อาญาร้าย เล่ห์พันธนาการ
เขานายแพทย์ปัฐน์ พิทยาเวช
เพราะการตายของน้องชายฝาแฝด ทำให้เขามาต้องมาทวงหาความยุติธรรม
และถ้ากฏหมายยังเอาผิดไม่ได้ เขาจะเป็นคนมอบโทษทัณฑ์นั้น อย่างสาสมที่สุด!!!
เธอปลิตรา พรหมวิริยะ
หญิงสาวเจ้าของนัยย์ตาโศก เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจศาลเตี้ยมาตัดสินชีวิตเธอ
เพราะการตายของน้องชายฝาแฝด ทำให้เขามาต้องมาทวงหาความยุติธรรม
และถ้ากฏหมายยังเอาผิดไม่ได้ เขาจะเป็นคนมอบโทษทัณฑ์นั้น อย่างสาสมที่สุด!!!
เธอปลิตรา พรหมวิริยะ
หญิงสาวเจ้าของนัยย์ตาโศก เธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้อำนาจศาลเตี้ยมาตัดสินชีวิตเธอ
Tags: ฆาตกรรม ความแค้น กฏหมาย ชดใช้
ตอน: บทที่ 1
ท่ามกลางความมืดมิด ในบรรยากาศหนาวเย็นที่เสียดแทงผ่านผิวผ้าลึกลงไปเกินจะทานทนไหวจน ร่างเล็กเดินสะเปะสะปะอย่างไม่รู้ทิศทาง ร่างกายสั่นสะท้านอ่อนล้า ทรุดตัวลง ความหวาดกลัวเกาะกุมจนร่ำไห้ ดวงตาพร่าเลือนมองไม่เห็นแสงสว่างนานเท่านานจนแทบสิ้นหวัง ตลอดจนเสียงหนึ่งดังแว่วปะปนมากับสายลมจากที่ไกลแสนไกล
‘ปลิตรา...ปลิตรา...’ เสียงเรียกย้ำเบาแสนเบาไม่รู้ทิศทาง เธอไขว่คว้าแม้เสียงจะไกลลิบหรี่ ความหวังแสน เลือนรางสว่างไสวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
‘ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยฉันด้วย’ น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนล้า ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่กระนั้นดวงตาเล็กที่พร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำตายังคงพยายามเพ่งมอง มือเล็กไขว่คว้าอากาศอันว่างเปล่า ราวกับอยากจะให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีตัวตนปรากฏขึ้นชุดรั้งเธอออกจากความมืดมิดอันโหดร้ายนี้
‘ปลิตรา...ปลิตรา...’ เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะเข้าใกล้เธอทุกขณะ เสียงแจ่มชัดราวกับเจ้าของเสียงอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างเพียงเอื้อมมือสัมผัส แต่แท้จริงแล้วเธอกลับมองไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลย เอื้อมจนสุดแขนก็ไขว่คว้าได้เพียงความหนาวเหน็บอันว่างเปล่าเช่นเคย
‘ปัณณ์นั้นคุณใช่ไหมคะ...คุณอยู่ที่ไหนคะฉันไม่เห็นคุณ’ เธอถามเสียงสะท้านอ่อนล้า รอคอยด้วยใจหวาดหวั่น ทุกนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าดั่งเข็มนาฬิกาต้องการทดเวลาให้ยืดเยื้อออกไปกระนั้น นานเท่าไรไม่รู้ก่อนที่เสียงของเขาจะแว่วมากับสายลมอีกครั้ง พัดผ่านใบหูราวเสียงกระซิบ
‘ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ตื่นเถอะปลิว’
‘ฉันไม่เห็นคุณ’ เธอไม่ย้ำบอก ‘คุณอยู่ที่ไหนคะปัณณ์...อย่าทิ้งปลิวไป’
‘ตื่นเถอะปลิว’
‘ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ตื่นเถอะปลิว ตื่นเถอะปลิวๆ’
เสียงย้ำซ้ำๆ นับสิบก่อนที่สายลมผัดผ่านห่างออกไปเรื่อยๆ คงทิ้งไว้เพียงแต่ถ้อยคำสั่นๆ ที่ยังคงดังสะท้อนอยู่ในภวังค์ความรู้สึกของเธอเนิ่นนาน
‘ปัณณ์คุณอยู่ที่ไหนคะ อย่าทิ้งปลิวไป’ เปลือกตาอันหนักอึ้งหรี่เล็กจวนเจียนจะปิดลง ยากเย็นยิ่งนักที่จะฝืน คำอธิฐานของเธอไม่เคยสมหวังมานานแล้ว ไม่ว่านานเท่าไรเขาก็ไม่เคยกลับมาหาเธอ ลมหายใจแผ่วเบาผ่อนช้าลง พอๆ กับเสียงหัวใจที่เริ่มนิ่งหายไป
นี่เธอกำลังจะตายใช่ไหม มาถึงตอนนี้ไม่นึกเสียใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกอยากไปให้พ้นๆ กับสภาพเช่นนี้เสียที หลุดพ้นจากอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอรู้สึกทรมาน
ริมฝีปากบางระบายยิ้มเล็กน้อย แม้ที่ปลายหางตาจะพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำตา
‘รอปลิวก่อนนะคะ ปลิวกำลังจะไปหาคุณ’
ลมหายใจสุดท้าย ดูเหมือนจะหลุดลอยไปตามกระแสลม แต่ใครเลยจะรู้ว่า...สายลมจะหวนกลับ
ภายในห้องผู้ป่วยวิกฤตสงบเงียบ คงมีแค่เพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ร่างสูงใหญ่ในชุดกาวน์สีขาวสะอาดยืนกอดอกสงบนิ่ง มองร่างบอบบางที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยซึ่งบัดนี้มีสายระโยงระยางรอบตัวเต็มไปหมด อาการภายนอกดูเหมือนจะสาหัส แต่เขารู้ดี เธอปลอดภัยด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากทีมแพทย์ที่รักษาชีวิตของเธอไว้ได้ แม้จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หญิงสาวหยุดหายใจไปก็ตาม แต่เขาก็ยื้อลมหายใจของเธอกลับมาจนได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ เพราะเธอต้องทนรับการสะสางจากเขาเสียก่อน ปลิตรา
ริมฝีปากหนาของนายแพทย์หนุ่มปัฐน์แสยะยิ้มน่ากลัว โดยที่คนป่วยไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย ว่าบัดนี้เจ้ากรรมนายเวรได้ตามติดทวงหนี้กรรมอันแสนสาหัสจากเธอ และยากยิ่งนักที่จะหลีกหนีมันพ้น มันถึงเวลาแล้วปลิตราที่เธอจะต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อเอาไว้
แววตาของหมอหนุ่มที่เคยอ่อนโยนสำหรับคนไข้รายอื่นๆ ของเขา แต่บัดนี้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวสำหรับคนไข้รายนี้เพียงคนเดียว เขาทอดมองร่างของคนป่วยด้วยแววตานั้น แต่ก็อดไม่ได้ตามจรรยาบรรณของแพทย์ คลี่ผ้าห่มที่ตอนนี้คลุ่มอยู่เพียงแค่เอวของคนไข้ขึ้นคลุมให้จนถึงหน้าอกอย่างแผ่วเบา ระหว่างนั้นเขาก็บอกกับเธอเพียงแผ่วเบา
“ขอให้หายไว้ๆ นะครับ” เพราะคุณจะต้องอยู่ชดใช้กรรมกับผมอีกเยอะ
ประโยคหลังนี้เขาต่อเองในใจ คำพูดมีผลกระทบต่อผู้ที่ร่างกายอ่อนแอเสมอ และเขาไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นเขาไม่ได้อยากเป็นหมอที่ทำร้ายคนไข้ โดยเฉพาะกับคนไข้ผู้หญิง ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่เขาเกลียดก็เถอะ เขาไม่ได้เลวขนาดนั้น เอาไว้ให้เธอหายเป็นปกติเมื่อไร ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
คุณหมอหนุ่มกระชับเสื้อกาวน์เข้ากับตัว ปรับแววตาและท่าทีของตัวเองเสียใหม่ โดยเฉพาะต้องรวบรวมคำพูดที่ดีและตรงประเด็นที่สุดไว้รอ เพราะเขาคงต้องตอบคำถามอีกมากกับญาติผู้ป่วยที่รออยู่ด้านนอก ซึ่งคงไม่ใช่แค่อาการของคนป่วยแน่นอน ถ้าเพียงเขาปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากปัณณ์แม้แต่น้อย และนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะความเหมือนมันช่างเหมาะเจาะกับการการแค้นเสียนี่กระไร
ประตูปานหนาของห้องไอ.ซี.ยู ปิดสนิทมาเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่มีวี่แววที่จะเปิดออกเสียที แม้อันที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน ทีมแพทย์และพยาบาลก็ทยอยกันออกมาเป็นระยะ แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถามก็ได้รับเพียงคำตอบที่ว่า เดี๋ยวหมอใหญ่จะออกมาชี้แจงนะคะ จนป่านนี้เนิ่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงหมอใหญ่ที่ว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ออกมาเสียที ทำเอาหญิงสาวใจไม่ดี ร่ำๆ จะเปิดประตูไปดูให้รู้แล้วรู้รอดถ้าเพียงแต่ถ้าไม่ถูกห้ามไว้เสียก่อน
ลดาวลีก็มีอาการไม่ต่างกันมากนัก แต่ก็ยังพยายามรอคอยย่างอดทน แขวนทุกสิ่งไว้บนความเชื่อมั่น ว่าปลิตราจะต้องไม่เป็นอะไร เพื่อนรักจะต้องปลอดภัย เหตุการณ์ทีสาหัสกว่านี้ปลิตรายังเคยผ่านพ้นมาได้ แล้วทำไมกับแค่นี้เพื่อนของเธอถึงจะผ่านมันไปอีกครั้งไม่ได้
ความอดทนที่แสนยาวนานเหมือนจะสิ้นสุดลงเสียที เมื่อประตูบานกว้างถูกผลักให้เปิดออกจากบุคคลภายใน แต่คำถามที่เคยตั้งใจว่าจะถามถูกลบเลือนไปชั่วขณะ เหลือเพียงอาการนิ่งงัน ซึ่งอาการนั้นก็ไม่ต่างจากลดาวลีมากนัก คุณหมอหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยเลือกตอบคำถามโดยไม่มีคนถามเสียเอง
“คนไข้อาการปลอดภัยแล้วนะครับ แต่ยังให้เข้าเยี่ยมไม่ได้ หมออยากให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน เอาไว้ยังไงพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอีกครั้งก็แล้วกันเพราะคงต้องพักที่โรงพยาบาลอีกสักระยะ หมออยากดูอาการให้แน่ใจก่อนเพราะร่างกายของคนไข้บอบช้ำมาก”
คำอธิบายยืดยาวนั้นดูเหมือนจะถูกลดความสำคัญลงไป ชายหนุ่มแสร้งเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนยิ้มมุมปากเล็กน้อยเขายืนรออย่างใจเย็น ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีก มีเพียงดวงตาคมที่ไหววาบนิ่งคิด ต้องนับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวกับปฏิกิริยาที่เขาได้รับกลับมา เพราะไม่ผิดไปจากที่คาดหมายไว้เท่าไรนัก แม้จะผิดที่ผิดเวลาไปบ้างแต่ก็ต้องนับว่าเป็นการเปิดตัวที่สวยงามเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้เขาไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่กระทั้งความบังเอิญในครั้งนี้ ที่เขาได้รักษาหญิงสาว และเธอก็ยังไม่ตาย!
ลดาวลีนิ่งงันไป ดวงตาเล็กมองจนกลายเป็นจ้องร่างสูงใหญ่อย่างไม่วางตา ซึ่งอาการนี้ก็คงไม่ต่างจากวีรนันท์มากนัก เผลอคิดไปไม่ได้ว่าหรือเธอกำลังถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ แดดจัดจ้าเช่นนี้ แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมั่นมาตลอดทำให้เชื่ออย่างนั้นไม่ลง หญิงสาวจึงเปลี่ยนจากการมองจ้องก่อนทำสิ่งหนึ่งคือการยื่นมือไปอย่างใจกล้าสัมผัสแผ่วเบาที่แขนของเขา ก่อนลองหยั่งเสียงถาม “เออ...คุณปัณณ์”
ปัฐน์อมยิ้มเล็กน้อย ทำให้ลดาวลีรีบชักมือกลับแต่นั่นไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความเหมือน ที่เหมือนแม้กระทั่งรอยยิ้ม...
“ผมไม่ใช่ปัณณ์หรอกครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบอก ลดาวลีเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง รับรู้บางอย่างถึงกระแสน้ำเสียงเรียกชื่ออันแสนสนิทสนมนั้น “ผมชื่อปัฐน์ นายแพทปัฐน์ พิทยาเวช พี่ชายฝาแฟดของปัณณ์ พิทยาเวช” น้ำเสียงสุดท้ายถูกเน้นหนักอย่างตั้งใจ ราวกับเขาต้องการจะบอกว่าเขาและน้องชายนั้นต่างกัน
“พี่ชายฝาแฟด!!” ครั้งนี้เป็นน้ำเสียงอุทานของวีรนันท์ ที่ดังขึ้น กลับกันที่ลดาวลีเป็นฝ่ายนิ่งงันไปบ้าง
“ครับ...พวกคุณรู้จักปัณณ์อย่างนั้นหรือครับ” น้ำเสียงและท่าทางสงสัยของคุณหมอชุดรั้งสติของลดาวลีให้กับมาได้บ้างแต่ก็ยังช้ากว่าวีรนันท์อยู่ดี
“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะคะ ก็คุณปัณณ์เป็น...”
“เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยค่ะ” ลดาวลีชิงตอบ พรางส่งสายตากำชับกึ่งตำหนิส่งไปให้วีรนันท์ ที่แม้จะยังดูงงๆ อยู่บ้าง ที่ถูกแทรกบทสนทนาอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไร
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ใช่เขามั่นใจว่าหญิงสาวทั้งสองคนต้องรู้จักน้องชายเขาแน่ แต่คำตอบต้องไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมน่ะหรือก็เพราะเขารู้จักหญิงสาวทั้งสองคนในฐานะที่ทั้งคู่ถูกวางตัวให้เป็นเพื่อนเจ้าสาว ในงานแต่งงานแสนเศร้าเมื่อสองปีก่อนน่ะสิ บางทีคำตอบแรกที่วีรนันท์จะบอกกับเขาอาจเป็นคำตอบที่เขาต้องการก็เป็นได้ ผู้หญิงสองคนนี้กำลังรวมหัวปิดบังเขา แต่เอาเถอะครั้งนี้จะถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย รอเวลาก่อนปัฐน์เขาต้องใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า เพื่อนของคุณที่อยู่ข้างในนั้น ก็คงเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยเหมือนกันใช่ไหมครับ” เขาถามพรางส่งสายตาคมจับจ้อง ดั่งกับว่าจะล้วงเอาความลับผ่านสายตากระนั้น และดั่งจะเป็นการบอกกรายๆ ว่า เขารู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นแค่รุ่นน้องอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
“เออ...ค่ะ” เธอตอบรับแผ่วเบา
ชายหนุ่มยิ้ม ถ้าเพียงแต่เธอสามารถอ่านสายตาคนได้ ก็คงไม่ตอบเขาแบบนี้ “โลกกลมดีจังนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทั้งสองคน แต่ยังไงคงต้องขอตัวก่อน พอดีมีเคสผ่าตัดรออยู่ แล้วไว้พบกันคราวหน้านะครับ” นายแพทย์หนุ่มพูดจบก็เดินจากไป แต่ไปได้ไม่ไกลนักก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเอ่ยบอกบางอย่าง เมื่อนึกขึ้นได้
“ยังไงหมอก็ฝากสวัสดีเพื่อนของคุณ และบอกเธอด้วยนะครับ ว่าผมยินดีที่ได้รู้จัก”
คำพูดของคุณหมอหนุ่มจบแค่นั้น ก่อนที่เขาจะเดินลับหายไป คำพูดฝากฝังนั้นดูเหมือนเป็นปริศนาบางอย่างที่ลดาวลีตีความไม่ออก พี่ชายฝาแฝด ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยว่าปัณณ์มี แล้วเขากลับมาทำไมในตอนนี้ เป็นเรื่องแค่บังเอิญจริงหรือเปล่า ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชีวิตปลิตรา
“แปลกคนจัง เรายังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย แล้วจะมาบอกว่ารู้จักกันได้ยังไง” วีรนันท์บ่นอย่างเสียไม่ได้ มองตามร่างสูงไปอย่างครุ่นคิดพอกัน ทั้งแปลกใจในตัวของหมอหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของปัณณ์ และทั้งแปลกใจกับการโกหกคำโตของลดาวลี
“บางที เขาอาจจะรู้จักเราอยู่แล้วก็ได้...บางที” ลดาวลีเอ่ยตอบ สายตายังคงทอดมองไปตามเส้นทางที่หมอหนุ่มเพิ่งเดินลับหายไปอย่างสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของเขา
“ปลิว รถยังซ่อมไม่เสร็จไม่ใช่หรือแล้วจะกลับยังไง กลับรถประจำทางด้วยกันไหม” ลดาวลีเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังเก็บของบนโต๊ะทำงานให้เข้าที่ ยังไม่ทันได้เงยหน้าตอบคำถามนั้นด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีชิงตอบให้เสียก่อน โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามอง เพราะจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ วีรนันท์
“อย่าไปชวนเลยลดา เขาก็มีคนขับรถกิตติมศักดิ์ส่วนตัว ที่ต้องเจอหน้ากันทุกวัน ลองถ้าคุณปัณณ์ไม่ได้เจอหน้ายัยปลิวสักวันสิ มีหวังได้ลงแดงตายแน่ๆ” เสียงหัวเราะคิกคักของวีรนันท์ดั่งล้อเลียนที่ทำให้แก้มใสของคนถูกแซวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นเด่นชัด ให้คนล้อได้ใจขึ้นไปอีก
“บ้าน่ายัยวี...พูดอะไรเนี่ย”
“ก็พูดความจริงไงจ๊ะ ไม่ต้องมาเขินหรอกน่า”
“พอแล้วฉันไม่อยากจะคุยด้วย” เธอบอกปัดก่อนจะหันไปหาลดาวลี ถามอย่างนึกห่วง “แล้วลดากลับยังไง กลับด้วยกันก็ได้นะ”
และอีกเช่นกัน คนตอบคำถามไม่ใช่ลดาวลี “ไม่ต้องเลยนะยัยลดา จะไปเป็นก้างขวางคอเขาทำไม” คนพูด พูดไปยิ้มไปทำให้ลดาวลีต้องยิ้มตาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงยัยลดานะ เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” ครั้งนี้วีรนันท์หันมาบอกกับเธอ ซึ่งทำให้ปลิตราคลายความกังวลลงได้ ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“นั่นไงโทรตามอีกและ ไปกันเถอะลดา อยู่ฟังแล้วมันเลี่ยน...” วีรนันท์ลากเสียงยาวล้อๆ พรางรั้งข้อมือของลดาวลีให้เดินตาม
ปลิตราหัวเราะมองเพื่อนสองคนเดินลับหายไปก่อนจะกดรับโทรศัพท์ น้ำเสียงตอบรับอารมณ์ดีของคนปลายสายทำให้เธอต้องยิ้มรับกับโทรศัพท์เช่นกัน
“ผมรออยู่ข้างล่างนะครับปลิว” เสียงปลายสายตอบกลับมา
“ค่ะปลิวกำลังลงไป รอปลิวแปบเดียวค่ะ” หญิงสาวเอ่ยบอกกับคนในสาย ในขณะที่มืออีกข้างก็พยายามเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อย่นระยะเวลาให้ได้เจอคนรักเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่ทันสังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอ จากมุมหนึ่งผ่านกระจกบานใส
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ความโกรธเคือง
‘ฉันเจอเขาก่อน ไม่ว่าเธอหรือใครก็แย่งคุณปัณณ์ไปจากฉันไม่ได้’ คำพูดนั้นถูกเอ่ยเพียงในใจ แต่แน่นอนการกระทำมันจะไม่ใช่แค่ในใจ เพราะเธอจะไม่มีวันยอมเสียคนรัก ที่เธอรักก่อน และแน่ใจว่ารักมากกว่าไปให้แน่ๆ
ปลิตราค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ สมองยังคงเบลอๆ จับภาพอะไรได้ไม่ชัดเจน จนต้องกระพริบตาถี่ๆ สติที่กลับคืนมาพร้อมๆ กับความเจ็บปวดนั้นเริ่มทำให้เธอไม่อยากลืมตา อาการปวดร้าวไปทั่วร่างกายแทนคำตอบได้ดีว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ทำไมกัน เธอรอดมาได้ยังไง ความจริงเธอต้องตายไปแล้วสิ เธอคงเป็นคนบ้าเพียงคนเดียวที่อยากตายทั้งที่ยังมีโอกาสใช้ชีวิต แต่ชีวิตที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายและความผิดซ้ำๆ ซากๆ ที่คอยตามหลอกหลอนตอกย้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันใครเล่าจะอยากอยู่ ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นทำให้เธอต้องกลั่นกรองทุกอย่างผ่านสายน้ำตาอีกครั้ง
“ฟื้นเสียทีนะครับ หลับไปนานเลยทีเดียวสามวันเต็มๆ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยแผ่วเบาข้างเตียง ทำให้เธอต้องหันกลับไปมอง เพิ่งรู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว แต่ภาพที่เห็นมันช่างเป็นอะไรที่เกินคาดหวัง นี่เธอกำลังละเมอฝันอยู่อย่างนั้นหรือ หรือว่าที่จริงแล้วเธอตายไปแล้วกันแน่ และตอนนี้เธอกำลังอยู่บนสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรมันก็ไม่สำคัญเท่าที่ว่าตอนนี้เธอได้พบเขาแล้ว ปัณณ์
“รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามเมื่อสังเกตได้จากปลายหางตาของคนไข้ที่ยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา เดาได้ว่าคงเกิดจากอาการเจ็บปวดตามร่างกายที่ได้รับการกระแทก แต่อาการนิ่งงันไปของเธอนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเกิดจากอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เธอสมควรจะต้องตกใจเสียมากกว่า
ปลิตรานิ่งงันไปจริงๆ ร่างกายดูเหมือนจะใช้การไม่ได้ชั่วขณะ สติดูเลื่อนลอยเหมือนจะลับหายไป ตอนนี้เธอไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ยินแม้กระทั้งเสียงของเขา ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตัวเองยื่นมือขึ้นไป ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือสัมผัส เขามีตัวตนจริงๆ เขายังอยู่...
“ปลิว...” เสียงลดาวลีเอ่ยขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง มือของปลิตรายังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศอย่างนั้น ในขณะที่คุณหมอหนุ่มก็หมดคำพูดอยู่เพียงแค่นั้นเช่นกัน ซึ่งเธอไม่แน่ใจในอาการของคนทั้งคู่ แต่มีสิ่งหนึ่งเธอแน่ใจ แววตาของเขาเจ็บปวด...แต่เพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้ ใช่แววตาของเขาเจ็บปวด แต่จากอะไรล่ะ...
“ปลิว...” ครั้งนี้ลดาวลีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมๆ กับรั้งแขนของเพื่อนสนิทลง “ไม่ใช่คุณปัณณ์หรอกนะปลิว” เธอบอกอีกครั้งครานี้ปลิตราหันสายตาไปทางลดาวลี แววตานั้นสับสนและไม่เข้าใจ เขาที่บัดนี้ยืนอยู่เคียงข้างเธอ ใบหน้านี้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอไม่เคยลืม จะไม่ใช่ได้อย่างไร
ลดาวลีผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ลอบสังเกตอาการของคุณหมอที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่ไม่พบรอยผิดปกติใดๆ อีกเลย กลับกันใบหน้าของเขากับนิ่งเฉยราวกับคนที่ไร้ความรู้สึกไปเสียอย่างนั้น
“เขาไม่ใช่คุณปัณณ์จริงๆ ปลิว” น้ำเสียงหนักแน่นและแววตายืนยันก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไป ที่เรียบเรียงมาให้สั้นที่สุดเพื่อที่ปลิตราจะได้เข้าใจได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
“แต่เขาคือคุณปัฐน์ พิทยาเวช เป็นพี่ชายฝาแฝดของคุณปัณณ์”
พี่ชายฝาแฝดอย่างนั้นหรือ ไม่จริง! ร่างบางส่ายหน้า ร่างกายอ่อนแรง ลดาวลีกำลังเล่นตลกอะไรบางอย่างกับเธอ กำลังโกหกเธออยู่ หญิงสาวจ้องมองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นอีกครั้ง ถ้าเพียงเขาเอ่ยปากบอกปฏิเสธแม้เพียงนิด เธอจะเชื่อเขาอย่างหมดหัวใจ
“ผมไม่ใช่ปัณณ์หรอกครับคุณปลิตรา” ชายหนุ่มบอกย้ำอมยิ้มเล็กน้อย ราวกับรู้สึกยินดีกับอาการนั้นของเธอเสียเต็มประดา “แต่ผมคือปัฐน์พี่ชายฝาแฝดของปัณณ์จริงๆ”
เหมือนๆ กับโลกทั้งใบได้หยุดหมุนลง มือไม้ชาไร้เรี่ยวแรง ชาไปทั้งร่างกายทั้งหัวใจ ตามมาด้วยความรู้สึกที่แหลกสลายราวกับคนใกล้ตายกระนั้น
“ทำไมฉัน...ไม่รู้” น้ำเสียงอ่อนล้าของคนป่วยเอ่ยขึ้นได้ในที่สุด และคำถามนั้นก็สร้างความยินดีให้กับเขาไม่น้อย โชคดีที่เขากับน้องชายไม่ได้สนิทสนมกันจนสามารถไปเล่าให้ใครฟังได้อย่างสนิทใจ แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าปัณณ์ไม่ชอบขี้หน้าเขาขนาดไม่เล่าให้คนรักฟังเลยกระนั้นหรือ
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าคุณสำคัญมากพอที่เขาจะเล่าให้ฟังหรือเปล่า”
คำตอบนี้ของนายแพทย์ปัฐน์ทำให้ปลิตรานิ่งขึงก่อนจะซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ลดาวลีรู้สึกตระหนกตกใจจนเผลอแสดงท่าทางไม่ไว้วางใจจนคุณหมอหนุ่มสังเกตเห็นได้ แต่เขาก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไร ทั้งยังตีหน้าซื่อโต้ตอบกลับไป
“ทำไมหรือครับ ก็คุณบอกเองว่าเป็นแค่รุ่นน้องที่มหาลัย อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรที่นายปัณณ์จะต้องเล่าทุกเรื่องที่สำคัญให้ฟัง จริงไหมครับ?” เขาตั้งคำถามจากคำตอบในครั้งหนึ่งของเธอ และนั้นก็ทำให้ลดาวลีเองตอบไม่ถูก ลองได้โกหกแล้วก็เหมือนวัวพันหลักที่ไปไหนไม่รอดอยู่นั่นเอง
“ทำไมหรือครับ หรือคุณปลิตราเป็นอะไรมากกว่านั้น” เขาตั้งคำถามอีกครั้ง และครั้งนี้เขาตั้งคำถามกับผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงโดยตรง น้ำเสียงเหมือนไม่ได้จริงจังอะไรนักแต่สายตากับจับจ้องไม่ใช่เพื่อรอฟัง แต่เพื่อคาดคั้น
“ฉันเป็น...” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยบอกได้เพียงแค่นั้นก่อนที่ลดาวลีจะเอ่ยคั่น แทรกขึ้นมา
“เออ...ลดาว่าให้ยัยปลิวพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ เพิ่งฟื้นขึ้นมาคงจะเพลียคุณหมออย่าเพิ่งรบกวนคนไข้ตอนนี้เลยนะคะ”
คุณหมอยกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างอารมณ์ดีโต้ตอบกลับ “ผมเพิ่งทราบว่าคุณลดารู้ดีกว่าผมซึ่งเป็นหมอเสียอีกนะครับ”
ลดาวลีคอแข็ง เม้มริมฝีปากแน่น “ลดาเพียงแค่ต้องการให้เพื่อนของลดาได้พักผ่อนเท่านั้นเองค่ะ คุณหมอก็น่าจะทราบว่าคนไข้อ่อนเพลียมากแค่ไหน เชิญคุณหมอออกไปก่อนเถอะค่ะ” น้ำเสียงแข็งขืนแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ ที่แม้แต่คนป่วยบนเตียงยังอดแปลกใจไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกไปเท่านั้น
นายแพทย์หนุ่มยิ้มมุมปากอีกครั้ง โค้งหัวให้อย่างยอมแพ้ “โอเค ครับ เอาเป็นว่าผมยอมแพ้ ไม่รบกวนเพื่อนของคุณแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ครั้งนี้เขาถอย แต่ไม่ใช่เพราะยอมแพ้อย่างที่บอก แต่เพื่อรอเวลา เวลาที่เหมาะสมมากกว่านี้ และเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีลดาวลีเป็นร้อยก็รั้งเขาไม่อยู่
“แต่ถ้ามีอะไรกดออดตรงหัวเตียงนั้นได้ทันทีเลยนะครับจะมีพยาบาลเข้ามาดูแล” เขาบอกทิ้งท้ายก่อนจะออกไปได้ในที่สุด
“ทำไม...” ปลิตราเอ่ยถาม หลังจากประตูห้องปิดสนิทลง ซึ่งคำถามสั้นๆ นั้นก็ทำให้ลดาวลีหนักใจมิใช่น้อย
“บอกตามตรงเลยนะปลิว ฉันไม่ไว้ใจคุณหมอปัฐน์คนนี้เลย ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาดี ไอ้การที่อยู่ๆ เขาก็เข้ามาในชีวิตของเธอ มันต้องไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ๆ” เสียงเอ่ยยืดยาวแทบไม่พักหายใจนั้นอาจมีความเป็นไปได้ แต่ปลิตราคิด ไม่มีเหตุผลอะไร ไม่มีเลย...
“เขาจะต้องการอะไรจากชีวิตฉันล่ะ ตอนนี้ฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว” น้ำเสียงแหบโหยเอ่ยค้าน ก่อนที่ดวงตาหวานหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยล้า ปล่อยให้ลดาวลีจมอยู่กับการหาเหตุผลอยู่อย่างนั้น
‘ก็เหลือตัวเธอยังไงล่ะ ที่เขาต้องการ’
‘ปลิตรา...ปลิตรา...’ เสียงเรียกย้ำเบาแสนเบาไม่รู้ทิศทาง เธอไขว่คว้าแม้เสียงจะไกลลิบหรี่ ความหวังแสน เลือนรางสว่างไสวขึ้นท่ามกลางความมืดมิด
‘ช่วยด้วยค่ะ...ช่วยฉันด้วย’ น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนล้า ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง แต่กระนั้นดวงตาเล็กที่พร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำตายังคงพยายามเพ่งมอง มือเล็กไขว่คว้าอากาศอันว่างเปล่า ราวกับอยากจะให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีตัวตนปรากฏขึ้นชุดรั้งเธอออกจากความมืดมิดอันโหดร้ายนี้
‘ปลิตรา...ปลิตรา...’ เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว ครั้งนี้ดูเหมือนจะเข้าใกล้เธอทุกขณะ เสียงแจ่มชัดราวกับเจ้าของเสียงอยู่ตรงหน้าเธอ ห่างเพียงเอื้อมมือสัมผัส แต่แท้จริงแล้วเธอกลับมองไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลย เอื้อมจนสุดแขนก็ไขว่คว้าได้เพียงความหนาวเหน็บอันว่างเปล่าเช่นเคย
‘ปัณณ์นั้นคุณใช่ไหมคะ...คุณอยู่ที่ไหนคะฉันไม่เห็นคุณ’ เธอถามเสียงสะท้านอ่อนล้า รอคอยด้วยใจหวาดหวั่น ทุกนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าดั่งเข็มนาฬิกาต้องการทดเวลาให้ยืดเยื้อออกไปกระนั้น นานเท่าไรไม่รู้ก่อนที่เสียงของเขาจะแว่วมากับสายลมอีกครั้ง พัดผ่านใบหูราวเสียงกระซิบ
‘ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ตื่นเถอะปลิว’
‘ฉันไม่เห็นคุณ’ เธอไม่ย้ำบอก ‘คุณอยู่ที่ไหนคะปัณณ์...อย่าทิ้งปลิวไป’
‘ตื่นเถอะปลิว’
‘ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอ...ตื่นเถอะปลิว ตื่นเถอะปลิวๆ’
เสียงย้ำซ้ำๆ นับสิบก่อนที่สายลมผัดผ่านห่างออกไปเรื่อยๆ คงทิ้งไว้เพียงแต่ถ้อยคำสั่นๆ ที่ยังคงดังสะท้อนอยู่ในภวังค์ความรู้สึกของเธอเนิ่นนาน
‘ปัณณ์คุณอยู่ที่ไหนคะ อย่าทิ้งปลิวไป’ เปลือกตาอันหนักอึ้งหรี่เล็กจวนเจียนจะปิดลง ยากเย็นยิ่งนักที่จะฝืน คำอธิฐานของเธอไม่เคยสมหวังมานานแล้ว ไม่ว่านานเท่าไรเขาก็ไม่เคยกลับมาหาเธอ ลมหายใจแผ่วเบาผ่อนช้าลง พอๆ กับเสียงหัวใจที่เริ่มนิ่งหายไป
นี่เธอกำลังจะตายใช่ไหม มาถึงตอนนี้ไม่นึกเสียใจเลยสักนิด ตรงกันข้ามเธอกลับรู้สึกอยากไปให้พ้นๆ กับสภาพเช่นนี้เสียที หลุดพ้นจากอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เธอรู้สึกทรมาน
ริมฝีปากบางระบายยิ้มเล็กน้อย แม้ที่ปลายหางตาจะพร่างพรายไปด้วยหยาดน้ำตา
‘รอปลิวก่อนนะคะ ปลิวกำลังจะไปหาคุณ’
ลมหายใจสุดท้าย ดูเหมือนจะหลุดลอยไปตามกระแสลม แต่ใครเลยจะรู้ว่า...สายลมจะหวนกลับ
ภายในห้องผู้ป่วยวิกฤตสงบเงียบ คงมีแค่เพียงเสียงเครื่องช่วยหายใจที่ยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดีเยี่ยม ร่างสูงใหญ่ในชุดกาวน์สีขาวสะอาดยืนกอดอกสงบนิ่ง มองร่างบอบบางที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยซึ่งบัดนี้มีสายระโยงระยางรอบตัวเต็มไปหมด อาการภายนอกดูเหมือนจะสาหัส แต่เขารู้ดี เธอปลอดภัยด้วยการช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากทีมแพทย์ที่รักษาชีวิตของเธอไว้ได้ แม้จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่หญิงสาวหยุดหายใจไปก็ตาม แต่เขาก็ยื้อลมหายใจของเธอกลับมาจนได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีวันปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปแน่ๆ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้ เพราะเธอต้องทนรับการสะสางจากเขาเสียก่อน ปลิตรา
ริมฝีปากหนาของนายแพทย์หนุ่มปัฐน์แสยะยิ้มน่ากลัว โดยที่คนป่วยไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย ว่าบัดนี้เจ้ากรรมนายเวรได้ตามติดทวงหนี้กรรมอันแสนสาหัสจากเธอ และยากยิ่งนักที่จะหลีกหนีมันพ้น มันถึงเวลาแล้วปลิตราที่เธอจะต้องชดใช้กรรมที่ได้ก่อเอาไว้
แววตาของหมอหนุ่มที่เคยอ่อนโยนสำหรับคนไข้รายอื่นๆ ของเขา แต่บัดนี้เปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวสำหรับคนไข้รายนี้เพียงคนเดียว เขาทอดมองร่างของคนป่วยด้วยแววตานั้น แต่ก็อดไม่ได้ตามจรรยาบรรณของแพทย์ คลี่ผ้าห่มที่ตอนนี้คลุ่มอยู่เพียงแค่เอวของคนไข้ขึ้นคลุมให้จนถึงหน้าอกอย่างแผ่วเบา ระหว่างนั้นเขาก็บอกกับเธอเพียงแผ่วเบา
“ขอให้หายไว้ๆ นะครับ” เพราะคุณจะต้องอยู่ชดใช้กรรมกับผมอีกเยอะ
ประโยคหลังนี้เขาต่อเองในใจ คำพูดมีผลกระทบต่อผู้ที่ร่างกายอ่อนแอเสมอ และเขาไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นเขาไม่ได้อยากเป็นหมอที่ทำร้ายคนไข้ โดยเฉพาะกับคนไข้ผู้หญิง ถึงแม้จะเป็นผู้หญิงที่เขาเกลียดก็เถอะ เขาไม่ได้เลวขนาดนั้น เอาไว้ให้เธอหายเป็นปกติเมื่อไร ถึงตอนนั้นไม่ว่าใครก็ช่วยอะไรไม่ได้
คุณหมอหนุ่มกระชับเสื้อกาวน์เข้ากับตัว ปรับแววตาและท่าทีของตัวเองเสียใหม่ โดยเฉพาะต้องรวบรวมคำพูดที่ดีและตรงประเด็นที่สุดไว้รอ เพราะเขาคงต้องตอบคำถามอีกมากกับญาติผู้ป่วยที่รออยู่ด้านนอก ซึ่งคงไม่ใช่แค่อาการของคนป่วยแน่นอน ถ้าเพียงเขาปรากฏตัวด้วยหน้าตาที่ไม่ผิดเพี้ยนไปจากปัณณ์แม้แต่น้อย และนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะความเหมือนมันช่างเหมาะเจาะกับการการแค้นเสียนี่กระไร
ประตูปานหนาของห้องไอ.ซี.ยู ปิดสนิทมาเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่มีวี่แววที่จะเปิดออกเสียที แม้อันที่จริงแล้วก่อนหน้านั้นเพียงไม่นาน ทีมแพทย์และพยาบาลก็ทยอยกันออกมาเป็นระยะ แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถามก็ได้รับเพียงคำตอบที่ว่า เดี๋ยวหมอใหญ่จะออกมาชี้แจงนะคะ จนป่านนี้เนิ่นนานเกือบครึ่งชั่วโมงหมอใหญ่ที่ว่าก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ออกมาเสียที ทำเอาหญิงสาวใจไม่ดี ร่ำๆ จะเปิดประตูไปดูให้รู้แล้วรู้รอดถ้าเพียงแต่ถ้าไม่ถูกห้ามไว้เสียก่อน
ลดาวลีก็มีอาการไม่ต่างกันมากนัก แต่ก็ยังพยายามรอคอยย่างอดทน แขวนทุกสิ่งไว้บนความเชื่อมั่น ว่าปลิตราจะต้องไม่เป็นอะไร เพื่อนรักจะต้องปลอดภัย เหตุการณ์ทีสาหัสกว่านี้ปลิตรายังเคยผ่านพ้นมาได้ แล้วทำไมกับแค่นี้เพื่อนของเธอถึงจะผ่านมันไปอีกครั้งไม่ได้
ความอดทนที่แสนยาวนานเหมือนจะสิ้นสุดลงเสียที เมื่อประตูบานกว้างถูกผลักให้เปิดออกจากบุคคลภายใน แต่คำถามที่เคยตั้งใจว่าจะถามถูกลบเลือนไปชั่วขณะ เหลือเพียงอาการนิ่งงัน ซึ่งอาการนั้นก็ไม่ต่างจากลดาวลีมากนัก คุณหมอหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อยเลือกตอบคำถามโดยไม่มีคนถามเสียเอง
“คนไข้อาการปลอดภัยแล้วนะครับ แต่ยังให้เข้าเยี่ยมไม่ได้ หมออยากให้คนไข้ได้พักผ่อนก่อน เอาไว้ยังไงพรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอีกครั้งก็แล้วกันเพราะคงต้องพักที่โรงพยาบาลอีกสักระยะ หมออยากดูอาการให้แน่ใจก่อนเพราะร่างกายของคนไข้บอบช้ำมาก”
คำอธิบายยืดยาวนั้นดูเหมือนจะถูกลดความสำคัญลงไป ชายหนุ่มแสร้งเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนยิ้มมุมปากเล็กน้อยเขายืนรออย่างใจเย็น ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปอีก มีเพียงดวงตาคมที่ไหววาบนิ่งคิด ต้องนับว่าเป็นเรื่องดีทีเดียวกับปฏิกิริยาที่เขาได้รับกลับมา เพราะไม่ผิดไปจากที่คาดหมายไว้เท่าไรนัก แม้จะผิดที่ผิดเวลาไปบ้างแต่ก็ต้องนับว่าเป็นการเปิดตัวที่สวยงามเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นใจให้เขาไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่กระทั้งความบังเอิญในครั้งนี้ ที่เขาได้รักษาหญิงสาว และเธอก็ยังไม่ตาย!
ลดาวลีนิ่งงันไป ดวงตาเล็กมองจนกลายเป็นจ้องร่างสูงใหญ่อย่างไม่วางตา ซึ่งอาการนี้ก็คงไม่ต่างจากวีรนันท์มากนัก เผลอคิดไปไม่ได้ว่าหรือเธอกำลังถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ แดดจัดจ้าเช่นนี้ แต่หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมั่นมาตลอดทำให้เชื่ออย่างนั้นไม่ลง หญิงสาวจึงเปลี่ยนจากการมองจ้องก่อนทำสิ่งหนึ่งคือการยื่นมือไปอย่างใจกล้าสัมผัสแผ่วเบาที่แขนของเขา ก่อนลองหยั่งเสียงถาม “เออ...คุณปัณณ์”
ปัฐน์อมยิ้มเล็กน้อย ทำให้ลดาวลีรีบชักมือกลับแต่นั่นไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความเหมือน ที่เหมือนแม้กระทั่งรอยยิ้ม...
“ผมไม่ใช่ปัณณ์หรอกครับ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยบอก ลดาวลีเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง รับรู้บางอย่างถึงกระแสน้ำเสียงเรียกชื่ออันแสนสนิทสนมนั้น “ผมชื่อปัฐน์ นายแพทปัฐน์ พิทยาเวช พี่ชายฝาแฟดของปัณณ์ พิทยาเวช” น้ำเสียงสุดท้ายถูกเน้นหนักอย่างตั้งใจ ราวกับเขาต้องการจะบอกว่าเขาและน้องชายนั้นต่างกัน
“พี่ชายฝาแฟด!!” ครั้งนี้เป็นน้ำเสียงอุทานของวีรนันท์ ที่ดังขึ้น กลับกันที่ลดาวลีเป็นฝ่ายนิ่งงันไปบ้าง
“ครับ...พวกคุณรู้จักปัณณ์อย่างนั้นหรือครับ” น้ำเสียงและท่าทางสงสัยของคุณหมอชุดรั้งสติของลดาวลีให้กับมาได้บ้างแต่ก็ยังช้ากว่าวีรนันท์อยู่ดี
“ทำไมจะไม่รู้จักล่ะคะ ก็คุณปัณณ์เป็น...”
“เป็นรุ่นพี่ที่มหาลัยค่ะ” ลดาวลีชิงตอบ พรางส่งสายตากำชับกึ่งตำหนิส่งไปให้วีรนันท์ ที่แม้จะยังดูงงๆ อยู่บ้าง ที่ถูกแทรกบทสนทนาอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไร
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง ใช่เขามั่นใจว่าหญิงสาวทั้งสองคนต้องรู้จักน้องชายเขาแน่ แต่คำตอบต้องไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมน่ะหรือก็เพราะเขารู้จักหญิงสาวทั้งสองคนในฐานะที่ทั้งคู่ถูกวางตัวให้เป็นเพื่อนเจ้าสาว ในงานแต่งงานแสนเศร้าเมื่อสองปีก่อนน่ะสิ บางทีคำตอบแรกที่วีรนันท์จะบอกกับเขาอาจเป็นคำตอบที่เขาต้องการก็เป็นได้ ผู้หญิงสองคนนี้กำลังรวมหัวปิดบังเขา แต่เอาเถอะครั้งนี้จะถือว่ายกประโยชน์ให้จำเลย รอเวลาก่อนปัฐน์เขาต้องใจเย็น
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า เพื่อนของคุณที่อยู่ข้างในนั้น ก็คงเป็นรุ่นน้องที่มหาลัยเหมือนกันใช่ไหมครับ” เขาถามพรางส่งสายตาคมจับจ้อง ดั่งกับว่าจะล้วงเอาความลับผ่านสายตากระนั้น และดั่งจะเป็นการบอกกรายๆ ว่า เขารู้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น เขารู้ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นแค่รุ่นน้องอย่างที่ถูกกล่าวอ้าง
“เออ...ค่ะ” เธอตอบรับแผ่วเบา
ชายหนุ่มยิ้ม ถ้าเพียงแต่เธอสามารถอ่านสายตาคนได้ ก็คงไม่ตอบเขาแบบนี้ “โลกกลมดีจังนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทั้งสองคน แต่ยังไงคงต้องขอตัวก่อน พอดีมีเคสผ่าตัดรออยู่ แล้วไว้พบกันคราวหน้านะครับ” นายแพทย์หนุ่มพูดจบก็เดินจากไป แต่ไปได้ไม่ไกลนักก็ต้องหันกลับมาอีกครั้งเอ่ยบอกบางอย่าง เมื่อนึกขึ้นได้
“ยังไงหมอก็ฝากสวัสดีเพื่อนของคุณ และบอกเธอด้วยนะครับ ว่าผมยินดีที่ได้รู้จัก”
คำพูดของคุณหมอหนุ่มจบแค่นั้น ก่อนที่เขาจะเดินลับหายไป คำพูดฝากฝังนั้นดูเหมือนเป็นปริศนาบางอย่างที่ลดาวลีตีความไม่ออก พี่ชายฝาแฝด ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้เลยว่าปัณณ์มี แล้วเขากลับมาทำไมในตอนนี้ เป็นเรื่องแค่บังเอิญจริงหรือเปล่า ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยชีวิตปลิตรา
“แปลกคนจัง เรายังไม่ทันได้แนะนำตัวเลย แล้วจะมาบอกว่ารู้จักกันได้ยังไง” วีรนันท์บ่นอย่างเสียไม่ได้ มองตามร่างสูงไปอย่างครุ่นคิดพอกัน ทั้งแปลกใจในตัวของหมอหนุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของปัณณ์ และทั้งแปลกใจกับการโกหกคำโตของลดาวลี
“บางที เขาอาจจะรู้จักเราอยู่แล้วก็ได้...บางที” ลดาวลีเอ่ยตอบ สายตายังคงทอดมองไปตามเส้นทางที่หมอหนุ่มเพิ่งเดินลับหายไปอย่างสงสัยในพฤติกรรมบางอย่างของเขา
“ปลิว รถยังซ่อมไม่เสร็จไม่ใช่หรือแล้วจะกลับยังไง กลับรถประจำทางด้วยกันไหม” ลดาวลีเอ่ยถามเพื่อนสนิทที่กำลังเก็บของบนโต๊ะทำงานให้เข้าที่ ยังไม่ทันได้เงยหน้าตอบคำถามนั้นด้วยซ้ำ ก็มีผู้หวังดีชิงตอบให้เสียก่อน โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องเงยหน้ามอง เพราะจะเป็นใครไปได้ถ้าไม่ใช่ วีรนันท์
“อย่าไปชวนเลยลดา เขาก็มีคนขับรถกิตติมศักดิ์ส่วนตัว ที่ต้องเจอหน้ากันทุกวัน ลองถ้าคุณปัณณ์ไม่ได้เจอหน้ายัยปลิวสักวันสิ มีหวังได้ลงแดงตายแน่ๆ” เสียงหัวเราะคิกคักของวีรนันท์ดั่งล้อเลียนที่ทำให้แก้มใสของคนถูกแซวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างเห็นเด่นชัด ให้คนล้อได้ใจขึ้นไปอีก
“บ้าน่ายัยวี...พูดอะไรเนี่ย”
“ก็พูดความจริงไงจ๊ะ ไม่ต้องมาเขินหรอกน่า”
“พอแล้วฉันไม่อยากจะคุยด้วย” เธอบอกปัดก่อนจะหันไปหาลดาวลี ถามอย่างนึกห่วง “แล้วลดากลับยังไง กลับด้วยกันก็ได้นะ”
และอีกเช่นกัน คนตอบคำถามไม่ใช่ลดาวลี “ไม่ต้องเลยนะยัยลดา จะไปเป็นก้างขวางคอเขาทำไม” คนพูด พูดไปยิ้มไปทำให้ลดาวลีต้องยิ้มตาม
“ไม่ต้องเป็นห่วงยัยลดานะ เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” ครั้งนี้วีรนันท์หันมาบอกกับเธอ ซึ่งทำให้ปลิตราคลายความกังวลลงได้ ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
“นั่นไงโทรตามอีกและ ไปกันเถอะลดา อยู่ฟังแล้วมันเลี่ยน...” วีรนันท์ลากเสียงยาวล้อๆ พรางรั้งข้อมือของลดาวลีให้เดินตาม
ปลิตราหัวเราะมองเพื่อนสองคนเดินลับหายไปก่อนจะกดรับโทรศัพท์ น้ำเสียงตอบรับอารมณ์ดีของคนปลายสายทำให้เธอต้องยิ้มรับกับโทรศัพท์เช่นกัน
“ผมรออยู่ข้างล่างนะครับปลิว” เสียงปลายสายตอบกลับมา
“ค่ะปลิวกำลังลงไป รอปลิวแปบเดียวค่ะ” หญิงสาวเอ่ยบอกกับคนในสาย ในขณะที่มืออีกข้างก็พยายามเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อย เพื่อย่นระยะเวลาให้ได้เจอคนรักเร็วยิ่งขึ้น จึงไม่ทันสังเกตว่ามีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธอ จากมุมหนึ่งผ่านกระจกบานใส
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น ความโกรธเคือง
‘ฉันเจอเขาก่อน ไม่ว่าเธอหรือใครก็แย่งคุณปัณณ์ไปจากฉันไม่ได้’ คำพูดนั้นถูกเอ่ยเพียงในใจ แต่แน่นอนการกระทำมันจะไม่ใช่แค่ในใจ เพราะเธอจะไม่มีวันยอมเสียคนรัก ที่เธอรักก่อน และแน่ใจว่ารักมากกว่าไปให้แน่ๆ
ปลิตราค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ สมองยังคงเบลอๆ จับภาพอะไรได้ไม่ชัดเจน จนต้องกระพริบตาถี่ๆ สติที่กลับคืนมาพร้อมๆ กับความเจ็บปวดนั้นเริ่มทำให้เธอไม่อยากลืมตา อาการปวดร้าวไปทั่วร่างกายแทนคำตอบได้ดีว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
ทำไมกัน เธอรอดมาได้ยังไง ความจริงเธอต้องตายไปแล้วสิ เธอคงเป็นคนบ้าเพียงคนเดียวที่อยากตายทั้งที่ยังมีโอกาสใช้ชีวิต แต่ชีวิตที่ต้องอยู่อย่างเดียวดายและความผิดซ้ำๆ ซากๆ ที่คอยตามหลอกหลอนตอกย้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันใครเล่าจะอยากอยู่ ความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจที่เกิดขึ้นทำให้เธอต้องกลั่นกรองทุกอย่างผ่านสายน้ำตาอีกครั้ง
“ฟื้นเสียทีนะครับ หลับไปนานเลยทีเดียวสามวันเต็มๆ” น้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยแผ่วเบาข้างเตียง ทำให้เธอต้องหันกลับไปมอง เพิ่งรู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าไม่ได้อยู่เพียงคนเดียว แต่ภาพที่เห็นมันช่างเป็นอะไรที่เกินคาดหวัง นี่เธอกำลังละเมอฝันอยู่อย่างนั้นหรือ หรือว่าที่จริงแล้วเธอตายไปแล้วกันแน่ และตอนนี้เธอกำลังอยู่บนสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรมันก็ไม่สำคัญเท่าที่ว่าตอนนี้เธอได้พบเขาแล้ว ปัณณ์
“รู้สึกอย่างไรบ้างครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เขาถามเมื่อสังเกตได้จากปลายหางตาของคนไข้ที่ยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา เดาได้ว่าคงเกิดจากอาการเจ็บปวดตามร่างกายที่ได้รับการกระแทก แต่อาการนิ่งงันไปของเธอนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ได้ว่าเกิดจากอะไร ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เธอสมควรจะต้องตกใจเสียมากกว่า
ปลิตรานิ่งงันไปจริงๆ ร่างกายดูเหมือนจะใช้การไม่ได้ชั่วขณะ สติดูเลื่อนลอยเหมือนจะลับหายไป ตอนนี้เธอไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น ไม่ได้ยินแม้กระทั้งเสียงของเขา ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตัวเองยื่นมือขึ้นไป ใบหน้าที่แสนคุ้นเคยอยู่ห่างเพียงแค่เอื้อมมือสัมผัส เขามีตัวตนจริงๆ เขายังอยู่...
“ปลิว...” เสียงลดาวลีเอ่ยขึ้น ความเงียบเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง มือของปลิตรายังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศอย่างนั้น ในขณะที่คุณหมอหนุ่มก็หมดคำพูดอยู่เพียงแค่นั้นเช่นกัน ซึ่งเธอไม่แน่ใจในอาการของคนทั้งคู่ แต่มีสิ่งหนึ่งเธอแน่ใจ แววตาของเขาเจ็บปวด...แต่เพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้นที่เธอสัมผัสได้ ใช่แววตาของเขาเจ็บปวด แต่จากอะไรล่ะ...
“ปลิว...” ครั้งนี้ลดาวลีเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ พร้อมๆ กับรั้งแขนของเพื่อนสนิทลง “ไม่ใช่คุณปัณณ์หรอกนะปลิว” เธอบอกอีกครั้งครานี้ปลิตราหันสายตาไปทางลดาวลี แววตานั้นสับสนและไม่เข้าใจ เขาที่บัดนี้ยืนอยู่เคียงข้างเธอ ใบหน้านี้ที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเธอเสมอไม่เคยลืม จะไม่ใช่ได้อย่างไร
ลดาวลีผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ลอบสังเกตอาการของคุณหมอที่ยืนอยู่เคียงข้าง แต่ไม่พบรอยผิดปกติใดๆ อีกเลย กลับกันใบหน้าของเขากับนิ่งเฉยราวกับคนที่ไร้ความรู้สึกไปเสียอย่างนั้น
“เขาไม่ใช่คุณปัณณ์จริงๆ ปลิว” น้ำเสียงหนักแน่นและแววตายืนยันก่อนจะเอ่ยประโยคถัดไป ที่เรียบเรียงมาให้สั้นที่สุดเพื่อที่ปลิตราจะได้เข้าใจได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น
“แต่เขาคือคุณปัฐน์ พิทยาเวช เป็นพี่ชายฝาแฝดของคุณปัณณ์”
พี่ชายฝาแฝดอย่างนั้นหรือ ไม่จริง! ร่างบางส่ายหน้า ร่างกายอ่อนแรง ลดาวลีกำลังเล่นตลกอะไรบางอย่างกับเธอ กำลังโกหกเธออยู่ หญิงสาวจ้องมองร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ไกลนั้นอีกครั้ง ถ้าเพียงเขาเอ่ยปากบอกปฏิเสธแม้เพียงนิด เธอจะเชื่อเขาอย่างหมดหัวใจ
“ผมไม่ใช่ปัณณ์หรอกครับคุณปลิตรา” ชายหนุ่มบอกย้ำอมยิ้มเล็กน้อย ราวกับรู้สึกยินดีกับอาการนั้นของเธอเสียเต็มประดา “แต่ผมคือปัฐน์พี่ชายฝาแฝดของปัณณ์จริงๆ”
เหมือนๆ กับโลกทั้งใบได้หยุดหมุนลง มือไม้ชาไร้เรี่ยวแรง ชาไปทั้งร่างกายทั้งหัวใจ ตามมาด้วยความรู้สึกที่แหลกสลายราวกับคนใกล้ตายกระนั้น
“ทำไมฉัน...ไม่รู้” น้ำเสียงอ่อนล้าของคนป่วยเอ่ยขึ้นได้ในที่สุด และคำถามนั้นก็สร้างความยินดีให้กับเขาไม่น้อย โชคดีที่เขากับน้องชายไม่ได้สนิทสนมกันจนสามารถไปเล่าให้ใครฟังได้อย่างสนิทใจ แม้จะอดแปลกใจไม่ได้ว่าปัณณ์ไม่ชอบขี้หน้าเขาขนาดไม่เล่าให้คนรักฟังเลยกระนั้นหรือ
“อันนี้ผมก็ไม่ทราบว่าคุณสำคัญมากพอที่เขาจะเล่าให้ฟังหรือเปล่า”
คำตอบนี้ของนายแพทย์ปัฐน์ทำให้ปลิตรานิ่งขึงก่อนจะซึมเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่ลดาวลีรู้สึกตระหนกตกใจจนเผลอแสดงท่าทางไม่ไว้วางใจจนคุณหมอหนุ่มสังเกตเห็นได้ แต่เขาก็ไม่ได้อนาทรร้อนใจอะไร ทั้งยังตีหน้าซื่อโต้ตอบกลับไป
“ทำไมหรือครับ ก็คุณบอกเองว่าเป็นแค่รุ่นน้องที่มหาลัย อย่างนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรที่นายปัณณ์จะต้องเล่าทุกเรื่องที่สำคัญให้ฟัง จริงไหมครับ?” เขาตั้งคำถามจากคำตอบในครั้งหนึ่งของเธอ และนั้นก็ทำให้ลดาวลีเองตอบไม่ถูก ลองได้โกหกแล้วก็เหมือนวัวพันหลักที่ไปไหนไม่รอดอยู่นั่นเอง
“ทำไมหรือครับ หรือคุณปลิตราเป็นอะไรมากกว่านั้น” เขาตั้งคำถามอีกครั้ง และครั้งนี้เขาตั้งคำถามกับผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงโดยตรง น้ำเสียงเหมือนไม่ได้จริงจังอะไรนักแต่สายตากับจับจ้องไม่ใช่เพื่อรอฟัง แต่เพื่อคาดคั้น
“ฉันเป็น...” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยบอกได้เพียงแค่นั้นก่อนที่ลดาวลีจะเอ่ยคั่น แทรกขึ้นมา
“เออ...ลดาว่าให้ยัยปลิวพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ เพิ่งฟื้นขึ้นมาคงจะเพลียคุณหมออย่าเพิ่งรบกวนคนไข้ตอนนี้เลยนะคะ”
คุณหมอยกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างอารมณ์ดีโต้ตอบกลับ “ผมเพิ่งทราบว่าคุณลดารู้ดีกว่าผมซึ่งเป็นหมอเสียอีกนะครับ”
ลดาวลีคอแข็ง เม้มริมฝีปากแน่น “ลดาเพียงแค่ต้องการให้เพื่อนของลดาได้พักผ่อนเท่านั้นเองค่ะ คุณหมอก็น่าจะทราบว่าคนไข้อ่อนเพลียมากแค่ไหน เชิญคุณหมอออกไปก่อนเถอะค่ะ” น้ำเสียงแข็งขืนแสดงออกซึ่งความไม่พอใจ ที่แม้แต่คนป่วยบนเตียงยังอดแปลกใจไม่ได้ เพียงแต่ว่าไม่ได้พูดอะไรออกไปเท่านั้น
นายแพทย์หนุ่มยิ้มมุมปากอีกครั้ง โค้งหัวให้อย่างยอมแพ้ “โอเค ครับ เอาเป็นว่าผมยอมแพ้ ไม่รบกวนเพื่อนของคุณแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ครั้งนี้เขาถอย แต่ไม่ใช่เพราะยอมแพ้อย่างที่บอก แต่เพื่อรอเวลา เวลาที่เหมาะสมมากกว่านี้ และเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้มีลดาวลีเป็นร้อยก็รั้งเขาไม่อยู่
“แต่ถ้ามีอะไรกดออดตรงหัวเตียงนั้นได้ทันทีเลยนะครับจะมีพยาบาลเข้ามาดูแล” เขาบอกทิ้งท้ายก่อนจะออกไปได้ในที่สุด
“ทำไม...” ปลิตราเอ่ยถาม หลังจากประตูห้องปิดสนิทลง ซึ่งคำถามสั้นๆ นั้นก็ทำให้ลดาวลีหนักใจมิใช่น้อย
“บอกตามตรงเลยนะปลิว ฉันไม่ไว้ใจคุณหมอปัฐน์คนนี้เลย ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะมาดี ไอ้การที่อยู่ๆ เขาก็เข้ามาในชีวิตของเธอ มันต้องไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญแน่ๆ” เสียงเอ่ยยืดยาวแทบไม่พักหายใจนั้นอาจมีความเป็นไปได้ แต่ปลิตราคิด ไม่มีเหตุผลอะไร ไม่มีเลย...
“เขาจะต้องการอะไรจากชีวิตฉันล่ะ ตอนนี้ฉันก็ไม่เหลืออะไรแล้ว” น้ำเสียงแหบโหยเอ่ยค้าน ก่อนที่ดวงตาหวานหลับพริ้มลงอย่างเหนื่อยล้า ปล่อยให้ลดาวลีจมอยู่กับการหาเหตุผลอยู่อย่างนั้น
‘ก็เหลือตัวเธอยังไงล่ะ ที่เขาต้องการ’
Nittha
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ย. 2558, 23:15:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ย. 2558, 23:15:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 906
<< บทนำ |