ซุลนูรอยน์...The man with two lights

ซุลนูรอยน์ (Zul Nurain) คือ ผู้ครอบครองรัศมีทั้งสอง
หรือ ผู้มีสองรัศมี


คือ เรื่องราวความรักความผูกพันธ์ในครอบครัว...
และการสร้างครอบครัวภายใต้เงื่อนไขที่ถูกใครบางคนวางขึ้นมาเพื่อให้ตัวละครในเรื่องขับเคลื่อนชีวิตเดี่ยวไปสู่ชีวิตคู่...
จากชีวิตคู่...ไปสู่ครอบครัว


โดยมี 'บ้าน' เป็นรางวัลให้กับผู้ชนะที่ทำตามเงื่อนไข
ทั้งหมดได้...จนจบเกม


เมื่ออึกหนึ่งเหมือน 'ไฟเย็น'

ส่วนอีกหนึ่งเหมือน 'น้ำร้อน'

และ...

เมื่อร้อนกระหาย...ดับได้ด้วยน้ำเย็น
แล้วถ้าร้อนรนด้วยกิเลสของความอยาก...จะดับด้วยกับอะไร

และ

บ้านจะอบอุ่นได้...จะต้องใช้อะไรอบถึงจะอุ่น...


และ

ซุลนูรอยน์...จะเป็นฉายาของใคร ???


Tags: ดราม่า คาเวห์ มัสรานี มัสลัน นิมัสรา โซรัน ซูไฮล่า ซุลนูรอยน์ ผู้ครอบครองรัศมีทั้งสอง ความสัมพันธ์ในครอบครัว บ้าน

ตอน: ลำนำ


โยลบของเก่าแล้วนำท่ีแก้ไขมาลงใหม่ค่ะ ตัดบางส่วนและเพิ่มบางส่วน
พร้อมกับเพิ่มความยาวของบทนำเข้าไปอีกค่ะ...
รอบก่อนมันสั้นๆและห้วนๆ ส่วนสำนวนก็อ่านแล้วขัดๆใจไปหน่อย
เลยเอาอันใหม่มาส่งค่ะ ^^



+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ณ คฤหาสน์หลังงามใจกลางกรุงเทพมหานคร ยามอัสดง…

สตรีในชุดสีดำคลุมปกปิดมิดชิดทั้งเรือนร่างรวมไปถึงเส้นผมทุกเส้น
กำลังเยื้องย่างออกจากตัวอาคารที่ถูกออกแบบมาอย่างงดงามวิจิตรบรรจง
ลงตัวโดยไม่เคยลืมหันกลับไปมองบ้านหลังงามแล้วยิ้มให้กับมัน

…เป็นรอยยิ้มที่ไม่มีใครจะมีโอกาสได้เห็น…นั่นเพราะใบหน้าของเธอได้ถูกปกปิด
ไว้ด้วยนิกอบ (ผ้าปิดหน้า)…มีเพียงดวงตาคมคายที่เปล่งประกายสุกสกาวเพียงเท่านั้น
ที่เปิดเผยต่อสายตาผู้อื่น

…ทำให้น้อยคนจะรู้จักรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของสตรีผู้นี้…

เมื่อร่างนั้นลับหายไป…ร่างสูงโปร่ง สมส่วนของบุรุษก็เดินเข้าไปยังคฤหาสน์หลังนั้น…
ในมือถือถุงพลาสติกที่มีกล่องอาหารกับน้ำดื่มและกาแฟซองสำเร็จรูปพร้อมชงดื่มแก้ง่วง…

เพราะหน้าที่ประจำของเขาคือ ‘เฝ้าบ้าน’
หรือเป็น ‘ยาม’ รักษาความปลอดภัยให้กับบ้านหลังนี้
ในช่วงที่ดวงอาทิตย์หายไปจากฟากฟ้า…

ดวงตาคู่นั้นว่างเปล่า ติดอยู่กับความมืดมิด…
มีเพียงโลกที่ว่างเปล่าฝังลึกในหัวใจของเขา

‘บ้าน’ แม้มันจะวางอยู่ตรงหน้าแล้ว…
หากกลับไม่อาจจะตามหามันเหมือนดั่งนกที่หลงรัง…
โบยบินอยู่กับตัวเองในความมืดมิดของค่ำคืนที่เดียวดาย…

อีกทั้งยังต้องคอยแอบซ่อนตัวเองอยู่หลังการดูถูก เยาะเย้ย
จนไม่ต้องการให้ใครหันมามอง

…รอยแผลเป็นได้เก็บซ่อนความจริงเอาไว้...

และเขาไม่สนหรอกที่จะอยู่เพียงคนเดียวและไร้บ้าน…

…ไม่มีอะไรถาวรสำหรับชีวิตเขา
…ไม่มีสิ่งใดมั่นคง…
...ไม่มีความรักใดจะจีรังยั่งยืน
…และไม่มีชีวิตใดจะอยู่กับเขาไปตลอด…




เมื่อดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า…ได้เวลาเหล่าปักษาติดปีกบินออกจากรังที่พำนัก
เพื่อออกตระเวนหาอาหาร…ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปที่ต่างก็ตื่นขึ้นมาเพื่อทำมาหากิน…
หาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง

ในขณะที่คนอื่นตื่นจากฝันเพื่อตามหาความจริงของชีวิตในยามเมื่อตะวันรุ่งราง…
เขากลับได้เวลากลับที่พัก…เพื่อเข้าสู่นิทราฝัน…ทิ้งโลกแห่งความเป็นจริงเอาไว้เบื้องหลัง
ให้คนอื่นได้สัมผัสกับมันต่อไป…

หากไม่ลืมแวะซื้ออาหารกล่องติดมือกลับไปด้วยเช่นทุกครั้ง…
และห้วงเวลานี้อีกเช่นกันที่เหมือนจะเป็นความหวังเดียวที่อาจทำให้เขา
ได้เจอกับรอยยิ้มของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’

แม้จะเนิ่นนานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบเจอ
ทว่า วันนี้โชคดีเดินเข้าชนเขาอย่างจัง…

เพราะเธอผู้นั้นกำลังก้าวขาออกมาจากรถยี่ห้อหรู ในราคาที่เขารู้ดีว่าเท่าไหร่
เพราะงานอีกอย่างของเขาคือ ‘ขายรถ’
มันทำให้เขามีโอกาสได้สัมผัสรถคันงามที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่แทบทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ
แต่กลับไม่เคยได้เป็น ‘คนซื้อ’

เธอแวะซื้อผลไม้ตรงร้านค้าหน้าปากซอย รอยยิ้มงดงามของเธอส่งตรงไปยังแม่ค้า
รูปร่างของเธออรชรอ้อนแอ้น ในชุดแซคแขนยาวสีฟ้าอ่อนสลับขาว ความยาวแค่เข่า
สวมรองเท้าส้นสูง แลดูสูงส่งและสง่างามราวกับนางฟ้านางสวรรค์…

ผมของเธอยาวเป็นลอนม้วนตัวสวยรับกับดวงหน้าหวานซึ้งตรึงใจ…
สีผมของเธอมีสีน้ำตาลอ่อนขับให้ใบหน้าขาวผ่องนวลเนียนของเธอดูสว่าง
แลดูสดใสแห่งวัยสาว…ยิ่งพิศยิ่งมองยิ่งติดตาต้องใจ…และเพลิดเพลินจนเผลอตัว เผลอใจ…

ริมฝีปากของเธอจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต้มด้วยสีชมพูอ่อนดั่งกลีบดอกกุหลาบ
จมูกของเธองอนสวย ยิ่งได้มองดูจากด้านข้างก็ยิ่งพบว่ามันงอนสวยจนน่าเขี่ยเล่น…

ดวงตาของเธอกลมโต สุกใสเหมือนมีดวงดาวระยิบระยับอยู่ข้างใน
ขนตาเป็นแพ เด้งงอนคล้ายตุ๊กตา…

นิ้วของเธอยามเมื่อสัมผัสกับบรรดาผลไม้ช่างดูเรียวงาม…
เล็บที่ถูกไว้ยาวมีสีชมพูอ่อนสีเดียวกับริมฝีปากน่าสัมผัสนั่น…

ทุกๆอย่างที่เป็น ‘ผู้หญิงคนนั้น’ ดูงดงามพร้อมสรรพ และมีเสน่ห์ต่อบุรุษเพศยิ่งนัก…

ทำให้คนในโลกอันแสนมืดมิดอย่างเขาได้รับแสงสว่างสดใส
เพราะเธอคือลำแสงแรกในชีวิตของเขา

‘คาเวห์’ มองนางฟ้าของเขาหิ้วถุงผลไม้เดินกลับเข้าไปในรถหรู
แล้วขับเข้าไปในซอยที่เขาเพิ่งออกมาจนลับสายตา

รู้เพียงว่าหนึ่งในบ้านหลังงามในซอยหลังนี้คงมีสักหลังเป็นบ้านของเธอ

...และในสักวัน…เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าเป็นบ้านหลังไหน…






“เย็นนี้จะให้นิมารับรึเปล่าพี่มัส…” ‘นิมัสรา’ ถามพี่สาวขณะยื่นถุงผลไม้
ที่เพิ่งแวะซื้อเมื่อครู่ให้พี่สาวเมื่อเห็นว่าพ่ีสาวกำลังจะลืมมัน

“อย่าเลย…เธอมีเรียนภาคค่ำไม่ใช่หรือ…พี่กลับเองดีกว่า…”

'มัสรานี' เอ่ยขณะรวบรวมข้าวของมาไว้ในมือ โดยไม่ลืมของสำคัญอย่างหนังสือ

“งั้นนิไปก่อนนะ…เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน…เจ้านายยิ่งดุๆอยู่ด้วย”

คนเป็นพี่พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูรถคันงามแล้วก้าวออกไป
หากไม่วายก้มหน้าลงเตือนน้องสาวเช่นทุกครั้ง

“ขับรถระวังด้วยล่ะ…คราวก่อนเสียเงินไปไม่น้อยเลยนะ…ยังเสียดายไม่หาย…”

“ขี่บ่นจริง…” คนเป็นน้องย่นจมูกใส่พี่สาวจอมขี้บ่น

“ไม่บ่นได้ไง…” คนเป็นน้องเห็นท่าว่าพี่สาวจะพูดยืดยาวเลยยกมือเบรคเอาไว้
เพราะไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ก่อนจะยิ้มประจบ

“เข้าบ้านได้แล้วพี่มัส…”

นั่นจึงทำให้คนเป็นพี่หุบปากฉับ ส่วนคนเป็นน้องยิ้มหวานฉ่ำเมื่อหันไปมอง
คฤหาสน์หลังงามเบื้องหน้าก่อนจะหันกลับมายิ้มให้พี่สาวด้วยแววตายียวน

“บ้านพี่มัสสวยดีเนอะ…” พูดจบก็โบกมือลาพี่สาวทันที

คนเป็นพี่จึงปิดประตูฝั่งตนลงแล้วโบกมือลาน้องสาว

เมื่อรถคันหรูเลื้อยออกจากคฤหาสน์หลังงามไปแล้ว…ร่างแบบบางในชุดดำปกปิดมิดชิด
ก็ค่อยๆก้าวเดินไปยังคฤหาสน์เบื้องหน้า

…เพราะมีหน้าที่อีกมากมายที่รอเธออยู่ในนั้น...


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


หลังจากกลับออกมาจากคฤหาสน์หลังงาม มัสรานีหยุดอยู่ตรงร้านหนังสือหน้าปากซอย
ที่เพิ่งเปิดมาได้สักพักใหญ่โดยมีเธอเป็นลูกค้าประจำร้านไปแล้ว…

ติดกันนั้นเป็นร้านเช่าหนังสือและรับซื้อหนังสือมือสอง…

วันนี้จึงนึกอยากได้หนังสืออ่านเล่นสักเล่ม…นิยายจึงดูเป็นทางเลือกที่หนึ่ง
ที่หญิงสาวนึกถึงเลยเลือกเดินเข้าไปยังร้านหนังสือใหญ่
ตรงไปยังหมวดนวนิยายจากต่างแดน…

ปกติแล้วความรู้ม.หกคงไม่มีปัญญาอ่านหนังสือภาษาอื่นได้แน่
แต่เพราะความอยากหรือพลังภายในบางอย่างก็สุดจะคาดเดาได้
จึงทำให้มัสรานีพยายามฝึกอ่านหนังสือจากภาษาญี่ปุ่นเพราะสนใจการ์ตูนญี่ปุ่น

โดยเริ่มจากการ์ตูนที่มีภาพประกอบ ทำให้พอเดาๆได้บ้างลางๆ
ก่อนจะค่อยๆไต่ขึ้นเรื่อยๆ…เธอฝึกอ่านเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่ชั้นประถม…
รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง ซ้ำยังเคยหาเล่มที่เขาแปลไทยมาเทียบกับภาษาเดิม
ซึ่งก็คือภาษาญี่ปุ่นท่ีไปเช่าเขามาอ่าน

สมัยนั้นหายาก…แต่ด้วยความพากเพียร เธอหามาอ่านจนได้ในที่สุด
ยืมเพื่อนในห้องอ่านก็เคยทำมาหมดแล้ว…

นิยายเล่มห้าบาทเธอก็เคยเจียดเอาเงินค่าขนมไปซื้อมาแอบอ่านไม่ให้พ่อแม่รู้…
ซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น กลัวจะเป็นเรื่อง…

...ปากท้องไม่เคยสำคัญเท่าอรรถรสจากการเสพตัวอักษร…

มันไม่อร่อยท้องก็จริง แต่อร่อยไปถึงจิตอันเพ้อฝัน…

เธอเองก็ไม่รู้และไม่อาจแจกแจงได้ว่าตัวเองซึมซับภาษาญี่ปุ่นมาได้อย่างไร
และจากทางไหนบ้าง…มารู้ตัวอีกทีก็สามารถด่าคนญี่ปุ่นจนเขาเจ็บปวด
และเป็นฟืนเป็นไฟได้…ร้องเพลงญี่ปุ่นแล้วน้ำตาคลอไปด้วยโดยไม่รู้ตัว…
ดูอะนิเมชั่นพากย์ภาษาญี่ปุ่นแล้วยิ้มได้…ร้องไห้เป็น…

เห็นตัวอักษรคันจิแปะอยู่ที่ใด ซอกใดหรือแม้แต่ข้างสลากขนมขบเคี้ยว
ก็สนใจเพราะเตะตา ซ้ำยังพอจะรู้ความหมายของมัน…
บางตัวอ่านได้แต่จำความหมายไม่ได้ บางตัวลืมเสียงอ่านแต่ดันจำความหมายของมันได้…

ยิ่งปัจจุบันมีโลกอินเตอร์เนตช่วยสอนภาษาให้เธอเพิ่มอีก…
ทำให้ขวากหนามทางการศึกษาของเธอน้อยลง
ไม่ต้องลำบากลำบนและกระเสือกกระสนกว่าจะได้ความรู้มาอย่างแต่ก่อนแล้ว…

...ทำให้เข้าถึงองค์ความรู้ได้ง่ายขึ้นหลายเท่าตัว...

แม้เธออาจจะไม่มีคอมพิวเตอร์ส่วนตัวก็จริงแต่ที่คฤหาสน์มีให้เล่น…
และมีอินเตอร์เนตพร้อมสรรพ…

ซึ่งนั่นทำให้เธอไม่คิดจะเปลี่ยนไปทำงานอื่นหรือทำงานที่อื่น
เพราะที่นี่ลงตัวกับชีวิตเธอแล้ว…

เธอสามารถหาเงินมาประทังชีวิตได้โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร…
ซ้ำยังสามารถเสพความสุขจากการอ่านได้เท่าที่อยากจะทำ…
ขอแค่เธอทำหน้าที่หลักของเธออย่างไม่ขาดตกบกพร่องเพียงแค่นั้น…

การเดินทางไปกลับก็ไม่ลำบากอะไร…ความปลอดภัยก็หายห่วง…

แล้วเธอจะไปไขว่คว้าหาสิ่งอื่นมาให้ทุกข์และริดรอนความสุขที่มีอยู่ไปเพื่ออะไรอีก

…แค่นี้สำหรับเธอก็สุขพอแล้ว…

ยิ่งหน้าปากซอยมีร้านหนังสือใหญ่มาตั้งแบบนี้ ยิ่งเป็นคลังความสุขของเธอโดยแท้…
ให้ย้ายไปทำงานที่อื่นที่เงินเดือนมากกว่านี้คงไม่แล้ว


มัสรานีที่อยู่ในชุดประจำคือปิดทุกอย่างยกเว้นดวงตาเดินไปพลางมองสันหนังสือไปด้วย
เพื่อเลือกหาหนังสือที่ต้องการก่อนจะสะดุ้งตกใจเมื่อมองสันหนังสือเพลิน
จนเกือบชนเข้ากับใครบางคน…ที่กำลังยืนเลือกดูหนังสืออยู่ทางขวามือเข้า

จิตใจหญิงสาวค่อนข้างประหม่าเมื่อสบตากับเขาโดยไม่ได้ตั้งใจเข้าโดยบังเอิญ
เขาคือชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา หนวดเคราไม่มี

เขาหันมามองเธอ...ไม่มียิ้มแม้ตรงมุมปาก!

สิ่งที่จับใจเธอมีเพียงตาดุๆและใบหน้านิ่งๆขรึมๆของเขาที่มองมาทางเธอแว้บเดียว
ก่อนจะกลับไปยังหนังสือในมือราวกับเธอคืออากาศธาตุ ไร้ร่องรอย…ไร้ชีวิต

…ดั่งกับว่าโลกนี้มีเพียงเขาอยู่คนเดียวลำพัง…

หญิงสาวจึงพยายามเดินกลับไปทางเดิม แม้ใจจะอยากได้หนังสือที่อยู่ใกล้ๆมือเขา
ที่เธอเห็นอยู่รำไรสักแค่ไหน หากกลับใจสั่น ไม่กล้าเข้าไปหยิบมัน
กลัวเขาจะรู้ว่ามือเธอกำลังสั่น…ซึ่งตอนนี้มันไม่ใช่แค่มือ แต่มันลามไปทั้งเนื้อทั้งตัว…

หญิงสาวจึงถอดใจเดินออกมาจากร้านหนังสือมือเปล่า…
อีกทั้งยังเหมือนได้เผลอทำบางอย่างหล่นหายไปในร้านจนต้องเหลียวหลังกลับไปมอง
คนที่ไม่เคยรู้จักที่บังเอิญมาใกล้กันและทำให้เธอรู้สึกจับใจจนลืมไม่ลง

เจอเพียงแค่ครั้งเดียวก็รู้สึกผูกพันธ์กระทั่งเก็บเอาไปฝัน
ลืมตาขึ้นมา ภาพนั้นก็ยังติดตาติดใจจนอยากรู้เหลือเกินว่าเขาเป็นใคร
ทำไมถึงได้มีอิทธิพลต่อเธอได้ถึงเพียงนี้

…ขนาดไม่ได้หล่ออย่างดาราในจอแต่กลับจับใจได้ขนาดนี้

ไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้เธอมีอาการประหลาดๆแบบนี้…
สามารถจดจำได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเขาจนวันนี้
ผ่านไปยังที่เดิมก็ยังหวังว่าจะเจอเขาตรงนั้นอีกสักครั้ง…หากกลับไม่เจอแม้แต่เงาของเขา…
พร้อมกับหนังสือการ์ตูนเล่มนั้นที่วางอยู่ใกล้ๆเขาซึ่งตอนนั้นเธอไม่กล้าหยิบ
ก็ได้หายไปจากชั้นหนังสือนั้น ถามคนขายก็ได้รับเพียงคำตอบว่า มีคนซื้อมันไปแล้ว…
และยังไม่มีเพิ่มมาให้เห็นสักที…รอแล้วรอเล่าการ์ตูนเล่มนั้นก็ไม่ปรากฎบนชั้นหนังสือนั้น…

เสียดายหนังสือก็ส่วนหนึ่ง หากลึกลงไปจิตใจของมัสรานียังคงจดจ่ออยู่กับผู้ชายคนนั้น
จนนึกสมเพทตัวเองขึ้นมาท่ีอายุจะเฉียดสามสิบปีอยู่รอมร่อแล้ว
เพิ่งจะมามีอาการตกหลุมรักกับเขาเอาป่านนี้…ยิ่งคิดก็ยิ่งขำตัวเอง…

จนกระทั่งทำงานบ้านทั้งหมดเสร็จสิ้นลง…
หญิงสาวก็ทิ้งโน้ตเอาไว้ให้ช่างแปะเอาไว้ตรงหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใสของป้อมยาม
ก่อนจะติดเทปทับเอาไว้อีกครั้งกันหลุดเพื่อแจ้งเหตุให้อีกคนทราบ

‘ก็อกน้ำในห้องครัวเสีย…หลอดไฟในห้องน้ำชั้นล่างติดกับห้องครัวติดๆดับๆ…
สายฉีดน้ำรดต้นไม้รั่ว…ไมโครเวฟใช้งานไม่ได้แล้ว…

จาก…แจ๋วเจ้าเก่า’

เสร็จแล้วจึงเดินจากคฤหาสน์หลังงามไป

คนที่มาทำหน้าที่ในช่วงเวลากลางคืนยืนอ่านโน้ตแผ่นนั้นแล้วได้แต่ส่ายหัว
มองลายมืออันแสนคุ้นเคยมาเป็นเวลาสามปีแล้วให้นึกจินตนาการหน้าตาของเจ้าของลายมือ
ที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าอายุประมาณเท่าไหร่ และเกิดมาในยุคไหน…

เพราะลายมือท่ีเขาเห็น แม้จะสวย ศิลป์และดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
จนน่าจะได้รางวัลที่หนึ่งคัดลายมือไทย แต่มันก็ไม่ใช่ลายมือที่คนในยุคนี้สมัยนี้
นิยมเขียนกันอีกแล้ว…

แต่ถึงลายมือจะเชย ไม่สมสมัย คุณป้าผู้นี้ก็ดูไฮเทคอยู่เหมือนกันตรงที่ใช้คอมพิวเตอร์เก่ง
และชำนาญเสียจนเขาต้องคอยซ่อมคอมพ์ให้อยู่บ่อยๆ…

ชายหนุ่มโยนกระดาษโน้ตลงถังขยะใกล้ๆ แล้วจึงเริ่่มจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น
จนแล้วเสร็จโดยไม่เคยแม้สักครั้งเดียวที่เขาจะเขียนโน้ตแปะเอาไว้ให้อีกฝ่าย
รับรู้อะไรๆจากเขา เพราะขี้เกียจและคิดว่ามันไม่ได้เป็นสาระแก่นสานใดๆที่จำเป็น…

เพราะสำหรับเขา…โน้ตที่แปะเอาไว้ให้เขาในทุกๆวันนั้น
มันไม่มีอะไรมากมาย…ซ้ำๆซากๆ…

ขนาดไม่มีปัญหาอะไร ‘ป้าแจ๋วเจ้าเก่า’ ก็ยังไม่วายทิ้งโน้ตเอาไว้ให้เขาอีกจนได้ว่า

‘วันนี้…เหมือนไม่มีปัญหาใดๆเลย…

แจ๋วเจ้าเก่า’

หรือไม่ก็…

‘ขอบคุณนะที่ซ่อมไฟในครัวให้…

แจ๋วเจ้าเก่า ^^’

หรือไม่ก็…ป้าแจ๋วเจ้าเก่าก็จะแสดงความมีน้ำใจด้วยการแปะโน้ต
บอกเขาเอาไว้ว่า

‘ถึงนกฮูกตาโต…กาแฟสำเร็จรูปกินอร่อยสู้กาแฟสดๆไม่ได้หรอก…
พี่ชายไปเที่ยว…เอามาฝาก…เลยแบ่งมาให้…วางอยู่ข้างๆเครื่องบด…
วิธีชงเขียนแปะไว้ข้างๆกระติกน้ำร้อนนะ…

แจ๋วเจ้าเก่า’

ป้าแจ๋วเจ้าเก่ามักเรียกเขาว่า ‘นกฮูกตาโต’ ทั้งๆที่เราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
เลยด้วยซ้ำ อยากเจอป้าเหมือนกัน แต่เวลาไม่เอื้ออำนวยให้เจอ…
เขาต้องรีบกลับที่พักไปนอนเพื่อจะได้ลุกขึ้นทำงานขายรถต่อในช่วงบ่าย
กว่าจะมาถึงคฤหาสน์ ป้าแจ๋วเจ้าเก่าก็กลับบ้านไปแล้ว…

แต่ก็ไม่เคยลืมทิ้งรอยน้ำหมีกบนกระดาษพวกนี้เอาไว้ให้เขาทุกครั้ง…
จนเขารู้สึกให้สงสารที่ป้าคงเหงาเพราะไม่มีเพื่อนคุยด้วย
เลยก่อกวนเขาด้วยการเขียนอะไรๆทิ้งให้เขาแบบนี้ทุกวัน…

บางครั้งป้าแจ๋วเจ้าเก่ายังรู้จักตั้งฉายาเขาเป็นภาษาญี่ปุ่นพ้องกับฉายาภาษาไทยให้
พร้อมคำอธิบายเสียด้วย

‘ฟุคุโรคุง…รู้มั้ยฉายานี้ แปลว่า เจ้านกฮูก…เป็นนกแห่งสติปัญญา
เพราะสามารถมองเห็นได้ในที่มืด ซ้ำมันยังไปพ้องเสียงกับคำว่า 不苦労
ซึ่งมันแปลว่า ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยทุกข์ยาก กับอีกคำ
ที่มีเสียงเหมือนกันอีก คือ 福老 ที่แปลว่า ร่ำรวย มั่งมีศรีสุขจนแก่เฒ่า

ส่วนคอที่หมุนได้ 180 องศาของเจ้าฟุคุโรนั้น ก็ไปตรงกับสำนวนในภาษาญี่ปุ่น
ที่ว่า 首が回らない (คุบิ กะ มาวารานะอิ) มีความหมายว่า
เป็นหนี้สินจนหมุนคอไม่ได้หรือมีหนี้ค้ำคอเอาไว้จนคอหมุนไม่ได้

ดังนั้น…เจ้านกฮูกมันก็เลยเป็นตัวไม่มีหนี้…เพราะหมุนคอได้รอบทิศ…
คนญี่ปุ่นเขาจึงถือว่า เจ้านกฮูกหรือฟุคุโรเป็นสัตว์ที่มีความขยัน ร่ำรวย
เพราะคอหมุนได้รอบ เลยไม่มีหนี้…และมีสติปัญญา มองเห็นได้แม้ในที่มืด…

ฉายานี้เลยขอยกให้ด้วยใจนะ…

ปล.ภาษาญี่ปุ่นเป็นอะไรที่สนุกน่าเรียนมากเลยนะ…

แจ๋วเจ้าเก่า’

และนั่นทำให้เขารู้สึกดีไม่น้อย ที่อย่างน้อยๆป้าแจ๋วเจ้าเก่าก็ยังพอเห็นว่าเขามีตัวตน

…และนั่นทำให้เขาชักเริ่มสงสัยว่าป้าแจ๋วเจ้าเก่าเป็นใคร ทำไมถึงได้รู้ภาษาญี่ปุ่น
แล้วทำไมถึงมาเป็นแม่บ้าน…

ถ้ารู้ภาษาญี่ปุ่นก็น่าจะไปทำงานที่ดีและไม่ต้องเหนื่อยแบบนี้ได้สบายๆ
เงินเดือนก็น่าจะได้รับมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป…

แต่นั่นก็เป็นเพียงความสงสัยแค่ชั่ววูบของเขาเท่านั้น

เพราะใจเขายังคงฝักใฝ่และอยากรู้เรื่องของ ‘ผู้หญิงคนนั้น’
อยากเห็นผู้หญิงคนนั้นอีก อยากเห็นทุกวัน…
อยากเป็นมากกว่าคนที่ได้แต่แอบมองอยู่ไกลๆ…


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


“อ่ะ…คืน…” นิมัสรายื่นเงินแบงค์พันเป็นปึกให้พี่สาวที่นั่งรีดเสื้อ
อยู่บนพื้นห้องนอนที่ใช้ร่วมกันกับน้องสาว

“เอามาจากไหน…” คนเป็นพี่มองน้องสาวอย่างคาดคั้น หาได้รับเงิน
ก้อนนั้นมาไว้ในทันที จนคนเป็นน้องที่ยืนอยู่ต้องย่อเข่าลงนั่งชันเข่ากับพื้นห้อง
เพราะกลัวกางเกงที่เพิ่งซื้อมาใหม่จะเปื้อนฝุ่น
แม้จะรู้ว่ายังไงๆ พี่สาวจอมเนียบก็คงไม่มีทางปล่อยให้พื้นห้องมีฝุ่นจับก็ตาม…

“เงินเดือน…”

“มันมากขนาดนี้เลยเหรอ…”

“ก็แค่สองหมื่นห้า…มากตรงไหน…”

คนเป็นพี่ถึงกับตาโตไปกับจำนวนเงินเดือนที่น้องสาวได้รับ เพราะขนาดของเธอทำงาน
เหนื่อยสายตัวแทบขาดยังได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นห้าพันบาทต่อเดือนเลย…

“คนอื่นเขาได้สี่ห้าหมื่น…ส่วนคนที่เขาจบโทจบเอก ได้หลักแสน
ถ้าทำไปนานๆ โบนัสเยอะนะพี่มัส…คราวนี้ล่ะ นิจะได้ไม่ต้องง้อเงินพี่มัสอีก…
จะเอาโบนัสไปผ่อนบ้านสวยๆ…ซื้อรถสวยๆเป็นของตัวเองสักที…” คนเป็นพี่ย่นจมูก

“ให้มันแน่เถอะ…เดี๋ยวก็ออกอีก…เห็นเข้าที่นั่นออกที่นี่มาไม่รู้กี่ที่แล้ว
ไม่ทันได้โบนัสอะไรนั่นสักกะที…”

“อย่าดูถูกไป…ที่นี่เงินดี…งานดี สบายๆ มัสว่ามัสอยู่ได้นานแน่”

“ข้ีคร้านจะถูกเฒ่าหัวงูไล่ล่าจนอยู่ไม่ได้อีก…ก็บอกแล้วว่า
อย่าใส่ชุดล่อเสือล่อตะเข้ไปทำงาน…หัดใส่อะไรๆที่มันเรียบร้อย
ปิดๆให้มันมิดชิดขึ้นมาหน่อย…จะได้ไม่แหลมตาพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอ…
ให้ต้องลำบากลำบนระเห็ดระเหหางานใหม่ไง…”

คนเป็นน้องทำปากจู๋มองพี่สาวในชุดแม่บ้านโทรมๆแล้วแอบยิ้มขัน

“ให้นิแต่งตัวเชยๆอย่างพี่มัสน่ะหรือ ไม่เอาหรอก…เหมือนป้าหลงยุค
ผู้ชายที่ไหนจะชายตามอง…เห็นแต่ลูกกะตาจะไปจับใจอะไรเขาได้ล่ะพี่มัส…
ขี้คร้านจะขึ้นคานเอาน้าา…พอไม่มีใครเอา ก็ไม่มีลูก…แก่ตัวไป…ใครจะดูแล…
เหงาตายเลย…”

น้องสาวแกล้งลากเสียงยาว ล้อพี่สาวที่แต่งตัวเสียเคร่งจนยังไม่เคยมีใครมาจีบ
แฟนอะไรก็ไม่เคยมีกับชาวบ้านเขา

“ก็อยู่กับแมวไง…”

“เวลาพี่ป่วย…แมวมันช่วยป้อนข้าวป้อนยาให้พี่ได้รึเปล่าล่ะ…”
คนเป็นพี่ถึงกับพูดไม่ออก…

“พี่น่ะ…ควรเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้าง…หาเสื้อผ้าสีสันสวยๆมาสวมใส่แทนสีดำพวกนี้บ้าง…
จะได้ดูสดใสขึ้น ไม่ชวนให้ดูหดหู่จนไม่น่าเข้าใกล้แบบนี้…

ขี้คร้านพวกผู้ชายจะวิ่งเข้ามาให้เลือกเพียบ…”

“ชุดแบบนี้มันก็เหมาะกับงานพี่แล้วนี่…จะไปมัวเปลืองเงินซื้อชุดอะไรมากมาย…
ใส่อะไรแต่พอตัวก็พอแล้วนะนิ…เราน่ะไม่ได้ร่ำรวยอะไร…บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่เลย…

แล้วถ้าพวกผู้ชายเหล่านั้นกระโจนเข้ามาหาเราเพราะว่าเราโชว์นั่นนี่ให้เขาดู…
จนเขาน้ำลายหยด แล้ววิ่งเร่มาขอความรักจากเรา...
พี่ว่า…เรายิ่งต้องพิจารณาเขาให้มากๆแล้วล่ะ…”

“โธ่…พี่มัส…ก็ถ้าเราไม่ขยับ ไม่ยอมยกระดับตัวเอง แล้วเราจะได้เจอคนดีๆรวยๆ
เข้ามาในชีวิตหรือพี่มัส…คนรวยคนหล่อที่ไหนเขาจะหันมามองผู้หญิงธรรมดาๆ…

ถึงจะดีและเป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างพี่มัส แต่ผู้ชายที่ไหนเขาจะรู้เขาจะเห็น…
ไอ้ที่เขาเห็นๆน่ะก็พวกรูปกายภายนอกก่อนทั้งนั้น…

ถ้าภายนอกไม่ผ่าน เขาก็กากบาทพร้อมส่ายหน้าตั้งแต่ด่านแรกแล้ว…”

พูดพลางก็ใช้นิ้วม้วนผมของตัวเองไปด้วย…

“และนิน่ะ ไม่สนหรอกคนจน…นิกลัวอด…กลัวลำบาก…
ถ้าได้คนรวยก็สบายไม่ต้องทำงานหนัก…พอมีลูก…ก็จะได้จ้างพี่เลี้ยงมาช่วยเลี้ยงอีกแรง…

แต่ถ้าได้คนจนมาเป็นสามี…นอกจากจะต้องช่วยเขาทำงานหนักแล้ว…ต้องกลับมาทำ
งานบ้าน...ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเอง เหมาเองทุกอย่าง
เพราะไม่มีเงินจ้างพี่เลี้ยง…จะเอาไปฝากใครเลี้ยงก็ต้องจ่ายตังค์ให้เขา…

ได้เงินมาก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง…วนเวียนอยู่กับวงจรของความทุกข์ยากลำบาก
ไม่จบส้ิน…แค่คิดก็เหนื่อยแล้วพี่มัส…”

คนเป็นพี่ลอบถอนใจ ถ้าจะผิดก็คงเป็นเธอแหล่ะที่ผิด ทำให้น้องสาว
ไม่คิดจะหยิบจับงานบ้านจนกลายเป็นสาวสำอาง
มองข้ามงานบ้านและกลัวลำบาก…กลัวการต้องทำงานหนัก…
กลัวความจน…กลัวอดอยาก…

“และถึงนิจะแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้ แต่ก็ไม่เคยให้ใครแอ้มนะพี่มัส…
ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกๆตารางนิ้ว…ขอบอก…”

“ก็ดี…ที่รอดปากเสือปากตะเข้มาได้…พี่ก็ขอให้นิรอดตลอดรอดฝั่ง”

“พี่มัสก็เหมือนกัน…ถ้าพี่รู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง ป่านนี้พี่อาจได้แต่งงาน
ไปกับคนรวยๆบ้างแล้วล่ะ ทำงานบ้านให้มหาเศรษฐีตัั้งนาน
ไม่เจอเจ้าของบ้านบ้างเลยเหรอ…” มัสรานีส่ายหน้า

“ไม่เคยเจอหรอก…แต่ได้ข่าวว่าเป็นผู้หญิง แต่งงานไปกับเศรษฐีบ่อน้ำมัน
ใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านสามี นานๆจะกลับไทยสักที…บางทีกลับไทยมาก็จริง
แต่ก็ไม่ได้มาพักที่คฤหาสน์หลังนั้นหรอก ได้ข่าวว่าไปพัก
บ้านพักตากอากาศแถวๆภูเก็ต กระบี่ หรือไม่ก็ที่เชียงใหม่โน่นแน่ะ
บ้านเขาเยอะ…”

“น่าอิจฉาเนอะ…”

“อืมมมมมม…”

“ดังนั้น…เราต้องพยายาม…หาสามีรวยๆ…ให้เหมือนเจ้าของคฤหาสน์หลังนั้นบ้าง…”
มัสรานีส่ายหน้าให้กับความคิดของน้องสาว

“อย่าหวังขนาดนั้นเลยนิ…คนรวยเขามองแต่คนรวยเหมือนกัน
เขาไม่หันมามองคนจนๆอย่างเราหรอก…เงินต่อเงิน…เคยได้ยินมั้ย”

“แม้จะเป็นคนจนท่ีสวยหรือพี่มัส…” มัสรานีมองหน้าน้องสาว
แล้วตอบโดยไม่ต้องคิดนาน

“ใช่…สวยขนาดไหน ก็คงเป็นได้แค่ไม้ประดับนั่นแหล่ะ…”

“นิไม่ยอมเป็นแค่นั้นหรอก…” คนเป็นพี่ลอบถอนใจยาว

“เรื่องของเธอ…ขอแค่อย่าคิดสั้น ใช้พรหมจรรย์สังเวยก็แล้วกัน…”

“ไม่แน่นอน…เห็นอย่างนี้…นิก็รู้นะพี่มัสว่าการผิดประเวณี
มีอะไรกันก่อนแต่งหรือผิดลูกเมียคนอื่นมันบาป…”

“ก็ดี…ว่าแต่เมื่อไหร่จะรู้จักแต่งตัวเรียบร้อยกับเขาบ้าง”

“โหย…ที่พี่เห็นนิแต่งๆอยู่เนี่ย เรียบร้อยสำหรับสาวยุคนี้แล้วพี่มัส”

“นี่หรือเรียบร้อย เห็นพลีน่องกับร่องอกเนี่ยน่ะหรือเรียบร้อย…
ขาของเธอน่ะเห็นทีไรแล้วอยากจะยืมไปสอยมะม่วงข้างบ้านมาก”

“หืออออ…หรือพี่มัสจะให้นิเปลี่ยนมาแต่งเหมือนพี่มัส…”

“ก็แล้วมันจะยังไง…ในเมื่อพระเจ้าสั่งใช้มาแบบนี้…”

“ไม่เอาอ่ะ…ร้อน อึดอัดจะตาย…แถม…เอ่อ…เชยระเบิดไปเลย
ไม่เอาหรอกพี่มัส…มันไม่ใช่แนวของนิ นิขอเรื่องนี้ไว้เรื่องนึงนะ”

“เรื่องละหมาดก็ด้วยใช่มั้ย…” คนเป็นน้องยิ้มแหย เพราะว่าที่ทำงานของเธอ
ไม่มีสถานที่ทำละหมาด ทำให้ขาดละหมาดไป…

“ก็มันไม่มีที่ให้ทำละหมาดนี่นา…”

“ก็แล้วทำไมไม่หางานอื่นที่มันมีที่ละหมาดให้ล่ะ…”

“ถึงมีที่ทำละหมาด แต่พี่แน่ใจหรือว่าเขาจะให้คลุมฮิญาบ…”

“งานที่พี่ทำไง…”

“แม่บ้านน่ะหรือ…”

“ใช่…งานสุจริต ได้ทำตามบทบัญญัติศาสนาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ไม่มีเกียรติสูงส่งในสังคมมนุษย์ก็จริงนะนิ แต่ก็ได้ทำตามคำสั่งใช้และได้ละเว้น
จากสิ่งต้องห้าม...พี่ได้ทำละหมาดครบห้าเวลา ได้แต่งกายแบบอิสลาม
ได้กินอาหารที่ถูกตามหลักศาสนา เพราะพี่ทำกินเองได้ทุกมื้อ…

ได้หาเงินจากงานสุจริต ถึงไม่มากจนทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้
แต่มันก็ไม่เคยนำไฟมาเผาผลาญตัวพี่เลย…เธอก็รู้ว่าพี่ไม่เคยมีหนี้สินเลย…
นอกจากที่ติดค้างกับพี่ลันเท่านั้น…”

เพราะมันคือค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่พี่ชายส่งเสียเธอ
จนเรียนจบมัธยมหกมาได้สำเร็จ…

“โอเค…นิจะไม่พูดเรื่องนี้กับพี่มัสอีก…เพราะพูดยังไงพี่มัสก็ไม่มีทางเข้าใจนิหรอก…
พี่มัสน่ะเคร่งจัดเกินไปจนเข้ากับคนอื่นไม่ได้แล้ว…

คนเราน่ะ…อยู่ในสังคมปะปนก็ต้องรู้จักหยวนๆบ้าง…จะให้ทำตามหลักการศาสนาเป๊ะเลยน่ะ
มันยากนะพี่มัส…พี่ไม่มีสังคมเหมือนนิ พี่จะรู้หรือว่านิก็ต้องพยายามปรับตัว
ให้เข้ากับคนอื่นๆเขาด้วย…แข็งไป เคร่งเกินไปใครเขาอยู่ด้วยก็อึดอัดแย่สิ…

จะหางานที่ได้เงินเยอะๆหน่อยก็ลำบากเพราะติดตรงเงื่อนไขพวกนั้น
เหมือนที่พี่มัสหาไม่ได้นั่นแหล่ะ…ทั้งๆที่พี่น่ะ…ฟังพูดอ่านเขียนภาษาญี่ปุ่นได้…
แต่ก็ยังยอมทำงานหนัก…ยอมเอาแรงงานเข้าแลก ได้เงินแค่หมื่นกว่าๆต่อเดือนก็ยอม…

ยังไงนิก็ไม่ทำอย่างพี่หรอก เหนื่อยฟรี…และรวยช้า…หาสามีก็ยากด้วย…”

คนเป็นพี่ก้มหน้ารีดเสื้อต่อไป…เพราะพูดเรื่องนี้กับน้องสาวทีไร
เป็นต้องมีปากเสียงกันทุกที

“แต่เงินจากงานต๊อกต๋อยพวกนั้นไม่ใช่หรือที่ช่วยส่งเธอเรียนจนจบมาได้…”

“โอเค…พี่มัสคิดมาเลยว่าพี่เสียมาให้นิเท่าไหร่ นิจะได้จ่ายคืน
ให้ครบทุกบาททุกสตางค์เลย…” คนเป็นพี่มองเงินปึกนึงที่น้องสาว
กระแทกลงบนโต๊ะรีดเสื้อด้วยแววตาแดงก่ำ…

“ถ้าเธอคิดว่าบุญคุณของพี่ที่มีต่อเธอมันมีค่าแค่ไหน…ก็จ่ายมาเท่านั้นแหล่ะ…
ถ้าเหลือ…พี่ค่อยทอนให้…”

คนเป็นน้องถึงกับสะอึก พูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นห้อง…

“ดึกแล้ว…ไปนอนเถอะ…พี่ขี้เกียจทะเลาะเรื่องเดิมๆซ้ำๆซากๆกับเธอแล้ว…
สักวัน…เธอจะเข้าใจด้วยตัวของเธอเอง…ว่าบทบัญญัตของพระเจ้าน่ะ
ให้แต่สิ่งดีๆกับเธอและสังคมโดยรวม…”

มัสรานีหยิบเสื้อที่รีดเสร็จแล้วใส่ไม้แขวนแล้วลุกขึ้นยืนนำเสื้อไปเก็บเข้าตู้
ก่อนจะหันมามองน้องสาว พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“และที่พี่พูดไปหรือให้อะไรกับเธอไป…พี่ไม่เคยต้องการอะไรคืนจากเธอ…จริงๆ…
เก็บเงินก้อนนี้ไว้เถอะ…เอาไปทำอะไรที่เธออยากทำเถอะ…
ที่พี่มีอยู่มันพอสำหรับพี่แล้ว…ถ้าจะมีอะไรที่พี่ต้องการเพิ่ม…พี่ค่อยขอเอากับพระเจ้า…
แล้วค่อยพยายามแสวงหาด้วยกำลังความสามารถที่พี่มีเอา…”

พูดจบมัสรานีก็เดินไปถอดปลั๊กไฟของเตารีดเสื้อผ้า
แล้วหยิบผ้าขนหนูเตรียมเข้าห้องน้ำ

หากน้องสาวกลับหยุดขาของคนเป็นพี่เอาไว้ด้วยประโยคต่อมาว่า

“พี่มัสไม่อยากได้บ้านหรือ…บ้านของเราน่ะ…พี่ไม่ต้องการจริงๆหรือ…”

คนเป็นพี่หยุดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยไร้คำตอบใดๆให้กับน้องสาว…





...........โปรดติดตามตอนต่อไป.....................


ฝากติดตามและติชมเรื่องใหม่ด้วยนะคะ...^^


ขอให้สุขภาพแข็งแรงถ้วนหน้าทั้งกายและใจค่ะ

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ย. 2558, 01:42:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ย. 2558, 22:51:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 2660





   ลำที่ 1 เงื่อนไข >>
ตุ๊งแช่ 16 พ.ย. 2558, 08:48:57 น.
เอามายั่วคนอ่านแล้วเก็บเข้าไหดองอีกป่าวนี่....


แว่นใส 16 พ.ย. 2558, 08:51:14 น.
รักสามเส้าหรือเปล่าเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account