รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)

คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง









รักร้าวในแผลใจ

รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น



หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ

ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ



ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl




































Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ี 11 เกมล่าหัวใจ

บทที่ 11

เกมล่าหัวใจ

ตกค่ำที่บ้านพักตากอากาศ ลมหนาวเริ่มคืบคลานเข้ามา หญิงสาวที่อยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่กำลังยืนกอดอกอยู่ด้านหน้าลานกว้างของบ้านไม้สองชั้นซึ่งพื้นทำจากหินอ่อน ไฟสลัวจากบ้านพักละแวกเดียวกันช่วยทำให้รู้ว่าบ้านที่พักอยู่ไม่ได้โดดเดี่ยวลำพัง

มาถึงตอนนี้ก็อดคิดถึงเด็กๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง หญิงสาวหลับตานิ่งอยากโทรไปหาก็ดันลืมมือถือไว้ที่บ้านซะนี่ครั้นจะขอรบกวนเมฆาให้เลี้ยวกลับไปเอาก็ดูจะไม่เข้าท่าเพราะเขาเองก็ขับรถออกมาไกลแล้ว

“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ” เสียงของเมฆาทำให้ความคิดเธอหยุดชะงักก่อนจะหันมายิ้มให้เขาที่เดินมายืนอยู่ข้างๆ

เมฆาในชุดเสื้อยืดคอกลมกับกางเกงขาสั้นเลยเข่า รูปลักษณ์ของเขาดูไม่ต่างจากเด็กวัยรุ่นทำให้รู้ว่ากาลเวลาไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย

“จ้องหน้าพี่ทำไมเหรอ” เมฆาถามด้วยความสงสัยทั้งยังแปลกใจที่สิรินภาออกมายืนรับลมอยู่คนเดียวทั้งที่ตอนนี้มันก็มืดแล้วและที่เขาจำได้ไม่ลืมคือ เธอไม่ชอบความมืด

“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน พี่เมฆก็ยังเหมือนเดิม” เสียงของเธอดูอ่อนลงแต่คนฟังกลับตอบเสียงแข็ง

“ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว” เมฆาตอบกลับ ดวงตาคมจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่ชอบใจแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งก็ทำให้เขาต้องระงับอารมณ์ความขุ่นมัวไว้ในใจ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาคืน รออีกนิด อีกนิดเดียวเท่านั้นแล้วทุกอย่างจะจบลงอย่างสวยงามตามแผนการที่เขาวางไว้

“พี่เมฆจะพาบีไปไหนคะ” เอ่ยถามเสียงตื่นเมื่อถูกเมฆาลาก เขาไม่เพียงทำหน้าแปลกแต่การกระทำของชายหนุ่มก็แปลกไปด้วย เท้าเล็กกึ่งวิ่งกึ่งเดินเมื่อมือหนายังคงดึงมือของเธอให้เดินตามเขาให้ทัน



เสียงเพลงสนุกๆ เป็นสายเรียกเข้าจากมือถือของชิดชม หญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงแล้วจำต้องเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมากดรับอย่างงัวเงีย

‘ฮัลโหล’ กดรับสายเสร็จแล้วก็ถึงกับอารมณ์ฉุนที่เพื่อนมาทำลายความสุขในการนอนของเธอ ‘นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว โทรมาทำไมเนี่ย’

‘ก็เรากลุ้มใจ บีไปไหนก็ไม่รู้ ไปที่บ้านก็ปิดเงียบ ไม่มีใครอยู่สักคน’ ยอดกล้าพูดเสียงเครียดขณะที่ตัวเองกำลังขับรถอยู่ หลังจากไปหาสิรินภาที่บ้านแต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อเห็นบ้านเงียบราวกับไม่มีใครอยู่สักคน

‘พวกเขาอาจจะพากันไปเที่ยวก็ได้’

‘เที่ยวก็น่าจะรับโทรศัพท์เราบ้างสิ โทรไปตั้งไม่รู้กี่สายแล้ว โอย” ยอดกล้าว่าอย่างน้อยใจแต่แค่นั้นหัวใจของเขาก็หล่นมาถึงตาตุ่ม ชายหนุ่มเบรกรถกะทันหันก่อนจะมองกระจกหน้าเห็นรถคันหลังที่มาชนท้ายรถของเขาชัดเจน

‘เป็นอะไรนะตัว’

ปรายสายยังคงถามเขาอยู่ ยอดกล้าขับมาจอดข้างทางก่อนจะลงจากรถด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ไม่ลืมบอกลาเพื่อนสาว

‘แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง’ เขากดวางสายแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง เดินมาเคาะกระจกรถแต่พอแค่เห็นเจ้าของรถคันนี้เท่านั้นแหละ

“วันบ้าอะไรของฉัน ว่ะเนี่ย” ยอดกล้าสบถออกมาก่อนจะจ้องหน้าเจ้าของรถ

ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทาง สองหนุ่มสาวมานั่งคุยกันโดยการสนทนาเป็นไปอย่างเรียบเรื่อย ไม่ได้มีการขึ้นเสียงกันแต่อย่างใด ยอดกล้าจ้องหน้าอีกฝ่าย แม้ไม่ได้หวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากเธอก็ตาม

“ขอโทษนะ”

“หา” ยอดกล้าอ้าปากค้างด้วยไม่คิดว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของเธอแต่ก็ยอมรับว่ามันให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก

“เรื่องรถขอโทษด้วยจริงๆ ฉันผิดเองที่มัวแต่ใจลอย” เป็นครั้งแรกที่พลอยชมพูรู้สึกแบบนั้น เมื่อก่อนเธอไม่เคยโทษว่าเป็นความผิดตัวเองนอกจากพยายามบ่ายเบี่ยงและโยนความผิดให้คนอื่นโดยลืมคิดไปว่าบางที คนเราก็อาจทำอะไรพลาดกันได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีชีวิตสมบูรณ์แบบหรือแม้แต่คนที่ทุกคนคิดว่าสมบูรณ์แบบก็อาจจะเคยทำอะไรผิดพลาด

“ไม่เป็นไร ถ้ารู้จักขอโทษคน แบบนี้ก็น่าให้อภัยหน่อย ส่วนเรื่องรถต่างคนก็ต่างซ่อมของใครของมันละกันนะ ขี้เกียจขึ้นโรงพัก” ยอดกล้าตัดปัญหา ออกจะดีใจลึกๆ ที่ทำให้พลอยชมพูยอมขอโทษตนทำให้รู้ว่าลึกๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้นิสัยแย่เหมือนที่เขาคิดไว้ตลอดแต่แล้วเสียงของเธอก็ทำลายความรู้สึกดีๆ ไว้หมด

“แล้วยังไงเนี่ย พามาร้านอาหารข้างทางนี้ทำไม” พลอยชมพูทำหน้าสงสัย มองรอบๆ ก็เห็นผู้คนมากหน้าหลายตากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างเอร็ดอร่อย บางคนยังสั่งเพิ่มมากินอีกชามสองชาม

“ก็มันหิว ยังไม่ได้กินอะไรเลย”

“แล้วยังไง ฉันต้องรอนายกินงั้นสิ”

“คุณนี่ยังไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมื่อกี้ยังอยู่ในโหมดเศร้าอยู่เลย ไหนๆ ก็มานั่งกับผมแล้ว กินด้วยกันเลยสิ”

“ไม่” พลอยชมพูปฏิเสธเสียงแข็ง จ้องหน้ายอดกล้านิ่ง

ผ่านไปไม่ทันไร ก๋วยเตี๋ยวในชามก็หมดเกลี้ยง เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ป้า ขออีกชามนะ” พลอยชมพูยกมือบอกแม่ค้า อีกมือก็วางช้อนลงในชามก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มไปหมดแก้ว พอวางแก้วลงก็เห็นสายตาจับผิดของอีกฝ่าย

“อะไร” หญิงสาวถามเสียงขุ่น

“ไหนตอนแรกบอกไม่กิน มาตอนนี้กินไม่หยุดเลยนะคุณ”

“ก็มันอร่อยนี่ เชื่อไหมว่าฉันไม่เคยกินอะไรอร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย” พลอยชมพูว่าหน้าตาจริงจังอีกฝ่ายหัวเราะแล้วพยักหน้าหงิกๆ

“ผมเชื่อ ว่าแต่คุณเถอะ คงมีเรื่องเครียดใช่ไหม ไม่งั้นคงไม่ใจลอยขับรถแบบนี้”

พลอยชมพูฟังแล้วทำหน้าเศร้า ถือโอกาสระบายออกมาเพราะตอนนี้เธอแค่อยากพูดในสิ่งที่อัดอั้นตันใจ เผื่อจะได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแม้คนตรงหน้าตอนนี้จะเป็นคู่อริกับเธอก็ตาม

“คือฉันติดต่อพี่ชายตัวเองไม่ได้นะ มีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกเขาแต่จนป่านนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้”

“ผมเองก็ติดต่อแฟนผมไม่ได้เหมือนกัน ไปที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่สักคน” ยอดกล้าเล่าบ้าง ตอนนี้เขาทั้งเครียดทั้งกังวลกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดีกับสิรินภา

“แฟน หน้าอย่างนายนี่นะมีแฟนกับเขาด้วย”

“นี่คุณ หน้าอย่างผมนี่สาวๆ ติดแจเลยนะ”

“ตอมหึ่งละสิไม่ว่า”

“ผมคนนะไม่ใช่อึจะได้ตอมหึ่ง”

“พูดก็พูดเถอะนะ แฟนนายกับพี่ชายของฉัน พวกเขาไม่รู้เหรอยังไงว่าการหายหน้าไปแบบนี้จะทำให้ใครเขาเป็นห่วง”

“นั่นสิ” เป็นครั้งแรกที่ยอดกล้าเออออไปกับคำพูดของพลอยชมพู มันใช่และถูกทุกอย่างตามที่เธอว่านั่นแหละ ทำไมสิรินภาถึงไม่ส่งข่าวมาเลยทั้งที่เขาก็โทรไปหาเธอตั้งหลายสาย อย่างน้อยก็น่าจะรับรู้ได้บ้างละว่าชายหนุ่มเป็นห่วงมากแค่ไหน



ระหว่างนั้นสิรินภาได้แต่ยืนนิ่งด้วยความรู้สึกอึ่งเมื่อเขาลากเธอขึ้นมาดูบางอย่างในห้องๆ หนึ่งที่มีกุญแจปิดไว้ หลังจากที่เมฆาไขกุญแจห้องแล้วเปิดประตูเข้าไป สิ่งที่เห็นคือภาพวาดลายน้ำที่เก็บไว้อย่างเรียบร้อยในสภาพดี

“นี่มันอะไรกันคะ ภาพวาดพวกนี้” สิรินถาพูดเสียงสั่น มองหน้าชายหนุ่มด้วยความตื้นตันก่อนจะเดินเข้ามามองภาพเหล่านั้นใกล้ๆ อดใจไม่ไหวจนต้องเลื่อนมือขึ้นสัมผัสภาพเหล่านั้น นานแล้วที่เธอต้องตัดใจจากสิ่งที่ชอบเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันโดยไม่มีภาพวาดพวกนี้มาทำให้เกิดความจรรโลงใจแก่ชีวิต เรียวแขนแข็งแรงกำลังสอดหากายอุ่นจากข้างหลัง ใช้คำพูดอธิบายทุกอย่างเพื่อให้เธอคลายความข้องใจ

“ศิลปินที่บีชอบกับภาพวาดน้ำมันที่บีโปรดปราณ พี่ประมูลมันมาได้ บางภาพพี่ก็ซื้อเก็บไว้” เมฆาพูดเสียงอ่อน สัมผัสได้ว่าเธอมีความรู้สึกดีแค่ไหนในสิ่งที่เขาหามาให้และเขาก็รู้ว่านั่นคือจุดอ่อนของสิรินภา “พี่ดีใจที่บีชอบ พี่เฝ้ารอคอยว่าสักวันภาพพวกนี้จะทำให้บีมีความสุขซึ่งตอนนี้พี่ก็ทำสำเร็จแล้ว อีกแค่อึดใจเดียวทุกอย่างก็จะเรียบร้อย เป็นไปอย่างที่พี่ต้องการ” เมฆาแทรกคำพูดบางประการเอาไว้แต่ดูเหมือนว่าเธอจะสนใจรูปพวกนั้นมากจนไม่ทันสังเกตความผิดปกติในประโยคนั้น

“ขอบคุณนะคะพี่เมฆ ขอบคุณที่พี่เมฆทำเพื่อบี”

“เพราะความรักที่พี่มีให้บีต่างหากที่ผลักดันให้พี่ทำแบบนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นขอให้บีรู้ไว้ว่าทุกอย่างมันเกิดจากการกระทำของตัวมันเองทั้งสิ้น” เมฆาพูดแล้วอมยิ้ม หยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงก่อนจะโชว์ให้เธอดู

“บียังจำสิ่งนี้ได้ไหม”

แหวนเพชรเม็ดงามอยู่ตรงหน้าสิรินภา หญิงสาวมองจ้องด้วยความตกใจเป็นเพราะแหวนวงนี้ เดิมนั้นเมฆาเคยใช้มันขอเธอแต่งงานแต่มาเกิดเรื่องเสียก่อน จึงไม่ได้สวมแหวนวงนี้แต่ไม่นึกเลยว่าหนึ่งปีที่ผ่านเขายังเก็บไว้กับตัว หญิงสาวหมุนร่างให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา เห็นแววตาและสีหน้าที่ดูเศร้าหมอง

“ตอนนั้น พี่ไม่ทันได้สวมแหวนวงนี้ให้บีแต่พี่ก็ยังเก็บรักษามันไว้อย่างดีจนมาถึงทุกวันนี้”

“พี่เมฆ” สิรินภายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกผิด หากวันนั้นเธอใจแข็งไม่รับเงินจากบิดาของเขาก็คงดีเพราะจะได้ไม่ต้องทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดขนาดนี้

“ถึงคราวนี้บีคงไม่คิดที่จะปฏิเสธพี่อีกใช่ไหม” เมฆาดักพูดไว้ก่อนเพราะเดาไม่ออกว่าหญิงสาวจะตอบรับหรือปฏิเสธ

“พี่อยากให้ตอนนี้เป็นตอนพิเศษของเรา พี่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มีวันนี้ วันที่พี่จะได้แสดงความรักให้บีอย่างเต็มที่และบีก็เต็มใจจะรับความสุขนั้น” เมฆาพาสิรินภามานั่งที่เตียง หยิบมือเล็กขึ้นจูบเบาๆ อีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนจากนั้นชายหนุ่มก็สวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่าเธอเป็นของเขาแล้ว

“พี่เมฆค่ะ อย่าค่ะ” มือเล็กดึงออกไม่ทันที่แหวนเพชรจะทันใส่นิ้วนางข้างซ้าย อีกฝ่ายมองมาอย่างไม่เข้าใจ

“ทำไมล่ะบี เรารักกันไม่ใช่เหรอ บีก็รู้ว่าพี่รู้สึกยังไงกับบีและพี่เองก็มั่นใจว่าบีรักพี่”

“แต่บียังไม่พร้อมค่ะ” สิรินภากุมมือไว้แน่น ภาพเก่าๆ ยังคงตามมาหลอกหลอน วันนั้นเธอตัดสินใจจากเขามาก็เพื่อจะให้เขาได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้ หากเธอรับแหวนวงนี้มันก็เท่ากับว่าสิ่งที่ลงทุนทำมาทั้งหมดก็สูญเปล่า

“โอเค ไม่เป็นไรครับ พี่รอได้” เมฆากำแหวนวงนั้นแน่นลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป สิรินภามองตามหลังด้วยแววตาเศร้าซึม

ที่ห้องอีกห้อง เมฆายืนมองตัวเองในกระจกเงา สายตาดุดันขบกรามแน่นแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความสับสนแต่พอนึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ก็รู้สึกแค้นเคืองเธอขึ้นมา

“เมฆา แกอย่าใจอ่อนให้กับผู้หญิงไร้ค่าคนนั้นเด็ดขาด แกต้องทำให้เธอเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส” เมฆาเอ่ยด้วยสายตาโกรธแค้น

เช้าวันต่อมา สิรินภาถูกปลุกด้วยเสียงตะโกนจากข้างนอกบ้านจนต้องลุกจากเตียงในสภาพงัวเงียแต่เท้าเล็กก็ยังคงเดินเฉื่อยๆ มายืนที่ระเบียงชั้นสอง ก่อนจะเพ่งมองไปยังคนตัวสูงในชุดเสื้อกล้ามกางเกงสามส่วนกำลังโบกไม้โบกมือพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้

“บี ลงมาเล่นน้ำกัน”

“ไม่เอาดีกว่าค่ะ” สิรินภาตอบแล้วขยี้ตาถี่ๆ

“แต่พี่อยากให้บีเล่น นะครับ พี่เล่นคนเดียวมันไม่สนุกแล้วถ้าบีไม่ยอมลงมาเล่นน้ำกับพี่ พี่จะขึ้นไปอุ้มบีลงมาเดี๋ยวนี้” เมฆาพูดเอาแต่ใจแอบเห็นเธอถอนหายใจ



สุดท้ายสิรินภาก็ต้องลงมาเล่นน้ำตามคำขอของเขาแต่พอมาถึงกลับไม่พบชายหนุ่ม สายตาหวานสอดส่ายมองหาไปทั่วแต่เขาก็ไวเหลือเกินไม่รู้ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเป็นคำถามแต่ไม่ทันจะได้คิดต่อร่างของเธอก็ลอยลิ่วขึ้นมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของเธอ

“ว้าย พี่เมฆ” เมื่อรู้ตัวคนก่อ หญิงสาวก็รีบโวยวาย ก็เขาเล่นมาแบบเงียบๆ แถมยังฉวยโอกาสอุ้มเธอโดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว หากเธอเป็นโรคหัวใจป่านนี้คงได้หัวใจวายตายไปเสียแล้ว

“พี่เมฆ ปล่อยบีลงเดี๋ยวนี้นะ”

เมฆายอมทำตามที่สิรินภาบอกแต่แทนที่เขาจะปล่อยเธอทันทีกลับอุ้มเธอพามาปล่อยลงน้ำจนได้ยินเสียงตูมพร้อมกับน้ำทะเลที่แตกกระจัดกระจายก่อนจะโผล่ร่างคนที่เขาเพิ่งปล่อยลงน้ำ

“พี่เมฆ”

สิรินภาแทบสำลัก เรียกชื่อชายหนุ่มเสียงสั่นมือหนึ่งก็ปัดเอาน้ำออกจากหน้า ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะทำแบบนั้นกับเธอ เมฆาเลิกหัวเราะแต่พูดประโยคหนึ่งออกมา

“พี่ก็แค่อยากให้เราสนุกด้วยกัน ความสุขมันไม่ได้อยู่กับเรานานนักหรอกนะ ดังนั้น ตักตวงความสุขเอาไว้เผื่อวันใดที่ความทุกข์มาเยือน บีจะได้นึกถึงความสุขที่เคยร่วมทำกันมา” เขาพูดราวกับจะเน้นย้ำให้หญิงสาวตรงหน้าได้รับรู้และเข้าใจว่าความสุขมันมีมาก็มีจากและหากไม่รีบไขว่คว้าหรือตักตวงมันไป สักวันที่ความทุกข์มาแทนที่วันนั้นหญิงสาวจะไม่มีอะไรให้นึกถึงแต่ดูเหมือนเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการสื่อสาร

“บีขอตัวก่อนนะคะ” สิรินภารู้สึกแปลกๆ ในคำพูดทั้งสายตาที่เขามองเธออยู่ มันให้อารมณ์วาบหวามบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงรู้สึกกลัวเขาขึ้นมา เท้าเล็กเดินฝ่าคลื่นทะเลเพื่อยังฝั่งแต่แล้วก็ถูกเมฆาช้อนร่างขึ้นมาอุ้ม

“พี่เมฆ ทำอะไรคะ” เอ่ยปากถามอย่างตกใจกับการกระทำอุกอาจของอีกฝ่าย

“บีรู้ไหมว่าบีกำลังทรมานใจพี่อยู่ บีทำให้พี่เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจ” เมฆารุกหนักเพราะไม่อยากให้เวลามันยืดยาวไปมากกว่านี้ รู้อยู่แก่ใจว่าหากปล่อยให้ตัวเองอยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้มากเท่าไร หัวใจก็จะเจ็บปวดมากเท่านั้นและตัวเองก็จะกลายเป็นคนอ่อนแอที่ไม่กล้าทำร้ายเธอในที่สุด

“พี่เมฆพูดอะไรคะ”

“พี่ต้องการบี”

สิรินภาพูดไม่ออก สองมือยังคงโอบรอบคอของชายหนุ่มไว้แม้เขาจะกำลังพาเธอกลับบ้านพักตากอากาศ ที่น่ากลัวไปกว่านั้นสิ่งที่เขาคิดจะทำอะไรต่อจากนี้

เมฆาวางร่างสิรินภาลงบนที่นอนอย่างเบามือ สมองของเขาตอนนี้กำลังสั่งว่าให้เริ่มจัดการเธอเดี๋ยวนี้ ถึงแม้การทำเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายเธอแต่มันก็สาสมกับสิ่งที่เธอทำกับเขา ร่างหนาค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแต่ก็ต้องรีบคว้ามือเธอมากุมเมื่อหญิงสาวพยายามจะลุกหนี

“ทำไมล่ะบี เรารักกันไม่ใช่เหรอ”

“ถึงเราจะรักกันแต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่สมควร พี่เมฆค่ะ บีเคยผ่านการมีสามีมาแล้วเรื่องแบบนี้มันไม่ได้เสียหายกับบีนักหรอกค่ะแต่พี่เมฆจะเสียหายถ้าใครรู้ว่าพี่จะมายุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงที่มีสามีและมีลูกแล้ว บีไม่อยากให้ใครมาว่าพี่เสียๆ หายๆ”

“พี่ไม่สน ความรักเป็นเรื่องของเราสองคน หรือว่าที่ผ่านมาบีไม่เคยรักพี่เลย นั่นสินะ ถ้าบีรักพี่จริงก็คงไม่ทิ้งพี่ไปแบบนั้น” เมฆาเอ่ยเสียงแข็ง ขัดใจกับสิ่งที่เธอทำจนหมดอารมณ์จะทำตามแผน ร่างหนาลุกขึ้นยืนเหลียวมองหญิงสาวตรงหน้าแวบหนึ่งก่อนจะสาวเท้าเดินออกจากห้องด้วยใบหน้าบึ้งตึง

สิรินภาใจแป้ว รู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของเขาที่บอกว่าเธอไม่เคยรักเขาเพราะถ้ารักก็คงไม่ทิ้งจาก ในใจอยากบอกเหลือเกินว่าเรื่องทั้งหมดมันเป็นอย่างไรแต่เหตุเพราะคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้แก่บิดาของเขาจึงไม่อาจปริปากพูดความจริงออกมา

นานเกือบชั่วโมงที่เมฆาหายออกไป ความเป็นห่วงเพิ่มเป็นทวีเมื่อข้างนอกตอนนี้ก็มืดมากแล้วแถมยังได้เสียงฟ้าขู่ร้องคำรามราวกับจะมีพายุเข้า หัวใจของคนรอกำลังเต้นตุบตับ ไม่เป็นอันหลับอันนอนเพราะมัวแต่เป็นห่วงเมฆา หญิงสาววิ่งไปปิดหน้าต่างเมื่อฝนจากนอกบ้านกำลังสาดเข้ามายิ่งกระตุ้นให้เธอต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

สุดท้ายความอดทนก็จบสิ้น สิรินภากางร่มแล้วออกตามหาเมฆาตามเส้นทางที่ไม่รู้จุดหมาย ฝนที่ตกหนักยิ่งทำให้หัวใจของเธอร้อนรนท่ามกลางความหนาวเหน็บที่เริ่มคืบคลานเข้ามาช้าๆ แต่แล้วร่มคันเดียวก็ถูกลมซัดอย่างแรงจนปลิวไปติดกับต้นไม้ใหญ่ไม่เหลือสภาพให้ใช้งานได้อีก

สิรินภากอดอกเดินฝ่าสายฝน พยายามมองหาเมฆาอย่างไร้จุดหมาย ในใจเอาแต่ตั้งคำถามว่าเขาหายไปไหน จนตอนนี้สติที่มีเหลือกำลังจะหายไป หญิงสาวร้องไห้แข่งกับเสียงฝน ปากอิ่มเอาแต่ร้องเรียกแต่ชื่อเมฆาเสียงลั่น

“พี่เมฆ พี่เมฆค่ะ พี่เมฆอยู่ที่ไหน พี่เมฆ” สิรินภาตะโกนร้องสุดเสียงก่อนที่เท้าเจ้ากรรมของเธอจะไปแตะกับบางอย่าง หญิงสาวก้มลงมองพยายามเพ่งเล็งแล้วก็ถึงกับตาโตเมื่อคนที่เธอกำลังตามหาอยู่นอนกอดอกสั่นระริกตรงหน้า

“พี่เมฆ” สิรินภาย่อตัวแล้วดึงร่างหนามากอดไว้ ตัวของเขายังสั่นระริกจนน่าตกใจ สองแขนโอบกอดเขาไว้มั่น ความรู้สึกผิดผุดขึ้นมาทันที

อีกแล้วใช่ไหมที่เธอ...ได้เผลอทำร้ายเขา



กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ย. 2558, 19:07:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ย. 2558, 19:07:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 959





<< บทที่ 10 หน้ากากมายา   
Zephyr 18 พ.ย. 2558, 20:56:45 น.
แผนอีกสินะ
เมฆ นายปล่อยมาเลย จะให้เจ็บขนาดไหน ปล่อยมา
พอสิ้นสุด เค้าจะได้เชียร์ถูกข้าง
ไม่ต้องค้างๆคาๆ รำคาญนายเองอ่ะ
จะทำก็ทำเสียทีสิ กล้าๆกลัวๆอยู่ได้


กรงแก้ว 18 พ.ย. 2558, 21:51:23 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account