไปในห้อง ขณะทิวบุญจูงมือเด็กหญิงที่พร้อมจะคว้ามืออันมั่นคงของใครสักคนเพื่อเพิ่มความมั่นใจกลับไปด้วยกัน

"พัทธ์ พิมพ์ เก็บกระเป๋าเข้าห้องให้เรียบร้อยก่อนลูก"

บทจะเป็นคุณพ่อเจ้าระเบียบขึ้นมา ลูกชายหญิงของเขาก็ปฏิบัติตามอย่างไม่มีเกี่ยงงอน

"คุณพักอีกห้องทางซ้ายนะ ลองดูซิว่าขาดเหลืออะไรหรือเปล่า"

เธอก้าวเข้าไปยังห้องซึ่งมีเตียงเดี่ยวสองเตียง คั่นกลางด้วยโต๊ะหัวเตียงซึ่งมีโคมไฟตั้งอยู่ มีพร้อมทั้งโทรทัศน์และตู้เสื้อผ้า รวมถึงห้องน้ำส่วนตัว

"ไม่ค่ะ ขอบคุณนะคะ" เธอบอกหลังกลับออกมาอีกครั้ง

ทว่าทัดเทพยังคงรีๆ รอๆ อยู่หน้าประตูห้องเธอ แม้ตอนนี้ลูกของเขากำลังเริ่มสำรวจตู้เย็นก็ตามที ทิวบุญหยุดรอฟังธุระของเขาเช่นกัน

"ผมนัดออกรอบกับมิสเตอร์กัวตอนบ่ายโมง เด็กๆ คงไม่สนุกนักหรอกถ้าต้องไปด้วย คุณจะดูพวกแกไหวไหม โดยเฉพาะตาพัทธ์...ทั้งซนทั้งบ้าพลังอย่างนั้น"

โธ่เอ๊ย เธอก็นึกว่าเรื่องอะไร

"อย่าห่วงเลยค่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉัน"

"ไม่หรอก มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณ คุณไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ" เขาพยายามเอ่ยแก้

สีหน้าสีตาจริงจังในการพยายามแก้ไขความเข้าใจของเขาสั่นคลอนหัวใจสาวได้ ก่อนเขาจะกลอกตาพลางถอนหายใจ

"แต่ก็นั่นแหละ ผมชวนคุณมาเองเพราะเห็นว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีของพวกแกได้"

"คุณมองไม่ผิดหรอกค่ะ"

เธอฝืนยิ้มให้ความมั่นใจทั้งที่ใจสั่นไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตาคมกล้าของเจ้านายหนุ่มที่มองสบมาบอกอะไรได้มากกว่าคำพูดในนั้น ราวกับเขาไม่คิดปิดบัง ผู้รับสารจึงสัมผัสถึงความอาวรณ์ลึกล้ำที่ล้นออกมาจนหวามไหวไปทั้งใจ

ทิวบุญ... นี่เธอเป็นบ้าอะไรไปแล้ว เธอจะหวั่นไหวกับ 'ผู้ต้องสงสัย' ไม่ได้นะ ไม่ใช่เขาที่คุมเกมนี้ แต่ต้องเป็นเธอต่างหาก!

และทั้งที่สมองสั่งอย่างนั้น แต่ก็ยากจะห้ามใจมองตามภาพผู้เป็นพ่อยอบตัวลงนั่งบนปลายเท้าเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกับลูกของเขา เด็กๆ ในอ้อมแขนทั้งสองข้างของบิดาผงกศีรษะเข้าใจอย่างดี

"อย่าดื้อกับพี่ทิวนะครับ"

เขาปรายตาพราวระยับมาหยุดยังเจ้าของชื่อให้สะบัดร้อนสะบัดหนาวอีกครั้ง เธอต้องฝืนปั้นหน้านิ่งทั้งที่สูญเสียความมั่นคงทางอารมณ์เสียแล้ว

ทัดเทพดึงสายตากลับอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะฝังจมูกลงบนแก้มนิ่มของลูกทั้งสองคนอย่างแสนรัก

เธอเดินไปหาก่อนถามเด็กหญิง "พิมพ์ปวดท้องอยู่ไหมคะ ลงไปส่งคุณพ่อแล้วไปเดินเล่นที่ชายหาดกันไหม"

"ไปค่ะ" พิมพ์ชนกตอบเสียงเบา

คนดีใจที่ส่งเสียงเฮดังนั้นไม่พ้นน้องชายจอมซน ก่อนทั้งหมดจะเคลื่อนขบวนลงมาชั้นล่าง แวะส่งชายหนุ่มที่ลานจอดรถก่อน โดยที่เขาคอยกำชับลูกไม่ให้ซนและย้ำกับเธอว่าอย่าพากันไปไกล รอเขากลับมารับไปทานมื้อเย็นด้วยกัน

........................

ทิวบุญพาลูกชายหญิงของเจ้านายเดินเล่นบนชายหาด กระทั่งแดดยามบ่ายแผดเผาจนใบหน้าเด็กๆ แดงเรื่อเป็นลูกตำลึง หากพวกแกก็ไม่ปริปากบ่น

พัทธดนย์สนุกกับการวิ่งไปมาระหว่างหาดทรายและเกลียวคลื่น ขณะที่สุภาพสตรีทั้งสองคนก้มเก็บเปลือกหอยสวยๆ ไปตามหาด เด็กหญิงที่ย่างเข้าสู่วัยสาวดูจะผ่อนคลาย พิมพ์ชนกยิ้มและหัวเราะได้มากกว่าจะคอยมองรอบตัวด้วยแววตาลังเล หวาดเกรงโลกใบนี้ดังเคย

หญิงสาวพาเด็กๆ ซิ้อของกินเล็กๆ น้อยๆ ในซอยหน้าคอนโดมิเนียมที่พัก ทั้งยังพาพวกแกแวะร้านสะดวกซื้อ จูงมือพิมพ์ชนกไปเลือกซื้อของใช้จำเป็นของผู้หญิงที่ถึงแม้จะมีคนจัดเตรียมมาให้แกในกระเป๋าแล้วแต่ก็เกรงจะไม่พอ

เธออธิบายคร่าวๆ เสียงเบาให้แกรู้ถึงความแตกต่างของแต่ละรุ่น แม้เด็กหญิงจะเอียงอายและมีสีหน้าไม่มั่นใจอีกครา แต่เมื่อถึงเวลาที่เธอบอกให้แกเลือก มือเล็กก็ยื่นมาหยิบห่อหนึ่งไปจากมือเธอ

พี่เลี้ยงจำเป็นจ่ายเงินข้าวของทั้งหมดรวมกับค่าขนมของเด็กชาย ก่อนจะพากันกลับขึ้นห้องพักและจัดปาร์ตี้ง่ายๆ กลางห้องนั่งเล่นด้วยขนม ลูกชิ้นปิ้ง และน้ำหวานที่ซื้อขึ้นมานั่นเอง

จากการพูดคุยกับพัทธดนย์ทำให้ทราบว่าแกถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดพอสมควร เด็กชายบ่นว่าคุณย่าไม่ยอมให้ทานขนมขบเคี้ยวพวกนี้เด็ดขาด แต่แกแอบซื้อทานที่โรงเรียนบ้างเหมือนกัน

ถ้าคนน้องเป็นคนเปิดเผย คนพี่ก็ดูจะตรงกันข้าม พิมพ์ชนกนั่งทานขนมพลางฟังเขาคุยกันเงียบๆ ต้องมีใครสักคนชวนสนทนาก่อนแกถึงจะโต้ตอบสักคำ

ทิวบุญรู้สึกว่าปมปัญหาคาใจเรื่องทัดเทพกับภรรยาอาจได้รับการคลี่คลายแค่เพียงเธอแย็บถามเด็กทั้งสอง แต่แล้วเธอก็ไม่กล้า เธอจะทำลายความไว้ใจ มิตรภาพอันบริสุทธิ์ที่พวกแกมอบให้ได้อย่างไร เธอทำไม่ลง

บ่ายแก่วันนั้น เด็กหญิงผล็อยหลับไปก่อนเพื่อน พี่เลี้ยงมือใหม่จำต้องอุ้มร่างเล็กกว่าวัยเข้าไปนอนบนเตียงในห้องเธอ ใจอ่อนยวบไปทั้งดวงเมื่อมือน้อยกอดคอเธอแน่นอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ

"นอนซะนะคะ พี่ทิวอยู่ข้างนอก มีอะไรไปเรียกนะ" เธอบอกอ่อนโยน ก่อนแง้มประตูปิดไม่สนิท

กับพัทธดนย์...ทิวบุญก็เป็นพี่สาวผู้ห้าวหาญอีกคนหนึ่งผิดจากเมื่อกี้ เธอชักชวนเด็กชายเก็บขยะถุงขนมที่ทานหมดแล้ว ก่อนตนจะรับหน้าที่ล้างแก้วและจานโดยมีเสียงเกมจากเด็กชายดังเป็นเพื่อน เสร็จแล้วจึงออกมานั่งเล่นกับแกตามคำสัญญา

จากเดิมที่เธอเคยคิดว่าวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ของตนคงหมดไปกับงานซึ่งเข้ามาโดยไม่คาดคิด กลับกลายเป็นเธอรู้สึกขอบคุณเจ้านายเสียอีกที่ได้มาผ่อนคลาย แถมมีเพื่อนคุยเพื่อนเล่นราวกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง

.........................

เสียงออดเบาปลุกคนที่กำลังสะลึมสะลืออยู่บนเก้าอี้ยาวให้รู้สึกตัวเต็มตื่น จำได้ว่าเด็กชายที่เล่นเกมด้วยกันหนีไปนอนพักอยู่กับพี่สาวแล้ว และเธอก็นั่งดูโทรทัศน์อยู่ข้างนอกจนผล็อยหลับไป

หญิงสาวหันมองออกไปนอกระเบียงก็เห็นท้องฟ้าเป็นสีส้มอมม่วงบ่งบอกว่าล่วงเลยเข้าสู่ยามเย็น ก่อนเสียงออดดังอีกครั้งจะเร่งให้เธอรีบลุกไปเปิดประตู กลัวเด็กๆ จะตื่นขึ้นมาเสียก่อน

"ผมนึกว่าไม่มีคนอยู่ ห้องเงียบ ทำอะไรกัน" เขาเอ่ยรัวมาชุดใหญ่ทันทีที่เธอเปิดประตูให้

"เด็กๆ นอนค่ะ"

ทิวบุญมองตามผู้ที่เดินไปเปิดประตูห้องของเขา พอรู้ว่าเขาตามหาลูกจึงชี้ไปที่ห้องนอนตน ชายหนุ่มแง้มประตูดูก็เห็นเด็กสองคนยังคงหลับสนิทอยู่คนละเตียง เขาจึงค่อยดึงประตูปิดลงดังเดิมพลางมองลูกจ้างสาวเต็มตา

"พวกแกไม่ได้ดื้อจนเหลือรับหรอกใช่ไหม"

"ไม่ค่ะ เทียบฉันไม่ติด" เธอตอบให้ความมั่นใจ

ทัดเทพหัวเราะกังวาน จากที่หวั่นใจมาค่อนวันจนแม้แต่มิสเตอร์กัวยังหัวเราะขันที่เขาออกรอบผิดฟอร์ม ครั้นกลับมาเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดีจึงค่อยโล่งใจ

"ผมก็ว่าอย่างนั้น"

เขาจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาเธอ หากคราวนี้เจ้าหล่อนไม่ได้พยายามเสหลบกลบเกลื่อนดังเคย แต่กลับมองตอบกลับมาราวท้าทาย เขาต้องเป็นฝ่ายหลบตาเธอเสียเอง ก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แก่อารมณ์ความรู้สึกของตน

"อย่ามองผู้ชายคนไหนอย่างนี้ คุณก็รู้เท่าๆ กับที่ผมรู้...ว่าจะเกิดอะไรขึ้น" เขาเตือนเสียงทุ้มต่ำ

ทิฐิมานะทำให้เธอยังคงจ้องตอบเขา หากใบหน้าแดงเรื่อเชิดขึ้นเล็กน้อย

"ฉันอาจถูกตบกระมัง"

"ก็ใช่ถ้าเขาเกลียดคุณ แต่ผมไม่ได้เกลียดคุณนี่ มีวิธีการดีกว่านั้นที่ทำให้ผู้หญิงหลาบจำ"

"ป่าเถื่อน"

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ เป็นครั้งแรกที่เขาต้อนคนตีรวนได้อยู่หมัด และมันก็สุดทางแค่นั้น สถานะระหว่างเธอกับเขาถูกกั้นด้วยกระจกใสให้ไม่อาจก้าวข้ามความเป็นลูกน้องและเจ้านาย

"เดี๋ยวผมอาบน้ำแล้วปลุกพวกแกเอง จะได้ออกไปทานข้าวกัน" เขาบอกง่ายๆ เหมือนเมื่อกี้พวกตนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลมที่สุด

หญิงสาวผงกศีรษะทั้งที่ยังคันยุบยิบในใจ เธอคิดว่าจะควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้แล้วเชียว แต่เขาก็ยั่วเธอจนได้สิน่า

เขาสนุกกับการปั่นหัวเธอแล้ว อย่าให้เขาเข้ามาปั่นหัวใจเธอด้วยเลย ทิวบุญ...

..........................

ทัดเทพพาทุกคนมาทานอาหารเย็นยังร้านอาหารติดชายทะเล แล้วยังเห็นทิวทัศน์ของเขาตะเกียบซึ่งเป็นเงาตะคุ่มยามค่ำคืนชัดเจน ทุกคนมีความสุขและเจริญอาหาร ก่อนจะกลับไปพักผ่อนยังห้องพักดังเดิม ซึ่งคราวนี้เขาไม่พลาดทำหน้าที่พ่อทุกอย่างสมใจ

ทิวบุญเข้าห้องส่วนตัวของตนเงียบๆ เมื่อหมดหน้าที่วันนี้แล้ว เธออยากโทรไปที่บ้าน แต่บทสนทนากับแม่ครั้งล่าสุดก็เป็นแผลในใจ มันสอนว่าเธอไม่ควรติดต่อท่านในช่วงเวลาที่ตนอ่อนแอ มิเช่นนั้นก็อาจยิ่งเพิ่มความผิดหวัง ความทุกข์ให้แก่ท่านและตน

หญิงสาวเข้าห้องอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน ทว่านาฬิกาในร่างกายที่คุ้นชินกับการนอนดึกก็ทำให้ยังไม่ง่วงสักนิดเดียว เธอนึกได้ว่าตนลืมแท็บเล็ตไว้บนโซฟาห้องนั่งเล่นจึงคิดจะออกไปเอามาเล่นฆ่าเวลา ภาวนาให้สามพ่อลูกเข้านอนแล้วเช่นกัน

ทว่าคำภาวนาของเจ้าหล่อนไม่สัมฤทธิ์ผล เด็กๆ เข้านอนแล้วก็จริง แต่พ่อของแกยังนั่งดื่มอยู่บนเก้าอี้ริมระเบียง ราวกับเขารอคอยการปรากฏตัวของเธออยู่แล้วจึงยกแก้วก้านยาวขึ้นทักทาย

"สักแก้วสิ"

เพราะเธอมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้จะไม่ก้าวล้ำกว่าเมื่อกลางวันอีกแล้ว นอกจากปั่นหัวเธอเล่นอย่างรื่นรมย์ เขาก็ขีดเส้นแบ่งได้ชัดเจน เธอจึงกล้าพอที่จะเดินไปหา

"เด็กๆ นอนแล้วหรือคะ"

"ฮื่อ หลับแล้ว" เขาว่าพลางหรี่ตาลง "นี่ถ้าเจ้าตัวแสบไม่หลุดปากว่าพี่ทิวพาไปไหนกันมา ผมก็คงไม่รู้สินะ"

ทิวบุญนั่งลงตรงข้าม นึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังไม่ได้บอกเขาเรื่องอาการป่วยของพิมพ์ชนกที่รับรู้จากคุณครูห้องพยาบาลเลย

"ฉันมีเรื่องที่ยังไม่ได้บอกคุณค่ะ เรื่องปวดท้องของน้องพิมพ์ คุณพอทราบมาก่อนไหม"

นอกจากจะไม่รู้มาก่อนแล้ว ดวงตาคมกล้ายังมองตอบเธอด้วยความไม่เข้าใจ

"คุณครูประจำห้องพยาบาลบอกฉันว่าน้องพิมพ์มักปวดท้องจนต้องไปทานยาและนอนพักที่ห้องพยาบาลบ่อยๆ ไม่ใช่แค่เพราะแกมีประจำเดือนวันนั้นครั้งแรก แต่เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่แกมีสอบวิชาไม่ถนัดในห้องเรียน ฉันไม่รู้ว่าคุณหรือคุณลักขณาทราบเรื่องนี้ไหม"

"ผมไม่รู้" เขาสวนกลับมาอย่างคิดไม่ถึงเหมือนกัน "ไม่รู้ด้วยว่าแม่เขาเลี้ยงลูกยังไง คุณดูยัยพิมพ์สิ บอกผมว่าเห็นแกแล้วรู้สึกยังไง"

ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับบุตรสาวที่เพิ่งทราบโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ผู้เป็นพ่อมีโทสะ เขาต้องข่มความเดือดดาลในใจพลางลูบหน้า เตือนตนเองว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือควรต้องมารองรับอารมณ์เขาเลย

"ขอโทษเถอะ ผมต้องขอบคุณมากที่คุณมาบอก" เขาว่าพลางรินไวน์เติมให้ตนเอง

ลมเย็นและเสียงคลื่นซึ่งแว่วอยู่ไกลๆ ช่วยให้เย็นลงได้บ้าง ตระหนักว่าเขาพาลูกๆ มาที่นี่เพราะอยากเห็นพวกแกมีความสุข แล้วเด็กสองคนนั้นจะมีความสุขได้อย่างไรถ้าเขาแสดงท่าทีเคร่งเครียดให้แกเห็นเสียเอง

"ฉันเข้าใจค่ะ บางทีคุณอาจต้องคุยปรึกษากับคุณลักขณา ฉันมั่นใจว่ามันคงไม่ใช่โรคร้ายแรง น้องพิมพ์อาจจะแค่..."

"แค่อะไร ทิว"

ทิวบุญนึกถึงน้องสาวตัวเองขึ้นมา เธอสูดหายใจลึกก่อนตอบ

"ฉันไม่เชี่ยวชาญด้านจิตใจคนนักหรอกนะคะ แต่เคยอ่านบทความมาบ้างว่าเด็กที่ต้องอยู่ในสภาวะกดดันมักใช้ความอ่อนแอเป็นข้ออ้างหลบเลี่ยง ฉันไม่รู้ว่าน้องพิมพ์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไร คงตอบคำถามนี้ได้ไม่ดีเท่าพวกคุณสองคน"

ทัดเทพกำแก้วก้านยาวแน่นอย่างลืมตัว หัวอกคนเป็นพ่อเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าลูกต้องได้รับผลกรรมที่ผู้ใหญ่ก่อขึ้นโดยตรง โทษลักขณาฝ่ายเดียวไม่ได้ เขาเองก็มีส่วนผิดเมื่อเคยทะเลาะกันต่อหน้าลูก และทางที่ดีเขาต้องการตัวพิมพ์ชนกมาอยู่ด้วยให้เร็วที่สุด

ทิวบุญทอดมองท่าทางเป็นทุกข์ของเจ้านายอย่างจนปัญญาจะช่วยเหลือ เธอหมดธุระเพียงแค่นั้นและกำลังจะลุกไป ทว่ามือหนาของคนเหม่อลอยกลับฉวยข้อมือเธอไว้เสียก่อน

เขาไม่ได้สบสายตาประท้วงของเธอแต่กำไว้มั่น ก่อนชายหนุ่มจะทำลายกระจกกั้นระหว่างเจ้านายและลูกน้อง ด้วยการดึงมือเธอไปกดจุมพิตหนักตามแรงอารมณ์"คุณ" คนถูกขโมยจูบหลังมือโมโหขึ้นมาจริงๆ

ทัดเทพไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เมื่อเจ้าหล่อนพยายามแข็งขืนชักมือกลับ เขาอยากโทษว่าเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์ โทษบรรยากาศ และโทษปัญหาหนักอกสุมทรวงที่ผลักดันความปรารถนาลึกล้ำในใจ แต่สุดท้ายก็ต้องโทษตัวเขาเอง

"ผมจะย้ายคุณไปอยู่กับคุณวิรัช" เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

"นี่คุณเอาเรื่องงานมาขู่ฉันหรือ" เธอถามอย่างเดือดดาล

ชายหนุ่มสั่นศีรษะ เขาบีบกระชับมือเธอแน่นขณะแก้ไขความเข้าใจเจ้าหล่อน

"คุณเป็นลูกน้องผมไม่ได้ ไม่เข้าใจหรือไง สำหรับผมคุณเป็นมากกว่านั้นไปแล้ว" เขาบอกเสียงเข้มราวกับหวังผลักความอัดอั้นตันใจออกไป

"คุณแค่อยากนอนกับฉันโดยไม่ผิดศีลธรรม มันง่ายไปค่ะ"

คำพูดโต้งๆ ของเลขาฯ สาวน็อกผู้เป็นเจ้านายหน้าหงาย ราวกับเขาเป็นไอ้บ้าหื่นกามปล้ำจูบ แล้วถูกเธอใช้เท้ายันออกมาอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาคมจัดวาววาบขึ้น กว่าจะรู้ตัวว่าเขาเผลอปล่อยมือเธอเป็นอิสระก็เมื่อร่างระหงผุดลุกยืน

ทัดเทพค่อยได้สติ เขาผิดเองที่ทำให้เธอรู้สึกไปเช่นนั้น คิดว่าเขาต้องการเธอคืนนี้ หรือแม้แต่คืนต่อๆ ไปก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด หากเป็นเพราะเขามองเห็นอนาคตของความสัมพันธ์ครั้งนี้ต่างหาก แล้วถ้าเขาจะลองศึกษาดูใจกับใครสักคน อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ควรอยู่ในฐานะลูกน้องโดยตรงของตน

ทว่าชายหนุ่มหมดโอกาสอธิบาย นู่น... เจ้าของวาจาเผ็ดร้อนที่น็อกเขาลงไปกองปิดประตูเข้าห้องไปเสียแล้ว แล้วเขาก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เธอจะมองเขาเปลี่ยนไปเพียงไร

.......................

ทิวบุญตื่นมาพบกับห้องว่างเปล่ายามเช้า หากรองเท้าเด็กๆ ยังคงวางอยู่บนชั้นข้างประตูห้องเหมือนเดิม เว้นเสียแต่รองเท้าชายหนุ่มหายไปหนึ่งคู่ นึกรู้ว่าเขาคงลงไปหาของกินให้ลูกๆ เป็นแน่

ร่างระหงในชุดเสื้อยืดตัวหลวมกับกางเกงนอนเดินไปสำรวจเคาน์เตอร์ครัว เห็นมีหม้อต้มกาแฟอยู่บนชั้นเก็บของก็ไม่พลาดจะต้มเครื่องดื่มคาเฟอีนตามที่ร่างกายต้องการ พอดีกับเสียงกุกกักดังมาจากหน้าประตู ก่อนผู้เป็นเจ้านายจะกลับเข้ามาพร้อมถุงหูหิ้วเต็มสองมือ

ทั้งสองชะงักไปนิดหนึ่งด้วยต่างยังจดจำปฏิกิริยาของแต่ละฝ่ายเมื่อคืนได้ดี ก่อนทัดเทพจะวางของลงบนเคาน์เตอร์ครัว เขาเป็นฝ่ายเอ่ยคำแรกเสียเอง

"ตื่นเช้านะ"

แล้วเธอก็ตอบรับเขา "อรุณสวัสดิ์ค่ะ"

"มีเผื่อผมหรือเปล่า" เขาว่าพลางพยักพเยิดไปที่กา

"แน่นอนค่ะ"

"ดี ผมซื้อข้าวต้มปลากับน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋สำหรับทุกคน เดี๋ยวผมไปปลุกเด็กๆ ก่อน"

"ค่ะ เดี๋ยวฉันจัดใส่จานให้" เธอเอ่ยราวไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง

ทัดเทพนิ่งมองหญิงสาวด้วยความรู้สึกลึกซึ้งจากข้างใน เราเข้ากันได้ดีถึงเพียงนี้ จะไม่ให้เขาคิดฝันถึงอนาคตกับเธอได้อย่างไร

"ทิวบุญ" เขาเรียกชื่อเธอ และเพียงขยับปากจะพูด เจ้าหล่อนก็รีบเปลี่ยนเรื่องโดยไม่ยอมสบตา

"ไปดูเด็กๆ เถอะค่ะ เผื่อได้ลงเล่นน้ำตอนเช้า แดดยังไม่แรงเท่าไร"

เธอรู้ว่าเขาคงหาทางพูดเรื่องค้างคาจากเมื่อคืน ยังไม่ใช่ตอนนี้... แต่ถ้าเป็นหลังกาแฟสักแก้ว เธออาจพร้อมรับฟังมากกว่าตอนนี้หรือเมื่อคืนก็เป็นได้

ทิวบุญปรายตามองคนที่หุนหันผละไปแล้วก็โคลงศีรษะอ่อนใจ ดูท่าเขาจะดื้อ ฤทธิ์เดชเยอะกว่าบุตรชายเสียอีก

ทว่าไม่นานเสียงหัวเราะคิกคักก็ดังมาจากห้องนอนพ่อลูก ก่อนประตูจะเปิดออกมาอีกครั้งขณะเธอยกอาหารที่เขาซื้อมาไปวางบนโต๊ะ พร้อมสำหรับเริ่มต้นมื้อเช้าพอดี

"อุ๊ย พี่ทิวยังไม่อาบน้ำ เหมือนพัทธ์เลย" คนที่ตื่นมาก็ร่าเริงทำเป็นแซว

"แล้วแปรงฟันหรือยังน่ะเรา พี่แปรงแล้วนะ" เธอถามกลับบ้าง

"แปรงแล้วครับ" เด็กชายตอบส่งๆ เมื่อมีเป้าหมายที่สนใจกว่าคืออาหารบนโต๊ะ

ทิวบุญเดินไปหาเด็กหญิงที่จูงมือผู้เป็นพ่อไว้ ครั้นแกเห็นเธอเดินมาทักทายก็ยื่นอีกมือมาจับมือเธอไว้เช่นกัน

"แล้วพิมพ์อาบน้ำยังคะ"

"อาบแล้วค่ะ" พิมพ์ชนกตอบเสียงเบาเอียงอาย

"ไหน ขอพี่ทิวหอมได้เปล่า"

เธอยอบตัวลงให้ความสูงเสมอกัน แต่เมื่อเด็กหญิงยืนก้มหน้าบิดตัวไปมา พี่เลี้ยงสาวก็รู้ว่าแกคงต้องการเวลาและความสนิทสนมมากกว่านี้

"ไม่เป็นไรค่ะ มาทานข้าวต้มดีกว่า" เธอบอกแกพร้อมรอยยิ้ม

ทว่ายังไม่ทันลุกยืนเต็มความสูง เสียงใสแผ่วเบาก็อ้อมแอ้มเอ่ยบางอย่างจนเธอต้องย่อตัวลงไปเงี่ยหูฟัง

"ให้พี่ทิวหอมก็ได้" แกเอ่ยซ้ำเสียงเบาเท่ากระซิบ

ได้ยินดังนั้นทิวบุญจึงดึงร่างเล็กมากอด หอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะจูงมือแกไปร่วมโต๊ะอาหารที่บิดากับน้องชายของเด็กหญิงนั่งรอ

........................

ทัดเทพโหนตัวขึ้นจากสระว่ายน้ำของคอนโดมิเนียมที่พัก หลังเขายอมแพ้พลังอันล้นเหลือของบุตรชายที่ยังคงดำผุดดำว่ายน้ำเล่นแทบยึดครองสระว่ายน้ำยามเช้าคนเดียว ส่วนพิมพ์ชนกก็นั่งอยู่ขอบสระ คอยแกล้งโยนลูกบอลเป่าลมให้น้องว่ายไปเก็บไปรับอย่างสนุกสนาน

ทิวบุญละสายตาจากนิตยสารเมื่อมีเงามืดทอดทับลงมา ร่างสันทัดซึ่งมีมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งนั่งลงบนเก้าอี้ริมสระตัวติดกัน เขาใช้ผ้าขนหนูซับหยดน้ำเกาะพราวตามร่างกาย ทำเอาเธอลืมนายแบบในหน้านิตยสารทีเดียว

"คุณมันขี้ขลาด แอบมองผมแต่กลับไม่กล้าทำตามความต้องการของตัวเอง" เขาเอ่ยเสียงเบาเจือแววเยาะหยัน

คนถูกจับได้ว่าแอบมองปิดพับนิตยสารในมือลงกับอกพลางหันมองอีกฝ่ายเต็มตา ใช่! เธอแอบมองเขา ใครว่าเธอไม่กล้ายอมรับความจริง

"ฉันยอมรับค่ะ แต่อย่างน้อยฉันก็รู้จักหักห้ามใจ คุณปั่นหัวผู้หญิงด้วยวิธีนี้มากี่คนแล้วคะ รวมเลขาฯ คนก่อนของคุณด้วยหรือเปล่า" เธอย้อนนิ่ม ไม่โมโหเดือดอย่างเมื่อคืนอีกแล้ว

ดวงตาคมกล้าวาวโรจน์ขึ้นเมื่อถูกดูหมิ่นเช่นนั้น ก่อนเขาจะถอนหายใจหนักอย่างพยายามข่มอารมณ์ กระนั้นน้ำเสียงเอ่ยประโยคถัดมาก็ไม่วายขุ่นอย่างฉุนจัด

"ทำไมนะ ทำไมคุณต้องพูดถึงอะไรที่มันเกินความด้วย คุณก็ดูเป็นสาวมั่น หัวสมัยใหม่ออกนี่ จะคิดให้มันยุ่งยากทำไมฮึทิวบุญ"

ร่างบางผุดลุกนั่งหลังตรง แววตาเรืองรองของตนสบประสานกับเขาโดยไม่กลัวเกรง

"ถ้าขืนคุณดูถูกฉันอีกคำเดียวล่ะก็ ฉันกลับกรุงเทพฯ ก่อนคุณแน่" เธอเอ่ยลอดไรฟัน

ทัดเทพกดผ้าเช็ดตัวปิดใบหน้าแรง เขาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกเธอ ไม่เคยมีสักเสี้ยวความคิด แต่คำพูดของตนก็อาจตีความได้เช่นนั้น

น่าสมเพชน้อยไปเมื่อไรที่สมภารวิ่งไล่ต้อนไก่วัด เขาคงเป็นไอ้บ้ากามเต็มขั้นในสายตาเธอ

"ขอโทษเถอะ คุณจะเอาอะไรกับพ่อม่ายอย่างผม เข้าใจความรู้สึกนี้ไหมทิว ไม่ใช่มันจะเกิดกับใครก็ได้หรอกนะ แต่คุณ...คุณมีทุกอย่างที่ผมคิดว่าเราจะไปกันได้ เข้าใจไหมฮึ"

ทิวบุญต้องเสหลบแสงตาร้อนแรงหากแฝงไว้ด้วยแววเว้าวอน ลำคอแห้งผาก มือไม้เกะกะขึ้นมาจนต้องยกขึ้นจับผมสั้นแทบติดหนังศีรษะทัดหูนับว่าเป็นคำขอโทษและคำอธิบายที่พอรับฟัง

"ฉันเข้าใจค่ะ และที่ฉันปฏิเสธคุณก็ไม่ใช่เพราะต้องการเล่นตัวเพื่อเรียกร้องอะไรจากคุณ แต่เป็นเพราะฉันไม่ต้องการมีความสัมพันธ์กับใคร ไม่ว่าจะฐานะใดตอนนี้" เธอเอ่ยเย็นลง

ดวงตาคู่คมรับกับคิ้วเข้มซึ่งขมวดเข้าหากันจ้องมองเธออย่างค้นคว้า เมื่อเจ้าหล่อนมองสบกลับมาอย่างหนักแน่น จริงใจ เขาก็ต้องยอมรับในการตัดสินใจของเธอ

"ดูเหมือนคุณมีเป้าหมายบางอย่าง...ที่ผมก็ไม่รู้ว่าอะไร" เขาอดเปรยออกมาไม่ได้

หญิงสาวไม่ได้ตอบ นอกจากเบือนสายตาผ่านแสงแดดจ้ายามสายออกไปยังเด็กสองคนริมสระว่ายน้ำ เด็กชายวิ่งนำพี่สาวตรงมาหาเธอที่กางผ้าขนหนูรอรับ ขณะพิมพ์ชนกก็เดินกึ่งวิ่งตามมาเข้าสู่อ้อมกอดของพ่ออีกคน

.............................

เป็นไงบ้างงง ชอบตอนนี้กันไหมคะ อิอิ ยังมีอีกนะบอกเลยยย 5555

แล้วก็ส่งท้ายนี้ แพรวขอมาแนะนำบูธที่มีนิยายนามปากกา "ภาพิมล" กับ "พิมลภา" จำหน่ายในงานหนังสือวันที่ 21 ต.ค. - 1 พ.ย. นี้นะคะ
เผื่อใครสนใจอุดหนุนก็ขอขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ดูได้ในเพจภาพิมล/พิมลภา http://www.facebook.com/bhapimol.pimolbha

หรือจะโหลดอีบุ๊ก "โซ่พิสุทธิ์" อ่านตอนนี้เลยก็ได้คร้าบ ที่ meb และ hytexts นะจ๊ะ

hytexts - http://www.hytexts.com/ebook/book/B005288

meb - https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiMjAzOTQ0IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzE5MzkiO30



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2558, 15:59:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2558, 15:59:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1151





<< บทที่ ๘ + อัพเดตข่าวท้ายเรื่องค่ะ   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account