ซุลนูรอยน์...The man with two lights

ซุลนูรอยน์ (Zul Nurain) คือ ผู้ครอบครองรัศมีทั้งสอง
หรือ ผู้มีสองรัศมี


คือ เรื่องราวความรักความผูกพันธ์ในครอบครัว...
และการสร้างครอบครัวภายใต้เงื่อนไขที่ถูกใครบางคนวางขึ้นมาเพื่อให้ตัวละครในเรื่องขับเคลื่อนชีวิตเดี่ยวไปสู่ชีวิตคู่...
จากชีวิตคู่...ไปสู่ครอบครัว


โดยมี 'บ้าน' เป็นรางวัลให้กับผู้ชนะที่ทำตามเงื่อนไข
ทั้งหมดได้...จนจบเกม


เมื่ออึกหนึ่งเหมือน 'ไฟเย็น'

ส่วนอีกหนึ่งเหมือน 'น้ำร้อน'

และ...

เมื่อร้อนกระหาย...ดับได้ด้วยน้ำเย็น
แล้วถ้าร้อนรนด้วยกิเลสของความอยาก...จะดับด้วยกับอะไร

และ

บ้านจะอบอุ่นได้...จะต้องใช้อะไรอบถึงจะอุ่น...


และ

ซุลนูรอยน์...จะเป็นฉายาของใคร ???


Tags: ดราม่า คาเวห์ มัสรานี มัสลัน นิมัสรา โซรัน ซูไฮล่า ซุลนูรอยน์ ผู้ครอบครองรัศมีทั้งสอง ความสัมพันธ์ในครอบครัว บ้าน

ตอน: ลำที่ 1 เงื่อนไข


สามเดือนต่อมา…

มัสรานีถูกนัดหมายให้พบกับผู้จัดการที่ทางเจ้าของคฤหาสน์ที่เธอทำงาน
ได้มอบอำนาจในการดูแลความเป็นไปต่างๆในส่วนของคฤหาสน์และเงินเดือนของเธอ
ซึ่งเป็นเวลาเย็นหลังจากหมดเวลาดูแลคฤหาสน์ของเธอ
และเป็นเวลาของ ‘นกฮูกตาโต’ ต้องมารับภาระหน้าที่ในยามค่ำคืนแทน…

และนั่นทำให้เธอได้พบกับโฉมหน้าของเขา…ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่ยังฝั่งตรงข้ามกับเธอ
โดยมีผู้จัดการนั่งตรงหัวโต๊ะในห้องทำงานใหญ่

...เหมือนความทรงจำหวนคืน…สายลมพันหวน…
เมื่อเขาคนนั้นคือคนๆเดียวกับชายหนุ่มในร้านหนังสือที่ทำเธอเก็บเอาไปฝันถึงอยู่หลายคืน…
ทั้งๆที่ไม่ได้คิดอะไร…

“ขอบคุณคุณสองคนมากที่ช่วยกันดูแลบ้านหลังนี้ให้เป็นอย่างดีมาตลอดระยะเวลาสามปี…
ฉัน…ได้รับมอบหมายจากคุณโซรันลูกชายของคุณซันเดีย อดีตเจ้าของบ้านหลังนี้…

เนื่องจากคุณซันเดียได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินต่างๆของท่าน
ให้กับคุณโซรันและคุณซูไฮล่า ซึ่งทั้งสองคือทายาทของท่าน…
และบ้านหลังนี้ก็ได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของคุณโซรัน…”

ทั้งสองพยักหน้ารับความเปลี่ยนแปลงที่ได้รับแจ้งจากทางผู้จัดการโดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ

“คุณโซรัน…มีธุรกิจมากมายในต่างประเทศ…และท่านไม่ได้มีความคิดอ่าน
ที่จะกลับมาตั้งรกรากในเมืองไทย…ซึ่งท่านได้รับรายงานการทำงานของคุณทั้งสอง
มาโดยตลอด…ท่านพ่อใจมากกับความซื่อสัตย์ของคุณสองคน…”

คาเวห์เหลือบมองหญิงสาวชุดดำที่คลุมปกปิดร่างกายทุกสัดส่วน
ยกเว้นแค่ดวงตาเพียงนิด

และนั่น ไม่อาจทำให้เขาคาดเดาอายุของอีกฝ่ายได้เลย…

“คุณโซรันจึงร่างเงื่อนไขให้คุณทั้งสองพิจารณา…และเงื่อนไขทั้งหมดอยู่ในนี้…”

พูดจบก็ยื่นกระดาษให้ทั้งสองคนละชุด ในนั้นมีข้อความที่ถูกพิมพ์เป็นภาษาไทย…

“เอาไว้คุณค่อยกลับไปอ่านรายละเอียดทีหลังก็แล้วกันนะคะ…
ส่วนฉันจะสรุปนัยยะสำคัญในเงื่อนไขเหล่านั้นให้คุณทั้งสองฟังคร่าวๆ”

ทั้งสองเงยหน้าจากกระดาษที่เพิ่งก้มมองดูเผินๆขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ซึ่งเป็นหญิงในวัยกลางคน

“คุณโซรันมีเงื่อนไขสำหรับคุณสองคนเท่านั้น…หากคนหนึ่งคนใดทำตาม
เงื่อนไขทั้งหมดได้สำเร็จ…คฤหาสน์หลังนี้จะเป็นของคนๆนั้นโดยสมบูรณ์…”

หนุ่มสาวทั้งสองถึงกับก้มมองกระดาษในมือราวกับว่ามันคือสิ่งมีค่าเหนือกระดาษทั่วไป…

“ประการแรก…คุณสองคนต้องแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาทุกอย่าง…
มีการจดทะเบียนสมรส…แล้วให้เปลี่ยนจากการจัดงานเลี้ยงทั่วไปมาเป็นการเลี้ยงอาหาร
แก่เด็กกำพร้าและคนชราที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนชรา
ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของคุณโซรัน เพราะคุณโซรันเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าวขึ้นมา…

หลังจากนั้นให้คุณทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ด้วยกัน
โดยห้ามนำบุคคลอื่นมาร่วมอยู่บ้านด้วยเป็นอันขาด…

ต้องนอนห้องเดียวกันห้ามออกจากห้องนอนจนกว่าจะถึงเวลารุ่งอรุณ
ยกเว้นว่ามีเหตุจำเป็นเท่านั้น…”

ผู้จัดการวัยกลางคนหยุดเพื่อสูดลมหายใจเข้าปอดและพักเหนื่อยก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า

“และที่สำคัญ…หากคุณสองคนไม่อาจทนอยู่ร่วมกันได้…ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่
ก็สามารถให้หย่าขาดจากกันได้…แต่ใครเป็นคนขอหย่าก่อน…คนนั้นคือผู้สละสิทธิ์…

ซึ่งหมายความว่า…ใครอดทนที่จะไม่หย่ากันและอดทนที่จะอยู่ร่วมกัน
โดยไม่มีการขอหย่าเกิดขึ้นก่อน…คนๆนั้นคือผู้ได้รับคฤหาสน์หลังนี้ไป…

และมีแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะได้ไป…”

“ไม่มีทางที่เราทั้งสองจะได้ร่วมกันเลยหรือคะ…”

หญิงสาวเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยมากกว่าจะคิดเป็นอย่างอื่น…
ทำเอามุมปากที่ไม่ใคร่จะแย้มยิ้มของคาเวห์ยกขึ้นเพียงนิด

“ไม่ค่ะ…คนหนึ่งคนใดจากคุณสองคนเท่านั้นที่จะได้ไป…”

“และถ้าคนหนึ่งคนใดได้คฤหาสน์หลังนี้ไปแล้ว…แล้วหวนกลับมาคืนดีกัน
หรือกลับมาแต่งงานอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาไม่ว่าจะทางพฤตินัยหรือนิติยันอีกครั้ง
ในภายหลัง…หรือพบว่าแอบอยู่ด้วยกันไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง…ที่บ่งบอกว่า
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองเป็นมากกว่าคนรู้จักกัน…

คฤหาสน์หลังนี้ก็จะหวนกลับไปหาเจ้าของคนเดิมในทันที
ที่พบหลักฐานและมีพยานยืนยัน

…ซึ่งรายละเอียดท้ังหมดอยู่ในกระดาษที่คุณสองคนถืออยู่…
ขอให้อ่านและใคร่ครวญให้ดีก่อนตัดสินใจนะคะ

…เพราะนี่คือ…ชีวิตของคุณสองคน…”

“คุณโซรันนี่อายุเท่าไหร่ครับ…”

เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้าราบเรียบ นิ่งเฉย ไร้อารมณ์

“สามสิบค่ะ…”

“ผมนึกว่าสิบสาม…”

ผู้จัดการมองใบหน้านิ่งๆของคาเวห์แล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างชอบใจกับความตรงไปตรงมา

“ฉันก็เคยคิดเช่นนั้นตอนที่เพิ่งทราบเรื่องนี้…แต่ฉันคงตอบอะไรไม่ได้มากนัก…
นอกจากจะบอกคุณสองคนว่า…คุณโซรันเป็นคนพูดจริงทำจริง…นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

ถ้าคุณสองคนสนใจคฤหาสน์หลังนี้…ท่านยินดียกมันให้ได้เพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ที่ทำตามเงื่อนไขทั้งหมดได้…

และขอย้ำว่า…ใครหย่าก่อนถือว่าสละสิทธิ์...ทำให้สิทธิ์นี้ตกไปอยู่กับผู้ที่ถูกหย่าแทน…”

คนพูดถอนหายใจออกมาเมื่อหันไปมองมัสรานีที่เอาแต่ก้มหน้ามองกระดาษแผ่นนั้น…

“ถ้าคุณสองคนตกลง คุณโซรันจะให้คนนำกล้องวงจรปิดมาติดไว้ทุกจุดทุกมุม
ยกเว้นภายใน ห้องครัว ห้องน้ำและห้องนอนส่วนตัวเท่านั้น…

อันนี้จำเป็นต้องเรียนให้คุณทั้งสองรับทราบไว้เสียก่อนที่จะตัดสินใจค่ะ”

คาเวห์ส่ายหน้าไหวๆ…เขาไม่ชอบให้ใครมาสอดส่องพฤติกรรมของเขาเลย

…และน่ีมันเป็นความคิดบ้าๆที่เขาเพิ่งได้ยินมา ผู้ชายคนนั้นเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
ถึงคิดทำอะไรประหลาดๆแบบนี้ขึ้นมา...สงสัยว่าคนรวย ไม่มีอะไรสนุกๆทำ
เลยหาเรื่องชาวบ้านแก้เซ็งเล่น...

“แต่ถ้าคุณสองคนไม่สนใจมัน…คุณโซรันก็จะให้มีการประมูลคฤหาสน์หลังนี้ขึ้น
เพื่อขายให้กับมหาเศรษฐีที่ต้องการมัน มีอยู่หลายรายทีเดียวค่ะ…
และฉันคิดว่า…นั่นอาจทำให้คุณสองคนตกงาน…ในทันที…”

คนที่ก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในกระดาษอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองผู้จัดการทันที…
แววตากลมโตถึงกับเบิกกว้างทีเดียว…

และไม่ใช่แค่หญิงสาวที่ตกใจชายหนุ่มก็ถึงกับยืดตัวตรง
ด้วยแววตาตกใจไม่แพ้กันกับประโยคล่าสุดนั่น

“ขายเลยหรือ…เขาไม่เสียดายมันเลยหรือคะ…”

“คุณโซรันคิดว่า…ปล่อยไว้แบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไร…บ้านควรเป็นบ้านให้มากกว่านี้…
บ้านควรมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ด้วยกัน และเมื่อคุณโซรันไม่สามารถ
มาอยู่อาศัยที่นี่อย่างถาวรได้…และแทบจะไม่มีโอกาสได้มาอยู่

บ้านหลังนี้ก็ควรจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ดีกว่าปล่อยให้ร้างไร้สมาชิกในครอบครัว
ต่อไปเรื่อยๆอย่างที่เคยเป็นมา…

คุณโซรันบอกว่าเห็นใจบ้านหลังนี้ที่ถูกทอดทิ้งให้อ้างว้างค่ะ”

มัสรานีก็รู้สึกเช่นนั้น รู้สึกสงสารบ้านหลังนี้มาตลอด…
ท่ีสวยงาม ไร้ท่ีติ แต่ขาดชีวิตชีวา…ขาดคุณค่าที่แท้จริงของคำว่า ‘บ้าน’

“แต่ก่อนจะขาย…ท่านอยากเสนอเงื่อนไขนี้ให้คุณสองคนที่อยู่กับมันมาสามปีกว่า
ได้พิจารณาก่อน…และคุณโซรันให้เวลาคุณสองคนคิดทบทวนก่อนตัดสินใจ
เป็นเวลาสามวัน…สามวันเท่านั้นค่ะ…”

มัสรานีเหลือบมองชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่งอีกฟากหนึ่งชั่วแว้บ
แล้วหันกลับไปยังผู้จัดการ…

“วันนี้ฉันคงรบกวนเวลาของคุณสองคนเพียงเท่านี้ล่ะ…
อีกสามวันเราค่อยเจอกัน…ที่นี่ เวลาเดียวกันค่ะ…”

ร่างท้วมลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วยิ้มให้ท้ังสอง ก่อนจะก้าวเดินออกไปจากห้อง…
มัสรานีลุกตาม เพราะรู้สึกประหม่าไม่กล้านั่งกับชายหนุ่มตามลำพังสองต่อสองขึ้นมา

“เดี๋ยวสิป้า…” มัสรานีที่ยืนอยู่หน้าประตูทางออกถึงกับชะงักขา
ที่กำลังจะก้าวตามหลังผู้จัดการไปติดๆ กลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ…

…ป้าเลยเหรอ…นี่เธอกลายเป็นป้าไปแล้วเหรอเนี่ย…

“ขอทราบอายุป้าได้มั้ย…” มัสรานีหันไปยังเบื้องหลังก็พบเขายืนพิง
เก้าอี้ที่เขานั่งเมื่อครู่ สายตาจดจ้องมาที่เธอด้วยสีหน้าราบเรียบ

“ยี่สิบเก้าค่ะ…” คนฟังถึงกับเลิกคิ้วสูง แววตาเหมือนจะส่อแววประหลาดใจ

“เท่ากัน…”

“เท่ากันหรือคะ…”

“ถ้าป้าไม่ฉ้อโกงอายุตัวเอง…เราก็อายุเท่ากัน…”

“ไม่มีใครเขาทำแบบนั้นหรอก…”

“ใครจะไปรู้…ว่าแต่…สนใจหรือ…เห็นก้มหน้ามองกระดาษไม่คลาดสายตาทีเดียว…”

มัสรานีถึงกับตอบไม่ถูก รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะว่านานทีจะได้คุยกับผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ชาย

แล้วผู้ชายคนนี้ก็มีแววตาที่ทำเธอเนื้อตัวสั่นได้ตลอดเสียด้วยสิ…รู้สึกขาดความมั่นใจ
ในตัวเองยามเมื่อเผลอไปสบตากับเขาหรืออยู่ในรัศมีท่ีสายตาของเขาส่งมาถึง
มันร้อนๆหนาวๆ ประหลาดชอบกล

“สนใจบ้านค่ะ…สงสารมัน…” มุมปากของคาเวห์กระตุกเพียงนิด
ก่อนจะกระแอมไอออกมากับวาจาที่ดูตรงไปตรงมาเสียเหลือเกินของอีกฝ่าย

“สวยแต่น่าสงสารใช่มั้ย…”

“ค่ะ…” หญิงสาวก้มหน้าไม่กล้ามองและสบตากับอีกฝ่าย

“ขอตัวก่อนนะคะ ค่ำมากแล้ว…”

“เชิญครับป้า…” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังเรียกเธอว่า ‘ป้า’ อยู่อีก
ทั้งๆที่รู้แล้วว่าอายุเธอกับเขาเท่ากัน

“ลุงก็ดูแลบ้านต่อไปก็แล้วกัน…เพราะอีกไม่นาน…คงไม่มีโอกาสแล้ว”

คนที่ถูกย้อนกลับว่า ‘ลุง’ ถึงกับกระตุกมุมปาก รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่าย
ไม่ค่อยพอใจนักที่เขาเรียกว่า ‘ป้า’ แต่จะให้เรียกอะไรได้เล่า
ในเมื่อเขายังไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามของเจ้าหล่อนเลย…

รู้แต่เพียงว่าเป็นคนๆเดียวกับ ‘แจ๋วเจ้าเก่า’ ก็เท่านั้น…

ชายหนุ่มจึงได้แต่มองแผ่นหลังของคนที่เดินจากไปแล้วลอบถอนใจเฮือกใหญ่
เมื่อมองไปรอบๆบริเวณบ้าน…ยอมรับว่าผูกพันธ์…และน่าเสียดาย
ถ้ามันจะหลุดลอยไปเป็นของคนอื่นท่ีไม่รู้จะดูแลมันอย่างไรต่อไป…


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


มัสรานีเดินกลับออกไป ไม่วายหันกลับมามองคฤหาสน์หลังงามอีกครั้ง
อยู่ๆน้ำตาก็พลันใหลออกมา…หญิงสาวปาดน้ำตาแล้วหันหลังให้กับมัน
เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆโรยตัวลงมา
ปกคลุมทุกพื้นที่ที่เธอก้าวเดินไป…จิตใจของเธอในตอนนี้ปราศจากความมั่นคง
ดั่งที่เคยเป็นมา…มันทั้งสับสน วุ่นวายใจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน…

กลับบ้านเช่าไปก็พบว่าพี่ชายกำลังนั่งกุมขมับอยู่

“มีอะไรหรือพี่ลัน…” คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นมองน้องสาวแล้วส่ายหน้า
แล้วก้มหน้ากุมขมับต่อ มัสรานีจึงนั่งลงข้างๆพี่ชาย ยกมือขึ้นสัมผัสลำแขนนั้นเบาๆ

“มีอะไรรึเปล่าพี่ลัน…หรือทะเลาะกับพี่หวานมาอีก”

คนเป็นพี่เงยหน้าขึ้นสบตากับน้องสาวแล้วพยักหน้า

“หวานเขากังวล…เกี่ยวกับอนาคตของเรา…แม่เขาก็ขีดเส้นตาย
ให้พี่แต่งงานกับลูกสาวของเขาภายในเดือนกุมภาฯปีนี้…เขาว่าหลังจากเดือนกุมภาฯ
ก็ไม่เหมาะจะแต่งงานแล้ว เพราะว่ามันเป็นเดือนร้อน กว่าจะผ่านร้อนไปได้
ก็หลายเดือน...เลยอยากให้แต่งซะเดือนกุมภาฯ ฤกษ์งามยามดีที่สุดแล้ว
สำหรับหวาน...”

“ให้เวลามาแค่นี้…จะเป็นไปได้หรือพี่ลัน…เงินค่าแต่ง ค่าสินสอดอีก…
เป็นแสนเลยนะพี่…”

“ก็นั่นแหล่ะที่พี่กำลังกลุ้มอยู่…จะกู้เขามาก็ไม่มีอะไรไปค้ำ…
ที่ดินสักผืน รถสักคันก็ยังไม่มีเลย…เงินเดือนก็แทบชักหน้าไม่ถึงหลัง
และเหมือนทางโน้นจะบีบพี่ให้เลือกแล้ว…ว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลัง…

และพี่ก็รักหวานมาก…พี่ไม่อยากสูญเสียเขาไป…แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง”

“แค่นิกะห์ (สมรส) เฉยๆก็ไม่ได้หรือพี่ลัน…” มัสลันมองน้องสาวแล้วส่ายหน้า

“ต้องมีงานเลี้ยงด้วย…เพราะหวานเขาเป็นข้าราชการ…มีหน้ามีตา มีตำแหน่งค้ำคออยู่
จะแต่งเงียบๆไม่บอกใคร…หรือจัดงานเล็กๆ แม่เขาไม่ยอม…เขาอายเพื่อนผอง
และคนอื่นๆในสังคมน่ะ…”

“สินสอดก็ต้องแพงด้วยใช่มั้ย…”

“ห้าแสน…ทองห้าบาท…ไม่รวมค่าจัดงานแต่งงานที่แม่เขาโยนลงมาบนหัวพี่ด้วย…”

มัสรานีกลืนน้ำลายลงคอเฮือกๆ ชักเริ่มเห็นใจคนที่อยากจะแต่งงาน แต่ไม่ได้แต่งเสียที
คบกันมาก็เกือบสิบปีแล้วแท้ๆ

“แล้วตอนนี้พี่มีเก็บอยู่เท่าไหร่…”

“สองแสนเอง…เก็บมาทุกปี…ประหยัดจะตายอยู่แล้วก็ยังไม่พอค่าแต่งงานสักที…
พี่ไม่รู้จะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากใครแล้วมัส…”

“มัสมีเก็บอยู่แสนนึง…กะจะเก็บสะสมเอาไว้ซื้อบ้านของเราสามคน…
แต่มัสยกให้พี่ลันก็ได้นะ…”

คนเป็นพี่มองน้องสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าน้องสาวที่มีเงินเดือนน้อยกว่าเขา
จะเก็บเงินได้เป็นแสนกับเขาเหมือนกัน…

“แสนนึงเลยหรือมัส…”

“อืม…ยกให้เลย…”

“ยกให้พี่จริงๆหรือมัส…”

“จริงสิ…พี่ลันเคยดูแลส่งเสียมัสมาตั้งแต่พ่อกับแม่เสีย…แค่นี้ยังเทียบไม่ได้กับที่พี่ให้มัสมา…”

มัสรานียิ้มกว้าง…แม้ส่วนลึกจะนึกกังวลเกี่ยวกับอนาคตอันร่อแร่ของตน
ที่จวนเจียนจะตกงานอยู่รอมร่อ ซึ่งอาจต้องเตรียมหางานใหม่อีกครั้ง…ทุนรอนก็สำคัญ
แต่เมื่อเห็นพี่ชายกำลังเดือดร้อนหนักเช่นนี้ จะไม่ช่วยก็ใจร้ายใจดำเกินไป…

ช่างเถิด…เอาไว้ค่อยคิดว่าจะเอาอย่างไรกับตัวเองดี…เพราะเธอไม่มีคนรักเหมือนพี่ชาย…
ลำพังเลี้ยงดูตัวเองให้รอดไปวันๆ คงไม่ยากเท่าไหร่

ค่อยกลับไปกินข้าววันละมื้อก็แล้วกันเรา…

“ขอบใจเธอจริงๆ…” คนเป็นพี่ทอดมองน้องสาวด้วยแววตาซาบซึ้ง

“แล้วอีกสองแสนกับทองห้าบาทมันหนักอยู่นะพี่ลัน…พี่จะทำไง…”

“ยังไม่รู้เหมือนกัน…”

“ลองต่อรองเขาดูสิ…”

“ไม่ได้หรอก…แม่เขาจะด่าให้น่ะสิ จะหาว่าเราไม่ให้เกียรติเขา ดูถูกลูกสาวเขา…
พี่ไม่อยากให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาอีก…”

“ก็เรามีแค่นี้นี่นา…จะไปกู้เขาให้เป็นหนี้เป็นสินทำไม…ต่อไปก็ต้องมาใช้ชีวิตคู่
อยู่ด้วยกันแล้วแท้ๆ…มันจะดีหรือพี่ลันที่เราจะแต่งงานกันโดยการมีจุดเริ่มต้น
ของการเป็นหนี้น่ะ…แค่เริ่มก็ไม่ราบรื่นแล้ว…”

“แม่เขาบอกว่า…ถ้าแค่นี้พี่ทำไม่ได้…แล้วพี่จะดูแลลูกสาวของเขา
ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีต่อไปได้ยังไง…ซึ่งมันก็จริงของเขา…”

“ก็พี่ไม่ได้ดูแลพี่หวานด้วยเงินทองอย่างเดียวไม่ใช่หรือ…
แค่เงินอย่างเดียวมันดูแลใครให้เป็นผู้เป็นคนไม่ได้หรอกพี่ลัน…

เด็กที่โตมาด้วยเงินอย่างเดียว กับชีวิตคู่ที่หล่อเลี้ยงกันด้วยเงินตราอย่างเดียวน่ะ…
มัสว่าผลลัพธ์มันก็ไม่ได้แตกต่างกันนักหรอก…”

มัสรานีรู้สึกไม่พอใจที่เหมือนทางโน้นจะดูถูกพี่ชายของเธอเกินไป…

“งั้นคนจน…ก็ไม่มีสิทธิ์เลี้ยงดูใครเลยน่ะสิ…ไม่มีสิทธิ์ได้แต่งงาน
ไม่มีสิทธิ์ได้มีคู่ครองกับชาวบ้านเขา…อย่างนั้นใช่มั้ยพี่ลัน…”

คนเป็นพี่ได้แต่ก้มหน้า กุมขมับกับปัญญาใหญ่

“หวานเขาไม่ได้รังเกียจพี่…เธอก็รู้…”

“แต่แม่เขาเหมือนไม่ต้องการลูกเขยจนๆอย่างพี่…มัสเข้าใจถูกต้องใช่มั้ย…”

“อาจจะแค่ต้องการลองใจพี่ อยากให้พี่พยายามกว่านี้ก็ได้…”

“ง้ันพี่หวานไม่ต้องรอเงินอีกสามแสนนั่นเพื่อจะลงจากคานหรือพี่ลัน…
พี่กับพี่หวานน่ะสามสิบห้าแล้วนะ…รอไปอีก…ก็แก่ขึ้นไปอีก…
แล้วเมื่อไหร่พี่จะมีลูก…กับคนอื่นเขาบ้าง…มัสน่ะเห็นเพื่อนๆพี่เขาแต่งงานไป
กันเกือบหมดแล้ว…มีลูกกันหมดแล้ว…บางคนมีลูกโตจะเข้ามหาลัยแล้วด้วยซ้ำ…
ไม่เห็นจะมีใครเขายุ่งยากเหมือนพี่เลย…

มัสว่ารอไปอีกสิบปี ก็ไม่ได้แต่งหรอก…ถ้าคิดจะรอเงินจำนวนนั้นให้ครบ…”

“ก็…พวกนั้นมันมีปัญญาจ่ายค่าสินสอดให้ได้นี่นา…แต่พี่มันไม่มีปัญญา…
เขาก็ไม่ได้เรียกร้องมากมายเลย สมัยนี้ใครๆเขาก็เรียกค่าสินสอด
กันประมาณนี้ทั้งนั้น…”

“ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาที่แต่งๆไปแล้วเขาพยายามอะลุ่มอะล่วย
รอมชอมและหยวนๆให้กันหรอกหรือพี่ลัน…

เพื่อนพี่ที่รวยๆเขาก็สามารถจ่ายค่าสินสอดหลักแสนหลักล้านโดยที่ขนหน้าแข้ง
ของเขาไม่ร่วง…เพราะเขามีจ่าย…อัตราส่วนของสิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดกับที่ต้องเสียไปมันต่างกัน…

ส่วนคนที่จนพอๆกับเราก็จ่ายค่าสินสอดแต่พอมี…ตามกำลังความสามารถ…
ไม่ได้หมายจะขูดรีดกันแบบนี้…อันนี้เขาเรียกว่า…ขอกันจนหมดเนื้อหมดตัวเลยนะ…
เรียกเสียเกินตัว เกินที่จะมีให้เขาด้วยซ้ำ…เหมือนไม่อยากให้พี่ได้ลูกสาวเขาไป…
เลยเอาเหตุผลพวกนี้มาอ้าง…”

“แต่สำหรับสมัยนี้แล้ว…สินสอดห้าแสนมันธรรมดามากเลยนะมัส
ถ้าน้อยกว่านี้…คนเขาจะมองยังไง…หวานเขาก็…ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
ซ้ำยังมีหน้ามีตาในสังคมอีก…สำหรับหวาน...แค่ที่แม่เขาเรียกมา
มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ...”

“ธรรมดาสำหรับคนที่เขามี แต่มันยากสำหรับคนไม่มีน่ะสิ…
คนเราไม่ได้เกิดมาร่ำรวยกันทุกคนนะพี่ลัน…แล้วคนจนๆเขาอยู่กิน มีลูกเต็มบ้านได้ยังไง…

และมัสขอบอกเลยว่า…คุณค่าของผู้หญิงไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าได้สินสอดมากหรือน้อยหรอก…
เพราะเราไม่ใช่สิ่งของ…เราแต่งงานด้วยความพึงพอใจของเรา…
กับคนที่เราพอใจจะแต่งด้วย…

สำหรับมัส…เรื่องสินสอดไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย…
ถ้ามัสพอใจจะแต่ง…แค่แหวนวงเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับมัส…

เพราะส่ิงที่สำคัญ…มันคือเรื่องราวหลังจากแต่งกันไปแล้ว…
ว่าเราจะประคับประคองชีวิตคู่ของเรายังไงให้ราบรื่นมากกว่า…”

“ก็เราไม่มีพ่อมีแม่แล้วนี่มัส…จะยังไงก็ได้ตามแต่เรา...”

“แล้วศาสนาอิสลามบอกให้เราทำแบบนี้หรือพี่ลัน…
บอกให้เราเรียกมะฮัร (สินสอด) เยอะๆหรือ…บอกให้เราจัดงานแต่งงานให้ยิ่งใหญ่หรือ?…
สอนให้เราอวดร่ำอวดรวยหรือ?…สอนให้เราใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายหรือ?…
สอนให้เราไปยุ่งกับดอกเบี้ยหรือ?…

มัสจำได้แค่ว่า…อิสลามสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย…สมถะ กินอยู่อย่างง่ายๆ
แต่ไม่มักง่าย…และมัสมั่นใจว่าถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ ท่านจะไม่ทำกับมัสกับคนท่ี่มัส
อยากจะแต่งงานด้วยแบบที่แม่ของพี่หวานทำกับพี่หวานและพี่ลันหรอก…”

มัสรานีเอ่ยออกมาด้วยแววตามั่นอกมั่นใจ

“เพราะตามหลักศาสนาแล้ว…มะฮัรฺ (สินสอด) ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม
ที่ฝ่ายชายได้มอบเป็นของกำนัลแก่ฝ่ายหญิง เจ้าสาวเท่านั้นที่มีสิทธิ์เหนือมัน…
พ่อกับแม่หรือคนอื่นๆไม่มีสิทธิ์แตะต้อง…เว้นแต่ว่าเจ้าสาวจะยกให้เท่านั้น…
มันไม่ใช่ค่าน้ำนมหรือค่าเลี้ยงดูนะพี่ลัน…แม่ของพี่หวานน่าจะรู้ แต่ทำไมถึงทำแบบนี้…”

“ท่านบอกพี่กับหวานว่า จะยกทุกอย่างให้หวานนั่นแหล่ะ จะไม่แตะต้องมัน…”

“ก็ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว ทำไมต้องให้ยุ่งยากด้วยล่ะพี่ลัน…”

“ท่านอยากได้หลักประกันให้หวานเขา ว่าถ้าแต่งงานกับพี่ไปแล้ว
จะได้มีทุนรอนส่วนตัวเอาไว้…อย่างน้อยเงินส่วนนั้นก็เป็นของหวาน
พี่เองก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายถ้าหวานไม่ยินยอม…แม่เขาอยากให้หวานเก็บไว้
เผื่อวันใดพี่เกิดทอดทิ้งหวานเขาขึ้นมา…หวานจะได้มีอะไรเอาไว้ตั้งหลัก…”

“เฮ้อ…” มัสรานีลอบถอนใจยาว

“คิดเลยเถิดไปถึงเรื่องหลังแต่ง ทั้งๆที่ปัญหาก่อนแต่งวางอยู่ตรงหน้า”

ว่าแล้วก็ตบบ่าพี่ชายเบาๆอย่างให้กำลังใจ พร้อมกับพูดออกมาว่า

“ผู้ใหญ่ก็มักกังวลเรื่องของอนาคตลูกหลานทั้งนั้นแหล่ะมัส…”

“กังวลเรื่องอนาคตจนทำลายสิ่งดีๆในวันนี้…มัสว่าไม่คุ้ม…”

“พี่เข้าใจแม่ของหวานเขานะมัส…ถ้าจะผิดก็คงผิดที่พี่…มันมีไม่พอ…”

“ที่พี่มีไม่พอมันคือของนอกกาย…พี่ลันไม่สูบบุหรี่ ไม่ยุ่งกับการพนัน
ไม่กินเหล้า ไม่ติดยา…ขยันทำงาน ซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ…
และประหยัด รู้จักอดออม…ไม่สุรุ่ยสุร่าย…ไม่เจ้าชู้…
แถมยังส่งเสียตัวเองเรียนจนจบปริญญาโท ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย
เพื่อจะได้ทัดเทียมกับพี่หวาน ไม่ให้พี่หวานต้องอับอายใครว่ามีแฟนไม่เอาถ่าน

ทุ่มเทเพื่อจะได้สร้างอนาคตดีๆกับผู้หญิงที่ตนรักขนาดนี้...
ผู้ชายแบบนี้…ในสมัยนี้หาง่ายหรือ…มัสยังหาไม่ได้เลย…

ถ้ามัสเจอผู้ชายที่มีลักษณะเหมือนพี่ลัน มัสไม่อยู่มันหรอกบนคานน่ะ…
จะกระโดดกอดคอเขาลงจากคาน ไร้เงื่อนไขใดๆเลยทีเดียว…”

“มัสอย่าไปโทษใครเลย…งานนี้พ่ีผิดเต็มๆ…ที่ดีไม่พอ…
สิบปีที่ผ่านมาพี่ควรจะมีปัญญาขอหวานแต่งงานได้แล้ว แต่พี่ก็ไม่มีปัญญาที่จะทำได้…
พี่ได้แต่ดองเขาเอาไว้ จนคนอื่นๆไม่กล้าจีบเขา…ทำให้เขาขาดโอกาสเจอคนที่ดีกว่าพี่…”

"ก็พี่ต้องส่งเสียตัวเองเรียนไปด้วยนี่นา...เก็บได้สองแสนนี่มัสว่าประหยัด
และรัดเข็มขัดสุดๆแล้ว.." คนเป็นน้องถอนใจยาวกับปัญหาของพี่ชาย
ที่ถ้าเธอเป็นพี่หวาน เธอจะไม่สร้างปัญหาแบบนี้ขึ้นมากดดันคนรักแน่นอน!

“มัสเริ่มเข้าใจแล้วว่า…ทำไมท่านนบีมุฮัมหมัดถึงได้พูดเอาไว้
เมื่อพันกว่าปีก่อนว่า

…เมื่อการแต่งงานเป็นเรื่องยาก…การซีนา (ผิดประเวณี) ก็จะเป็นเรื่องง่าย…

มันใช่เลยพี่ลัน…และนี่แหล่ะที่ทำให้ลูกซีนา (ลูกที่เกิดจากการผิดประเวณ)
มีมากบนหน้าแผ่นดินเราในทุกวันนี้…

กี่ชีวิตแล้วที่ถูกทำแท้ง…กี่ชีวิตแล้วที่ถูกแม่ของตัวเองทอดทิ้งและฆ่าตาย
หลังจากที่ลืมตาดูโลกมาได้ไม่กี่วัน…กี่ชีวิตแล้วที่พ่อเด็กไม่รับผิดชอบ…
เพราะไม่แน่ใจว่าใช่ลูกตัวเองร้อยเปอร์เซ็น
กี่ชีวิตแล้วที่ไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า…ไม่มีพ่อแม่คอยให้ความอบอุ่น…

แล้วคนที่ทำให้เกิดขึ้นมาเคยยื่นหน้าออกมารับผิดชอบต่อความเสียหายเหล่านั้น
บ้างรึเปล่า…เมื่อเด็กๆเหล่านั้นโตขึ้นมากลายเป็นปัญหาของสังคม…

และก็เป็นเด็กนั่นแหล่ะที่โดนทำโทษไป…พ่อแม่ที่เป็นต้นตอของปัญหา
คนที่ทอดทิ้งและแต้มสีดำให้ลูกก็ลอยตัวเหนือปัญญาต่อไป…
ไม่เห็นมีใครจับหรือทำโทษสักเท่าไหร่เลย...

กฎหมายสำหรับเรื่องนี้มันอ่อนเกินไป เลยไม่มีใครเกรงกลัวกัน
เด็กๆเลยถูกทำร้ายทั้งจากพ่อแม่และสังคม...เป็นเหยื่ออารมณ์กันต่อไป...”

พูดแล้วก็หันไปสบตากับพี่ชายด้วยแววตาซักไซ้

“มัสหวังว่าพี่ลันจะไม่ทำซีนานะ…เพราะมันบาป…พระเจ้าทรงกริ้วต่อบรรดาผู้ทำซีนามาก…

และทางรอดของเรื่องนี้ก็คือ…พี่ต้องทำให้การแต่งงานง่าย…
ซึ่งนบีของเราได้ทิ้งแนวทางนี้เอาไว้ให้แล้ว…

อธิบายแม่พี่หวานไปว่า…อิสลามสอนเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานไว้อย่างไร…
มัสเชื่อว่าถ้าท่านศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวกันกับเราและท่านยำเกรงพระเจ้า
ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด…ท่านย่อมจะต้องเปลี่ยนใจ…เชื่อมัสนะพี่ลัน…”

มัสรานียิ้มให้พี่ชายพร้อมกับบอกพี่ชายว่า

“ศาสนาคือการตักเตือนกัน…”

“ขอบใจนะมัส…แล้วพ่ีจะลองคุยกับท่านดูอีกครั้ง…”

ผู้เป็นพี่เหมือนจะมีความหวังขึ้นมา แม้ความหวังนั้นจะดูริบหรี่ก็ตาม…

“ให้มัสช่วยก็บอกนะ…มัสอยากเห็นพี่ลันแต่งงานมีลูก…อยากเห็นหน้าหลานจะแย่อยู่แล้ว…
ถ้ามัสมีเงินให้มากกว่านี้…มัสยกให้พี่ทั้งหมดเท่าที่มีเลย…”

คนเป็นพี่ถึงกับซาบซึ้งใจในน้ำใจของน้องสาว ก่อนจะตกใจเมื่ออยู่ๆ
น้องสาวก็ถอดสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้อาภรณ์
แล้ววางมันบนฝ่ามือของพี่ชาย

“มัสให้…พี่จะได้เอาไปหมั้นพี่หวานไว้ก่อนไง…เป็นหลักประกัน
ให้พ่ีหวานได้สบายใจด้วยว่าพี่จะไม่ทิ้งพี่หวานไว้บนคานแน่ๆ…”

พูดไปก็ยิ้มไป ในขณะที่อีกฝ่ายดูจะเกรงใจน้องสาวขึ้นมา

“จะดีหรือมัส…นี่มันของรักของหวงของเธอเลยนะ…”

คนเป็นพี่มองสร้อยคอที่น้องสาวเก็บหอมรอมริบจากเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรง
และซื้อมาสวมใส่เมื่อหลายปีก่อน

เขาเป็นคนเลือกมันให้น้องสาวกับมือ จำได้ทีเดียวว่าตอนนั้นขาดไป
หนึ่งพันกว่าบาท ถึงจะซื้อมันได้และเขาเป็นคนเพิ่มเงินดังกล่าวที่ขาดเหลือ
และมีแค่นั้นอยู่ในกระเป๋าให้น้องสาวไป…

ก่อนจะกลับมาควานหาเงินที่แอบซ่อนตามมุมต่างๆของบ้าน…
และแอบซดมาม่าต่างข้าวไปหลายมื้อกว่าเงินเดือนจะออก

“ตอนนี้…ไม่มีอะไรหรือสิ่งใดที่มัสจะหวงแหนยิ่งไปกว่าพี่น้องที่พ่อกับแม่
ทิ้งเอาไว้เป็นสมบัติล้ำค่าให้มัสดูแลรักษาแล้วล่ะค่ะ…”

มัสรานียิ้มกว้าง ไม่ได้มีร่องรอยของความเสียดายในสิ่งที่สูญเสียไปแม้แต่น้อย

“ถ้าวันนั้น…พี่ลันไม่เติมเงินหนึ่งพันสองร้อยสามสิบบาทให้มัส…
มัสก็คงไม่มีทางได้มันมาสวมใส่บนคอนานตั้งหลายปีหรอกค่ะ…

คิดซะว่า…สมบัติผลัดกันชมก็แล้วกันนะคะ…”

มัสลันยกมือขึ้นโอบศีรษะน้องสาวเข้ามาชิดแนบบ่า...คลี่ยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ…

รู้ได้ในตอนนี้ว่า…สิ่งที่มีค่าที่ทำให้เขายิ้มได้ มีความสุขในตอนนี้
ไม่ใช่เงินทองเหล่านั้นที่น้องสาวมอบให้เขา

แต่เป็นหัวใจของน้องสาวของเขาต่างหาก…


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ทางด้านคาเวห์…เขายังคงทำหน้าที่ของเขาต่อไป…โดยพยายามไม่คิดถึงเรื่องเงื่อนไข
ในการจะได้คฤหาสน์หลังงามนั่นมา…

กลางคืนเสร็จจากทำหน้าที่ยาม กลางวันก็ได้มีโอกาสเหม่อมองนางฟ้าของเขา…
เนื่องจากวันนี้เธอมาเดินดูรถยนต์ในโชว์รูมรถที่เขาดูแลงานขายอยู่…

ความประหม่าทำให้เขาไม่กล้าเข้าไปหาลูกค้า ให้อีกคนทำหน้าที่แทน…
และแอบมองเธออยู่ห่างๆ

เห็นเธอเดินวนไปมาหน้ารถมินิคูเปอร์รุ่นใหม่ล่าสุดด้วยความสนใจ…
มันดูเข้ากันกับบุคคลิกของเธอยิ่งกว่ารถคันนั้นที่เขาเคยเห็นเธอขับเสียอีก…

และนั่นทำให้เขาเห็นช่องว่างที่ห่างกันระหว่างเขากับเธอ…
เธอเหมือนดาวประดับฟ้า…และเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อที่จะปีนขึ้นไปอยู่บนนั้น
ให้สมศักดิ์ศรีของเธอได้…

เขาไม่ต้องการดึงเธอลงมา…เธอควรได้อยู่ตรงนั้น…

หากยังไม่สายเกินไป…สักวัน…เขาจะปีนขึ้นไปให้ถึงยังที่ที่เธอยืนอยู่ให้ได้…
เพื่อจะได้เคียงข้างกับเธออย่างภาคภูมิ…

ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์เมื่อเห็นเธอเดินออกจากโชว์รูมไป…
สายตาของเขาทอดมองร่างแบบบางในชุดเดรสสีชมพูเดินห่างออกไปเรื่อยๆ
โดยไม่อาจเอื้อมคว้าหรือยื้อให้เธออยู่ต่อได้…

วันนี้เขาคงทำได้แค่เพียงฝัน…ได้รักเธออยู่ไกลๆ…และห่วงใยเธออยู่ห่างๆ…

ทว่า เมื่อเห็นสองเท้าของเธอก้าวพลาดตรงหน้าโชว์รูม
คนที่หลบอยู่หลังที่ซ่อนก็ปรากฎกายขึ้น…

คาเวห์รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างบางน่าทะนุถนอมของหญิงสาวที่ล้มลง
จนหัวเข่าช้ำ ข้อเท้าแปลงเอาไว้…

“ขอบคุณค่ะ…” เสียงหวานใส ไพเราะเสนาะหูเอ่ยขอบคุณเขา
ที่เข้ามาช่วยไว้ก่อนจะขืนตัวอย่างคนที่หวงเนื้อหวงตัวและพยายาม
จะทรงตัวให้ยืนหยัดด้วยสองเท้าของตัวเอง

ทว่า เพียงก้าวขาก็ถึงกับเซจนเขาต้องเข้าไปประคับประคองอีกครั้ง
กลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำหอมยี่ห้อดังของเธอผสานกับกลิ่นกายสาว
ที่กรุ่นหอมทำเอาเขาถึงกับเผลอสูดดมโดยไม่รู้ตัว…ด้วยความพึงใจ…

“ให้ผมพาไปส่งที่รถมั้ยครับ…”

“ไม่เป็นไรค่ะ…” และไม่ทันได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น รถคันหรูคันหนึ่ง
ก็เทียบท่าตรงหน้าทั้งสอง ราชรถในชุดสูทสากล ดูเนียบไปทั้งตัว
สีหน้าท่าทางดูภูมิฐานก็ก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย…

ไม่หล่อแต่ดูดีตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

“นิ…คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ…” บุรุษผู้นั้นรีบก้าวเข้ามาประชิดนางฟ้าของเขา
แล้วเข้าประคองเธอ สายตาตวัดมาทางเขาอย่างไม่ชอบใจนัก…

“นิซุ่มซ่ามไปหน่อยน่ะค่ะ…เลยหกล้ม…หน้าอายที่สุดเลย…”

หญิงสาวยิ้มแหยๆ หากก็ยังเป็นรอยยิ้มที่มีลักยิ้มน่ารักและมีเสน่ห์
ที่เขาเก็บเอาไปฝันถึงจนหลงรักรอยยิ้มของเธอจนหมดหัวใจ…

แม้ครั้งนี้เธอจะมอบรอยยิ้มไปให้ราชรถคนนั้นที่ประคองเธอ
ราวกับหวงแหนกลัวเธอจะตกแตกถ้าเผลอทำหลุดมือไป…

“แล้วจะไปกินข้าวไหวรึเปล่าครับ…ผมเพิ่งไปรับลูกที่โรงเรียนมา…
น้องแก้มอยากกินไอติมน่ะครับ”

คนที่ถูกลืมถึงกับมองนางฟ้าตรงหน้า ทำได้แค่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆเพื่อรับรู้ความเป็นไป
ของทั้งสองด้วยความเจ็บปวดแปลบ

ยิ่งเมื่อรู้ว่านางฟ้าของเขามีสามีและลูกแล้ว หัวใจของเขาก็แทบสลายลงตรงนั้น

“ไหวสิคะ…แค่นี้เอง…ไปกันเถอะค่ะ…เดียวน้องแก้มจะรอนาน…”

แล้วเธอก็หันมาทางเขา ส่งยิ้มสวยๆที่เขาหลงรักมาให้…มันเป็นยิ้มแรกที่เธอส่งมาเขา
แต่กลับไม่อาจยาใจที่กำลังปวดแปลบลงได้ไม่…

มีแต่จะทำให้เขารู้สึกเสียใจและ…เสียดายที่เจอกับเธอช้าเกินไป…

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยนิไว้…ขอบคุณจริงๆค่ะ…”

ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าเบาๆ ไม่อาจพูดอะไรๆออกไปได้…
เพราะตอนนี้ในหัวมันขาวโพลนไปหมด…กับภาพความจริงที่อยู่เบ้ืองหน้า…

คาเวห์เดินกลับเข้าไปในโชว์รูมรถดั่งคนที่ไม่ได้เอาวิญญาณกลับเข้าไปด้วย…

ความจริงเขาควรจะรู้ว่าไม่มีผู้หญิงที่ทั้งสวยหวาน อ่อนโยน ละมุนละไม
น่ารักและรวยทรัพย์…ดูสมบูรณ์แบบขนาดนั้น
ยังคงโสดไร้คู่อยู่ในโลกใบนี้เพื่อรอให้คนจนๆอย่างเขาเข้าไปจีบ…

เธอคงจะถูกจองตัวเอาไว้ตั้งแต่เพิ่งแตกเนื้อสาวแล้วด้วยซ้ำไป…

ผู้ชายคนนั้นก็ดูสมน้ำสมเนื้อกันกับเธอ…คู่ควรกัน…
เขามันไม่มีอะไร…เขามันต่างกับเธอเกินไป…ไม่คู่ควรกันเลยสักนิดเดียว…
และควรจะหยุดฝันเอาไว้แค่นี้…เลิกฝันถึงผู้หญิงคนนั้นเสียเถิด…

เธอไม่ใช่นางฟ้าของเขา…เธอเป็นภรรยาของคนอื่นเสียแล้ว…
เธอมีลูก…มีครอบครัวแล้ว…และยิ้มนั้นของเธอก็มีคนจับจองเอาไปครอบครองเสียแล้ว

…เขามันคนไม่มีสิทธิ์…ไม่มี…


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ค่ำคืนก่อนจะถึงกำหนดวันนัดหมาย…มัสรานีนอนพลิกตัวไปมา…
ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้…เดือดร้อนน้องสาวที่นอนด้วยกัน
พลอยนอนไม่หลับไปด้วยทั้งๆที่เพลียสุดขีดเพราะทั้งทำงานทั้งเรียน

ไหนจะตระเวนขับรถนำเอกสารไปให้เจ้านาย…
กว่าจะกลับมาบ้านได้ รถติดตลอดสายจนแทบหลับคาพวงมาลัยรถ…

“เป็นอะไรไปพี่มัส…” เสียงนั้นงัวเงียและติดไปทางหงุดหงิดทีเดียว
ที่พ่ีสาวซึ่งนอนติดกันไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนเสียที…

“นิ…ถ้า…เอ่อ…มีคนเสนอให้เธอแต่งงานกับคนที่เธอแทบไม่รู้จัก
กันมาก่อนเลย…แล้วเธออาจจะได้คฤหาสน์หลังงามเป็นของขวัญ...เธอจะทำไง…”

“ก็แต่งสิพี่มัส…”

“แต่ว่า…แต่งกับคนที่ไม่ได้รักกันมาก่อนเลย…เรียกว่าแทบไม่เคยรู้จักนิสัยใจคอกันมาก่อน…
มันจะได้หรือ…มันไม่ดูเสี่ยงไปหน่อยหรือ…”

“อยู่ๆกันไป…เดี๋ยวก็รู้จักแล้วก็รักกันไปเองแหล่ะพี่มัส…”

“ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ…”

“ถ้าอยู่ไปไม่รักกันสักที…หรืออยู่กันไปไม่รอดก็ค่อยหย่ากัน…
แยกทาง เลิกกันไป ทางใครทางมันก็ได้นี่…อย่างน้อยพี่ก็ได้
คฤหาสน์หลังงามมานะ…จะเอาไปทำอะไรก็ได้…กำไรออก…”

คนเป็นน้องตอบด้วยเสียงงัวเงียเพราะเพลียสุดๆ…ซ้ำพี่สาวยังมาถามอะไรประหลาดๆอีก

“แล้วค่อยหารักแท้ต่อไป…ถ้าไม่ตาย…คงได้เจอเข้าสักวัน…
อะไรดีๆไม่ได้มีมาบ่อยๆ…คว้าได้ก็ควรคว้าเอาไว้ก่อน…” ว่าพลางก็เปิดปากหาว…

“โบราณเขาว่า…น้ำขึ้นให้รีบตัก…พี่เคยได้ยินมั้ย…”

“แต่ว่า…”

“ไม่เอาแล้ว…นิง่วง…ขอนอนก่อนนะ…แล้วพี่มัสก็ควรจะนอนได้แล้ว
อย่าบอกนะว่าที่ถามอยู่เนี่ย…จะเอาไปเขียนนิยาย…”

มัสรานีมองน้องสาวที่หลับตาพร้อมเสียงหายใจสม่ำเสมอในเวลาต่อมา
แล้วยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก…มองเพดานห้องแล้วถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า…


+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


เมื่อได้กำหนดครบสามวัน ทั้งสามก็กลับมาพบกันตรงที่เก่าเวลาเดิมอีกครั้ง…

“หวังว่าฉันกับคุณโซรันจะได้ยินข่าวดีจากคุณสองคนนะคะ…”

ผู้จัดการร่างท้วมนั่งลงตรงที่เดิมแล้วทักทายด้วยประโยคที่ทำเอา
ทั้งสองถึงกับหันมาสบตาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย…

“คุณโซรันอยากให้คุณสองคนช่วยกันดูแลบ้านหลังนี้ต่อไป…
แต่ไม่อยากให้บ้านกลายเป็นบ้านร้าง…ถ้าคุณสองคนตกลงปลงใจ
จะลองมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันที่นี่ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้น…

ฉันคิดว่าคุณสองคนไม่ขาดทุนแน่นอนค่ะ…”

มัสรานีที่เคยทำอะไรเลือกอะไรแต่ละทีก็ต้องคิดมาก คิดโน่นคิดนี่ตลอด
ถึงกับลอบถอนใจ

เพราะคุณโซรันให้เวลาเธอน้อยเกินไป…ซ้ำเธอยังไม่ได้บอกเรื่องนี้
ให้พี่น้องของเธอได้รู้เลย…เพราะไม่กล้า…จนต้องมานั่งกลืนไม่เข้า
คายไม่ออกอยู่ในเวลานี้…

“คุณสองคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้ไม่ต่างจากเจ้าของไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งจะมีการหย่าเกิดขึ้น…ซึ่งนั่นเป็นทางแยก และเป็นการตัดสินว่าท้ายที่สุดแล้ว…
ใครจะได้บ้านหลังนี้ไปครอง…แต่เพียงผู้เดียว…”

“หมายความว่า…ถ้าเราสองคนอยู่กันได้โดยไม่หย่าขาดจากกัน ไม่มีใครหย่าใคร
ไม่มีการหย่าเกิดขึ้น เราสองคนก็จะสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้เรื่อยๆหรือคะ…”

“แน่นอนค่ะ…มันเป็นไปตามเงื่อนไขข้อท่ีห้า…แต่ถ้าอยู่กันไปเกินห้าปีแล้วไม่มีลูกด้วยกัน
ทั้งๆที่คุณสองคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยากหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นหมัน…
ทุกอย่างก็จะเป็นโมฆะ…จบลงในทันที…”

มัสรานีก้มหน้ามองมือทั้งสองที่ประสานกันบนตักแล้วคลึงไปมาด้วยความสับสน…
และเครียดขึง

“ผมขอเวลาคุยกับเธอตามลำพังสักครู่ได้มั้ยครับ…” คาเวห์ขออนุญาตอีกฝ่ายทันที…

“ได้สิคะ…เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกเอง…ให้เวลาแค่สิบห้านาทีนะคะ”

“ครับ…” เมื่อลับร่างของผู้จัดการไปแล้ว…คาเวห์จึงเอ่ยกับมัสรานีทันที

“ผมคิดว่า…ห้าปีนั้นมันนานพอที่เราจะหาทางออกอื่นๆได้…และอายุไม่มากพอ
ที่จะหาคนใหม่หลังจากเลิกกันไปแล้วยากเย็นนัก…หรือคุณว่าไง…”
มัสรานีเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“คุณอย่าทำเป็นไม่เข้าใจหน่อยเลย เงื่อนไขพวกนั้นคุณน่าจะอ่านมันเข้าใจ
อย่างแตกฉานแล้วด้วยซ้ำ…สามวันมันไม่น้อยกับการอ่านข้อความในกระดาษนั่นให้เข้าใจ…”

“ค่ะ…ฉันคิดว่าฉันเข้าใจ…”

“แล้วมีปัญหาที่ตรงไหนอีก…”

“คุณกำลังจะบอกว่าคุณไม่มีปัญหาอย่างนั้นหรือไง…” คาเวห์ส่ายหน้า

“ไม่มี…ถ้าคุณโอเค…ผมก็โอเค…” มัสรานีถึงกับตกใจ มองเขาอย่างคาดไม่ถึง…

“คุณ…คุณไม่ได้มีคนรักอะไรของคุณบ้างเลยหรือ…”

“ไม่สำคัญ…”

“แต่มันสำคัญ…ถ้าฉันจะต้องแต่งงานกับคนที่มีเจ้าของแล้ว…”

“ผมยังโสด ไม่มีพันธะกับใครทั้งนั้น…”

“แฟนล่ะ…”

“เลิกไปหมดแล้ว…เพราะไม่มีปัญญาหาเงินไปสู่ขอเขาตามอัตราที่พ่อแม่เขาต้องการได้…”

มัสรานีถึงกับกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากเมื่อเจอเข้ากับอีกราย
ที่คล้ายกันกับกรณีของพี่ชายตน

“คิดซะว่า…เรามาอาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน กินอยู่และนอนในห้องเดียวกันสักส่ีปี…
แล้วค่อยมาตัดสินกันอีกทีว่าจะเอาอย่างไรกับอีกหนึ่งปีที่เหลือ…”

มัสรานีลองนับๆดู…ห้าปีผ่านไป ตอนนั้นเธอก็ต้องอายุสามสิบสี่ปี…
ยังน้อยกว่าพี่หวานในตอนนี้ที่ยังไม่ได้แต่งงานมีลูก…

“คุณและผมไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้านหรือที่พัก…ประหยัดค่าที่พักไปได้หนึ่ง…
แถมยังได้เงินเดือนเหมือนเดิมจากคุณโซรันอยู่…

มีแต่ได้กับได้…หรือว่าคุณมีแฟนเลยต้องคิดหนัก…” มัสรานีส่ายหน้า

“ฉันยังไม่มีใคร…และไม่เคยมีแฟน…”

คาเวห์ถึงกับตกใจเลยทีเดียวกับการที่ผู้หญิงคนหนึ่งลืมตาดูโลกมาเกือบสามสิบปี
แต่ไม่เคยมีแฟนหรือมีคนรัก

…เธอหลุดมาจากยุคไหนกัน…หรือว่าเดินทางมาจากอดีต…

“แน่หรือคุณ…”

“แน่ค่ะ…”

“งั้นก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ถ้าเราจะลองมาลุ้นไปด้วยกันว่าใครจะได้บ้านหลังนี้ไป…
คิดซะว่า…ทำเพื่อไม่ให้บ้านหลังนี้หลุดมือไปเป็นของคนอื่นก็แล้วกันนะคุณ…

ยังไง…ไม่คุณก็ผม…คนใดคนหนึ่งล่ะที่จะได้มันได้…
แค่เพียงเราจะลองทำตามเงื่อนไขนั้นดู…เขาไม่ได้บังคับให้เรามีอะไรกันสักหน่อย…”

“แต่ก็เหมือนบังคับอยู่ดี…ก็…เงื่อนไขข้อที่ห้า…บอกว่า…เกินห้าปี ถ้าไม่มีลูกด้วยกัน…
ทุกอย่างก็จบ…”

พูดไปก็หน้าแดงไป แต่ก็ยังดีที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นแก้มแดงๆของเธอ

“ก็เรามีเวลาตั้งห้าปี…คุณจะกลัวอะไร…ถึงตอนนั้น เราก็ค่อยมาคิดกันใหม่
ว่าจะเอายังไงต่อไป...”

“ช่างหาความแน่นอนไม่ได้เลย…”

“หรือคุณคิดว่า…มีอะไรแน่นอนบนโลกใบนี้…”

มัสรานีไม่ปฏิเสธว่าความแน่นอนคือความไม่แน่นอน…

“เรายังมีเวลาให้คิดตั้งห้าปีนะคุณ…ระหว่างนั้นเราสามารถทำอะไรได้ตั้งมากมาย…
ภายใต้เงื่อนไขเหล่านั้น…จะว่าไปแล้ว…เราไม่มีอะไรให้ต้องเสียเลยนะคุณ
ก็แค่ต้องแต่งงาน และจดทะเบียนสมรสกัน

และผมไม่ได้หวงแหนความโสดถึงขนาดนั้น…หรือคุณหวง…”

“ฉันแค่อยากแต่งงานและมีชีวิตคู่ตามแนวทางอิสลาม…และมัน…มันไม่ใช่แบบนี้…
มันผิดเจตนารมย์ของพระเจ้า…ในการให้มนุษย์ครองคู่กันด้วยความรักความเมตตา…
และเอื้ออาทรต่อกัน…”

“แต่พระองค์ก็ไม่ได้ห้ามเอาไว้ในกรณีนี้ไม่ใช่หรือ…เราแต่งกันได้…
แม้ว่าเจตนารมย์ของเราจะผิดไปจากที่มันควรจะเป็น แต่ก็ไม่ผิดบาปอะไร
ที่เราจะแต่งงานกันนี่คุณ…”

“แต่งเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุล้วนๆเลย…มัน…มันน่าละอาย…”

“งั้น…ก็ลืมมันไปซะว่าผมพูดอะไรไป…แล้วเราก็หันหลังให้กับที่นี่
ไม่ต้องพบต้องเจอกันอีก…เพราะหลังจากวันนี้…ถ้าไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้น

คุณกับผมก็ต้องหางานใหม่เอา…และผมไม่ได้กลัวกับการหางานใหม่
เพราะผมมีงานอื่นทำอยู่แล้ว…แค่…สงสารและเสียดายบ้านหลังนี้ก็เท่านั้น…

และผมไม่คิดว่าการแต่งงานกันมันจะยากอะไรสำหรับผม…มีแต่พวกผู้หญิง
ที่ทำให้ยาก…และเป็นปัญหา...”

มัสรานีก้มหน้ามองมือที่วางอยู่บนตักอีกครั้ง…เธอไม่อยากจากบ้านหลังนี้ไปเลยจริงๆ…
หางานใหม่อาจไม่ยากเย็น…แต่…เธอ…รักบ้านหลังนี้เสียแล้ว…

ถึงมันจะไม่ใช่บ้านของเธอ แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่มีใครรู้จักบ้านหลังนี้
ทุกซอกทุกมุมได้ดีเท่าเธอกับเขาอีกแล้ว…

แม้แต่เจ้าของที่แท้จริง เธอก็มั่นใจว่าไม่มีทางรู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นอย่างไร
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา…เพราะมันถูกเจ้าของทอดทิ้งมาโดยตลอด…
ทำได้แค่จ้างคนมาดูแลแทน…

และนี่ก็กำลังให้เธอและเขามาอยู่แทนอีก

…ใครว่าเขาโง่…คุณโซรันนั่นฉลาดล้ำลึกเลยทีเดียว…
เพราะงานนี้มีแต่คนได้กับได้ ไม่มีเสีย ถ้าจะมีใครสักคนเสีย เธอน่าจะเสียมากกว่าใคร…เพราะความเป็นผู้หญิงที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี่แหล่ะ…ที่อาจทำให้งานนี้
เธอเสียเปรียบกว่าใครในเรื่องนี้...

“หมดเวลาแล้วค่ะ…” เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกับการปรากฎกายของผู้จัดการ
ที่เดินก้าวเข้ามาพร้อมรอยยิ้มแล้วก็ได้นั่งลงตรงที่เดิมอีกครั้ง

“ว่าไงคะ…ผลสรุป คุณสองคนตกลงว่า…”
สายตาเป็นประกายของสตรีผู้ผ่านโลกมานานมองทั้งสองสลับไปมาอย่างต้องการ
ซึ่งคำตอบสุดท้าย…

“ถ้าเธอตกลง…ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ…” เหมือนเขาจะโยน
คำตอบสุดท้ายมาให้เธอเป็นคนตอบอย่างไรอย่างน้ันเลย…

แล้วเธอจะตอบว่าอย่างไรดี หญิงสาวคิดหนัก และเงียบไปพักใหญ่
ในขณะที่ชายหนุ่มกับผู้จัดการนั่งลุ้นกันว่าจะได้คำตอบอะไรจากปากของเธอ

“เอ่อ…” มัสรานีมองทั้งสองสลับไปมาด้วยแววตาสับสนและหว่ันวิตก
ค่อนข้างลังเลใจว่าจะเลือกทางไหนดี…

ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับชายหนุ่มเมื่อต้องพูดออกไปว่า

“เอ่อ…ตก…ตกลงค่ะ…” ชายหนุ่มถึงกับกระตุกมุมปากด้วยแววตาเป็นประกาย
ในขณะที่หญิงร่างท้วมถึงกับปรบมือรัวๆ

“คุณโซรันมองคุณสองคนไม่ผิดเลยจริงๆค่ะ…เพราะว่าคุณโซรัน
ได้ฝากแสดงความยินดีมาถึงคุณทั้งสองเมื่อสักครู่นี้เอง…

ให้ฉันบอกคุณสองคนว่า…คุณสองคนคือ…คนที่เหมาะจะดูแลที่นี่ต่อไป…
ไม่มีใครจะรู้จักที่นี่ในวันนี้ได้ดีเท่าคุณสองคนแล้ว…”

ชายหนุ่มหญิงสาวหันไปมองผู้จัดการด้วยแววตากึ่งประหลาดใจกึ่งสงสัย…

“เขา…เขารู้ได้ไงว่าผมกับเธอจะตกลง…”

“คุณโซรัน…ไม่ใช่คนธรรมดาๆหรอกค่ะ…และขอแสดงความยินดี
กับคุณสองคนล่วงหน้าเลยนะคะ…”

รอยยิ้มของผู้จัดการทำเอาทั้งสองถึงกับหันมามองหน้ากันอย่างสงสัยใคร่รู้

“อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นสิคะ…ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า…
งานนี้ไม่มีใครเสีย มีแต่ได้กันทุกคน…Win Win…ไม่ใช่สิ…Win all ค่ะ…”

พูดจบก็หันไปทางคาเวห์ ก่อนจะถามในสิ่งที่คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะลืมไป
และมันน่าจะสำคัญอยู่ไม่น้อย

“ไม่คิดจะขอดูหน้าตาของว่าที่เจ้าสาวก่อนตอบตกลงแต่งงานด้วยสักหน่อยหรือคะ…
คุณ…คาเวห์…”

ชายหนุ่มกระตุกมุมปากก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ใบหน้านิ่งเฉยว่า

“ผมไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะหน้าตา…”

“แม้แต่ชื่อ นามสกุล และฐานะทางบ้าน รวมไปถึงการศึกษา?”

“ไม่สำคัญ…เพราะยังไง ในพิธี…ผมก็ต้องได้รู้อยู่ดีว่าเธอชื่ออะไร
และเป็นลูกเต้าเหล่าใคร…และมันไม่มีผลที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร…
เพราะผมตกลงจะทำตามเงื่อนไขนั้นแล้ว…”

“งั้นคุณจงรู้ไว้ว่า…เจ้าสาวของคุณในวันพรุ่งนี้ชื่อ มัสรานี บินติ นาฟาซัต
หรือ มัสรานี จิตซื่อตรง จะได้ไม่หลงไปแต่งกับคนอื่น…ที่ไม่ใช่ผู้หญิง
ที่อยู่ตรงหน้าคุณในตอนนี้…และ…” เสียงนั้นหยุดลงแล้วหันไปทางมัสรานี

“เจ้าบ่าวของคุณในวันพรุ่งนี้ก็คือ คาเวห์ บิน ฮัฟซิน หรือ คาเวห์ นาวาโฮ…”

มัสรานีถึงกับมองเจ้าของชื่อที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาจะมีชื่อแปลก
นามสกุลไม่เป็นข่าวหรือผ่านหูเธอมาก่อน…

หากทั้งชื่อและนามสกุลของเขามัน…ทำให้เธอประหลาดใจ
ว่านี่หรือคือชื่อและนามสกุลของคนที่ทำหน้าที่ ‘ยาม’

มันก็เข้ากับหน้าตาและบุคลิกของเขาอยู่หรอก เพราะเธอดูออกว่าเขามีเชื้อสายอื่น
เข้ามาปะปนบนใบหน้าและรูปร่าง อย่างไรก็ไม่ใช่ไทยแท้แน่นอน

แต่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือสำหรับหน้าที่การงานของเขา!

“และนี่คือหนังสือสัญญา…”

ผู้จัดการยื่นเอกสารดังกล่าวให้กับทั้งสอง เมื่อทั้งสองอ่่านสัญญาดังกล่าวเสร็จสิ้นลง
ด้วยความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ลายเซ็นของทั้งสามจึงปรากฎอยู่บนหนังสือสัญญา…
โดยผู้จัดการคือ พยานรับรู้…ซึ่งในนั้นมีลายเซ็นและตราประทับของคุณโซรัน
แปะเอาไว้เรียบร้อยแล้ว…

“เป็นอันว่าทุกอย่าง…เรียบร้อยนะคะ…เหลือแค่ขั้นตอนต่อไป…”

หญิงกลางคนคลี่ยิ้มออกอย่างกว้างขวางแล้วเอ่ยขึ้นเมื่อลุกขึ้นยืน
หลังจากเก็บเอกสารสำคัญเข้ากระเป๋าเรียบร้อยแล้ว

“พรุ่งนี้…เจอกันที่ที่ว่าการอำเภอบางรักตอนเก้าโมงเช้านะคะ…อย่าสาย…เด็ดขาด”

พูดจบก็ก้าวเดินจากห้องนั้นไปด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะย้อนกลับมาอีกครั้งเพื่อแจ้งแก่ทั้งสองที่ยังยืนตรงเหมือนไว้อาลัย
ให้กับอะไรบางอย่างอยู่

“ทางเราเตรียมชุดสำหรับใช้ในพิธีนิกะห์ (พิธีสมรส) ที่จะมีขึ้นในตอนบ่ายโมงตรง
เอาไว้ให้แล้วนะคะ…” แล้วก็หันไปทางคาเวห์

“คุณคาเวห์…คุณอย่าลืมนำของกำนัลไปให้เจ้าสาวของคุณในวันพรุ่งนี้ด้วยล่ะ…
ตามแต่จะตกลงกัน…เพราะทางเราให้อิสระคุณสองคนในเรื่องนี้…

และอย่าลืม…บอกญาติพี่น้องของคุณด้วยถ้าต้องการให้เขามาร่วมแสดงความยินดี
กับคุณสองคนในงานเลี้ยงตอนเย็นที่จะถูกจัดขึ้นที่มูลนิธิโซรัน…

เด็กๆและคนชรารอคุณสองคนอยู่ที่นั่นแล้ว…”

“ทุกอย่าง…พรุ่งนี้เลยหรือคะ…”

มัสรานีค่อนข้างตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้มา ไม่คิดว่าขั้นตอนต่อไปมันจะรวดเร็วถึงเพียงนี้

“ค่ะ…คืนนี้คุณสองคนคงต้องเตรียมตัวแพ็คกระเป๋าเอาไว้…
เพราะว่าคืนพรุ่งนี้…คุณสองคนต้อง-มา-อยู่-ที่นี่-ด้วยกันค่ะ”

ท้ายประโยคถูกเน้นให้ทั้งสองตระหนักรู้ว่าต้องทำอย่างไรกับเวลาที่เหลืออยู่นี้…

“เอ่อ…มัน…มันเร็วจนฉันตั้งตัวไม่ทันค่ะ…”

“ทุกอย่างเริ่มต้นแล้วนะคะ…”

“แล้วผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมตัว…คืนนี้ผมต้องอยู่เฝ้าที่นี่ทั้งคืน
มิใช่หรือไงคุณผู้จัดการ…”

“เราให้คุณหยุดพักค่ะ…เพราะได้จ้างคนมาดูแลแทนคุณในคืนนี้…
ที่สำคัญ…เราจำเป็นต้องให้คนมาติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มด้วย”

“รอบคอบจังและดูเหมือนจะเตรียมกันเอาไว้หมดแล้ว…ทุกอย่าง...”
ชายหนุ่มรำพันออกมาเบาๆ

“แน่นอนค่ะ…เพราะไม่มีอะไรผิดไปจากความคาดหมายของคุณโซรัน”

คาเวห์กับมัสรานีหันมามองหน้ากันทันทีโดยมิได้นัดหมาย
ก่อนจะหันไปทางผู้จัดการอย่างทึ่งๆ

“คุณสองคนไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเราเตรียมเอาไว้ให้หมดแล้ว
เหลือแค่คุณสองคนจะเคลียร์เรื่องส่วนตัวกันเท่านั้น…ฉันขอตัวล่ะ
เพราะมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากมายเหลือเกิน…แล้วเจอกันค่ะ…”

เมื่อร่างท้วมลับหายไป มัสรานีก็ถึงกับทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้
ยกมือขึ้นกุมขมับของตนเองทันที ปากก็พร่ำรำพันด้วยสีหน้าหวั่นวิตกและกลุ้มจัดขึ้นมา

“นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย…ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลย…”

“ผมชักรู้สึกได้กลิ่นทะแม่งๆยังไงก็ไม่รู้สิคุณ…มันเหมือนเรากำลัง
ตกลงไปในอะไรสักอย่าง…”

“กับดักหรือคะ…” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นพูดกับเขาด้วยแววตาระแวง
และไม่แน่ใจกับทางที่เพิ่งตัดสินใจเลือกไป…

“ไม่แน่ใจ…ผมแค่รู้สึกว่า…พวกเขา…ไม่น่าไว้ใจ…”

“ถอนตัวตอนนี้ยังทันรึเปล่าคะ…”

“ถ้าคุณถอนตัว ก็แสดงว่าคุณยอมยกบ้านหลังนี้ให้ผม…”

“แต่…ฉันมาคิดๆดู…ฉันก็ไม่ได้อยากจะได้แล้วล่ะค่ะ…ชีวิตและหัวใจ...สำคัญกว่า”

“เริ่มปอดแหกขึ้นมาแล้วรึไงคุณ…ผมว่า…เรามาลุ้นกันดีกว่า
ว่าคุณโซรันนั่นเขาต้องการอะไรจากเราสองคนกันแน่…”

“ฉันไม่ได้อยากรู้…เสียหน่อย...”

“คุณนี่ขี้ขลาดเหมือนกันนะ…”

“ก็มันดูเสี่ยงเกินไป…ฉัน…ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะปลอดภัย…”

“กลัวผมจะทำอะไรคุณรึไง…” เขาถามในขณะที่จ้องมองเธอนิ่ง
แววตาคมของเขาดูดุดันจนเธอไม่กล้าสบตาด้วย

“ฉัน…ฉันจะกลับบ้านแล้ว…”

“ไม่มีใครห้ามคุณ…อยากกลับก็กลับไปสิ…เพราะยังไงๆ…
เราสองคนก็คงมีเวลาให้ต้องทำความรู้จักกันอีกหลายปี…”

มัสรานีรีบลุกขึ้นแล้วรีบก้าวเดินออกจากห้องไปทันที
เพราะไม่อยากอยู่กับเขาตามลำพังสองต่อสองให้นานไปกว่านี้…

อย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่ใช่สามีของเธอ…อยู่ด้วยนานมันจะไม่ดีไม่งาม…

หากเขากลับเดินเข้ามาขวางทางออกเอาไว้เสียอย่างนั้น

“ไม่คิดจะเปิดหน้าให้ดูสักหน่อยหรือคุณ…” หญิงสาวส่ายหน้า
และเมื่อเขาเอื้อมมือมาใกล้เธอหมายจะเปิดผ้าปิดหน้าของเธอ

มัสรานีก็รีบหลบหลีกแล้วแทรกตัวผ่านออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว
จนอีกฝ่ายตั้งตัวแทบไม่ทัน

คาเวห์หันไปมองหญิงสาวที่วิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก…

“ยังไง…พรุ่งนี้…ผมก็ต้องได้เห็นหน้าคุณ…มัสรานี…”

เขาชักเริ่มชอบชื่อของว่าที่ภรรยาขึ้นมาเสียแล้วสิ…โดยเฉพาะนามสกุล
ถ้าเธอมีลักษณะเหมือนชื่อสกุลก็คงจะดีไม่น้อย…
เราอาจจะอยู่ร่วมบ้านร่วมห้องนอนกันราบรื่น ไม่มีปัญหา

เพราะอย่างไร...เขาก็ไม่คิดจะเป็นคนขอหย่าก่อนแน่ๆ...
เธอนั่นล่ะที่จะรีบขอหย่าจากเขาในทันทีที่รู้จักตัวตนของเขา...

ดูก็รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้ ขี้กลัวและขี้หวาดระแวง...และขี้อาย

ที่สำคัญ...ดูจะไม่ค่อยโลภอยากได้อยากมีสักเท่าไหร่...
คงจะยอมยกบ้านหลังนี้ให้เขาในเวลาไม่นานเป็นแน่แท้...

หรือถ้าไม่ยอมง่ายๆ เขาก็พอจะหาวิธีมาทำให้มันง่ายขึ้น...



.............โปรดติดตามตอนต่อไป...............


เอาลำที่ 1 มาฝากค่ะ....เรื่องนี้ขอมาเป็น 'ลำ' ก็แล้วกันนะคะ แหะๆ
ลำนี่มาให้ยาวมากกกกกกก...อิอิ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณที่เข้้ามาประเดิมด้วยการกดไลค์และคอมเมนท์ให้กันมากๆค่ะ ^^



........ตอบเมนท์จ่ะ.......


1.คุณตุ๊งแช่...เก๊าว่าเก๊าไม่น่าจะกล้าดองเรื่องนี้น้าาาา
แบบว่า...ดองไปสองสามไหแล้ว...เกรงว่าถ้าดองเพิ่มอาจเสียเครดิต
(แบบว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้วนิ) แหะๆ

เข้ามาอ่านมาตอดพระเอกเรื่องนี้บ้้างน้าาาาาา
เก๊าจะพยายามขุนและเข็นให้ดีขึ้นกว่านี้...อิอิ

ถ้าไม่ร้ายและดีแสนดีตั้งแต่เริ่มเรื่อง สงสัยจะขึ้นแท่นเป็นพระเอกเต่า
ยากกกกซ้ากกกกหน่อย ฮ่าาาาาา


2.คุณแว่นใส...เต่าก็ลืมยกนิ้วนับว่ากี่เส้า แหะๆ
แต่ที่แน่ๆ...พระเอกอกหักจากน้องนางเอกตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้านางเอกเลยนี่สิ...

อีกอย่าง...สองพี่น้อง ช่างแตกต่างกันมากกกกค่ะ
ถ้าไม่กลัวต้องสาวเส้นมาม่า...เข้ามาดูความแตกต่าง...ของตัวละครในเรื่องนี้กัน ^^


....ขอให้สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งกายและใจกันถ้วนหน้าทุกท่านนะคะ....

"เต่าโย"





yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2558, 22:01:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ธ.ค. 2558, 15:05:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 2192





<< ลำนำ    ลำที่ 50 คลื่นความหวั่นไหว >>
ปรางขวัญ 20 พ.ย. 2558, 02:11:26 น.
เห็นชื่อเรื่องผ่านตามาสักพัก วันนี้ได้ฤกษ์เข้ามาอ่าน ขอบอกเลยค่ะคุณเต่าว่ารู้งี้เข้ามาอ่านตั้งนานแล้ว

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ตามเชียร์นู๋นีล แต่จะมาเชียร์มัสรานี แทนค่ะ


สายป่าน 20 พ.ย. 2558, 08:07:21 น.
ว้าว! น่าสนใจมากเลยค่ะเริ่องนี้..รีบๆมาอัพน่ะค่ะ
ปล.ชอบชื่อพระนางเรื่องนี้มากๆค่ะ


แว่นใส 20 พ.ย. 2558, 08:55:02 น.
นายเริ่มแสดงความชั่วร้ายแล้วนะคาเวห์


ตุ๊งแช่ 20 พ.ย. 2558, 14:31:16 น.
เรื่องนี้มาแนวสืบสวน ชวนสยองป่าว หรือหวีด ปนหยองอ่ะ..

ดูเหมือนหมาป่ากับลุกแกะเลยอ่ะ

จะโดนคาเวย์จับกินมะนี่ แจ๋วเจ้าเก่า..

ยังจับแน๊ว แนวววไม่ถูก มาทางไหนล่ะนั่น....


นาฬิกาสีรุ้ง 21 พ.ย. 2558, 23:28:25 น.
โอ้ยยยยยยยยยยยยย เกี่ยวข้องกับอะไรเนี่ยยย มันมาได้ยังไง อะไรยังไง ข้าพเจ้า ฮง ไปหมดแล้วเจ้าค่ะ จะอ่านนิยายทั้งทีมาแนวไหนยังจับแนวไม่ได้เลย

ปล.ความรู้สึกเดียวกับเม้นบน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account