รักร้าวในแผลใจ
กลับมาอีกครั้งกับนิยายรัก (สีเทา)

คราวนี้ขอนำเสนอนิยายเรื่อง









รักร้าวในแผลใจ

รักที่กลายเป็นยาพิษแสนขมขื่น



หวังเพียงว่านักอ่านทุกท่านจะชอบนะคะ

ฝากติดตามและเม้นต์ให้กำลังนักเขียนแถวหลังคนนี้ด้วยนะ



ติดตามนิยายกรงแก้วได้ที่
https://www.facebook.com/NiyayKrngKaew?ref=hl




































Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 10 หน้ากากมายา

บทที่ 10

หน้ากากมายา

ร้านเค้กคุณแต้ววันนี้เปิดแค่ครึ่งวันเนื่องจากเด็กที่ร้านลากลับบ้านต่างจังหวัดกันหมด และเธอก็คิดว่าจะปิดร้านเสียแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจเปิดมาถึงครึ่งวันโดยมีเพื่อนชายกับรุ่นน้องที่สนิทมาอยู่ช่วยอีกแรง

เก้าอี้ตัวเดียวที่วางติดหน้าต่างรับลม บัดนี้กำลังถูกสองคนแย่งกันเพื่อจะเป็นผู้ที่ได้นั่งมันและเสียงของพวกเขาก็ทำเอาเจ้าของร้านต้องสั่นหัวไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย จะมีไหมนะที่สองคนนี้จะญาติดีกัน

“นี่ นายปล่อยเก้าอี้เดี๋ยวนี้นะ เพราะฉันจะนั่ง” พลอยชมพูว่า สายตามองยอดกล้าด้วยความอาฆาตแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“ได้ไงล่ะ คุณสิต้องปล่อยเพราะผมก็จะนั่งเก้าอี้ตัวนี้เหมือนกัน”

“เอ๊ะ” พลอยชมพูแสดงสีหน้าไม่พอใจเมื่อถูกขัดใจ ยิ่งพอตอนดึงเก้าอี้มาก็ถูกอีกฝ่ายดึงกลับแถมแรงมือของเขาก็ทำซะจนเธอเซได้เหมือนกัน

“ไอ้บ้าหนวด นายจะเอายังไง” หญิงสาวถามออกไปด้วยความโมโห แม้จะรู้ว่าการมาช่วยชิดชมที่ร้านจะต้องมาเจอยอดกล้าแต่เธอก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะไร้ความเป็นสุภาพบุรุษมากขนาดนี้

ระหว่างที่กำลังแย่งเก้าอี้กันอยู่ ประตูหน้าร้านก็มีคนเปิดเข้ามา พลอยชมพูยังอยู่ในอารมณ์ฉุนเหลียวมองออกไปยังต้นทางก่อนจะอ้าปากค้าง

ยอดกล้ามึนงงที่จู่ๆ พลอยชมพูก็ปล่อยเก้าอี้ที่แย่งจะนั่งกับเขาตอนต้นอย่างง่ายดายแถมมาปล่อยมือตอนที่เขาเผลอจนทำให้ชายหนุ่มที่ไม่ทันระวังตัวถูกเก้าอี้ทับเท้าตัวเอง

“โอ๊ย คุณ...” ยอดกล้าอ้าปากจะว่าแต่ก็เงียบเสียงเมื่อเห็นพลอยชมพูวิ่งตรงไปหาคนที่เพิ่งเข้าร้านมาราวกับรู้จักมักคุ้นกัน สายตาส่อแววอยากรู้ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบจากเพื่อนสาว

“เจ็บไหมล่ะตัว แต่...สมน้ำหน้า” ชิดชมกระซิบบอกแล้วขำก่อนจะเดินออกไปต้อนรับลูกค้าที่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะกลุ่มหนึ่งทิ้งยอดกล้าต้องนั่งลูบเท้าอยู่คนเดียว

ฝ่ายพลอยชมพูก็ตรงเข้ามาหาคนที่กำลังสอดสายตามองหาบางอย่างก่อนจะสะกิดเบาๆ ด้วยการแตะมือที่ต้นแขนของเขา อีกฝ่ายหันมามองแล้วยิ้มออกมาในทันที

“พลอย” วิทยาเอ่ยชื่อหญิงสาวด้วยความดีใจ มองเธอที่กำลังยิ้มหวานมาให้เขาเช่นกัน

“พี่วิทย์มาหาพลอยหรือคะ เอ๊ะ แล้วนี่รู้ได้ยังไงคะว่าพลอยอยู่ที่นี่” พลอยชมพูถามขึ้นหลังจากพาหนุ่มหน้ามนเดินมาหาที่นั่งซึ่งเป็นด้านหลังของร้าน บรรยากาศร่มรื่นแต่ดูจากสีหน้าคนที่เธอคุยด้วยแล้ว ความร่มรื่นของบรรยากาศคงไม่ช่วยอะไร

“พี่เห็นพลอยอัพในไอจีว่าอยู่ที่นี่นะ คือพี่ติดต่อไอ้เมฆไม่ได้เลย ไปหาทั้งที่คอนโดและที่ทำงานแต่ก็ไม่อยู่ พี่ตามหาไอ้เมฆจนไม่รู้จะไปตามหาที่ไหนแล้วก็เลยคิดว่าพลอยน่าจะรู้ว่าพี่ชายพลอยไปไหน” วิทยาว่า น้ำเสียงดูเหนื่อยล้า เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้เขาออกตามหาเพื่อนหนุ่มในทุกๆ ที่ที่คิดว่าจะเจอไม่เว้นแม้แต่บ้านสิรินภาตามทะเบียนบ้านที่ไปสืบมาและก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อรู้ว่าสิรินภาเองก็ไม่ได้อยู่บ้าน บ้านของเธอปิดเงียบราวกับไม่มีใครอยู่

พลอยชมพูนั่งเก้าอี้ลงข้างๆ สังเกตจากสีหน้าของวิทยาแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา มีบางอย่างที่เธอคิดว่ามันไม่ชอบมาพากล เหตุใดวิทยาถึงอยากพบตัวพี่ชายของเธอมากขนาดนี้

“พลอยเองก็ไม่ทราบค่ะ วันนี้ก็ยังไม่ได้เจอพี่เมฆเลย”

วิทยาหน้าเครียดจัด คิดไม่ตกว่าจะไปตามหาเมฆาได้จากที่ไหนเพราะแหล่งที่ไปตามหามานั้นก็หมดทุกที่แล้ว ไอ้ที่คิดว่าจะมีหวังได้เจอตัวเมฆาก็กลับสิ้นหวังเพราะแม้แต่น้องสาวก็ไม่รู้เลยว่าพี่ชายของเธอไปไหน ร่างหนาลุกขึ้นยืนทำทีจะเดินจากแต่ถูกจับมือไว้ ชายหนุ่มหันมามองหน้า

“ทำไมพี่วิทย์ถึงอยากเจอพี่เมฆนักล่ะคะ”

“พี่มีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกเมฆ สำคัญมาก ถ้าพี่ไม่รีบบอกพี่กลัวว่ามันจะสายเกินไป” วิทยาพูดน้ำเสียงสั่นๆ ก่อนจะถูกพลอยชมพูซักไซ้ต่อ

“งั้นพี่วิทย์บอกพลอยได้ไหมว่าเรื่องสำคัญที่พี่จะบอกพี่เมฆมันคือเรื่องอะไร” พลอยชมพูเอ่ย มองจ้องหน้าวิทยาแน่นิ่ง อีกฝ่ายฉายแววตาเป็นกังวลออกมา



รถคันหรูจอดสนิทอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศสองชั้น อาณาบริเวณรอบๆ ล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี ร่มรื่นสมกับเป็นบ้านพักติดชายทะเล ลมเย็นๆ พัดมาแตะกายอุ่นจนเริ่มขยับตัวก่อนเปลือกตาคู่หวานจะเปิดขึ้นมา

สิรินภากะพริบตาถี่ๆ เมื่อความง่วงจางหายเป็นปลิดทิ้งสมองของเธอก็เริ่มลำดับเหตุการณ์ทันที ก่อนหน้านี้เธอตัดสินใจมากับเมฆาตามคำขอของเขา ด้วยความละอายใจและสำนึกผิดที่ยังมีอยู่ให้เขาทำให้ยอมเดินทางมาเที่ยวกับชายหนุ่มแม้จะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมนักหากคนอื่นรู้

ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสองก็นับว่าไม่เหมาะสมแล้ว หากใครมารู้ว่าเมฆามาเที่ยวกับแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอ คงไม่พ้นทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียและคนอาจเข้าใจผิดหลงคิดว่าเธอต้องการจับเมฆา เปลือกตาหวานปิดสนิทข่มอารมณ์อ่อนไหวเอาไว้ ไม่อยากนึกถึงอนาคตที่ยังไม่เกิดแค่ตอนนี้เธออยากทำดีกับเมฆาให้มาก ชดเชยที่เคยทอดทิ้งเขาไป เพราะมันเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะทำให้คนที่รักได้

กลิ่นหอมๆ โชยมาแตะจมูกโด่งจนสิรินภาทนนิ่งเฉยไม่ไหวต้องลุกจากที่นอนแล้วเดินลงบันไดเพื่อตามหาที่มาของกลิ่นหอมนั่นก่อนฝีเท้าเล็กจะมาหยุดนิ่งที่ประตูห้องครัว ยืนมองเชฟคนเก่งกำลังมุ่งมั่นกับการทำอาหารอยู่ จากสิ่งที่เห็นตอนนี้เขาเหมือนเมฆาคนเมื่อปีที่แล้วไม่ผิดเพี้ยน ผู้ชายที่ชอบเข้าครัวทำอาหาร ใส่ใจทุกรายละเอียดของเมนูและมักให้เธอเป็นหนูทดลองในการชิมอาหารฝีมือของเขา



ยอดกล้าเพิ่งล้างมือเสร็จเดินออกมารับลมเล่นที่ด้านหลังของร้านต้องชะงักฝีเท้าเมื่อว่าเห็นมีคนมานั่งอยู่ก่อนแล้วแต่ท่าทางเหมอลอยของเธออดทำให้เขาสงสัย ตอนนี้ยอดกล้าไม่เห็นร่างของหนุ่มหน้ามนคนนั้นแล้วคิดว่าคงจะกลับออกไปจากร้านตอนที่ชายหนุ่มกำลังอยู่บริการให้ลูกค้า

“มาอู้งานอยู่ตรงนี้นี่เอง” เอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งฟุบที่เก้าอี้ตัวที่ว่าง เห็นสายตาของพลอยชมพูที่มองมาแล้วรู้สึกเสียวหลังวาบๆ

“อย่ามาหาเรื่องดีกว่า ตอนนี้ฉันก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว ได้โปรดอย่ามาก่อกวนฉันอีก” พลอยชมพูว่าน้ำเสียงอารมณ์ไม่ดี ใช่ เธอกำลังเครียดเพราะเรื่องที่ได้ฟังจากวิทยา

“ทำไม พอแฟนกลับไปก็อารมณ์ไม่ดีเลยเหรอแต่เปล่านี่ก็เห็นอารมณ์ไม่ดีตลอด”

“อย่ามามั่ว พี่วิทย์ไม่ใช่แฟนฉัน” พลอยชมพูโต้ด้วยสีหน้าบึ้งตึงก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินจากเพราะถ้าเธอยังขืนอยู่คุยกับยอดกล้ามีหวังเส้นเลือดในสมองเธอคงแตกแน่

ยอดกล้ายืนเอามือกอดอกมองเธอที่กำลังจะเดินจากตรงนี้ ก็ดีเหมือนกันเขาเองก็อยากจะพักอย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องมาทนมองหน้าบูดบึ้งของใครแถวนี้ สายตาคมมองนิ่งที่ร่างเล็กแต่แล้วสายตาของเขาก็ช้ากว่ามือตัวเอง

“คุณระวัง” ปากว่าส่วนมือก็รีบดึงหญิงสาวกลับมา เกือบจะได้เห็นคนแถวนี้จับกบแล้วไหมล่ะแต่ก็อดโมโหใส่หญิงสาวไม่ได้ “นี่ใจลอยจนมองไม่เห็นเลยเหรอว่าข้างหน้านะมีกระถางดอกไม้อยู่”

พลอยชมพูที่ยังอยู่ในอาการตะลึงงัน กะพริบตาถี่ๆ มองหน้ายอดกล้า ท่าทางเหมือนทำอะไรไม่ถูกแต่พอรู้สติก็รีบดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาทันที แม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างแต่เป็นเพราะเธอเองไม่ใช่หรอกหรือที่เหมอลอยจนเป็นเรื่อง

ยอดกล้าอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อว่าพลอยชมพูจะเดินจากไปทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณ ส่วนตัวไม่ได้คิดอยากได้ยินอะไรแบบนี้จากปากของยัยนั่นแต่อย่างน้อยเธอก็ควรเอ่ยมันออกมา ไม่ใช่เหรอ

“อุตส่าห์ช่วยเอาไว้แท้ๆ ยังไม่คิดจะขอบคุณสักคำ เชื่อเลยจริงๆ” ปากหนาบ่นกับตัวเอง

พลอยชมพูกลับเข้ามาในร้านเห็นชิดชมกำลังนั่งนับเงินที่ขายได้วันนี้อยู่ ด้วยเพราะไม่รู้จะไปปรึกษาใครดีจึงจำต้องมาขอความเห็นจากรุ่นพี่ของเธอ

“พี่แต้วจะปิดร้านแล้วเหรอคะ” พลอยชมพูนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับชิดชม เห็นอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นตอบ

“อืม แค่นี้พี่ก็รบกวนน้องพลอยกับกล้ามากแล้วแต่ยังไงก็ขอบคุณมากนะที่มาช่วย”

“งั้นเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นขอปรึกษาหน่อยได้ไหมคะ”

“ได้สิค่ะ” ชิดชมเงยหน้าตอบแต่แววตาบ่งบอกว่ากำลังแปลกใจ

พลอยชมพูเม้มปากกำลังคิดหาคำเริ่มต้นที่จะเอ่ยออกไป รู้สึกจุกอยู่ที่คอแต่ถ้าไม่ปรึกษาชิดชมก็ไม่รู้จะหันหน้าไปคุยกับใครแล้ว หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเริ่มต้นพูด

“คือถ้าสมมติว่าเราทำบางอย่างไม่ดีกับใครคนหนึ่งที่เราเข้าใจผิดเพราะคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีทั้งที่ความจริงแล้วเขาอาจเป็นคนดี คือเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด ถ้าสิ่งที่ทำไปโดยไม่รู้มันจะบาปไหมคะ แล้วถ้าเป็นพี่แต้ว พี่จะทำยังไงต่อไป”

คำพูดของพลอยชมพูทำเอาชิดชมนิ่งงัน ก่อนจะขมวดคิ้วและยิ้มแหยงๆ พลางขยับปากจะเอ่ยแต่ก็ช้ากว่าปากของคนแถวนี้

“บาปเห็นๆ เลยละคุณ”

พลอยชมพูหันไปตามเสียงแล้วชักสีหน้าไม่พอใจที่ยอดกล้าเข้ามาขัดจังหวะแถมเสียมารยาทมาแอบฟังคนเขาคุยกัน นี่ถ้าไม่ติดว่าตรงนี้มีชิดชมอยู่ละก็ ป่านนี้อีกตาหนวดนี่ถูกเธอเล่นงานให้แล้ว

ยอดกล้าลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ พลอยฟ้าแล้วพูดต่อ

“ไหนๆ ผมก็ได้ยินแล้ว ขอแนะนำอย่างนะ ถ้าสิ่งที่คุณทำลงไปคุณบอกว่าทำโดยไม่รู้ผมคิดว่าคุณควรจะขอโทษเขาคนนั้นซะ เพราะคำขอโทษมันคือพื้นฐานของการที่จะทำให้รู้ว่าคุณได้สำนึกผิดและเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป”

“บางครั้งคำขอโทษมันก็ไม่ช่วยให้มันดีขึ้นมาหรอกนะ” พลอยชมพูแย้ง

“แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย หรือว่าตลอดชีวิตของคุณไม่เคยต้องขอโทษหรือขอบคุณใครเลย” เขาตั้งใจว่ากระทบและคิดว่าคนฉลาดอย่างเธอก็คงจะรู้ว่าคำพูดของเขากำลังสื่อถึงอะไร ขึ้นยู่ที่ว่าผู้หญิงคนนี้จะรู้จักใช้คำพวกนั้นหรือเปล่า

“พี่แต้วค่ะ พลอยขอตัวกลับก่อนนะคะ” พลอยชมพูไม่อยากฟังเลยตั้งใจจะหลบหลีก เบื่อคำพูดแสนดูดีของยอดกล้า เพราะรู้ดีว่าการขอโทษมันไม่ได้ช่วยให้เรื่องราวมันดีขึ้นในเมื่อความผิดครั้งนี้มันร้ายแรงนักสำหรับลูกผู้หญิงคนหนึ่ง

เท้าเล็กเดินมาถึงรถใช้เวลาไม่นานแต่ไม่ทันจะก้าวเข้าไปนั่งในรถ เสียงยอดกล้าก็ตามมาหลอกหลอนถึงที่

“มันคงกระดากปากคุณมากสินะถ้าหากต้องเอ่ยคำๆ นั้นออกมา”

พลอยชมพูหันกลับมามองเห็นยอดกล้ายืนเอามือสอดกระเป๋ากางเกง ทั้งสีหน้าและแววตำม่มีท่าทีว่าจะเล่นตลกกับเธอเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา

“ถ้าคุณทำผิดกับใครสักคน คุณอย่านิ่งดูดายเพราะคนที่คุณทำผิด เขาจะไม่รู้เลยว่าคุณเสียใจและรู้สึกผิดกับมันแค่ไหน ดังนั้นผมยังยืนยันคำเดิมว่าการเอ่ยขอโทษเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้น”

“นายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน”

“ผมไม่ได้สั่งสอนแต่ผมกำลังเตือนสติคุณต่างหาก คุณพลอย ผมไม่รู้หรอกนะว่าสิ่งที่คุณพูดมันหมายถึงตัวคุณทำผิดเองหรือคุณหมายถึงใครแต่เชื่อเถอะ คำขอโทษจะทำให้อะไรมันเบาลง ผมก็คงเตือนคุณได้แค่นี้ ยังไงก็ขับรถดีๆ ละ กัน ใจลอยตอนขับรถมันไม่ดี”

ประโยคสุดท้ายเขาทีเล่นทีจริงก่อนจะเดินจากไป ทิ้งความมัวหมองให้กับหญิงสาวที่ตอนนี้ยังติดต่อพี่ชายตัวเองไม่ได้

“พี่เมฆ ตัดสายพลอยทิ้งทำไมเนี่ย” พลอยชมพูทำหน้างง หลังจากที่โทรหาพี่ชายแล้วมีสัญญาณแต่จู่ๆ ก็เหมือนกับว่าสายของเธอถูกตัดทิ้งออกไป เหมือนเจ้าของมือถือจงใจจะไม่รับสายเธอและถ้าเป็นแบบนั้นหญิงสาวจะบอกเรื่องราวที่ฟังมาจากวิทยาให้รู้ได้อย่างไร



“ใครโทรมาหรือคะ”

สิรินภาถามขึ้นเมื่อเห็นอาการมีพิรุธของเมฆา ท่าทีที่ดูนิ่งๆ ขรึมๆ หลังจากที่ตัดสายมือถือทิ้งมันคือเอกลักษณ์เฉพาะของเขา น้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้

“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก โทรผิดนะ” เมฆาว่าก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อกลบเกลื่อน “ตอนบีนอนหลับอยู่พี่แวะไปซื้ออาหารสดมา น่าแปลกเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องพี่ก็ไม่ได้เข้าครัวทำอาหารให้ใครทานอีกเลย”

ประโยคนั้นทำสิรินภาสะอึก ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดที่มีต่อเขามากขึ้น

“ขอโทษนะคะ ขอโทษที่บีเป็นต้นเหตุ”

“หึ ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องขอโทษเลยนี่ ยังไงบีก็ต้องชดใช้” น้ำเสียงนั้นแลดูแข็งกระด้างจนหญิงสาวตรงหน้าเริ่มมองมาด้วยสายตาแปลกๆ ใบหน้าคมที่ดุดันนั้นแสร้งปั้นหน้ายิ้มปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นเหยื่อเริ่มตื่น

“คือพี่หมายความว่าบีต้องชดใช้ด้วยการกินอาหารฝีมือพี่ ทานเยอะๆ นะครับ” เมฆาไม่พูดเปล่าตักกับข้าวใส่จานหญิงสาว ส่งรอยยิ้มอบอุ่นไปให้ได้ยินเพียงคำขอบคุณจากเธอ

“ขอบคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับแค่เห็นบีชอบ พี่ก็พอใจแล้ว” เมฆาเอ่ยเสียงเรียบแววแววตามีบางอย่างแอบแฝง



พลอยชมพูกำลังเดินไปเดินมาอยู่ที่สระว่ายน้ำของบ้าน ความร้อนใจทำให้ต้องกดมือถือโทรนัดวิทยาออกมาเจออีกครั้งหลังจากที่โทรหาพี่ชายแล้วไม่ยอมรับสายแถมยังปิดเครื่องหนีเธออีก เลยไม่รู้กันพอดีว่าตำแหน่งที่พี่ชายอยู่นั้นมันคือส่วนไหนของประเทศ

“น้องพลอย ตกลงเจอนายเมฆแล้วเหรอถึงโทรเรียกพี่มาเจอนะ” วิทยาวิ่งเข้ามาหาพลอยชมพูที่กำลังยืนนิ่งกระวนกระวายอยู่ที่ขอบสระ

“ยังค่ะ พลอยยังติดต่อพี่เมฆไม่ได้เลย แต่ที่พลอยเรียกพี่วิทย์ออกมาหาพลอยเพราะพลอยอยากถามให้แน่ใจ” เอ่ยน้ำเสียงสั่นๆ ดูกระวนกระวายก่อนจะเอ่ยออกไป “เรื่องจริงเหรอคะที่ว่าเงินสิบล้านที่มาจากบัญชีคุณพ่อ ปลายทางไม่ได้ใส่ไว้ในชื่อสิรินภาแต่กลายเป็นชื่อพี่เมฆแทน”

“ก็เพื่อนพี่ที่ทำงานธนาคาร มันว่าอย่างนั้น ตรวจสอบทั้งเลขที่โอน วันเวลาและก็ชื่อสกุลบัญชีปลายทางก็ไม่น่าจะพลาดนะ”

“แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมพี่เมฆถึงไม่รู้ล่ะว่าเงินสิบล้านเข้าไปในบัญชีธนาคารของตัวเอง” พลอยชมพูพยายามหาข้อขัดแย้งอย่างน้อยเธอก็ไม่อยากให้มันเป็นเรื่องจริงเพราะมันเท่ากับว่าหญิงสาวมีส่วนเกี่ยวที่ไปสนับสนุนแผนให้พี่ชายเอาคืนผู้หญิงคนนั้น

“เพื่อนพี่มันบอกว่าบัญชีนี้ถูกเปิดใช้ในชื่อของไอ้เมฆเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีกเลย ข้อสันนิฐานของพี่คิดว่าบีน่าจะเอาเงินที่ได้จากพ่อไอ้เมฆมาเปิดบัญชีในชื่อเมฆเพราะบีเองก็ไม่อยากได้เงินจำนวนนั้น”

“แต่พลอยไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทำแบบนั้น เงินตั้งสิบล้านนะคะสามารถเอาไปตั้งตัวได้เลย”

“ก็บีไม่ใช่ผู้หญิงที่จะเห็นแก่เงินนะสิ พี่เองก็รู้จักกับบีมาพอสมควรถึงได้คิดตลอดไงว่าบีไม่น่าจะเป็นอย่างที่ไอ้เมฆพูด” วิทยาพูดเสียใจที่ตัวเองก็เป็นอีกคนที่เผลอไปทำร้ายผู้หญิงดีๆ อย่างบีโดยการปิดเงียบไม่ยอมเล่าแผนการที่เมฆาคิดจะจัดการกับสิรินภา

“ของแบบนี้บางทีอาจจะเป็นแผนของผู้หญิงคนนั้นก็ได้ ถ้าไม่เห็นแก่เงินแล้วทำไมต้องทำร้ายหัวใจพี่เมฆด้วยล่ะคะ ทำไมตอนนั้นถึงทิ้งพี่เมฆไป”

“เรื่องนี้ก็คงต้องไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นแล้วละ” วิทยาตอบเสียงอ่อน ยังเครียดเรื่องเมฆากับสิรินภาไม่หาย เอียงหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังนิ่งเงียบอยู่

“พี่วิทย์หมายถึงคุณพ่อเหรอคะ” พลอยชมพูทำหน้าเศร้า มองเห็นทางลำบากอยู่รำไร



ที่บ้านพักตากอากาศ สองหนุ่มสาวกำลังช่วยกันล้างจานและทำความสะอาดบ้านพัก สิรินภาที่ตอนนี้ดูไม่ต่างจากแจ๋วกำลังถูกพื้นด้วยไม้ม็อบ แม้จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยจากการทำกิจกรรมงานบ้านแต่หัวใจของเธอกลับสุขล้นเพราะได้ทำอะไรๆ ร่วมกับชายคนที่รัก เมฆาที่เธอรู้จักคือผู้ชายอบอุ่นที่อยู่เคียงข้างเธอเหมือนอย่างที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้

จู่ๆ ไม้ม็อบในมือก็ถูกแย่งมาก่อนหญิงสาวจะหันไปมองแล้วยิ้มให้ชายหนุ่มที่เขามาจากด้านหลัง รอยยิ้มนั่นทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอิบหัวใจ นานแล้วสิที่ความสุขแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับสิรินภาหลังจากที่ความรักครั้งนั้นได้ตายไปพร้อมกับการจากมาของเธอ

“บีไปพักเถอะ เดี๋ยวพี่ถูพื้นต่อเอง” เมฆาเอ่ย

“ไม่เป็นไรค่ะ บีทำเองดีกว่า พี่เมฆนั่นแหละไปพักเถอะนะ ตั้งแต่มาถึงพี่ยังไม่ได้พักเลยนะคะ ส่วนเรื่องถูพื้นให้บีจัดการต่อเถอะค่ะ” สิรินภาค้านเอื้อมมือจะเอาไม้ม็อบแต่กลับถูกมือหนาโอบเอวไว้แถมยังซุกหน้าไว้ที่ไหล่บาง

“งั้นก็ทำด้วยกันเลยละกัน”

เสียงนั้นกระซิบข้างหูหญิงสาวก่อนจะดึงมือเล็กมาจับไม้ม็อบด้วยกัน จากนั้นก็เริ่มถูพื้นไปข้างหน้าโดยมีร่างเล็กในอ้อมแขนเดินตามมาชิดๆ

สิรินภาสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในตัวเขา ผู้ชายที่เธอมอบหัวใจและความรักไปจนหมดไม่เหลือไว้ให้ใครอื่นได้อีก และคิดว่าชาตินี้เธอคงไม่สมหวังในความรักที่มีต่อเขาแต่...ทวาเขากลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาและสานต่อความรักที่เธอได้เก็บล็อคใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนาจนบัดนี้หัวใจที่ปิดตายนั้นกำลังจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง



กรงแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2558, 11:25:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ต.ค. 2558, 11:25:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 989





<< บทที่ 9 รักที่หลอกลวง   บทที่ี 11 เกมล่าหัวใจ >>
Zephyr 24 ต.ค. 2558, 17:32:05 น.
ดีเล้ยยยยย
อ่านเรื่อยๆ แล้วเค้าอยากให้เมฆเจ็บกว่า
เพราะเหมือนฝ่ายพ่อทำให้บีเสียใจ
อต่นะคนพ่อคนลูก คนละคนกัน

แต่เอ้ย เข้าข้างผญ สัมผัสได้ว่าจากนี้
บีจะแย่เพราะเมฆมาก
อินเนอ ยังไงก็เข้าข้างบี 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account