ฝากรักลอยลม
เป็นใครก็ใจละลาย เมื่อชายตรงหน้ามาดแมนแอนด์แฮนซัมเกินห้ามใจ รวมถึงเก็จแก้วด้วย

หลังออกมาวิจัยฝุ่นได้ไม่นาน สวรรค์ก็บันดาลให้เธอได้งานใหม่อย่างรวดเร็ว แต่ภัมวัจน์ นายคนใหม่ที่หล่อราวฟ้าประทานนี่สิ ดูเหมือนจะไม่ใช่เทพบุตรอย่างที่เธอคาดเสียแล้ว

นับวันเขายิ่งดุและร้ายกาจ จนเธออยากหนีไปให้ไกล ทว่านานวันเข้าใจเจ้ากรรมกลับยิ่งหวั่นไหว
ยิ่งหนี...เขาก็ยิ่งตามติดใกล้ชิดเข้ามาทุกที แล้วหัวใจดวงนี้จะหนีพ้นไหมนะ...


Tags: ฝากรักลอยลม, เก็จแก้ว, ภีมวัจน์, ภัทรชนน, ภัทรจาริน, นิยายรัก, ซึ้งกินใจ, เจ้านาย, เลขา, รักโรแมนติก

ตอน: ตอนที่ 2





เก็จแก้วคาดการณ์ไว้แล้วว่า คนทั้งคู่จะมีปฏิกิริยาเช่นนี้หากเธอบอกออกไปว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น จึงไม่แปลกใจนักเมื่อทั้งคู่อุทานตาโตพร้อมกัน แถมมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ตอนพี่พีทโทร.มา ลูกแก้วเพิ่งยื่นใบลาออกไปแหม็บๆ แล้วกำลังจะขับรถกลับบ้าน ถึงได้นัดตอนหกโมงเย็นแทนที่จะเป็นหนึ่งทุ่มเหมือนทุกทีได้ไงคะ”

“อะไรมันจะกะทันหันแบบนั้น พี่ไม่เห็นวี่แววว่าเราจะมีปัญหาอะไรเลยนะ แล้วทำไม...”

เก็จแก้วไม่แปลกใจเมื่อปีย์วราพูดเช่นนั้น เพราะเธอเองตั้งใจไม่เล่าให้ฟัง ทั้งๆ ที่ตามปกติแล้วทั้งภัทรชนนและปีย์วราเป็นคนอันดับต้นๆ ที่เธอปรึกษาปัญหารองจากโมกุลพี่ชาย

“ก็เห็นพี่ยุ่งๆ อยู่กับเรื่องเตรียมงานหมั้น คนกำลังมีความสุข ใครจะกล้าเอาปัญหาไปสุมให้ล่ะคะ” พอเห็นปีย์วราหน้ามุ่ยไม่พอใจ เก็จแก้วจึงพยายามปรับน้ำเสียงให้น่าสงสาร หวังว่าจะไม่โดนดุมากนัก “ลูกแก้วแค่ไม่อยากตกนรกนี่นา คนกำลังมีความสุข เราจะเป็นมารไปขวางได้ยังไงกัน”

“เอาละๆ เรื่องนี้พักไว้ก่อน ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงขนาดต้องลาออกจากงานกะทันหันแบบนี้” ภัทรชนนตัดบท “แล้วไม่ต้องมาโยกโย้อีก เล่ามาให้หมด”

“มันก็หลายเรื่องนะพี่พีท พี่ปีย์ ทำงานก็ต้องมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้าง แต่ถ้าซัดกันในที่ประชุมแล้วจบลูกแก้วจะไม่ว่าอะไรเลย แต่มันไม่จบนี่สิ ยังมาคอยตามราวีกันอยู่เรื่อย เอะอะอะไรนิดอะไรหน่อยก็มานั่งจับผิดกันจนไม่เป็นอันทำงาน ถือว่าเจ้านายให้ท้าย เลยทำกร่าง” น้ำเสียงยังเต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด เมื่อนึกถึงคนเจ้าปัญหาคนนั้น

“แล้วเราก็ไม่ยอมใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มต่อให้อย่างรู้ทัน พอเห็นเธอพยักหน้าหงึกๆก็หัวเราะในลำคอ พอๆ กับปีย์วราที่ส่ายหน้าช้าๆ

เก็จแก้วเป็นคนไม่เคยยอมใครมาตั้งแต่ไหนตั้งแต่ไร แล้วยิ่งมั่นใจว่าตัวเองถูกด้วยละก็ มีเรื่องก็มีเรื่องละ หญิงสาวไม่เคยสน

“ก็ใครจะไปยอมไหวล่ะพี่พีท เล่นเอาอำนาจแล้วก็เส้นสายมาข่มกัน แรกๆ ลูกแก้วก็ทำเฉยนะ คิดซะว่าคนมันซวยมาเจอเพื่อนร่วมงานห่วยๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเจอเจ้านายแย่ๆ ด้วยนี่สิ”

“อะไร นี่ทะเลาะกับเจ้านายด้วยอีกคนหรือ”

เก็จแก้วหันไปทางรุ่นพี่สาว เล่าด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ความไว้วางใจทำให้สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้

“ไม่หรอกพี่ปีย์ ดีที่ยังยั้งปากไว้ทัน แต่ก็นั่นแหละ สุดทนจริงๆ นะตอนที่ต้องปะทะคารมกับนายนั่น ลูกแก้วไม่เคยหวั่นเลย ถึงไหนถึงกันอยู่แล้ว เรามั่นใจว่าตัวเองถูกซะอย่าง ลูกแก้วไม่กลัวหรอก แต่นี่เล่นใช้อำนาจในทางที่ผิดแบบนี้ ลูกแก้วไม่ชอบ”

“ดูท่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ เรื่องเป็นยังไงมายังไง เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ”

ไม่ต้องรอให้ย้ำ เก็จแก้วซึ่งเก็บกดมานาน ก็พรั่งพรูเรื่องราวทั้งหมดออกมาอย่างไม่ยั้ง

“เมื่อก่อนมันก็ไม่มีอะไรมากนะคะ มาหนักข้อจริงๆ ก็เดือนที่แล้วนี่เอง นายนั่นมันขโมยงานของลูกแก้วไปเป็นงานของตัวเองในที่ประชุม...จริงๆ ลูกแก้วผิดเองแหละที่เลินเล่อไปหน่อย ดันจดไอเดียงานไว้ในเศษกระดาษจดรายการอาหารตอนไปกินข้าวแล้วลืมทิ้งไว้ที่โต๊ะ นายนั่นมาเจอเข้าน่ะสิ เลยเอาไปเสนอเจ้านาย แล้วพี่รู้อะไรปะ แทนที่มันจะเอาไปต่อยอดนะ มันก๊อปของลูกแก้วไปทั้งดุ้น ไม่มีปรับหรืออะไรเลย พอได้ยิน ไอ้เราก็จี๊ดสิพี่”

“แล้วเราทำยังไง”

“ไม่น่าถามเลยพี่พีท เรื่องอะไรจะให้มันมาขโมยไอเดียกันได้ง่ายๆ ล่ะ”

ภัทรชนนสบตาปีย์วรา ยกริมฝีปากนิดๆ ราวกับจะบอก...ไหมล่ะ ที่คิดผิดเสียที่ไหนกัน

“ทำได้ยังไงกัน ลูกแก้วเขียนใส่เศษกระดาษไม่ใช่หรือไง พูดออกไปใครเขาจะเชื่อ”

“ต้องเชื่อสิพี่ปีย์ ก็วันนั้นตอนกินข้าวน่ะ คนอื่นๆ ในทีมก็อยู่ด้วย เราคุยกันคร่าวๆ แล้วว่าจะออกมาประมาณไหน คิดว่าจะร่างออกมาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยนำไปเสนอ ไม่คิดเลยว่าจะถูกขโมยไอเดียไปซึ่งๆ หน้า แต่มันคงกลัวช้า เลยใจร้อนเอาไปเสนอก่อนต่อยอดให้เรียบร้อย หัวหน้าเลยเรียกประชุม เรื่องก็แดงขึ้นมา ดีแต่ว่าพี่คนอื่นๆ เป็นพยานให้ว่าลูกแก้วคิดจริงๆ เพราะพอถามที่มาที่ไปว่าทำไมคิดแบบนั้น มันก็ตอบไม่ได้ แต่ลูกแก้วกับคนอื่นๆ ตอบได้ แถมยังมีแผนงานคร่าวๆ ที่ต่อยอดแล้วอยู่ในมือด้วย มันเลยเถียงไม่ออก”

“พี่ก็ยังไม่เห็นว่ามันจะแย่ตรงไหน ในเมื่อพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นเจ้าของไอเดีย” ภัทรชนนยังไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเรื่องราวถึงร้ายแรงขนาดเก็จแก้วทนไม่ไหวจนต้องลาออกจากงานแบบนี้

“นั่นสิ พี่เห็นด้วยกับพีทนะ ในเมื่อเรื่องมันออกมาดีแบบนี้ ลูกแก้วปุบปับลาออกทำไม”

“มันไม่ได้จบดีแฮ็ปปี้เอนดิ้งแบบนั้นน่ะสิคะ ถึงจะพิสูจน์ได้ว่าไอเดียนั้นเป็นของลูกแก้วกับคนอื่นๆ แต่คนขโมยไอเดียก็ลอยนวลไปได้หน้าตาเฉย นี่ละที่ลูกแก้วเจ็บใจ แทนที่หัวหน้าจะเอาผิดหรือจัดการอะไรสักอย่างให้เด็ดขาด นี่แค่ตักเตือน ลูกแก้วรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยจริงจังอะไรด้วยนะ เหมือนทำไปงั้นๆ ให้จบๆ เรื่องไป ทั้งที่เรื่องขโมยไอเดียเนี่ยมันเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยนะพี่ในความรู้สึกลูกแก้วน่ะ ถึงจะเป็นแค่แผนการตลาด แต่ลูกแก้วเรียกมันว่า ‘ทรัพย์สินทางปัญญา’ เลยนะ”

“เว่อร์น่ะเรา” ภัทรชนนยังมีแก่ใจหัวเราะกับคำพูดของรุ่นน้อง ส่วนปีย์วราก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

“จริงนี่คะ ก็มันเป็นสิ่งที่เกิดจาก ‘ปัญญา’ ของลูกแก้ว” เจ้าของ “ทรัพย์สินทางปัญญา” เถียงหน้างอง้ำเมื่อถูกปรามาส “ยังไงมันก็มีค่าละน่า วันนี้มันอาจเป็นแค่แผนการตลาดธรรมดา แต่เกิดวันหนึ่งลูกแก้วต่อยอดได้เจ๋ง กลายเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นมาจริงๆ ใครจะรับผิดชอบกับความเสียหายนี้ล่ะ”

“ก็จริงของลูกแก้วนะพีท เรื่องพวกนี้จะปล่อยผ่านเลยไปง่ายๆ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะเคยตัว”

“อืม...มันก็มีเหตุผล ถ้าพี่เป็นหัวหน้าลูกแก้วแล้วพิสูจน์ได้ว่าจริงๆ ใครผิด คงไม่ปล่อยเอาไว้หรอก เรื่องลอกหรือขโมยผลงานแบบนี้มันแย่เอามากๆ แล้วคนที่เคยทำแล้วครั้งหนึ่ง คงไม่พลาดจะทำอีกถ้ามีโอกาส”

“นั่นแหละค่ะเป็นสิ่งที่ลูกแก้วกลัวและไม่ชอบ” เธอเอ่ยสนับสนุน เพราะนั่นคือความคิดของเธอด้วยเช่นเดียวกัน “ตอนได้ยินครั้งแรกก็อึ้งเหมือนกัน ลูกแก้วไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแค่ตักเตือนเบาๆ แล้วมีคนรู้กันแค่ไม่กี่คน ทั้งที่เป็นเรื่องร้ายแรงขนาดนั้น มารู้ทีหลังว่ามันเป็นพวกแตะต้องไม่ได้ หัวหน้าถึงได้เกรงใจนัก”

“เด็กเส้นหรือไง” ปีย์วราพอจะปะติดปะต่อเรื่องได้บ้าง มีคนอยู่ไม่กี่ประเภทหรอกที่หัวหน้างานไม่กล้าแตะต้อง หนึ่งในนั้นคงเป็นพวกมีเส้นสายถูกฝากฝังมาจากคนใหญ่คนโต

“ใช่พี่ เส้นห่อเมี่ยงเลยละ ตอนเข้ามาใหม่ๆ ก็ไม่อะไรหรอกค่ะ แต่พอกลายเป็นแฟนลูกสาวท่านประธานเท่านั้นละ เลยทะนงตัวว่ามีแบ็กดี แล้วยิ่งมามีเรื่องหักหน้ากันกลางห้องประชุมอีก หลังจากนั้นลูกแก้วก็โดนหาเรื่องตลอด เวลางานมีปัญหาน่ะ ลูกแก้วไม่ท้อเลยนะพี่พีท พี่ปีย์ แต่พอมีปัญหากับคนเนี่ย ยอมรับตรงๆ เลยว่าเหนื่อยมาก”

เป็นธรรมดา การรับมือกับคนที่รู้หน้าแต่ไม่รู้ใจย่อมเหนื่อยอยู่แล้ว แต่ภัทรชนนก็ไม่คิดว่าคนไม่ยอมใครอย่างลูกแก้วจะถอยออกมาง่ายๆ แบบนี้

“ปกติเราไม่ใช่คนยอมใครนี่ลูกแก้ว แต่ทำไมคราวนี้ทำเหมือนกับหนีปัญหาล่ะ คิดดีแล้วหรือไง”

“นั่นสิ อีกอย่างนั่นเป็นงานที่ลูกแก้วชอบไม่ใช่หรือ” ปีย์วราเอ่ยสนับสนุน เธอจำได้ดีว่าเจ้าตัวปฏิเสธงานที่คนอื่นเสนอมาหลายครั้ง เพียงเพราะไม่ตรงกับสายที่เรียนมา โดยไม่สนใจว่ามีบริษัทเปิดโอกาสให้เด็กเพิ่งจบใหม่ไม่มากนัก

“ก็ใช่นะคะ แต่ลูกแก้วไม่ไหวจริงๆ” ดวงหน้ารูปหัวใจส่ายเบาๆ

“คิดดีแล้วหรือลูกแก้ว พี่ว่าเราวู่วามเกินไปหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยเตือน ด้วยกลัวว่าเก็จแก้วจะใช้อารมณ์มากจนเกินไปแล้วทำให้การตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาด

“ลูกแก้วคิดมานานพอสมควรแล้วค่ะ ยิ่งมาเจอเหตุการณ์ล่าสุดนี่เหลืออดจริงๆ ก็อย่างที่เล่านะคะ หลังจากเรื่องหักหน้ากันในที่ประชุม นายนั่นก็จ้องหาเรื่องลูกแก้วอยู่ตลอดเวลา บางทีลูกแก้วอยู่เฉยๆ ด้วยซ้ำ นี่ขนาดลูกแก้วใจเย็นแล้วนะ ไม่งั้นมีวางมวยกันบ้างหรอก ขนาดเจ้านายเห็นอยู่ตำตาว่านายนั่นมาหาเรื่องลูกแก้วแท้ๆ ยังมีหน้ามาบอกให้ลูกแก้วยอมแล้วไปขอโทษมัน เพราะไม่อยากมีเรื่อง...ไม่มีได้ไง เรื่องมันมีมาก่อนหน้านี้แล้วต่างหาก”

“แน่ใจหรือเปล่าว่าเราถูกจริง”

“ทำไมพี่พีทพูดแบบนี้ล่ะ” เก็จแก้วโพล่งออกมาเสียงแข็ง “พูดเหมือนไม่เชื่อกันงั้นแหละ”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกลูกแก้ว รอฟังพีทก่อนดีกว่า” ปีย์วราพยายามประนีประนอม ไม่อยากเพิ่มคู่กรณีทะเลาะวิวาทอีก และสายตาอ้อนวอนทำให้เก็จแก้วมีท่าทีอ่อนลง กระนั้นก็ยังสะบัดหน้าทำเสียงฮึดฮัดให้รู้ว่าไม่พอใจเท่าไร

“พี่แค่อยากมั่นใจว่าเราถูกจริง จะได้ใช้ประกอบว่าสิ่งที่เราคิดน่ะถูกหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าลูกแก้วมั่นใจแบบนั้น มันคงเป็นเรื่องความมั่นคงของเก้าอี้เขามากกว่า”

“พีทหมายความว่าเขาถูกบีบมาอีกที” ปีย์วราตั้งข้อสังเกต เธอเองไม่ได้ทำงานบริษัท เลยไม่ค่อยเจอเรื่องการเมืองในที่ทำงานสักเท่าไร

“ไม่แน่ใจนะ” ชายหนุ่มแบ่งรับแบ่งสู้ “ถ้าเขาไม่โดนบีบมา เขาก็คงกลัวว่าเก้าอี้ตัวเองจะหลุดไปประมาณนั้น เลยไม่อยากให้ลูกน้องตัวเองไปมีเรื่องกับคนโปรดให้มาก เพราะถ้ามีอะไรขึ้นมา หัวหน้าก็ต้องรับหน้าก่อนเป็นอันดับแรก นี่พี่พูดในฐานะถ้าเป็นหัวหน้าที่ดีนะ”

สองสาวพยักหน้าหงึกๆ ความรู้สึกส่วนดีทำให้เก็จแก้วนึกเห็นใจอดีตหัวหน้าของเธอขึ้นมาตงิดๆ จึงผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างตัดใจ

เอาเถอะ ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องเก็บมาใส่ใจอีก ก็ปล่อยให้คนที่เหลืออยู่จัดการกันไปแล้วกัน

“ว่าแต่เราลาออกปุบปับเนี่ย ปรึกษาใครบ้างหรือเปล่า ที่บ้านรู้หรือยังว่าเราทำแบบนี้”

ไม่ต้องให้เก็จแก้วเอื้อนเอ่ยออกมา แค่ท่าทางก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบเขี่ยจานเปล่าเล่นราวกับเด็กทำความผิดแล้วโดนจับได้ เท่านี้ภัทรชนนก็รู้คำตอบ...ไอ้ท่าทางแบบนี้นอกจากยังไม่บอก เผลอๆ คงไม่ได้ปรึกษาหรือเล่าเลยด้วยซ้ำ

“ไม่ได้ปรึกษาท่านเพื่อขอความเห็นว่าจะลาออกดีไหม หรือยังไม่ได้บอกว่าจะลาออก”

“ก็ทั้งสองอย่าง” เก็จแก้วสารภาพเสียงอ่อย เห็นสายตาตำหนิที่มองมาก็ชักร้อนตัว “ลูกแก้วไม่ได้เล่นลิ้นนะ ก็ไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหนเลย ไม่ได้ปรึกษาและก็ไม่ได้บอก”

“เรานี่นะ มีอะไรทำไมไม่ปรึกษาใครเลย คิดเองเออเองเสร็จสรรพตลอด” น้ำเสียงภัทรชนนฟังดูอ่อนใจ

“พี่พีทอย่าบ่นมากเลยน่า ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้วละ”

“เฮ้อ...พี่ไม่รู้จะทำยังไงกับเราดีแล้วลูกแก้ว”

“แค่ทำใจก็พอค่ะ” เสียงกล่าวกลั้วหัวเราะไม่ได้ทำให้ภัทรชนนกับปีย์วราขำไปด้วย ทั้งคู่ออกจะห่วงหญิงสาวอยู่มาก สายตาสองคู่มองสบกันราวกับปรึกษา แล้วปีย์วราจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

“เอาละ พี่สองคนคงจะไม่พูดหรือตำหนิเรื่องที่เราใจร้อนวู่วามทำอะไรแบบนี้แล้วนะ เพราะไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว แต่อย่างน้อยพี่ว่าเราบอกให้พ่อกับแม่รู้หน่อยดีไหมว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เผื่อท่านจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ ให้”

เก็จแก้วกัดริมฝีปากเหมือนเด็กดื้อรั้น “แต่ว่า...”

“พี่สองคนคงบังคับเราไม่ได้หรอกนะลูกแก้ว” ภัทรชนนชิงพูดขึ้นมาก่อนรุ่นน้องสาวจะเถียงออกมา “เก็บไปคิดแล้วกัน ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่รักไม่ห่วงลูกหรอก เชื่อพี่เถอะ อีกอย่างตอนนี้ปัญหาใหม่รอเราอยู่ไม่ใช่หรือไง ถึงจะโล่งใจไปเรื่อง แต่จำเอาไว้ว่าตอนนี้เราเริ่มเป็นสมาชิกองค์กร ‘วิจัยฝุ่น’ แล้วนะ”

ถึงไม่มั่นใจมากนักว่าอาการยอมจำนนนี้เป็นคำตอบว่าเจ้าตัวจะหันหน้าไปปรึกษาบุพการีของตน หรือว่าแค่สนับสนุนคำกล่าวที่ว่า ถ้าไม่ได้งานใหม่ในเร็ววัน คงได้เดินเตะฝุ่นเล่นแน่ ภัทรชนนก็พอใจ

“พีทช่วยอะไรน้องไม่ได้เลยหรือไง” ปีย์วราเอ่ยขึ้นมาเพราะรู้ดีว่า ยังไงเสียภัทรชนนคงไม่ใจดำปล่อยให้เก็จแก้วลำบากนานแน่ๆ ด้วยรู้ดีว่า ว่าที่คู่หมั้นของตนเอ็นดูเก็จแก้วอยู่โข

“พี่จะดูๆ ให้แล้วกัน เผื่อเพื่อนๆ หรือใครกำลังจะรับพนักงานเพิ่ม จะได้ให้เราไปสมัคร”

“ขอบคุณค่ะ” เก็จแก้วฉีกยิ้มกว้าง “คิดแล้ว...ยังไงพี่พีทก็ไม่ใจร้ายกับลูกแก้วหรอก”



แม้เก็จแก้วกลับมาถึงคอนโดมิเนียม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่สามารถสลัดคำพูดของภัทรชนนออกจากหัวได้

จริงละหรือที่ว่า พ่อแม่ไม่ว่าคนไหนก็ห่วงลูก รักลูกด้วยกันทั้งนั้น

คำพูดนี้มีข้อยกเว้นบ้างไหมนะ ทำไมตั้งแต่จำความได้กระทั่งตอนนี้ เธอกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองได้รับความห่วงใยนั้นล่ะ ต้องโน่นสิ พลอยชมพู น้องสาวคนสุดท้องของบ้าน ถึงพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าท่านทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งห่วง โดยเฉพาะบิดา ถ้ามีอะไรที่เกี่ยวกับพลอยชมพู ท่านจะต้องเกิดอาการเดือดร้อนจนออกนอกหน้า ผิดกับเธอ จนหลายครั้งอดคิดไม่ได้ว่า ตัวเองเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า ถ้าเธอเป็นลูกคนโตหรือไม่มีเค้าหน้าของท่านคนใดคนหนึ่ง เธอต้องปักใจเชื่อเช่นนั้นไปแล้วแน่ๆ

ดังนั้นข้อสันนิษฐานนี้จึงมีอันตกไป เธอเป็นลูกแท้ๆ ของท่าน แต่ทำไมบิดาทำท่าเหมือนไม่สนใจเธอเลย ขนาดเธอหาวิธีเรียกร้องความสนใจสารพัดก็ไม่เคยเห็นผล แล้วแบบนี้จะให้มั่นใจได้อย่างไรว่า ถ้าบอกท่านไปแล้วจะได้รับคำแนะนำดีๆ

โทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กถูกโยนไปบนเตียงแล้วหยิบขึ้นมาเดาะเล่นสลับกันอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ...

เอาวะ ให้มันรู้กันไปข้าง คนอย่างลูกแก้วไม่กลัวอะไรอยู่แล้ว

ถึงกระนั้นก็ไม่วายสูดหายใจเข้าปอดหนักๆ เพื่อเรียกกำลังใจ พยักหน้าบอกตัวเองว่าพร้อมแล้ว แต่พอปลายสายตอบกลับมา ความกล้าหาญก็มีอันต้องกระเจิง

“ไหงกลายเป็นพี่โมกมารับโทรศัพท์พ่อได้ล่ะ” เธอรำพึง

“อะไรเรา แทนที่จะทักทายกันดีๆ มาถามอะไรแบบนี้ หือ”

“แค่แปลกใจว่าทำไมเป็นพี่” จะให้บอกได้อย่างไรว่าโมกุลทำเอาคำพูดที่เรียบเรียงไว้อย่างดีลอยหายไปกับอากาศ “ลูกแก้วโทร.หาพ่อนี่ ไม่ใช่พี่ แต่พอพี่รับก็แปลกใจเป็นธรรมดา”

“พ่อนั่งคุยกับชมพูอยู่ตรงชิงช้า ทิ้งโทรศัพท์ไว้ในบ้าน พี่เดินเข้ามาพอดีเลยรับแทน ว่าแต่เรามีอะไรกับพ่อหรือเปล่า”

เก็จแก้วย่นหน้าอย่างหมั่นไส้ เห็นไหมล่ะ พ่อถึงขนาดออกไปนั่งตากยุงคุยกับพลอยชมพูตรงชิงช้าซึ่งน้องสาวเธอชอบไปนั่งเล่นโดยไม่กลัวป่วย

ฮึ...ก็ลูกรักนี่นะ

“ว่าไง ทำไมเงียบไปล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นโทร.หาพ่อกับแม่ นี่มีอะไรหรือเปล่า ถ้ามี บอกพี่มานะลูกแก้ว อย่าปิดเอาไว้”

เธอเม้มปากกับคำพูดของพี่ชาย ดูเหมือนโมกุลจะรู้ทันไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องอะไร

“ลูกแก้วขอคุยกับพ่อก่อนได้ไหมคะ แล้วจะเล่าให้พี่โมกฟัง บางทีถึงตอนนั้นพ่อคงเป็นฝ่ายบอกพี่โมกเองแหละ ลูกแก้วไม่อยากพูดหลายรอบ” และเธอก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นพูดกับบิดาอย่างไร

“โอเค รอเดี๋ยวแล้วกัน”

เสียงถอนหายใจที่ได้ยินไม่ได้สร้างความกังวลให้เก็จแก้วได้เท่ากับวินาทีต่อจากนี้ เพราะรู้ดีว่ามันไม่ได้เกิดจากความไม่พอใจ แต่โมกุลเป็นห่วง ตั้งแต่เด็กจนโตเธอก็มีโมกุลนี่แหละที่คอยดึงไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางมากนัก

“ลูกแก้วหรือลูก เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงกังวานดังขึ้นหลังจากโมกุลบอกให้รอเพียงไม่นาน เรียกสติอันแตกกระเจิงของเก็จแก้วให้กลับมาจดจ่ออยู่กับบทสนทนา

“ก็ดีค่ะ แล้วพ่อล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง” คราวก่อนโมกุลบอกเธอว่าบิดาป่วย “พี่โมกบอกว่าความดันโลหิตสูง กินยาอยู่หรือเปล่า”

“โอ๊ย! ไม่ต้องกินมันหรอกหยูกยาน่ะ พ่อไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

นี่ละพ่อเธอ ไม่รู้ดื้อเหมือนใคร

“เห็นโมกบอกว่าเรามีอะไรจะพูดกับพ่อไม่ใช่หรือ อะไรล่ะ”

“ถ้าลูกแก้วจะบอกว่าตอนนี้ตกงาน พ่อจะว่าอะไรลูกแก้วไหม” เธอไม่รอช้า พูดออกไปตรงๆ เพราะไม่รู้จะอ้อมค้อมให้ได้อะไร พานจะไม่กล้าพูดเสียเปล่าๆ แต่อาการนิ่งไปของบิดาทำให้เธอใจเสียเหมือนกัน

“คิดดีแล้วใช่ไหม”

ดูทีหรือ คำถามนั้นสั้นแสนสั้น เธอกำลังตกงานอยู่แท้ๆ แต่ท่านไม่ถามถึงสาเหตุอะไรเลย หรือเพราะคิดว่าเธอเป็นเด็กไร้เหตุผล เอาแต่ใจตัวเอง เลยไม่คิดถามไถ่ให้ได้ความ

ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้รู้สึกตื้อไปหมด จึงต้องเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เจ้าตัวพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้มันหนักแน่น ทั้งที่ภายในกำลังไหวยวบ

“ค่ะ”

“ถ้าลูกแก้วพูดแบบนี้ พ่อก็เคารพการตัดสินใจของเรา ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหม น้องอยากคุยด้วยแน่ะ”

เก็จแก้วได้แต่รับคำเบาๆ ได้ยินเสียงน้องลอดเข้ามาในโทรศัพท์ว่า “พ่อคุยกับพี่ลูกแก้วอยู่หรือคะ ขอชมพูคุยบ้างสิ” และสีหน้าเจ้าตัวคงน่ารักชนิดใครเห็นต้องใจอ่อนยวบ

“พี่ลูกแก้ว ชมพูนะคะ”

“จ้ะ”

“ชมพูคิดถึงพี่ลูกแก้วจัง ทำไมช่วงนี้ไม่กลับบ้านเลยคะ”

“พี่ยุ่งๆ น่ะ ว่าแต่ชมพูเถอะสบายดีไหม” ความน่ารักสดใสของน้องสาวไม่เคยทำให้เธอเกลียดได้เลยสักที ถึงแม้จะอิจฉาในบางครั้งที่ชมพูได้รับความรักและความเอาใจใส่จากคนรอบข้างเสมอๆ

“สบายดีค่ะ ที่รีสอร์ทเราช่วงนี้แขกเยอะ ชมพูยุ่งนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรค่ะ สนุกดี” คนเป็นน้องเล่าเจื้อยแจ้วจนพี่สาวฟังเพลินเลยทีเดียว “อ้อ อีกไม่นานจะมีเรื่องสนุกเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนะคะ”

“หือ อะไรล่ะ”

“พี่ลูกแก้วจำพี่นิลได้ไหมคะ”

“แฟนพี่ฝ้ายน่ะเหรอ” เธอหมายถึงลูกสาวป้า พี่สาวมารดา

“ใช่ค่ะ นั่นแหละ คนที่มาบ้านเราบ่อยๆ เมื่อก่อน”

“ทำไมหรือ”

“วันนี้เขาส่งผู้ใหญ่มาทาบทามพี่ฝ้ายไปเป็นสะใภ้ค่ะ หลังจากแอบไปซุ่มหาฤกษ์หายามกันเรียบร้อย”

“แล้วป้าบุษย์ว่าไงล่ะ” เธอถามออกไปอย่างใคร่รู้ แม้แอบลุ้นให้ป้าตกลง เพราะว่าสองคนนี้คบหากันมานาน และวัยก็น่าจะเป็นฝั่งเป็นฝากันได้แล้ว

“ป้าบุษย์จะไปว่าอะไรได้ล่ะ ต้องพ่อเราเนี่ยพี่แก้ว ไม่ใช่ป้าบุษย์หรอก”

“หือ...ทำไมล่ะ เกี่ยวอะไรกับพ่อด้วย” เธอไม่ค่อยเข้าใจนักว่าบิดาของตนไปเกี่ยวอะไรด้วย

“ไม่เกี่ยวได้ไง ก็ตั้งแต่คราวลุงเสียชีวิตน่ะ พี่แก้วจำได้ไหม พ่อเราส่งเสียให้พี่ฝ้ายเรียนมาตลอดจนจบ นับจากนั้นป้าบุษย์ก็แทบจะยกพี่ฝ้ายให้เป็นลูกของพ่อไปแล้ว คราวนี้พอมีคนมาขอพี่ฝ้าย ป้าบุษย์เลยยกหน้าที่ทั้งหมดให้พ่อจัดการ”

“อืม แล้วผู้ใหญ่เขาว่าไงบ้างล่ะ ได้ฤกษ์เมื่อไหร่”

“อีกประมาณสองเดือนค่ะ หมั้นเช้าแต่งเย็นพิธีไทย แล้วพ่อพี่นิลเขาย้ำว่าคราวหน้าต้องเจอพี่ลูกแก้วให้ได้ เพราะพ่อไปอวดไว้มาก ท่านเลยอยากเจอลูกพ่อให้ครบทุกคน ท่านว่าพ่อเลี้ยงลูกเก่ง ขนาดพี่ฝ้ายเป็นหลานยังดีขนาดนี้เลย เพราะงั้นพี่ลูกแก้วต้องมายืนยันว่าพ่อเราเก่งจริงๆ พี่ลูกแก้วของชมพูน่ารักและเก่งที่สุด”

“อืม” เก็จแก้วรับคำในลำคอ เพื่อให้บทสนทนาไม่เงียบเกินไปนัก “แล้วพ่อไปอวดอะไรไว้บ้างล่ะ”

“เยอะค่ะ เล่าให้ฟังทางโทรศัพท์ไม่หมดหรอก พี่ลูกแก้วกลับมาบ้านสิ เราจะได้นอนคุยกัน ชมพูมีเรื่องเล่าให้พี่ลูกแก้วฟังเยอะแยะเลย”

“เอาไว้ว่างๆ พี่จะกลับแล้วกันนะ” เธอแบ่งรับแบ่งสู้ เพราะยังไม่อยากกลับไปในตอนนี้

“เฮ้อ...พี่ลูกแก้วก็พูดแบบนี้ทุกที เอาไว้พี่ว่างๆ แล้วจะกลับนะ” พลอยชมพูเลียนแบบคำพูดพี่สาว “แต่ไม่เคยเห็นพี่ลูกแก้วว่างเลยสักที”

เก็จแก้วอมยิ้มกับอาการบ่นของน้องเพราะจริงทุกอย่าง และตอนนี้ยิ่งไม่อยากกลับ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังล้มเหลว และไม่เข้มแข็งพอจะรับความเจ็บปวดจากสายตาของบิดาที่มองมาอย่างผิดหวัง

“เอาน่า พี่จะพยายามทำตัวให้ว่างแล้วกัน”

“สัญญาแล้วนะ”

“จ้ะ” เธอหัวเราะแผ่วกับอาการขอคำสัญญาเหมือนเด็กๆ ของน้องสาว

“ดีเลย คราวหน้าพี่ลูกแก้วกลับมา ชมพูจะได้มีคนช่วยรับมือกับบรรดาลุงๆ ป้าๆ บ้าง”

“หือ ใครรังแกชมพู” เก็จแก้วไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอเสียงแข็ง และนั่นทำให้พลอยชมพูถึงกับอมยิ้ม

“ไม่มีใครรังแกหรอกค่ะ ก็แค่บรรดาลุงๆ ป้าๆ แล้วก็พ่อน่ะ ชอบทำให้ชมพูทำหน้าไม่ถูก ถ้ามีพี่ลูกแก้วอยู่ด้วย ชมพูจะได้มีคนคอยช่วยไงคะ คำถามพวกนี้พี่ลูกแก้วตอบได้แน่ๆ ไม่เหมือนชมพู”

“คำถามอะไร”

“ก็พอพี่ฝ้ายจะแต่งงานไปคนใช่ไหมคะ คราวนี้บรรดาป้าๆ น้าๆ ก็เอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่จะมีข่าวดีของบ้านเราบ้าง มีลูกสาวอีกตั้งสองคน เมื่อไหร่จะแต่ง ชมพูงี้อ๊ายอาย เรายังเด็กอยู่เลย ทำไมเขาชอบถามเรื่องนี้กันนักก็ไม่รู้”

“แล้วชมพูตอบไปว่ายังไงล่ะ” เก็จแก้วถามอย่างใคร่รู้ เพราะน้องสาวคนเล็กของบ้านไม่มีวี่แววว่าจะมีแฟน หรือถ้ามีใครมาจีบ ก็ถูกคนในครอบครัวกันท่าไปหมด

“ชมพูจะตอบอะไรล่ะคะ เจอคำถามเข้าไปก็อึ้งแล้ว ได้แต่นั่งอายไป พ่อเลยตอบแทนให้”

“แล้วพ่อกับแม่ว่ายังไง” เธอถาม แล้วได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มๆ ดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์ นั่นทำให้เก็จแก้วรู้ว่าบิดายังนั่งอยู่ตรงนั้น รับรองคำพูดเจื้อยแจ้วของน้องสาว ท่านต้องได้ยินทั้งหมด และพลอยชมพูคงอายบิดาจึงขอตัวไปคุยต่อที่อื่น ถึงจะสังหรณ์ใจไม่ดี แต่เก็จแก้วก็ไม่อาจห้ามความอยากรู้ของตนเอาไว้ได้

“ว่าไงชมพู”

“ก็พ่อน่ะสิคะ ไปบอกคนอื่นๆ ว่า คนกลางน่ะพ่อไม่หวังหรอก เหลือก็แต่ชมพู สงสัยเพราะพี่แก้วไม่เคยพาแฟนมาบ้านหรือเล่าเรื่องนี้ให้พ่อได้ยินแน่ๆ แต่ชมพูก็ไม่เคยมีแฟนนะ ทำไมพ่อพูดแบบนี้ก็ไม่รู้สิ”

เก็จแก้วได้ยินแต่คำว่า “คนกลางน่ะพ่อไม่หวังหรอก” หลังจากนั้นพลอยชมพูพูดว่าอะไร เธอไม่ได้ยินอีกแล้ว ภายในหูอื้ออึงด้วยประโยคดังกล่าวซ้ำๆ แถมหัวใจยังปวดหนึบราวใครมาบีบแรงๆ จนเจ็บร้าว ความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาทุกทางจนทรงตัวแทบไม่อยู่ รู้อีกทีเข่าก็อ่อนจนทรุดนั่งแหมะลงบนเตียง

นี่ใช่ไหมคำตอบที่เธอควรได้รับ สมน้ำหน้า รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่เคยมีความสำคัญ ก็ยังเฝ้าหวังว่าท่านจะเจียดความรักความเอ็นดูมาให้บ้างไม่มากก็น้อย

ฮึ...ไม่เลย ไม่มีเลย

ขนาดเธอตกงาน ท่านยังไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น ตัดบทราวกับถ้าพูดกันเกินสามประโยค เวลาอันมีค่าจะสูญเสียไปกับคนอย่างเธอ ไม่น่าเลย เธอไม่น่าโทร.หาท่านเลย ในเมื่อรู้ทั้งรู้ว่ามันต้องออกมาแบบนี้ ยังรนหาเรื่องใส่ตัว สุดท้ายก็ต้องเจ็บ แล้วจะโทษใครได้ นอกจากตัวเอง

เก็จแก้วแหงนหน้าขึ้นกะพริบตาถี่ๆ พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้หยาดน้ำไหลรินจากดวงตา

“ฮึ นี่พ่อคิดว่าพี่ไม่ดีพอจนใครคงไม่สนใจ พี่ไม่มีค่าให้ใครรักเลยหรือไง” ความน้อยใจแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ

“มะ...ไม่...” ปลายสายยังคงอ้ำๆ อึ้งๆ หาคำพูดตัวเองไม่เจอ เมื่อเก็จแก้วโพล่งออกมาอย่างอัดอั้น

“ชมพูคอยดูก็แล้วกัน พี่ฝ้ายแต่งเมื่อไหร่ พี่จะควงแฟนไปเปิดตัวให้ดู”

แล้วสายก็ถูกตัดฉับ ปล่อยพลอยชมพูไว้กับความงงงัน

“พี่แก้วทำไมต้องมาพาลเอากับชมพูด้วยเล่า!”




--------------------------------------------------



เนตรนภัส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ย. 2558, 15:05:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ย. 2558, 15:05:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1524





<< ตอนที่ 1    ตอนที่ 3 >>
เนตรนภัส 13 พ.ย. 2558, 15:06:26 น.
สวัสดีค่า ตอนที่ 2 มาแล้วน้า อ่านแล้วรู้สึกยังไงเมาท์มอยกันได้ค่ะ ^^


แล้วก็ เลื่อมลายดอกรัก ยังไม่จบนะคะ ใกล้มากๆ แล้ว สามารถอ่านกันได้ค่ะ และข่าวคราวว่าจะเป็นหนังสือเมื่อไหร่ยังไง สามารถกดติดตามเพื่อรออัพเดทข่าวสาร ที่สำคัญคือถ้าออกเล่ม ก็มีเกมมาเล่นกันจ้า ห้ามพลาดนะ


ใครที่อ่านเลื่อมลายดอกรักแล้วสนใจเรื่องของพาริน สามารถหาเรื่องสัญญา(รัก)ร้ายมาอ่านได้นะคะ มีทั้งรูปแบบอีบุ๊คและเป็นเล่มเลยค่า

คุณนมเย็นน้ำเขียว
เย่... อ่านให้มีความสุขนะคะ ^^

คุณ smallman
อยู่ด้วยกันทุกตอนนะคะ จะลงถี่ๆ เลยค่ะ อยากให้คนที่ไม่เคยอ่านได้อ่านกัน ฮิ


E-Book เล่มอื่นๆ ของเนตรนภัส
ณ ที่เริ่มต้น...กับคนของใจ https://goo.gl/scjjys
สุดฟ้าเสมอดาว https://goo.gl/AyMG6w
สัญญา(รัก)ร้าย https://goo.gl/fMX29r
พรหมลิขิตสีขาว https://goo.gl/fUVUFe
ดวงตะวันแห่งรัก https://goo.gl/ToQqhi
กระแตดอกรัก https://goo.gl/wA3gjl
นภัส https://goo.gl/78E57z


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account