ฝากรักลอยลม
เป็นใครก็ใจละลาย เมื่อชายตรงหน้ามาดแมนแอนด์แฮนซัมเกินห้ามใจ รวมถึงเก็จแก้วด้วย

หลังออกมาวิจัยฝุ่นได้ไม่นาน สวรรค์ก็บันดาลให้เธอได้งานใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ภัมวัจน์ นายคนใหม่ที่หล่อราวฟ้าประทานนี่สิ ดูเหมือนจะไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่เธอคาดเสียแล้ว

นับวันเขายิ่งดุและร้ายกาจ จนเธออยากหนีไปให้ไกล ทว่านานวันเข้าใจเจ้ากรรมกลับยิ่งหวั่นไหว
ยิ่งหนี...เขาก็ยิ่งตามติดใกล้ชิดเข้ามาทุกที แล้วหัวใจดวงนี้จะหนีพ้นไหมนะ...


Tags: ฝากรักลอยลม, เก็จแก้ว, ภีมวัจน์, ภัทรชนน, ภัทรจาริน, นิยายรัก, ซึ้งกินใจ, เจ้านาย, เลขา, รักโรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 1




“เฮ้ย อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามไปสิลูกแก้ว ใจเย็นๆ ก่อน”

“พี่ไม่ต้องมาห้ามลูกแก้วเลย เป็นพี่ยังเย็นอยู่ไหวหรือไง ลูกแก้วจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว” เจ้าของนาม ลูกแก้ว หรือ เก็จแก้ว เค้นเสียงหนักตามสภาพอารมณ์อันพลุ่งพล่านของตน มือบางกระชากประตูบานใหญ่ออกอย่างแรง เดินดุ่มๆ เข้าไปวางซองกระดาษสีขาวไว้บนโต๊ะตัวเดียวในนั้นด้วยอาการกระแทกกระทั้น

“อย่าวู่วามไปสิลูกแก้ว เมื่อก่อนตอนเกิดเรื่องพี่ก็เห็นเราทนได้นี่นา แต่คราวนี้ทำไมถึงได้...”

“พี่ไม่ได้เป็นลูกแก้วนี่ถึงพูดแบบนี้ ทนๆๆๆ เอะอะก็ให้ทน ความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัดเหมือนกันนะ” พอหันมาเห็นสีหน้าของคนเดินเคียงกันไม่สู้ดีนัก เก็จแก้วก็ชะงัก ได้สติ เธอไม่ควรเอาความโกรธของตนไปลงกับคนที่ไม่ใช่ต้นเหตุ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ เป็นครู่กว่าจะเข้าสู่ระดับปกติ

“ลูกแก้วขอโทษด้วยนะคะที่เสียงแข็งใส่พี่ ลูกแก้วแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราต้องเป็นฝ่ายทนตลอด เกิดอะไรขึ้นก็ต้องปิดปากเงียบ ยอมรับว่าผิด แค่ว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนลูกสาวท่านประธานอย่างนั้นหรือคะ มันไม่ยุติธรรมเลย”

“แต่เราก็ไม่ควรใจร้อนเกินไปนะ กลับไปคิดให้ถี่ถ้วนก่อน อย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินเลย ถึงตอนนั้นอาจมีทางออกที่ดีกว่านี้”

เก็จแก้วถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างอัดอั้น

“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พอมีอะไร ความผิดก็มาตกหนักอยู่กับพนักงานตัวเล็กๆ อย่างเราทุกที”

“พี่ว่าผู้ใหญ่เขาคงเข้าใจอยู่หรอกมั้ง”

จากน้ำเสียงตอนท้ายที่เบาลง ทำให้เก็จแก้วรู้ว่าเจ้าตัวก็ไม่ใคร่จะมั่นใจนัก

“อย่าดีกว่าค่ะ พี่ก็รู้เหมือนลูกแก้วรู้นั่นแหละ นายนั่นมีวิธีพูดที่ทำให้คนอื่นกลายเป็นคนผิดได้ตลอดแหละ แล้วพอมีผู้ใหญ่ถือหางแบบนี้อีก ต่อไปคงกำเริบหนักกว่านี้แน่”

“คงสำคัญตัวว่าสำคัญน่ะ”

“ก็เขาสำคัญจริงๆ นี่คะ” ปากเหมือนเอ่ยชม แต่จริงๆ เก็จแก้วนึกค่อนคนที่ถูกกล่าวถึงอยู่ครามครัน “ไม่รู้จะสำคัญตัวว่าแน่ไปถึงไหน เกิดวันหนึ่งโดนเขี่ยทิ้งขึ้นมา จะหัวเราะให้ฟันร่วงเลยคอยดู”

“งั้นเราก็อยู่รอดูก่อนสิ”

คนถูกขอร้องกลายๆ รับกล่องกระดาษมาจากแม่บ้านซึ่งถือมาให้ หันกลับมามองคนพูดซึ่งยืนอยู่ข้างๆ โต๊ะทำงานของเธอ

“พี่ไม่ต้องมาตีขลุมเลย ตอนนี้อะไรก็เปลี่ยนใจลูกแก้วไม่ทันแล้วละค่ะ ลูกแก้วตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว และพี่ก็ไม่ต้องห่วงนะคะว่าที่ลูกแก้วทำไปทุกอย่างมันเกิดจากอารมณ์อยากเอาชนะคะคาน ลูกแก้วคิดมาหลายครั้งแล้วค่ะ และคิดดีแล้วถึงได้ตัดสินใจแบบนี้...ตอนนี้เถอะ เหลือแต่พี่กับคนอื่นๆ น่ะแหละ ไม่รู้จะต้องทนไปอีกนานแค่ไหน นับวันอิทธิฤทธิ์นายนั่นยิ่งเพิ่มขึ้น”

“คงยากแล้วละ” อีกฝ่ายตอบอย่างพอจะคาดการณ์ได้ “เฮ้อ...พี่ต้องยอมรับการตัดสินใจของเราใช่ไหม”

เก็จแก้วเพียงพยักหน้าหงึกๆ มือยังไม่ละจากการเก็บของใช้ส่วนตัวลงกล่องกระดาษ

“งั้นพี่ช่วยเราเก็บของแล้วกัน” ว่าแล้วคนพูดก็หยิบของใช้ส่วนตัวของเก็จแก้วลงกล่องใบนั้น

จนเก็จแก้วตรวจดูว่าไม่มีของส่วนตัวหลงเหลืออยู่แล้ว เธอจึงปิดกล่อง

“ลูกแก้วไปก่อนนะคะ แล้วจะคิดถึงพี่นะ” พูดจบก็ชะโงกไปกอดเพื่อนร่วมงานอย่างอาลัยอาวรณ์ ถ้าเลือกได้ เธอก็ไม่อยากทำอย่างนี้หรอก ครู่หนึ่งกว่าร่างระหงจะผละออก ประคองกล่องกระดาษขึ้นมาถือไว้ แล้วเดินจากไป





เก็จแก้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยก็ไม่ต้องตั๊นหน้าใครให้หายเจ็บใจ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ได้เดินออกมาจากที่นั่นดีๆ แต่ถึงกระนั้นก็อดสาปส่งไม่ได้

ผู้ชายพรรค์นั้นต้องซื้อผ้าถุงมาให้เป็นของขวัญ ฮึ คิดทีไรก็แค้นทุกที!

ขณะกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงโทรศัพท์มือถือในซองผ้าปักลายยีราฟสีเหลืองสดใสซึ่งแขวนอยู่กับช่องแอร์ก็ดังขึ้น เธอหยิบแฮนด์ฟรีขึ้นมาสอดเข้าไปในหูแล้วกดรับ

“ลูกแก้วค่ะ” เพียงได้ยินเสียงก็รู้ว่าปลายสายเป็นใคร “พี่พีท กำลังคิดถึงอยู่พอดีเลย มีอะไรหรือเปล่าคะเนี่ย”

“ไม่มีธุระ โทร.หาเราไม่ได้หรือไง แล้วนี่มีอะไรหรือเปล่าเนี่ย ทำไมเสียงไม่ค่อยดี”

รอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้ารูปหัวใจมาสักพักค่อยๆ แต้มบนใบหน้า แม้จะเหนื่อยล้ากับปัญหาที่ได้พบ ทว่ามีคนคอยห่วงและเอาใจใส่แบบนี้ ค่อยมีพลังต่อสู้หน่อย น่าเสียดายที่...

ช่างเถอะ... เก็จแก้วสะบัดศีรษะขับไล่ความรู้สึกบางอย่างที่เอ่อขึ้นมาริมหัวใจ ใครจะสนไม่สนก็ช่าง

“เบื่อๆ น่ะค่ะพี่พีท เย็นนี้ไปหาอะไรกินกันไหมคะ”

“ดีเลย พี่ก็กำลังจะโทร.มาถามพอดีว่าเย็นนี้เราไปไหนหรือเปล่า ไปหาอะไรกินกันไหม พี่ปีย์บ่นถึงเราแน่ะ รายนั้นเขาเป็นห่วงเห็นช่วงนี้หายไปเลย”

“ยุ่งๆ น่ะค่ะ แต่ตอนนี้คงไม่แล้วละ” เธอพยายามปรับน้ำเสียงให้สดใสเข้าไว้ ไม่อยากให้คนปลายสายต้องพลอยเป็นกังวลไปด้วย “ว่าแต่เจอกันที่ไหนดีล่ะพี่พีท คิดหรือยัง”

“เออ ยังเลย เราคิดหน่อยสิ”

“โห โยนกลองกันเห็นๆ โทร.มาชวนเองแท้ๆ ทำไมไม่คิดมาก่อนล่ะ” เจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปด แต่ก็ยอมคิดโดยดี “พี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะ”

“สำหรับพี่ไม่มี แต่เห็นปีย์บ่นๆ ว่าอยากกินอาหารญี่ปุ่นนะ”

“นี่หมายความว่าลูกแก้วต้องกินอาหารญี่ปุ่นใช่ไหม ไหนว่ายังไม่ได้คิดมาไง” หญิงสาวค่อนอย่างรู้ทัน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะร่วน เธอจึงทำปากยื่นอย่างหมั่นไส้ “เบื่อคนมีความรักจริงๆ เลย วุ้ย! หงุดหงิด”

“มากไปเรา มากไป”

คนถูกต่อว่าไม่ได้กลัวเลยสักนิด เพราะเธอเองก็แกล้งโวยวายไปอย่างนั้นเอง

“เอ้า...คิดได้หรือยังว่าจะไปที่ไหนดี”

“อย่าเร่งสิพี่พีท กำลังคิดอยู่นี่ไงเล่า แหม ใจร้อนจริง ทำไมไม่คิดเองเลยล่ะ”

“ก็มันคิดไม่ออกนี่ เราก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบกินอะไรดิบๆ แล้วพี่จะไปรู้ได้ไงว่าที่ไหนอร่อย ที่ไหนดี ก็เลยให้เราคิดไง เผื่อมีไอเดียดีๆ แนะนำ”

น้ำเสียงออดอ่อยเล่นเอาเก็จแก้วหัวเราะคิกด้วยความขำ นี่คงขัดใจว่าที่คู่หมั้นไม่ได้สิ ท่าทางคงโดนบังคับให้หาร้านสำหรับนัดวันนี้ด้วย แต่คิดไม่ออกเลยใช้เธอเป็นตัวช่วย

“โธ่ ที่แท้ก็กลัวแฟน แล้วทำมาพูดดี ไม่แน่จริงนี่นา”

“น้อยๆ หน่อยเรา เป็นน้องเป็นนุ่ง หัดเคารพพี่เคารพเชื้อบ้าง แล้วเป็นไง คิดได้หรือยัง”

“โอเคๆ ได้แล้ว เอาเป็นร้าน...” เก็จแก้วบอกชื่อร้านอาหารญี่ปุ่นแถวๆ สีลมออกมา “พี่พีทนึกออกใช่ไหม ที่ลูกแก้วเคยชี้ให้พี่ดูเมื่อไม่นานมานี้น่ะ”

เก็จแก้วรออย่างใจเย็นเมื่อปลายสายเงียบไปอย่างคนกำลังใช้ความคิด

“อ๋อ นึกออกแล้ว โอเค ร้านนั้นก็ได้ เดี๋ยวพี่บอกปีย์เอง เจอกันกี่โมง ลูกแก้วขับรถมาจากที่ทำงานใช่ไหม สักทุ่มหนึ่งน่าจะทันนะ”

“เป็นหกโมงก็ได้ค่ะ คราวนี้รับรองไม่มีเลท เพราะลูกแก้วจะไปรถไฟฟ้า ไม่ต้องกลัวรถติด”

“วันนี้ไม่ได้ขับรถไปทำงานละสิ ตื่นสายอีกตามเคยนะเรา”

หญิงสาวเลือกใช้ความเงียบแทนคำตอบ ให้ภัทรชนนคิดไปอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เจอหน้าค่อยอธิบายให้ฟังพร้อมปีย์วราเลย จะได้ไม่ต้องตอบคำถามหลายครั้ง

“งั้นเอาเป็นว่าเจอกันที่ร้านนะ”

“ได้ค่ะพี่พีท สวัสดีค่ะ” กล่าวอำลาเรียบร้อยแล้วเก็จแก้วก็ตัดสาย สตาร์ตรถยนต์คันเล็กซึ่งภัทรชนนเข้าใจว่าเธอจอดมันไว้ที่คอนโดมิเนียม ออกจากลานจอดรถไปด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งกว่าทุกวัน





ท่าทางเงอะๆ เงิ่นๆ ของชาวต่างชาติผมสีเทาทำให้เก็จแก้วซึ่งกำลังเดินแกมวิ่งไปตามทางเท้าริมถนนชะงัก เธอหันไปมองอย่างสนใจ ท่าทางดูแผนที่แล้วเงยหน้าขึ้นคุยกัน แถมยังเหลียวหน้าเหลียวหลังเหมือนหาคนช่วย นั่นทำให้เธอมั่นใจว่าทั้งคู่กำลังต้องการความช่วยเหลือ เลือดเจ้าบ้านที่ดีพุ่งแรงทำให้รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ เอ่ยด้วยภาษาอังกฤษเสียงชัดแจ๋ว

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ”

เมื่อนักท่องเที่ยวทั้งคู่หันมา เธอจึงเปิดยิ้มให้ก่อนเป็นอันดับแรก เลยได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา

“คือนี่นะแม่หนู เราสองจะกลับโรงแรมนี้...” ชื่อที่หญิงชราซึ่งยังดูแข็งแรงพูดออกมาเป็นโรงแรมระดับห้าดาว “หนูพอจะรู้จักไหมจ๊ะ”

เก็จแก้วทวนชื่อโรงแรมที่ได้ยินแล้วพยายามคิดว่ามันอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ

“คือเราเพิ่งไปเที่ยวมา กำลังจะกลับโรงแรม แต่เดินลงมาจากสถานีรถไฟฟ้าแล้วไม่เห็น เลยเดินหากลัวว่าจะลงผิดฝั่ง แต่ก็หาไม่เจอ คงจะหลงแล้วแน่ๆ แม่หนูว่าไง รู้จักไหม” เห็นเจ้าบ้านนิ่งไป บุรุษอีกคนก็ช่วยอธิบาย

“คือโรงแรมนี้ไม่ได้อยู่ตรงนี้หรอกค่ะ คุณต้องนั่งรถไฟฟ้าไปอีกหนึ่งสถานีแล้วค่อยลง” เธออธิบายหลังจากแน่ใจแล้วว่าโรงแรมดังกล่าวอยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

“อ้าว ตายจริง หนูหมายความว่าเราลงผิดสถานีใช่ไหมจ๊ะ”

เจ้าบ้านรับคำพลางพยักหน้าเบาๆ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเก็บอาการขำกับท่าทางตกอกตกใจเกินขนาดถึงขั้นเอามือทาบอกของหญิงชรา...เธอคิดว่ามันจะมีแต่ในหนังเสียอีก

“ขอบใจมากนะจ๊ะแม่หนู เดี๋ยวฉันกับภรรยาจะขึ้นไปซื้อตั๋วใหม่ คราวนี้คงลงไม่ผิดสถานีแล้วละ แค่ถัดไปสถานีเดียวใช่ไหม”

“ค่ะ” เธอรับคำ พลางย้ำชื่อสถานีที่สองสามีภรรยาจะต้องลง มองทั้งคู่ทวนคำราวทบทวนให้แม่นเพื่อจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นอย่างใจเย็น

ถ้าเธอมีปู่ย่าวัยขนาดนี้แล้วควงกันมาเที่ยวต่างบ้านต่างเมืองโดยไม่มีลูกหลานมาด้วย คงเป็นห่วงน่าดู

“ขอบใจมากจ้ะ หนูนี่ช่างมีน้ำใจจริงๆ”

ได้ยินคำชมแบบนั้น เก็จแก้วก็ยิ้มระรื่น อวดฟันซี่เล็กเรียงกันเป็นระเบียบให้ได้เห็น

“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเป็นเจ้าบ้านนี่คะ ว่าแต่คุณอยากลองนั่งเจ้านั่นดูไหม”

สองสามีภรรยามองตามการชี้ของหญิงสาวคราวหลาน สลับกับมองคนแนะนำซึ่งตอนนี้นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มระริกขึ้นจนเป็นประกายเหมือนเด็กซุกซนด้วยความสนใจ

“แม่หนูนี่ตาสวยนะ มีเสน่ห์” หญิงชราเอ่ยชม “เหมือนลูกสาวฉันตอนเด็กๆ ไม่มีผิด”

เก็จแก้วขมวดคิ้วเมื่อเห็นสีหน้าของหญิงชราดูเศร้าลง แถมผู้เป็นสามียังขยับเข้ามาโอบไหล่ไว้ราวปลอบประโลม

“หนูคงสงสัยว่าทำไมภรรยาฉันถึงได้เศร้านักใช่ไหม”

ถึงความอยากรู้จะมีมาก ทว่ามันคงเป็นการเสียมารยาทหากยอมรับออกไปตรงๆ เธอจึงเลือกนิ่งเสีย แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะเต็มใจเล่าให้ฟัง

“ลูกสาวของเราเสียไปตั้งแต่อายุสิบสี่ด้วยโรคมะเร็ง...หนูคงไม่คิดใช่ไหมว่าเด็กอายุแค่นั้นจะเป็นโรคนี้ด้วย พวกเราก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน มารู้อีกทีก็สายไปแล้ว ตอนนั้นภรรยาของฉันเสียใจมาก”

“หนูเสียใจด้วยนะคะ”

“ขอบใจจ้ะ ฉันไม่เป็นไรหรอก แค่เห็นรอยยิ้มกับดวงตาของหนูแล้วอดคิดถึงลูกขึ้นมาไม่ได้”

อา... มิน่าล่ะ จู่ๆ หญิงชราคนนี้ถึงได้เอ่ยชมเธอขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งเจอกันแท้ๆ

เก็จแก้วกัดริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิด ท่าทางโหยหาของหญิงชราทำให้เธอสงสาร จนถามออกไป

“มีอะไรที่หนูช่วยได้บ้างไหมคะ”

หญิงชราและสามีต่างเงยหน้าขึ้นสบตากันเหมือนกำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง ก่อนผู้เป็นสามีจะพยักหน้าเบาๆ น้ำเสียงไม่แน่ใจจึงออกจากปากของหญิงชรา

“จะเป็นอะไรไหมถ้าฉันขอกอดหนูสักครั้ง”

เก็จแก้วอึ้งไปนิด แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนสองคู่ที่มองมาก็ใจอ่อน คงไม่เสียหายอะไร คิดเสียว่าเป็นอ้อมกอดย่าหรือยาย เธอจึงพยักหน้าเบาๆ เพียงเท่านั้นหญิงชราก็โถมเข้ามากอดเธอไว้ทั้งตัว ซบหน้าไปกับซอกคอ พร่ำเรียกชื่อซึ่งเก็จแก้วไม่รู้จัก คาดว่าคงเป็นชื่อลูกสาวของคนทั้งคู่ เป็นครู่กว่าจะผละออกอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาสีฟ้าเต็มไปด้วยประกายเสียดาย

“ขอบใจหนูมากนะ ขอบใจที่ไม่รังเกียจฉัน”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เธอหันไปมองชายชรา รอยอาลัยรักในดวงตาที่เจ้าตัวพยายามปกปิดมิอาจรอดพ้นสายตาเธอไปได้...ท่านคงพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อเป็นหลักให้ภรรยายึด

“ถ้าคุณจะกอดหนูอีกคน หนูก็ไม่ว่านะคะ”

สิ้นคำ ชายชราดึงร่างโปร่งเข้าไปกอดทันที แล้วเก็จแก้วก็สะดุ้งโหยงทำตาโตเมื่อแก้มนวลโดนขโมยหอมไปหนึ่งฟอด มือบางยกกุมแก้มตัวเองอย่างตกใจ ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย แต่เพียงไม่นานรอยยิ้มเอ็นดูจากดวงตาสองคู่ที่มองมาก็ทำให้หญิงสาวยิ้มออก

“ขอบใจมากนะหนู ว่าแต่เมื่อกี้หนูจะให้พวกเราลองอะไรนะ รถนั่นใช่ไหม มันเรียกอะไรนะ ฉันเคยเห็นในคู่มือท่องเที่ยว”

“เรียกตุ๊กๆค่ะ เป็นรถสามล้อ หนูจะเรียกและต่อรองราคาให้ ถ้าพวกคุณอยากลอง”

นักท่องเที่ยวต่างชาติสบตากันอย่างปรึกษา แล้วฝ่ายชายก็เป็นผู้ตอบ

“เอาก็เอา”

เก็จแก้วจึงเดินไปโบกรถตุ๊กๆ จัดการบอกจุดหมายปลายทาง ต่อรองราคาและกำชับไม่ให้ขับผาดโผนนัก

“ขอให้โชคดีนะคะ” หลังจากทั้งคู่ขึ้นไปนั่งเรียบร้อย เก็จแก้วจึงโบกมืออำลา แล้วเดินต่อไปยังจุดหมายที่ตั้งใจไว้แต่แรกด้วยหัวใจอิ่มเอิบ เมื่อได้มีโอกาสทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี





“เรามาช้านะลูกแก้ว”

เพียงเลื่อนประตูห้องเปิด ยังไม่ทันเข้าไปข้างในด้วยซ้ำ น้ำเสียงหนักๆ ก็ดังขึ้นให้ได้สะดุ้งจนต้องยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเวลา

“สิบห้านาทีเองพี่พีท บ่นเป็นตาแก่ไปได้” เธอนั่งลงบนฟูกข้างๆ ปีย์วรา หยิบแก้วน้ำของรุ่นพี่สาวขึ้นมาดื่มอั้กๆ ไม่สนนัยน์ตาขวางๆ ที่มองมาจากฝั่งตรงกันข้ามแม้แต่น้อย

“รายนั้นเขาเป็นห่วง” ปีย์วราพยักพเยิดไปยังว่าที่คู่หมั้นหนุ่ม “เห็นเรามาผิดเวลาแล้วไม่โทร.มาบอก ตอนแรกพี่ก็แปลกใจคิดว่าเราต้องมาสายแน่ๆ มีอย่างที่ไหน นัดเวลาเลิกงานเป๊ะๆ แบบนั้น”

“ขอโทษทีค่ะ พอดีระหว่างเดินมาลูกแก้วเจอนักท่องเที่ยว เห็นท่าทางเงอะๆ งะๆ เลยเข้าไปช่วยบอกทาง ก็เลยมาช้าไปหน่อย แล้วนี่สั่งอาหารเผื่อลูกแก้วแล้วใช่ไหมคะ” หญิงสาวเลือกตอบคำถามแรกก่อน ส่วนเรื่องหลังรอให้กินเสร็จก่อนน่าจะดีกว่า เดี๋ยวอีกสองคนจะพานไม่เจริญอาหารไปด้วย

“สั่งเผื่อแล้วละ ลองดูอีกทีนะ เผื่อลูกแก้วอยากกินอะไร จะได้สั่งเพิ่ม”

คนมาใหม่กวาดตามองอาหารตรงหน้าแล้วแทบหลุดหัวเราะ มันเต็มไปด้วยอาหารดิบแทบทั้งนั้น ไม่ว่าซูชิหน้าต่างๆ ซาชิมิอีกกระบะใหญ่ อาหารสุกๆ แทบหาไม่เจอเลย...

เก็จแก้วอมยิ้มขำๆ เงยหน้าส่งสายตารู้ทันไปให้รุ่นพี่หนุ่ม ที่ถูกคนรักเอาคืนหรือไม่ก็ลงโทษอะไรสักอย่าง ก็ภัทรชนนน่ะไม่ชอบอาหารดิบๆ ที่สุด

“เท่านี้ก็พอแล้วค่ะ ว่าแต่พี่พีทเถอะ จะเอาอะไรอีกไหมคะ”

“ไม่!” ภัชรชนนมองรุ่นน้องอย่างเข่นเขี้ยว แต่เก็จแก้วก็ไม่มีท่าทีจะสลดหรือกลัวแต่อย่างใด ลูกนัยน์ตาสีน้ำตาลเต้นระริกราวกับสมน้ำหน้าด้วยซ้ำ “ถ้าจะถามเพราะเยาะเย้ยกันก็ไม่ต้อง กินไปเลยเรา”

ปีย์วรามองอาการพยายามแยกข้าวปั้นออกเป็นชิ้น ข้าวไปทาง เนื้อปลาไปทาง แถมยังพยายามเขี่ยวาซาบิสีเขียวออกอย่างอดทนของแฟนหนุ่มแล้วก็สงสาร จึงคีบข้าวปั้นหน้าไข่หวาน ซึ่งตอนแรกเธอแกล้งคีบมาใส่จานตัวเองไปให้เขาแทน เท่านั้นใบหน้าบึ้งตึงเมื่อครู่ก็ยิ้มแฉ่ง จนเก็จแก้วซึ่งนั่งเท้าคางมองสองคนไปพลางกินไปพลางอยู่ค่อนอย่างหมั่นไส้

“หุบปากบ้างก็ได้นะพี่พีท เดี๋ยวแมลงวันก็บินเข้าไปวางไข่หรอก”

“ทำไม ก็คนมันมีความสุข อิจฉาหรือไงเรา” ชายหนุ่มไหวไหล่กวนๆ แถมยังคีบข้าวปั้นหน้าไข่หวานเข้าปากเคี้ยวอวด “แล้วเมื่อกี้ที่มาช้า เห็นว่าไปช่วยนักท่องเที่ยวมา มันยังไง”

“อ๋อ” เก็จแก้วกลืนยำสาหร่ายลงคอก่อนเล่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นให้รุ่นพี่ฟัง แล้วก็ต้องทำคอย่นเมื่อเสียงหนึ่งร้องออกมาอย่างตกใจ แต่อีกเสียงนี่สิแข็งจนน่ากลัว

“เราทำแบบนั้นได้ยังไงลูกแก้ว ปล่อยให้คนแปลกหน้ามากอด เกิดเป็นพวกมิจฉาชีพขึ้นมาจะทำยังไง เดี๋ยวนี้กลโกงมีสารพัดรูปแบบ แถมยาอะไรต่อมิอะไรอีก ไปไว้ใจใครง่ายๆ ได้ยังไงกัน!”

“ลูกแก้วขอโทษค่ะ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรจริงๆ เห็นทั้งสองคนแล้วก็สงสาร และพวกเขาก็ไม่มีท่าทางไม่ดีเลยนะคะ อีกอย่างแววตาคนไม่เคยโกหกหรอกค่ะ”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว” ชายหนุ่มสวนกลับมาด้วย้เสียงอันดัง เล่นเอาเก็จแก้วถึงกับใจฝ่อ หน้าเสีย

“เบาๆ หน่อยก็ได้พีท น้องกลัวไปหมดแล้วเนี่ย” ได้ผล เสียงปรามของปีย์วราทำให้ภัทรชนนเงียบเสียงลง แต่ก็ยังมีอาการฮึดฮัดให้เห็นว่าไม่พอใจเท่าไร

“ลูกแก้วขอโทษอีกครั้งค่ะ ต่อไปลูกแก้วจะระวังตัวให้มากกว่านี้”

“โอเคๆ ไม่เป็นไร คราวหน้าระวังตัวหน่อยแล้วกัน ก็รู้อยู่ว่าแถวนี้มันย่านเที่ยวกลางคืน มีทั้งคนดีและคนไม่ดี” ชายหนุ่มพยายามระงับอารมณ์เมื่อเห็นว่ารุ่นน้องสำนึกผิด “คราวนี้ถือว่าโชคดีนะลูกแก้ว ที่ไม่ไปเจอมิจฉาชีพ ไม่งั้นแย่แน่”

“ค่ะๆ ไม่ทำอีกแล้วค่ะ ต่อไปลูกแก้วจะระวังตัวมากกว่านี้” เธอรับคำเสียงหนักแน่น

ตามปกติแล้วเธอค่อนข้างระวังเรื่องพวกนี้พอสมควร เนื่องจากต้องดูแลตัวเองมาตลอด เพราะจะหวังให้ใครมาดูแลคงไม่มี แต่คราวนี้กลับเผลอ คงเพราะสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีนัก พอปัญหาเก่าสะสางได้ ก็มีปัญหาใหม่มาเพิ่มให้ปวดหัว อีกอย่างเธอเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป...มั่นใจว่าแววตาไม่เคยโกหก

“ดีมากจ้ะ ไหนบอกพี่ว่าดูแลตัวเองได้ไง แบบนี้มันทำให้พี่เป็นห่วงนะ” ปีย์วราบอกยิ้มๆ จำได้ถึงคำประกาศกร้าวของรุ่นน้องสาวว่าเธอดูแลตัวเองได้ ไม่เห็นต้องให้ใครมาดูดำดูดี “แล้วไงเนี่ย วันนี้ถึงมาเร็วได้ ปกติเราเลิกงานหกโมงเย็นนี่นา ต่อให้มารถไฟฟ้ายังไงก็ไม่น่าจะทัน”

เก็จแก้วไหวไหล่ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“ลูกแก้วลาออกจากที่นั่นแล้ว เพราะงั้นก็นัดหกโมงได้สบายอยู่แล้ว”

“ฮ้า ลาออก!”


---------------------------------------------




เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ย. 2558, 14:56:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ย. 2558, 14:56:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1753





   ตอนที่ 2 >>
เนตรนภัส 11 พ.ย. 2558, 14:57:02 น.
สวัสดีค่า เรื่องใหม่มาแล้วนะคะ จะลงสัปดาห์ละ 2 - 3 ตอนแล้วแต่ว่าสัปดาห์นั้นจะสะดวกแค่ไหน เค้าฝากเรื่องใหม่ด้วยนะคะ

แล้วก็ เลื่อมลายดอกรัก ยังไม่จบนะคะ ใกล้มากๆ แล้ว สามารถอ่านกันได้ค่ะ และข่าวคราวว่าจะเป็นหนังสือเมื่อไหร่ยังไง สามารถกดติดตามเพื่อรออัพเดทข่าวสาร ที่สำคัญคือถ้าออกเล่ม ก็มีเกมมาเล่นกันจ้า ห้ามพลาดนะ

ใครที่อ่านเลื่อมลายดอกรักแล้วสนใจเรื่องของพาริน สามารถหาเรื่องสัญญา(รัก)ร้ายมาอ่านได้นะคะ มีทั้งรูปแบบอีบุ๊คและเป็นเล่มเลยค่า

ฝาก E-Book เรื่องอื่นๆ ของเค้าด้วยค่ะ ^^
ณ ที่เริ่มต้น...กับคนของใจ https://goo.gl/scjjys
สุดฟ้าเสมอดาว https://goo.gl/AyMG6w
สัญญา(รัก)ร้าย https://goo.gl/fMX29r
พรหมลิขิตสีขาว https://goo.gl/fUVUFe
ดวงตะวันแห่งรัก https://goo.gl/ToQqhi
กระแตดอกรัก https://goo.gl/wA3gjl
นภัส https://goo.gl/78E57z


นมเย็นน้ำเขียว 11 พ.ย. 2558, 15:22:28 น.
ตอนเเรกก็ว่าทำไมชื่อนิยายคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน
ไปยืนเมียงมองที่ตู้หนังสือ เจอเลยค่ะ ว่าเเล้วก็เอาออกมาอ่านใหม่


smallman 11 พ.ย. 2558, 15:38:39 น.
พึ่งหยิบมาอ่านจบเปิดเว็บมา ได้เอามาลงใหม่อิอิลุ้นไปกับพี่แพนและลูกแก้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account