เด็ดหัวใจเจ้าชายมาเฟีย
...หนึ่งคือมาเฟียเลือดมังกรสูงศักดิ์...
...หนึ่งคือหญิงสาวและหัวใจอันเป็นที่รัก...
...หนึ่งคือนักฆ่าผู้ฝากชีวิตกับไกปืน...
ลินจง ลูกครึ่งไทยจีนซึ่งใช้ชีวิตในฮ่องกง
ต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
ชายคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือหล่อนคือ'ทศ'
คนไทยในฮ่องกงซึ่งไร้ที่มาที่ไป
แต่แล้วชะตากรรมของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อลินจงไปปรากฏตัวในสงครามมาเฟียฮ่องกงที่กำลังร้อนระอุ
ชีวิตของหล่อนพลันตกอยู่ในอุ้งมือของ'จางหลี่หง'
มาเฟียระดับทายาทมังกรผู้มีปรัชญาเดียวในการปฏิบัติต่อผู้หญิง
นั่นคือหากต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง
เมื่อช่วงชิงแล้ว...ก็ต้องครอบครอง
ความอ่อนโยนของลินจงเปลี่ยนแปลงจิตใจทายาทหมายเลขหนึ่งแห่งโลกมืด
หล่อนรักเขาด้วยชีวิตและหัวใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมอบให้ชายคนรัก
และเขาก็รักหล่อนด้วยสัญชาตญาณมาเฟียเลือดมังกรที่เหนือกว่าร่างกายและวิญญาณ
สำหรับลินจง...ความรักของหล่อนคือการให้
แต่สำหรับจางหลี่หง...ความรักของเขาคืออะไร?
ท่ามกลางอันตรายจากโลกแห่งอาชญากรฮ่องกงที่บีบคั้น
อำนาจ...ความรัก...หยาดเลือด...และน้ำตาจะไหลหลั่งบนบัลลังก์มังกร!!!
...หนึ่งคือหญิงสาวและหัวใจอันเป็นที่รัก...
...หนึ่งคือนักฆ่าผู้ฝากชีวิตกับไกปืน...
ลินจง ลูกครึ่งไทยจีนซึ่งใช้ชีวิตในฮ่องกง
ต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
ชายคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือหล่อนคือ'ทศ'
คนไทยในฮ่องกงซึ่งไร้ที่มาที่ไป
แต่แล้วชะตากรรมของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อลินจงไปปรากฏตัวในสงครามมาเฟียฮ่องกงที่กำลังร้อนระอุ
ชีวิตของหล่อนพลันตกอยู่ในอุ้งมือของ'จางหลี่หง'
มาเฟียระดับทายาทมังกรผู้มีปรัชญาเดียวในการปฏิบัติต่อผู้หญิง
นั่นคือหากต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง
เมื่อช่วงชิงแล้ว...ก็ต้องครอบครอง
ความอ่อนโยนของลินจงเปลี่ยนแปลงจิตใจทายาทหมายเลขหนึ่งแห่งโลกมืด
หล่อนรักเขาด้วยชีวิตและหัวใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมอบให้ชายคนรัก
และเขาก็รักหล่อนด้วยสัญชาตญาณมาเฟียเลือดมังกรที่เหนือกว่าร่างกายและวิญญาณ
สำหรับลินจง...ความรักของหล่อนคือการให้
แต่สำหรับจางหลี่หง...ความรักของเขาคืออะไร?
ท่ามกลางอันตรายจากโลกแห่งอาชญากรฮ่องกงที่บีบคั้น
อำนาจ...ความรัก...หยาดเลือด...และน้ำตาจะไหลหลั่งบนบัลลังก์มังกร!!!
Tags: มาเฟีย ฮ่องกง
ตอน: บทที่1-2-3
จะลงให้อ่านประมาณ 9 บทนะคะ
หากสนใจจับจองในรูปแบบอีบุกได้
กำลังจะวางขายที่ Mebmarket ในวันที่ 13 ธ.ค. 2015
ราคาโปรโมชัน 49 ฿ (จากราคาเต็ม 85) จนถึงสิ้นปีค่ะ
บทที่ 1
ฮ่องกง...ดินแดนแห่งสีสันโลกตะวันออกที่ผสานความเก่าแก่จากอารยธรรมจีนดั้งเดิมกับความทันสมัยแบบตะวันตกอย่างลงตัว เกาะเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับคาบสมุทรเกาลูนและเขตนิวเทอร์ริทอรีซึ่งติดกับจีนแผ่นดินใหญ่ นครอันเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ศิวิไลซ์ที่ไม่เคยดับมอดแม้ในยามราตรี
เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า...เหมือนยิ่งข่มชะตากรรมของมนุษย์ตัวเล็กๆ ให้ต่ำติดดิน
คนที่มีชีวิตหรูหราบนที่สูงคงไม่มีวันมีความคิดแบบนี้ แต่สำหรับ‘ลินจง’หรือ‘หลิน’ที่ได้แต่เงยหน้ามองตึกสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นเมืองของฮ่องกง หล่อนคงไม่อาจชื่นชมมันได้อย่างสนิทใจ เขตเศรษฐกิจฮ่องกงเต็มไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล แต่นั่นเป็นเอกสิทธิ์สำหรับคนที่มีโอกาส...ซึ่งคงไม่หมายรวมถึงหล่อนไปด้วย
“อยากกลับบ้าน...อยากกลับเมืองไทย!”
หล่อนร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ตึกสูงระฟ้าที่รายรอบเหมือนบีบคั้นความรู้สึกในใจหล่อนเหลือเกิน
ลินจงไม่คาดหวังว่าจะมีใครได้ยิน เสียงเพลงอึกทึกเบื้องล่างคงทำให้เสียงของหล่อนหายไปในสายลม เป็นเพียงคำกู่ก้องไร้ความหมายในมหานครกว้างใหญ่ที่ไม่แยแสคนตัวเล็กๆ อย่างหล่อนเท่านั้น
หญิงสาววัยต้นยี่สิบมีความคิดแบบนั้นมาตลอด หลายคนบอกว่าฮ่องกงคือดินแดนแห่งโอกาส เหมือนแหล่งขุดทองสำหรับคนที่ต้องการกอบโกยและเสี่ยงโชค แต่คนที่อยู่อาศัยที่นี่มานานสิบกว่าปีจนพูดและอ่านภาษาจีนได้คล่องอย่างหล่อนรู้ดีว่ามันเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น
แต่คนที่เชื่อแบบนี้คนหนึ่งก็คือแม่ของหล่อน แม่เคยมาแสวงโชคที่ฮ่องกงในฐานะคนทำงานบ้าน โดยมากคนฮ่องกงนิยมจ้างสาวใช้จากฟิลิปปินส์ แต่คนไทยก็พอจะแทรกตัวมาทำงานนี้ได้บ้าง
แม่โซเซกลับบ้านพร้อมชีวิตน้อยๆ ในท้อง นั่นคือลินจง คนทั้งหมู่บ้านนินทาแม่หล่อนว่าท้องไม่มีพ่อ และการที่ลินจงผิวค่อนข้างขาว ดูมีเลือดผสมไม่ใช่ชาวไทยแท้ๆ ชาวบ้านก็ยิ่งกระพือข่าวว่าแม่หล่อนพลาดท่าเสียทีให้กับอาตี๋ฮ่องกงจนต้องซมซานกลับเมืองไทย
“ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ลินจง...หนูเป็นชีวิตที่ฟ้าประทานให้แม่ แม่รักลูกนะ”
แม่พร่ำบอกกับหล่อนเช่นนั้น และพยายามประกอบอาชีพในเมืองไทยเพื่อจะเลี้ยงดูลูกสาวตัวเล็กๆ อยู่หลายปี ในที่สุดความฝืดเคืองก็บังคับให้แม่กลับมาทำงานที่ฮ่องกงอีกครั้ง อาจเพราะแม่เคยชินกับที่นี่ และมีชุมชนคนไทยเล็กๆ ที่แม่คุ้นเคยดี
แต่แม่ก็เพิ่งจากหล่อนไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นแม่ทิ้งเงินก้อนจากการทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำให้ก้อนหนึ่ง แต่ลินจงยังไม่ตัดสินใจกลับเมืองไทย เพราะหากจะไปอยู่ที่นั่นอย่างไม่ให้คนดูถูกเหมือนตอนที่แม่อุ้มท้องหล่อนกลับไป...มันต้องใช้เงินที่มากกว่านั้น
ลินจงพยายามทำงาน หล่อนมีความรู้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษเล็กน้อย แต่การที่เป็นคนนอกในสังคมฮ่องกงและยังไม่มีวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดีๆ หล่อนจึงไต่เต้าได้ไม่ไกลนัก ลินจงใช้ชีวิตในแฟลตราคาถูก พยายามประหยัดทุกวิถีทาง แต่เงินเก็บก็เพิ่มอย่างเชื่องช้า
จนเมื่อปลายเดือนก่อน เพื่อนคนไทยของหล่อนกลับทำกับหล่อนได้ลงคอ
เพื่อนที่คบกันมาหลายปีเพราะอาศัยในแฟลตเดียวกันขโมยบัตรเงินสดและถอนเงินในธนาคารของหล่อนไปเกือบหมด กว่าลินจงจะรู้เรื่อง เงินในบัญชีของหล่อนก็หายไปหมดเกลี้ยง คนก่อเหตุหนีหายไปต่างประเทศ หญิงสาวรู้สึกเหมือนอยากล้มทั้งยืน
ความฝันที่จะกลับเมืองไทยของหล่อนเป็นอันสลายวับ!
จนกระทั่งวันนี้...แม้แต่เงินที่จะใช้ชีวิตต่อก็แทบไม่มีเหลืออีกแล้ว ลินจงจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่หล่อนก็ไม่เคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้จะต้องไปข้องเกี่ยว
“งานง่ายๆ น่าอาหลิน ของแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน”
ลินจงเคยโดนติดต่อทาบทามจากเอเยนต์พวกนี้มาก่อน เพราะหน้าตาของหล่อนผสมผสานความสวยหวานแบบไทยและความงามบริสุทธิ์แบบชาวจีนไว้อย่างลงตัว ผิวกายขาวนวลตามพิมพ์นิยมคนตะวันออก รูปร่างระหงสมส่วน แต่หญิงสาวก็หลีกเลี่ยงคนพวกนี้มาตลอด ทั้งๆ ที่แฟลตราคาถูกที่หล่อนอาศัยอยู่นั้นก็มีผู้หญิงหากินประเภทนี้อาศัยอยู่เช่นกัน
ถ้าไม่ทำ...หล่อนอาจจะไม่มีแม้แต่วันพรุ่งนี้...
“คืนนี้...สี่ทุ่ม...เดี๋ยวเจ๊จะพาไปเอง”
ข้อตกลงนั่นไม่ต่างกับคำสั่งประหาร แต่นักโทษประหารก็อาจจะดีกว่าหล่อนที่รู้แน่ชัดว่าตนเองจะไม่เหลืออนาคตอีกแล้ว แต่หล่อนไม่รู้เลยว่าอนาคตจะยังมีหรือไม่ และมันจะเป็นอย่างไร
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ลินจงปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม หล่อนต้องเข้มแข็ง แล้วเรื่องคาวโลกีย์พวกนี้ก็จะเป็นเพียงคืนวันอันเจ็บปวดที่ผ่านพ้นไปเอง
“แล้วฉันจะกลับเมืองไทย...ฉันจะกลับบ้านของฉัน...”
หญิงสาวพร่ำพูดซ้ำๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากรั้วเหล็กดัดดาดฟ้า เวลานี้หล่อนควรกลับไปที่ห้อง และเตรียมความพร้อมสำหรับงานกลางคืนครั้งแรกในชีวิตเสียที
...ตรู้ด....ตรู้ด...
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ มันไม่ใช่เสียงเรียกเข้าของหล่อนแน่ๆ และตอนนี้หล่อนก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง
หญิงสาวหันขวับ เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว แต่หญิงสาวยังมองตามที่มาของเสียงเมื่อครู่ได้ถูก
เสียงมาจากตรงนั้น ห้องเก็บของบนดาดฟ้า จากบริเวณหลังคาห้องที่หล่อนไม่สังเกตดีๆ ในตอนแรก
มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นจากท่านอนราบกับหลังคา เขากำลังกดปิดโทรศัพท์มือถือ และมองทางหล่อน
คนนี้เอง!
ลินจงอุทานในใจ อันที่จริงหล่อนไม่รู้จักกระทั่งชื่อของเขา รู้แต่ว่าเคยเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายตอนเดินขึ้นลงลิฟต์หรือสวนกันที่ทางเข้าตึกมาบ้าง แฟลตนี้มีส่วนแบ่งเช่าสำหรับผู้อยู่อาศัยขาจรอยู่ด้วย และเขาก็เป็นคนประเภทนั้น
ชายคนนี้หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร และอุปนิสัยก็ไม่ต่างจากใบหน้า เขาไม่เคยคุยกับใครเลย แต่นั่นอาจเป็นเพราะเขาพูดภาษาที่นี่ไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แรงงานต่างชาติในฮ่องกงมีไม่น้อยที่พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครถามว่าเขาเป็นคนจากประเทศใด
ลินจงใจหายวาบ ตำแหน่งที่เขานอนอยู่บนหลังคานั้นคงทำให้เขาได้ยินเสียงตะโกนของหล่อนเต็มสองหู แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาหญิงสาวก็ปลอบใจตัวเองได้...หล่อนพูดภาษาไทยออกไปนี่นา ผู้ชายคนนี้จะฟังรู้เรื่องได้อย่างไรถ้าหากว่าเขาไม่ใช่คนไทย ซึ่งลินจงแน่ใจว่าเขาคงไม่ใช่ เพราะไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในกลุ่มคนไทยเลย
“เอ่อ...”
หญิงสาวตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง เช่นว่า...ขอโทษที่มารบกวนที่ส่วนตัวของคุณ หรือคุณคงไม่โกรธที่ฉันส่งเสียงดัง แต่ชายคนนั้นก็โดดพรวดลงบนพื้น แล้วเดินผ่านหล่อนลงบันไดไปอย่างเฉยเมย
หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก ผู้ชายคนนี้ช่างไร้มารยาท สายตานิ่งๆ ของเขาแทบไม่มองหล่อนเลยด้วยซ้ำ ลินจงถอนใจเบาๆ ก่อนจะก้าวลงบันไดบ้าง ไปสู่ห้องที่รออยู่...และงานชิ้นสำคัญที่รอหล่อนอยู่
++++++++++++++++++++++++++=
ถ้าเป็นนางกลางคืนชั้นสูงจะได้เฉิดฉายอยู่ตามโรงแรมระดับห้าดาว แต่งานแรกของลินจงกลับไม่ได้หรูหราขนาดนั้น มาม่าซังพาหล่อนมาที่ลานจอดรถ มันเป็นการนัดพบที่ดูเรียบง่ายและแอบซ่อน จนหล่อนรู้สึกพอใจลึกๆ ที่ไม่ต้องออกตัวต่อวงสังคมมากเกินไป
คนที่มาม่าซังพาไปพบนั้นเป็นชายอายุคราวพ่อ รูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ต่างจากบรรดาชายสูงวัยที่หาได้ทั่วไปในฮ่องกง แต่หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเขาคงไม่ใช่คนทำงานสุจริตธรรมดา เพราะการที่มีคนขับรถและคนติดตามอีกคันหนึ่งก็บอกสถานะของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
คงเป็นมาเฟีย...หญิงสาวคิด
มาเฟีย...กลุ่มอิทธิพลที่ขึ้นชื่อในโลกมืด ฮ่องกงมีสมาชิกกลุ่มพวกนี้เต็มไปหมด แม้ผู้ว่าการเกาะจะเชิดชูเพียงด้านสว่างในความเป็นศูนย์การค้าและธุรกิจสำคัญระดับเอเชีย แต่ทุกคนก็รู้กันดีว่าอิทธิพลของมาเฟียพวกนี้มีล้นฟ้าเหนือเกาะเล็กๆ แห่งนี้มากมายเพียงใด
ลินจงพยายามข่มใจไม่ให้สั่นกลัว...เมื่อมาม่าซังฝากฝังหล่อนเสร็จ และคนขับรถก็เปิดประตูรอท่าให้หล่อนขึ้นไปนั่งข้างๆ ชายอายุคราวพ่อคนนั้น
“โฮ่ๆๆ ท่าทางไม่เคยจริงๆ สินะเนี่ย ดูสิ...นั่งนิ่งเชียว...”
ว่าที่ผู้ชายคนแรกในชีวิตของหล่อนพูดออกมาพร้อมหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ มือสากหนาจับคางหล่อนเชยชมเล่น หญิงสาวพยายามไม่มองมันแม้แต่ใบหน้า พยายามแม้แต่จะไม่ฟังเสียงของมัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อหล่อนพูดและฟังภาษาจีนได้คล่อง จนแกล้งทำหูหนวกไม่ได้อีกต่อไป
รถเริ่มออกตัวแล่นเข้าสู่ถนน ปลายทางของมันคงเป็นห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นแหล่งกบดานของชายคนนี้ และนั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของงานแรกสำหรับหล่อนเช่นกัน
หล่อนได้ยินเสียงชายสูงวัยที่นั่งข้างๆ พูดคุยโทรศัพท์มือถือ แต่มันคงไม่คุยธุระสำคัญให้ว่าที่นางบำเรอของมันได้ยินไปด้วย มือหนาหยาบของชายมากวัยเอื้อมมาลูบไล้ตามเรียวขาหญิงสาวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ลินจงเม้มปากแน่นข่มความรู้สึกขนลุกขนพองเอาไว้ หล่อนอดสูใจกับชะตากรรมของตัวเองในตอนนี้เหลือเกิน
จังหวะนั้นเอง...กลับเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นกับรถยนต์ผู้ติดตามที่ด้านหลัง
โครม!!!
มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาชนรถบริวารที่ติดตาม ก่อนจะตามด้วยเสียงรัวกระสุนหลายนัด ลินจงสะดุ้งเฮือก! หล่อนเหลียวไปมองด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“อาเว่ย! ขับต่อไป”
ลินจงได้ยินเสียงชายที่นั่งข้างกายหล่อนลนลานบอกคนขับ แต่แล้วตรงหัวโค้งที่รถกำลังจะผ่านพ้น กลับมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งสวนเข้ามา
คนซ้อนประคองอะไรบางอย่างด้วยมือทั้งสอง เล็งเป้าเข้ามาในรถคันนี้ ก่อนยิงรัวเข้ามา
“อ๊าก!!!”
คนขับถูกยิงด้วยกระสุนหลายนัด ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือดจนกระทั่งแน่นิ่งไปกับพวงมาลัยรถ ทุกภาพเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาหญิงสาว หล่อนได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตะลึงงัน
“ไอ้สารเลว มึงเป็นใครวะ!”
ชายข้างกายหล่อนชักปืนออกมาจากตัวเสื้อ แต่ยังไม่ทันจะได้เล็ง ประตูก็ถูกเปิดผลัวะอย่างแรง ลินจงเบือนหน้าหนีเมื่อรับรู้ถึงร่างเพชฌฆาตซึ่งยืนตระหง่านภายนอก หล่อนไม่ได้ยินเสียงกระสุน...มันคงเป็นปืนเก็บเสียง แต่ที่รับรู้ได้ก็คือหยาดเลือดที่กระเซ็นจนห้องโดยสารรถแทบกลายเป็นสีแดง
ไม่รอดแน่ๆ!
หญิงสาวหลับตาปี๋ การฆ่าล้างกันระหว่างแก็งสเตอร์มาเฟียเกิดขึ้นได้ทุกเวลาในฮ่องกง แม้ทุกครั้งมันจะไม่ราวีคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ผู้เห็นเหตุการณ์อย่างหล่อนคงไม่มีวันรอดชีวิต อาชญากรพวกนี้รู้ดีว่าตำรวจจะต้องกันตัวพยานในที่เกิดเหตุเอาไว้ และนั่นจะกลายเป็นความเดือดร้อนสำหรับมาเฟียผู้ก่อเหตุในภายหลัง
แต่สวรรค์เหมือนกำลังปลอบโยนหล่อน...ลินจงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
ในที่สุด หญิงสาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างหวาดกลัว
หายไปแล้ว...
แม้จะไม่เห็นผู้ก่อเหตุ แต่ภาพศพชายร่างอ้วนข้างกายกลับไม่ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวรีบอุดปากตัวเองเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือด ทุกอย่างเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนจนหล่อนแทบเป็นลม
ผลัวะ!
ประตูรถฝั่งที่หล่อนนั่งถูกเปิดออก เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากร่างหล่อนออกมา ลินจงซวนเซจนแทบล้มลงกับพื้น หล่อนไม่กล้าจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่รู้ว่าชายคนนั้นสวมชุดแจ็คเก็ตปกปิดมิดชิดและยังสวมหมวกกันน็อคจนทำให้มองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง
“อย่า!”
หล่อนหวีดร้องแม้จะรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ มาเฟียไม่เคยเว้นชีวิตคนที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ แต่น่าแปลกที่หล่อนสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างบางก็หลุดจากการเกาะกุมและล้มลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย
หรือมันอาจปล่อยหล่อนออกห่าง...เพื่อจะเล็งยิงอย่างใจเย็น
ทั้งที่รู้ว่านี่กำลังจะเป็นวินาทีสุดท้าย แต่ลินจงก็ยังเงยหน้าช้าๆ มองเพชฌฆาตที่กำลังจะปลิดชีวิตหล่อนด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“Go…”
เสียงเอ่ยเบาๆ จากใบหน้าใต้หมวก คำพูดที่เป็นภาษาอังกฤษทำให้หล่อนรู้สึกพิศวง
หรือว่า...นักฆ่าคนนี้จะไม่ได้เป็นพวกมาเฟีย...
“Go!!!”
เพชฌฆาตไร้หน้าตะคอกอีกครั้ง คราวนี้ลินจงไม่กล้าอิดออดหรือตะลึงงันอีกต่อไป หญิงสาวลนลานลุกขึ้นถอยห่างจากร่างชายตรงหน้า จนแผ่นหลังบอบบางปะทะกับกำแพงถนน
หนี!
หญิงสาวออกตัววิ่งให้เต็มฝีเท้า แม้มันจะยากลำบากเพราะรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ทำให้แทบเสียการทรงตัว หล่อนต้องหนีไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุ การตกอยู่ในมือตำรวจในเวลาที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุคงไม่ต่างจากการถูกคุมขัง ชีวิตหล่อนมีแต่ต้องหนีเท่านั้น
เสียงส้นรองเท้าเรียวเล็กกระทบพื้นค่อยๆ ไกลออกไป ร่างนักฆ่าในชุดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำยืนนิ่ง ใบหน้าที่ถูกซ่อนใต้หมวกกันน็อคเหมือนมองตามร่างระหงนั้นไปจนลับ ก่อนมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจะพุ่งเข้ามาหา แล้วรับร่างเขาขึ้นซ้อนท้าย ก่อนขับรถหายไปในรัตติกาลอันวุ่นวายของฮ่องกง
บทที่ 2
ที่ที่เคยอยู่กลับกลายเป็นที่ที่หล่อนกลับไปอีกไม่ได้ ลินจงชะงักฝีเท้าอยู่ที่หัวมุมถนน เมื่อเห็นมาม่าซังที่เพิ่งพาหล่อนไปส่งลูกค้าเมื่อคืนถูกพามาที่แฟลตพร้อมชายท่าทางน่ากลัวหลายคน
มันต้องการตัวหล่อน...
ลินจงบอกตัวเองเช่นนั้น มาเฟียฮ่องกงมีธรรมเนียมการล้างแค้น เมื่อมันรู้ว่าพวกของมันถูกสังหารอย่างอุกอาจ มันย่อมต้องการรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และในเมื่อที่เกิดเหตุไม่มีหญิงสาว มันก็ต้องเชื่อว่าหล่อนเป็นผู้รอดชีวิตและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
หญิงสาวเดินถอยหลังช้าๆ จนชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ว้าย!”
ชายคนนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ลินจงรู้สึกโล่งอกที่เขาคือชายนิรนามซึ่งเคยเจอหล่อนที่ดาดฟ้า ท่าทางเขาก็เพิ่งกลับมาถึงที่พักเอาในตอนเช้าตรู่เหมือนกัน แต่อย่างไรเขาก็คงไม่เหมือนหล่อนตรงที่ยังมีที่ซุกหัวนอนอยู่ในแฟลตนี้ แต่ลินจงกลับไม่เหลืออะไรแล้ว
หญิงสาวก้มลงมองตัวเองเมื่อสังเกตสายตาของเขาได้ หล่อนสวมชุดกระโปรงสั้นโชว์ขาเรียวกลมกลึง ตัวเสื้อด้านบนก็เรียกได้ว่าเปลือยไหล่ถ้าไม่มีผ้าขนสัตว์ชิ้นเล็กๆ คลุมบ่าไว้ การแต่งตัวของลินจงเหมือนนักร้องไนท์คลับที่เพิ่งเลิกงาน หล่อนจึงไม่แปลกใจที่เขาจะปรายตามองแบบนี้
ลินจงพยายามไม่ใส่ใจ หล่อนกระชับผ้าคลุมไหล่ ก่อนจะเดินเบี่ยงตัวจากเขา อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก ในเมื่อมาเฟียพวกนั้นกำลังหาตัวหล่อน
“เดี๋ยวก่อน...”
ฝีเท้าของหล่อนชะงักเมื่อได้ยินคำนี้ นี่มันภาษาไทย!
“คุณ...ว่าไงนะคะ?”
หญิงสาวหันไปถามเขาโดยพยายามพูดช้าและชัดที่สุด หล่อนเห็นใบหน้าของเขาเหมือนมีรอยยิ้ม
“ผมพูดว่า...เดี๋ยวก่อน...”
“คุณเป็นคนไทยหรอกเหรอเนี่ย...โอ้โห...ฉันไม่เคยรู้เลย”
หล่อนโพล่งออกมา รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบคนจากแผ่นดินเดียวกันในเวลาที่กำลังอับจนหนทางแบบนี้
แต่วินาทีต่อมาลินจงก็นึกได้...หล่อนกำลังจะต้องหนี คงไม่มีเวลามาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติคนนี้ได้นานนัก
“แต่...ขอโทษด้วยนะคะ คือตอนนี้ฉันต้องรีบไป”
หล่อนบอกเขาตรงๆ แต่อีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือหล่อนเอาไว้แน่น
“พอดีผมกำลังจะเที่ยวในฮ่องกง คุณรับงานเป็นไกด์ให้ผมได้ไหม”
เขาบอกหล่อนช้าๆ แววตาไม่มีความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแม้แต่น้อย ข้อมือของหล่อนถูกปล่อยเป็นอิสระทันทีที่หญิงสาวหันกลับมาหาเขา ทุกอากัปกิริยาของชายคนนี้บ่งบอกความเป็นสุภาพบุรุษ
“เอ๋...อะไรนะคะ...”
“ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้จักที่ทางในฮ่องกง แต่พอดีเพิ่งทำงานเสร็จ ก็เลยได้เงินมา แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี”
“ย่านช็อปปิ้งในฮ่องกงมีอยู่เยอะแยะ หรือถ้าคุณต้องการเสี่ยงโชคก็คาสิโน...”
ลินจงสบตาเขาตรงๆ การที่เขาอยู่แฟลตระดับเดียวกับหล่อนก็หมายความว่าเขาไม่ได้เป็นคนมีรายได้สูงนัก แต่คนแบบนี้ก็คงอยากพักผ่อนบ้าง หล่อนจึงแนะนำที่ที่คนมาฮ่องกงนิยมไปถลุงเงินตามตรง
“ไม่...ผมไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น ผมอยากให้คุณพาไป...จะได้ไหม” น้ำเสียงของเขายังเรียบเฉย ทั้งๆ ที่นั่นเป็นประโยคขอร้อง
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นฉันล่ะคะ” หล่อนเลิกคิ้ว
“คุณท่าทางรู้จักที่นี่ และก็...เราเป็นคนไทยด้วยกัน ผมไม่คิดจะใช้คุณฟรีๆ หรอกนะ คุณนำทาง ส่วนผมจ่าย...”
ท่าทางใจป้ำเสียด้วย...
หญิงสาวนึกในใจ อันที่จริงหล่อนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินติดกระเป๋า เมื่อคืนก่อนที่จะถูกส่งตัวให้ชายอายุคราวพ่อ ลินจงก็ได้รับค่าจ้างล่วงหน้ามาแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่มากมาย แต่ก็อาจจะพอให้หล่อนใช้ชีวิตได้อีกสักระยะ
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าดูจะไวกว่า เขากระตุกมือหล่อนครั้งเดียว ร่างหญิงสาวก็เซมาติดกำแพง ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเข้ามาประชิด แม้จะตกใจกับการรุกคืบที่เหนือความคาดหมาย แต่ลินจงกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อร่างสูงๆ ของเขามาบังร่างบางของหล่อนไว้
เหมือนเขารู้ว่าหล่อนกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง...
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าพวกนั้นย่ำผ่านไป ชายหนุ่มจึงปล่อยหล่อนเป็นอิสระ ลินจงเงยหน้ามองเขาอย่างกระอักกระอ่วน แต่ดูเหมือนสีหน้าของอีกฝ่ายจะแทบไม่เปลี่ยนแปลง
“เอาเป็นว่า...ฉันตกลงจะเป็นไกด์ให้คุณก็แล้วกันนะคะ”
ในที่สุด หญิงสาวก็เอ่ยออกไปเช่นนั้น หล่อนรู้สึกว่าเขามีบุญคุณกับหล่อน ไม่ใช่แค่การช่วยบังตัวหล่อนจากบรรดามาเฟียพวกนั้น แต่มันเหมือนเขาเคยได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยหล่อนมาก่อน เพียงแต่ลินจงยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
++++++++++++++
“ทศ...คุณชื่อทศเหรอคะ แล้วคุณสนใจจะเที่ยวที่ไหนก่อนละคะ อยากไปดิสนีย์แลนด์ หรือลองโดยสารเรือข้ามไปเกาลูนที่สตาร์เฟอร์รี่ หรือว่าจะไปช็อปปิ้งที่ถนนนาธานดี”
ลินจงลองถามเขา หล่อนปลี่ยนชุดมาเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ง่ายๆ เรียบร้อยหลังจากชายหนุ่มอนุญาตให้หล่อนทำธุระส่วนตัวในห้างสรรพสินค้า หญิงสาวเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวฮ่องกงอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่มันเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาหล่อนมองมันเป็นที่ทำงาน จนวันนี้ที่ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ ผมไม่รู้อะไรเลย คุณอยากพาไปไหนก็ตามใจเถอะ”
เขาเอ่ยเรียบๆ ลินจงเหลียวมองเขาอย่างแปลกใจ ใบหน้าของเขาคมสัน...แบบชายไทยที่หล่อนอาจมองผ่านไปหากได้พบเขาในเมืองไทย แต่อาจเพราะแววตานิ่งสงบของเขาดูมีพลังอย่างประหลาด หล่อนจึงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดินถนนธรรมดา
“ลองไปเกาะลันเตากันไหมคะ เกาะลันเตาน่ะเป็นที่ตั้งของสนามบินเช็ก แลป ก็อก หรือเรียกอีกอย่างว่าสนามบินนานาชาติฮ่องกง ที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวเยอะ ทางไปมีทั้งรถไฟฟ้า MTR แล้วก็ถนนเชื่อมเกาะที่ต้องผ่านเกาลูน แต่ฉันว่าเราไปด้วยกระเช้ากันดีกว่าค่ะ ฉันอยากไปมานานแล้ว”
ลินจงชวนอย่างกระตือรือร้น ความรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีแง่มุมที่สว่างสดใสไม่ได้อยู่ในใจของหล่อนมานาน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนหล่อนเพิ่งเห็นการสังหารโหดต่อหน้าต่อตา แต่คงเพราะรู้สึกถึงอิสรภาพ...และยังมีเงินติดตัวเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง หล่อนจึงเริ่มอยากท่องเที่ยวในดินแดนนี้บ้าง
“ว่าแต่คุณมาทำงานอะไรที่นี่เหรอคะ”
หญิงสาวลองถามเขาระหว่างที่นั่งรอบะหมี่ในย่านถนนสายการค้า ด้วยความที่ชายหนุ่มไม่ค่อยพูด หล่อนจึงต้องเป็นฝ่ายชวนคุยอยู่หลายครั้ง
“ก็แล้วแต่จะมีคนจ้าง แต่งานใหญ่เพิ่งเสร็จไป อีกไม่นานก็คงกลับเมืองไทย”
“เหรอคะ...ดีจัง...เสร็จปุ๊บก็ได้กลับปั๊บ...”
ลินจงพยายามซ่อนความหมองหม่นในน้ำเสียง ทศก็อาจจะคล้ายคนไทยบางคนที่เข้ามาในฮ่องกงชั่วครู่แล้วก็มีทางไปต่อ แต่หล่อนสิ...ยังต้องอดทนอีกระยะ จนกว่าจะมีความพร้อมทางการเงินและหลายๆ อย่างมากพอจะออกจากที่นี่ได้
“ทำไมคุณมาทำงานที่นี่ล่ะ อันที่จริง...กลับเมืองไทยก็น่าจะมีอะไรให้ทำไมใช่เหรอ” เขาเป็นฝ่ายถามหล่อนบ้าง อย่างน้อยลินจงก็รู้ว่าเขาคุยได้...ไม่ได้เอาแต่นิ่งเงียบอย่างเดียว
“อืม...ฉันกำลังรอเวลาค่ะ” หล่อนไม่บอกไปตรงๆ ว่าเวลาสำหรับหล่อนก็คือเมื่อเงินพร้อม “พอดี...ที่ผ่านมามีเรื่องให้ต้องทำงานหนักซักหน่อย ฉันก็เลยคิดว่าถ้าจะกลับเมืองไทยทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมก็อย่าดีกว่า ตัวฉันอยู่ที่นี่ยังทำงานได้อยู่บ้าง ยังไง...เมืองไทยก็คงไม่หนีไปไหน”
“งานของคุณ...ดูเหมือนจะหนักนะ”
ชายหนุ่มมองหล่อน ลินจงรู้สึกเหมือนเขาอ่านออกว่างานที่หล่อนพูดถึงคืองานประเภทใด
ไม่สิ...เขาจะรู้ได้อย่างไร ทศเป็นแค่คนที่อาศัยแฟลตเดียวกับหล่อน เมื่อคืนต่อให้เขาได้ยินเรื่องที่หล่อนพูดว่าอยากกลับบ้าน แต่หล่อนไม่ได้พูดสักนิดว่างานที่ต้องไปทำในคืนนั้นคืออะไร
“ช่างเถอะค่ะ คนไม่มีน่ะ...ขยับไปทำอะไรในฮ่องกงก็ลำบาก ฉะนั้นอะไรที่ทำแล้วสร้างรายได้...ฉันทำทั้งนั้น”
“ผมชอบเวลาที่คุณตะโกนบอกฟ้าว่าคุณต้องการอะไร มากกว่าการเก็บกดว่าชีวิตนี้ต้องทำอะไรแบบนี้นะ”
ทศเอ่ยประโยคที่แทงใจหล่อนเหลือเกิน ใบหน้าที่พยายามปั้นยิ้มในฐานะไกด์จำเป็นค่อยสลายลงช้าๆ ลินจงมองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ
เขาช่างพูดราวกับเข้าใจความรู้สึกที่ถูกเก็บกดของหล่อนเหลือเกิน...
หลายปีแล้วนับตั้งแต่สิ้นมารดา ลินจงกลายเป็นคนเก็บกักความรู้สึก เพราะหล่อนไม่เหลือเพื่อนสนิทที่เข้าใจความรู้สึกลึกๆ อีกแล้ว แม้สังคมคนไทยที่คบกัน...หล่อนก็มีเพื่อนไม่กี่คน และในบรรดาเพื่อนที่น้อยยิ่งกว่าน้อยก็ยังหักหลังหล่อนด้วยการขโมยเงินเก็บไปเกือบเกลี้ยงบัญชี
หญิงสาวยอมรับว่าหล่อนเครียด การตัดสินใจทำงานกลางคืนเป็นครั้งแรกในชีวิตนั้น...หล่อนก็ต้องทำใจอยู่นาน ที่ผ่านมาหล่อนไม่เหลือใครให้ระบายความทุกข์ในใจเลย ในคืนนั้นหญิงสาวจึงได้ออกไปตะโกนกับดาดฟ้าแบบนั้น
“อ๊ะ...ฉัน...”
หล่อนพูดอะไรไม่ออกเมื่อน้ำตาอุ่นๆ ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่หล่อนปลุกปลอบตัวเองให้กลายเป็นคนเข้มแข็งมาได้หลายวัน แต่วันนี้หน้ากากพวกนั้นมันกลับพังทลายลงไปหมด
“ขอโทษ...ขอโทษนะคะ...”
หล่อนพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตา แต่ชายหนุ่มกลับยื่นกระดาษทิชชูให้ สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนลง เขาคงไม่รู้ว่านั่นคือการปลอบประโลมที่หล่อนต้องการที่สุดในเวลานี้
“ไม่เป็นไร คุณไม่ผิดหรอก ชะตากรรมเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก แต่ถ้ามันคิดจะเล่นกับเรา เราก็ต้องต่อสู้กับมัน ชีวิตไม่ใช่แค่วันนี้...พรุ่งนี้เรายังต้องสู้มันต่อไป”
ทศเอ่ยเรียบๆ แต่หนักแน่นทุกคำพูด แววตาของเขาไม่ได้มองหล่อน แต่คล้ายกับเขาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง หญิงสาวไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร...หรือทำงานอะไรกันแน่ แต่ที่หล่อนแน่ใจก็คือเขาต้องมีประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ถึงได้สอนหล่อนและให้กำลังใจกับชีวิตที่เหมือนจะไม่เหลืออะไรของหล่อนได้
“กินเถอะ กินให้มากๆ นะ”
ทศบอกกับหล่อน สุ้มเสียงของเขาเหมือนพี่ชายที่กำลังสั่งน้องสาวให้กินข้าวไม่ให้เหลือแม้แต่เม็ดเดียว ลินจงเริ่มยิ้มนิดๆ หล่อนเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน...แต่ก็ได้อาหารเต็มโต๊ะแถมยังมีคนเลี้ยงอีกด้วย
“ค่ะ...ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองกำลังตื้นตันเกินกว่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ และก็เหมือนเขาจะรู้ว่าหล่อนกำลังซาบซึ้งใจ แววตาที่นิ่งเฉยเป็นนิตย์ของทศจึงมองหล่อนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอาทร
มิตรภาพระหว่างเขาและหล่อนก่อเกิดขึ้นแล้วบนเกาะอันเต็มไปด้วยความทันสมัยแห่งโลกตะวันออก แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงเร้นไว้ด้วยเงามืด...ฮ่องกง
+++++++++++++++++
รถไฟฟ้าในฮ่องกงมีอยู่หลายสาย แม้จะถูกกำกับเส้นทางด้วยสีที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในหนังสือนำเที่ยว แต่การมีไกด์ที่คุ้นทางคอยนำก็ช่วยให้การเดินทางรวดเร็วมากขึ้น
“เราจะขึ้นกระเช้าลอยฟ้ากันนะคะ กระเช้าลอยฟ้านี่เชื่อมไปเขตเกาะลันเตาค่ะ มันชื่อ นองปิง 360 สงสัยไหมคะว่าทำไมต้อง 360 ก็เพราะว่ามันจะทำให้เราเห็นฮ่องกงแล้วก็ลันเตาเหมือนได้หมุน 360 องศายังไงละคะ”
ลินจงบอกชายหนุ่มหลังจากหล่อนซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าเรียบร้อยแล้ว ระหว่างฮ่องกงกับเกาะลันเตามีทางไปทั้งรถไฟฟ้าซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แต่นักท่องเที่ยวมักจะไม่พลาดการนั่งกระเช้า เพราะจะทำให้ได้ชมวิวระหว่างเดินทางไปด้วย
“ฉันซื้อตั๋วเที่ยวเดียวนะคะ เพราะคิดว่าบางทีขากลับเราอาจจะกลับด้วยเส้นทางอื่น” หล่อนอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วแต่คุณเถอะ ผมยังไงก็ได้”
ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือสา อันที่จริงลินจงก็ยอมรับว่าการมีลูกทัวร์อย่างเขาก็ทำให้การเดินทางสะดวกสบายไม่น้อย เพราะชายหนุ่มไม่ปริปากบ่นอะไรเลย นอกจากจ่ายเงินอย่างเดียว
“กระเช้ามาแล้ว ไปกันเถอะค่ะ”
หล่อนเรียกเขา จุดจอดกระเช้ามักจะมีเจ้าหน้าที่จัดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในกระเช้าจนเต็มแล้วค่อยปล่อย แต่วันนั้นไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก พอปล่อยคนเข้านั่งในกระเช้าได้ไม่ถึงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูปล่อยกระเช้าออกสู่เส้นทาง
“ลินจง...ทำไมพื้นมัน...”
ชายหนุ่มเอ่ยค้างไม่จบประโยค เพราะพื้นกระเช้าใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นกระจกใส มันใสจนมองทะลุเห็นทุกสิ่งใต้นั้น และยิ่งกระเช้าเริ่มเคลื่อนออกจากสถานี พื้นดินด้านล่างที่ไกลห่างอย่างน่าหวาดเสียวก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้าอย่างชัดเจน
“กระเช้าคริสตัลค่ะ พื้นจะใสเพื่อให้เรามองเห็นวิวได้ทุกทาง...บนล่างซ้ายขวา แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะพื้นเนี่ยทนทานมาก เห็นใสๆ แบบนี้เขาออกแบบมาดีค่ะ ยังไงก็ไม่ร่วงไม่พัง”
ลินจงอธิบายเสียงใส หล่อนนึกขันที่ชายหนุ่มตัวโตๆ ทำท่าเหมือนจะเป็นโรคกลัวความสูงขึ้นมากะทันหัน ในกระเช้าเดียวกันมีพ่อแม่ลูกมาเที่ยวครอบครัวหนึ่ง แต่ลูกซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบขวบก็ยังมองพื้นกระจกใสด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้ทำหน้านิ่วเหมือนชายหนุ่มข้างกายหล่อนเลย
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก แต่การที่เขาเอาแต่มองทิวทัศน์ก็บอกว่าชายหนุ่มคงไม่อยากเลื่อนสายตามองพื้นด้านล่างนัก
“เราต้องอยู่ตรงนี้นานไหม” เขาถามเบาๆ สายตาไม่ยอมหันมามองหล่อน
“กระเช้าใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาทีค่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ แค่มองวิวแป๊บๆ เราก็จะถึงเกาะลันเตากันแล้ว”
“ผมไม่ได้คิด...”
เขายืนกรานปากแข็ง ลินจงจึงไม่เซ้าซี้ แล้วเอาแต่มองทัศนียภาพด้วยความตื่นเต้น
“คุณทศคะ...โน่นไงคะสนามบินนานาชาติฮ่องกง สนามบินนี้เปิดใช้มาเป็นสิบปีแล้วค่ะ เดิมฮ่องกงใช้สนามบินไคตั๊กในเกาลูน แต่ว่าสถานที่ตรงนั้นมันไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่สำหรับการขึ้นลงเครื่องบิน ทางการเขาเลยย้ายมาที่ตอนเหนือของเกาะลันเตา รู้ไหมคะว่าเขาใช้พื้นที่เกาะบริวารเล็กๆ สองเกาะของลันเตามาทำสนามบินโดยเชื่อมสองเกาะด้วยการถมทะเลเลยนะคะ คนฮ่องกงเนี่ยถ้าจะทำอะไรแล้วเขาทุ่มทุนสร้างกันจริงๆ เลยค่ะ”
หญิงสาวหันไปมองลูกทัวร์ เห็นสีหน้านิ่งๆ ของเขาดูไม่สู้ดีนัก
ตายจริง! หล่อนไม่รู้ว่าเขารู้สึกแย่กับการเดินทางครั้งนี้ ตอนจองกระเช้าหล่อนก็เลือกกระเช้าคริสตัลเพราะคิดว่าเขาคงจะชอบ ไม่ได้รู้เลยว่าชายหนุ่มกลัว
“ทศคะ...”
หล่อนเรียก แต่ชายหนุ่มก็เอาแต่มองออกไปข้างนอก ลินจงพอจะรู้ว่าผู้ชายคงจะไม่พอใจแน่ๆ หากแสดงความอ่อนแอให้ผู้หญิงได้เห็น และยิ่งหล่อนก็เป็นผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักเขาได้วันเดียว ชายหนุ่มคงจะไม่ยอมเปิดใจกับหล่อนง่ายๆ เด็ดขาด
หญิงสาวจึงค่อยๆ เลื่อนมือออกไปแตะมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ ลินจงไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เขารู้สึกดีได้หรือเปล่า แต่ตอนที่หล่อนยังเด็ก...เวลาที่หล่อนกลัวหรือท้อแท้หม่นหมอง แม่ก็จะโอบกอดหรือจับมือหล่อนไว้ ลินจงจำสัมผัสที่อบอุ่นแบบนั้นได้ หล่อนจึงคิดว่ามันคงจะช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น
หล่อนเหลียวไปมองเขา ในจังหวะที่ทศก็หันมาทางหล่อนพอดี
ลินจงรับรู้ถึงเปลือกนอกของความไม่รู้จักมักคุ้นซึ่งกำลังถูกกัดกร่อน นับจากนี้...หล่อนและเขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้าบนดินแดนแห่งความศิวิไลซ์นี้อีกต่อไป
บทที่ 3
ลินจงพาชายหนุ่มชาวไทยท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญๆ ของเกาะลันเตาตลอดบ่าย ตั้งแต่พระพุทธรูปใหญ่แห่งเกาะลันเตา ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ยอมพลาด
“คนไทยเรียกว่าพระใหญ่ลันเตาค่ะ เห็นไหมคะสูงตั้ง 20 กว่าเมตร ใกล้ๆ กันมีวัดโปหลินค่ะ เป็นวัดสำคัญของคนที่นี่เหมือนกัน”
หญิงสาวอาศัยการอ่านจากป้ายและความทรงจำกระท่อนกระแท่น การมาท่องเที่ยวสักการะพระพุทธรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่หล่อนอยากทำมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสเลย เพราะลินจงต้องทำแต่งานอยู่ตลอดเวลา
“นี่วัดโปหลินค่ะ วัดสำคัญของคนที่นี่เค้า คนฮ่องกงส่วนใหญ่ก็นับถือพุทธเหมือนๆ เมืองไทยนะคะ แต่จะเป็นคนละนิกายกับบ้านเรา ที่นี่เขาจะนับถือพระโพธิสัตว์แล้วก็พวกเจ้าแม่กวนอิมค่ะ อย่างที่วัดนี้ก็จะมีคนมาบูชากันเยอะ ถ้าจะซื้อธูปก็ตรงนี้นะคะ ราคาไม่กี่เหรียญหรอกค่ะ”
ลินจงพาเขาไปซื้อธูปเพื่อนำมาจุดสักการะ ในวันนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนอยู่พอสมควร แต่ก็ยังมีพื้นที่พอให้หล่อนและเขาได้เข้าไปสักการะรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ได้
หญิงสาวหยุดพักที่ม้านั่งร่มรื่นใต้ร่มไม้บริเวณนั้น หล่อนบอกให้ชายหนุ่มรออยู่ตรงนี้ ก่อนจะไปหาซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ มาดื่มดับกระหาย และไม่ลืมที่จะซื้อมาฝากเขากระป๋องหนึ่งด้วย
“ของแถมค่ะ ถือเสียว่าไกด์ขอเลี้ยงลูกทัวร์บ้างก็แล้วกันนะคะ”
ทศยิ้มให้หล่อนนิดหนึ่ง จะว่าไปหล่อนไม่เคยเห็นเขายิ้มกว้างด้วยความสุขใจอย่างนี้สักครั้ง แต่ลินจงเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ชายจำพวกที่ชอบวางมาด เพียงแต่ในดวงตาของทศบอกว่าเขามีบางอย่างในใจ ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่อาจยิ้มให้กับโลกนี้ได้อย่างรื่นรมย์
“ทำไมผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างคุณถึงมาอยู่ฮ่องกงล่ะ”
เขาเริ่มคำถาม ลินจงนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม หล่อนคิดอยู่แล้วว่าหากเป็นคนไทยด้วยกัน สักวันจะต้องถามคำถามนี้
“ฉันอยู่ที่นี่มานานค่ะ สิบกว่าปีได้แล้วละมั้งคะ มันก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ถ้าให้กลับไปเมืองไทยก็คงยากค่ะ เพราะวุฒิการศึกษาของฉันใช้กับที่นั่นไม่ได้เลย”
การเดินทางมาอยู่ที่นี่ทำให้การเรียนของลินจงไม่ปะติดปะต่อ แน่นอนว่าถ้ากลับไปทำงานที่เมืองไทย หล่อนคงจะไม่ได้ตำแหน่งงานดีๆ ซึ่งต้องใช้วุฒิการศึกษาเป็นแน่ ทางเดียวคือต้องไปสร้างงานเพื่อเป็นแหล่งรายได้เลี้ยงตัวเอง แต่ทุนรอนที่หล่อนสะสมไว้ก็ถูกเพื่อนโกงไปจนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว
“อยู่ที่เมืองไทยคงไม่ลำบากเท่าที่นี่ งานบางอย่างก็ไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษาชัดเจนหรอก คุณกลัวไปเองเท่านั้นแหละลินจง”
“เรียกฉันว่าหลินก็ได้ค่ะ ชื่อจีน...แล้วก็เป็นชื่อเล่นของฉันด้วย” หล่อนบอก
“แต่ผมอยากเรียกคุณว่าลินจง” เขายังยืนกราน “มันเป็นชื่อไทยของคุณไม่ใช่เหรอ”
ลินจงเถียงไม่ออก นานมาแล้วที่หล่อนไม่ได้ยินใครเรียกหล่อนด้วยชื่อนี้ ในฮ่องกง...ใครๆ มักจะเรียกหล่อนว่าหลิน จนบางครั้งหล่อนก็ลืมชื่อไทยของตัวเองไปเหมือนกัน
“แล้วคุณละคะ คุณมาทำงานอะไรที่นี่เหรอ พูดกันตามตรง ฉันว่ามันดูแปลกเหมือนกันนะคะที่คนแบบคุณมาทำงานในฮ่องกงแบบนี้” หญิงสาวถามบ้าง
“แปลกยังไงกัน”
“ก็...คุณดูทำงานที่ได้เงินเยอะ แต่ว่าคุณกลับพักอยู่แฟลตซอมซ่อนั่น แถมคุณก็ไม่คิดจะเอาเงินของคุณไปใช้กับของฟุ่มเฟือยที่มีอยู่สารพัดในฮ่องกง แต่กลับพอใจมาเที่ยววัดวาแบบนี้”
หล่อนพูดไปตามตรง ลินจงเคยเห็นคนไทยมาเที่ยวฮ่องกงอยู่บ่อยๆ พวกเขาล้วนมีเป้าหมายในการช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังที่มีอยู่มากมาย และเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็ขึ้นชื่อในการเป็นศูนย์การค้าเสียด้วย ฉะนั้นเมื่อลูกทัวร์หนุ่มบอกว่าเขาไม่สนใจการจับจ่ายซื้อของ ลินจงจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลก
“ผมชอบที่ที่รู้สึกว่าอยู่แล้ว...จิตใจของเราสงบลง มากกว่าพวกศูนย์การค้าน่ะ”
ทศตอบเรียบๆ แววตาของเขามีความหมองหม่นวูบหนึ่งจนลินจงสังเกตได้ หญิงสาวไม่รู้ว่าชีวิตของเขามีความวุ่นวายมากมายขนาดไหน แต่หล่อนก็เห็นด้วยกับเขา สถานที่ที่ทำให้จิตใจสงบนั้นก็เป็นความปรารถนาของหล่อนเช่นกัน เพราะอย่างนั้นลินจงจึงมีความฝันที่จะเก็บเงินไปตั้งตัวที่เมืองไทย ในเมื่อบ้านเกิดของหล่อนและแม่มีพื้นที่มากมายและยังมีบรรยากาศสงบมากกว่ามหานครใหญ่แบบนี้
“ก็ดีค่ะ งั้นเราพักกันอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ก็ได้นะคะ ที่สงบๆ แบบนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของฮ่องกง ที่นี่ไม่ได้มีแต่แหล่งช้อปปิ้งหรอกค่ะ”
หญิงสาวใช้เวลานั่งนิ่งๆ อยู่กับบรรยากาศสีเขียวพร้อมกับเขา ลินจงไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หรือที่ว่ากันว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นมักผ่านไปเร็วจนไม่รู้ตัวจะเป็นความจริง
เมื่อถึงเวลาหารถกลับสถานีกระเช้าลอยฟ้า มันก็เป็นเวลาเย็นมากทีเดียว ลินจงรีบเดินนำเขาลิ่วๆ ไปยังสถานี หล่อนจำไม่ได้ว่ากระเช้าเที่ยวสุดท้ายจะออกเวลาไหน แต่หวังว่ามันคงยังมีเที่ยวเหลือให้หล่อนและเขาอยู่บ้าง
“เสียใจด้วยค่ะ เที่ยวสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง”
พนักงานคนหนึ่งบอกกับหล่อน อันที่จริงป้ายในสถานีก็ติดไว้หราว่าเกินเวลาหกโมงเย็นกระเช้าลอยฟ้าจะเลิกให้บริการ แต่มันเป็นความสะเพร่าของหญิงสาวเองที่ไม่ได้จดจำเวลาไว้ให้แม่นยำ
“ไม่ทันหรือ”
ทศเอ่ยถามขึ้น แต่สีหน้าของเขากลับไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชินพื้นที่ มิหนำซ้ำยังพูดภาษาจีนอย่างหล่อนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แย่จริงค่ะ ฉันลืมดูเวลาไปเลย แต่ถ้าย้อนไปทางอื่นเพื่อจะใช้รถไฟฟ้าหรือว่าเรียกแท็กซี่ก็น่าจะได้ค่ะ”
“แล้วแต่คุณเถอะ ผมยังไงก็ได้”
เขายังเป็นลูกทัวร์ที่ว่าง่ายเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม ลินจงรีบหยิบแผนที่ออกมากางดู ตั้งแต่อยู่ฮ่องกงมา ก็มีวันนี้ที่หล่อนทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้นพอต้องมาแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าแบบนี้หญิงสาวจึงทำอะไรไม่ถูก
“ฟ้าฝนดูไม่เป็นใจเลยนะ”
ชายหนุ่มทักขึ้น ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อกลางวันเริ่มมีเมฆรวมตัวกันหนาแน่น ถ้าหากฝนตกก็ควรจะเดินทางโดยรถไฟ แต่ว่าจากตรงนี้ก็ต้องไปหาจุดเชื่อมต่อเพื่อจะขึ้นรถไฟกลับฮ่องกง
ลินจงมองแผนที่อยู่ครู่ใหญ่ ท้องฟ้าที่มืดลงเพราะเมฆหนาดูจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย
หญิงสาวมองตัวอักษรย่อ H ที่ปรากฏหลายจุดบนแผนที่ด้วยความลังเลใจ
H ย่อมาจาก Hotel
“ทศคะ...ขอโทษนะคะที่การเดินทางมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดกันไว้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า...เราคงต้องพักโรงแรมค่ะ”
++++++++
“เอ่อ...ได้ห้องแล้วนะคะ เป็นห้องเดี่ยว...แต่ว่าเตียงคู่ค่ะ”
หญิงสาวเดินเข้ามาบอกชายหนุ่มซึ่งนั่งรออยู่บริเวณล็อบบี้ สีหน้าของทศแสดงถึงความคาดไม่ถึง นับแต่เที่ยวด้วยกันทั้งวัน ลินจงก็เพิ่งเห็นชายหนุ่มแสดงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนปกติแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ว่าไงนะ?”
“เราได้ห้องเดี่ยวค่ะ แต่ยังไงมันก็เป็นเตียงคู่ ฉันคิดว่ามันคงไม่เป็นปัญหานะคะ พอดีช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะ เขาก็เลยเหลือห้องให้เราได้เท่านี้แหละค่ะ”
อันที่จริง คนที่น่าจะเสียหายเพราะการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายน่าจะเป็นผู้หญิงอย่างหล่อนมากกว่า แต่ลินจงปลอบใจตัวเองว่าหล่อนไม่เหลือใครจะมาดุด่าอีกแล้ว ในฮ่องกง...หล่อนเหมือนเป็นคนตัวคนเดียว ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูจะเดือดร้อนแทนจนน่าขัน
ความจริงแล้ว ลินจงเป็นคนเจาะจงเลือกห้องแบบนี้เอง เพราะการที่ชายหนุ่มต้องจ่ายเงินให้หล่อนตลอดนั้นทำให้หล่อนรู้สึกเกรงใจไม่น้อย หากเขาต้องมาออกค่าห้องแยกให้หล่อนอีก หญิงสาวคิดว่ามันคงจะเป็นค่าใช้จ่ายที่บานปลายเกินไป
“แต่...ผมว่ามันคงไม่ดีแน่ๆ” เขายังขมวดคิ้วไม่หยุด
“ช่างเถอะค่ะ ยังไงซะเรามีที่พักก็พอแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกลับกันแต่เช้านะคะ”
ลินจงกระตุกแขนเสื้อพาเขาเดินไปที่ลิฟต์ เป็นการตัดบทเสียงค้านของชายหนุ่มด้วยหล่อนเชื่อมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษของอีกฝ่ายเต็มหัวใจ
ชายหนุ่มกำลังจัดการธุระในห้องน้ำ ในเวลาที่ลินจงได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นพอดี
เสียงมันดังมาจากเสื้อแจ็คเก็ตซึ่งทศพาดไว้บนเตียง หญิงสาวรู้ดีว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง แต่เพราะแรงสั่นของโทรศัพท์จนตกขอบเตียงแบบนั้นทำให้เสื้อแจ็คเก็ตหล่นลงไปบนพื้นด้วย ลินจงจึงเข้าไปหยิบเสื้อกลับมาวางที่เดิม
รูปถ่ายขนาดเล็กๆ หลุดแพลมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หญิงสาวนึกแปลกใจ เพราะวันนี้ที่ท่องเที่ยวด้วยกันทศก็ไม่ได้ถ่ายรูปสักใบ แต่มันคงเป็นของเดิมที่ชายหนุ่มมีอยู่แล้ว
หล่อนหยิบมันรวบเข้าด้วยกัน แล้วจัดการเก็บใส่กระเป๋าเสื้อให้เหมือนเดิม แต่เมื่อลุกขึ้นยืนหญิงสาวก็แทบหงายหลัง
ทศมายืนอยู่ข้างหลังหล่อนอย่างเงียบเชียบ!
สีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มทำให้ลินจงถอยหลังไปหลายก้าว หล่อนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด การเก็บเสื้อให้เขาจะกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปได้อย่างไร
“โทรศัพท์คุณ...ทำเสื้อนอกหล่น ฉันก็เลยเก็บให้ค่ะ”
หล่อนพยายามส่งเสียงอธิบาย ใบหน้าคนฟังยังนิ่งเฉย เขาผละจากหล่อนเหมือนไม่เห็นในสายตา แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา เดินไปยังมุมห้องก่อนจะกดโทรกลับ
ลินจงได้แต่เงียบ หล่อนคงทำให้เขาไม่พอใจ แต่หญิงสาวก็แน่ใจว่าไม่ได้ล่วงล้ำข้าวของส่วนตัวของเขา ภาพถ่ายพวกนั้นหล่อนยังไม่ทันได้พินิจว่ามันเป็นภาพอะไรด้วยซ้ำ แต่ที่เห็นผ่านตาก็คล้ายๆ กับเป็นภาพบุคคล ซึ่งก็คงเป็นภาพของเขาเอง ไม่เช่นนั้นก็เกี่ยวกับงานของเขา
“พรุ่งนี้ผมคงต้องขอตัวแต่เช้า”
ลินจงกำลังนั่งซึมที่เตียง ชายหนุ่มซึ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาบอกหล่อน ดูจากสีหน้า...หล่อนเชื่อว่าเขาคงให้อภัยหล่อนแล้ว
“ยังไงผมจะเตรียมค่าโรงแรมไว้ให้ พรุ่งนี้คุณก็กลับฮ่องกงไปก่อน แล้วยังไงผมจะมีเพื่อนมารับ”
“ค่ะ...”
หล่อนรับคำเนือยๆ ทศหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงฝั่งตรงข้าม ตรงกับตำแหน่งของหล่อนบนเตียงพอดี
“ผมขอโทษกับสีหน้าท่าทางของผมเมื่อกี้ แต่บางครั้ง...เรื่องบางอย่างคุณก็ไม่ควรรู้ คุณอยู่ในโลกที่ดีแล้ว...ผมไม่อยากดึงคุณมาเกี่ยว”
หญิงสาวเริ่มมองเขาด้วยความงุนงง เขาพูดราวกับว่าเขาและหล่อนแตกต่างกันราวฟ้าดิน ลินจงจะสูงส่งกว่าเขาไปได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนก็เป็นเพียงคนหาเช้ากินค่ำ ทศอาจจะมีโลกที่ดีกว่าหล่อนด้วยซ้ำ อย่างน้อยเขายังเข้าออกฮ่องกงได้อย่างอิสระ มีงานที่รายได้ดีรอเขาอยู่ และเมื่อเสร็จงานเขาก็กลับเมืองไทยได้ทันที หล่อนต่างหากที่ไม่มีอะไรเลย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ผู้ชายทุกคนก็ต้องมีความลับ คุณรู้ไหมคะว่าผู้หญิงก็เหมือนกัน ฉันไม่โกรธคุณหรอกค่ะ”
“ผมดีใจที่ได้พบคุณ ผมเห็นความงดงามบนโลกนี้ก็เพราะได้เห็นแววตาของคุณ มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุข”
ลินจงเริ่มวางสีหน้าไม่ถูก แต่สายตาของเขาที่มองตรงมาประสานกับสายตาของหล่อนนั้นแทนความรู้สึกมากมายในใจ
เขาเหมือนหล่อนหลายอย่าง โหยหาอะไรบางอย่าง...แต่ก็ติดอยู่กับกรงที่กักขังเอาไว้จนไม่อาจโบยบินไปหาอิสรภาพได้ ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งไม่สนใจกันและกัน มันช่างเหมือนปาฏิหาริย์ที่คนอย่างเขาและหล่อนมาพบเจอกันได้
“ฉันก็มีความสุข...เวลาใกล้คุณเช่นกันค่ะ ทศ”
หล่อนยิ้มให้เขา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำของเขากลับสร้างกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตในวันพรุ่งนี้ได้อย่างล้นเหลือ
คืนนั้น ลินจงนอนหลับสนิทบนเตียงด้วยความอิ่มใจตลอดคืน
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30
<iframe width="430" height="220" src="https://www.mebmarket.com/embed.php?seller_link=https%3A%2F%2Fwww.mebmarket.com%2Findex.php%3Faction%3DBookDetails%26data%3DYToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30" frameborder="0" ></iframe>
หากสนใจจับจองในรูปแบบอีบุกได้
กำลังจะวางขายที่ Mebmarket ในวันที่ 13 ธ.ค. 2015
ราคาโปรโมชัน 49 ฿ (จากราคาเต็ม 85) จนถึงสิ้นปีค่ะ
บทที่ 1
ฮ่องกง...ดินแดนแห่งสีสันโลกตะวันออกที่ผสานความเก่าแก่จากอารยธรรมจีนดั้งเดิมกับความทันสมัยแบบตะวันตกอย่างลงตัว เกาะเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับคาบสมุทรเกาลูนและเขตนิวเทอร์ริทอรีซึ่งติดกับจีนแผ่นดินใหญ่ นครอันเต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ศิวิไลซ์ที่ไม่เคยดับมอดแม้ในยามราตรี
เมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้า...เหมือนยิ่งข่มชะตากรรมของมนุษย์ตัวเล็กๆ ให้ต่ำติดดิน
คนที่มีชีวิตหรูหราบนที่สูงคงไม่มีวันมีความคิดแบบนี้ แต่สำหรับ‘ลินจง’หรือ‘หลิน’ที่ได้แต่เงยหน้ามองตึกสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของความเป็นเมืองของฮ่องกง หล่อนคงไม่อาจชื่นชมมันได้อย่างสนิทใจ เขตเศรษฐกิจฮ่องกงเต็มไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล แต่นั่นเป็นเอกสิทธิ์สำหรับคนที่มีโอกาส...ซึ่งคงไม่หมายรวมถึงหล่อนไปด้วย
“อยากกลับบ้าน...อยากกลับเมืองไทย!”
หล่อนร้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ตึกสูงระฟ้าที่รายรอบเหมือนบีบคั้นความรู้สึกในใจหล่อนเหลือเกิน
ลินจงไม่คาดหวังว่าจะมีใครได้ยิน เสียงเพลงอึกทึกเบื้องล่างคงทำให้เสียงของหล่อนหายไปในสายลม เป็นเพียงคำกู่ก้องไร้ความหมายในมหานครกว้างใหญ่ที่ไม่แยแสคนตัวเล็กๆ อย่างหล่อนเท่านั้น
หญิงสาววัยต้นยี่สิบมีความคิดแบบนั้นมาตลอด หลายคนบอกว่าฮ่องกงคือดินแดนแห่งโอกาส เหมือนแหล่งขุดทองสำหรับคนที่ต้องการกอบโกยและเสี่ยงโชค แต่คนที่อยู่อาศัยที่นี่มานานสิบกว่าปีจนพูดและอ่านภาษาจีนได้คล่องอย่างหล่อนรู้ดีว่ามันเป็นแค่นิทานหลอกเด็กเท่านั้น
แต่คนที่เชื่อแบบนี้คนหนึ่งก็คือแม่ของหล่อน แม่เคยมาแสวงโชคที่ฮ่องกงในฐานะคนทำงานบ้าน โดยมากคนฮ่องกงนิยมจ้างสาวใช้จากฟิลิปปินส์ แต่คนไทยก็พอจะแทรกตัวมาทำงานนี้ได้บ้าง
แม่โซเซกลับบ้านพร้อมชีวิตน้อยๆ ในท้อง นั่นคือลินจง คนทั้งหมู่บ้านนินทาแม่หล่อนว่าท้องไม่มีพ่อ และการที่ลินจงผิวค่อนข้างขาว ดูมีเลือดผสมไม่ใช่ชาวไทยแท้ๆ ชาวบ้านก็ยิ่งกระพือข่าวว่าแม่หล่อนพลาดท่าเสียทีให้กับอาตี๋ฮ่องกงจนต้องซมซานกลับเมืองไทย
“ไม่ว่าใครจะพูดยังไง ลินจง...หนูเป็นชีวิตที่ฟ้าประทานให้แม่ แม่รักลูกนะ”
แม่พร่ำบอกกับหล่อนเช่นนั้น และพยายามประกอบอาชีพในเมืองไทยเพื่อจะเลี้ยงดูลูกสาวตัวเล็กๆ อยู่หลายปี ในที่สุดความฝืดเคืองก็บังคับให้แม่กลับมาทำงานที่ฮ่องกงอีกครั้ง อาจเพราะแม่เคยชินกับที่นี่ และมีชุมชนคนไทยเล็กๆ ที่แม่คุ้นเคยดี
แต่แม่ก็เพิ่งจากหล่อนไปเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นแม่ทิ้งเงินก้อนจากการทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำให้ก้อนหนึ่ง แต่ลินจงยังไม่ตัดสินใจกลับเมืองไทย เพราะหากจะไปอยู่ที่นั่นอย่างไม่ให้คนดูถูกเหมือนตอนที่แม่อุ้มท้องหล่อนกลับไป...มันต้องใช้เงินที่มากกว่านั้น
ลินจงพยายามทำงาน หล่อนมีความรู้ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอังกฤษเล็กน้อย แต่การที่เป็นคนนอกในสังคมฮ่องกงและยังไม่มีวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดีๆ หล่อนจึงไต่เต้าได้ไม่ไกลนัก ลินจงใช้ชีวิตในแฟลตราคาถูก พยายามประหยัดทุกวิถีทาง แต่เงินเก็บก็เพิ่มอย่างเชื่องช้า
จนเมื่อปลายเดือนก่อน เพื่อนคนไทยของหล่อนกลับทำกับหล่อนได้ลงคอ
เพื่อนที่คบกันมาหลายปีเพราะอาศัยในแฟลตเดียวกันขโมยบัตรเงินสดและถอนเงินในธนาคารของหล่อนไปเกือบหมด กว่าลินจงจะรู้เรื่อง เงินในบัญชีของหล่อนก็หายไปหมดเกลี้ยง คนก่อเหตุหนีหายไปต่างประเทศ หญิงสาวรู้สึกเหมือนอยากล้มทั้งยืน
ความฝันที่จะกลับเมืองไทยของหล่อนเป็นอันสลายวับ!
จนกระทั่งวันนี้...แม้แต่เงินที่จะใช้ชีวิตต่อก็แทบไม่มีเหลืออีกแล้ว ลินจงจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่หล่อนก็ไม่เคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้จะต้องไปข้องเกี่ยว
“งานง่ายๆ น่าอาหลิน ของแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน”
ลินจงเคยโดนติดต่อทาบทามจากเอเยนต์พวกนี้มาก่อน เพราะหน้าตาของหล่อนผสมผสานความสวยหวานแบบไทยและความงามบริสุทธิ์แบบชาวจีนไว้อย่างลงตัว ผิวกายขาวนวลตามพิมพ์นิยมคนตะวันออก รูปร่างระหงสมส่วน แต่หญิงสาวก็หลีกเลี่ยงคนพวกนี้มาตลอด ทั้งๆ ที่แฟลตราคาถูกที่หล่อนอาศัยอยู่นั้นก็มีผู้หญิงหากินประเภทนี้อาศัยอยู่เช่นกัน
ถ้าไม่ทำ...หล่อนอาจจะไม่มีแม้แต่วันพรุ่งนี้...
“คืนนี้...สี่ทุ่ม...เดี๋ยวเจ๊จะพาไปเอง”
ข้อตกลงนั่นไม่ต่างกับคำสั่งประหาร แต่นักโทษประหารก็อาจจะดีกว่าหล่อนที่รู้แน่ชัดว่าตนเองจะไม่เหลืออนาคตอีกแล้ว แต่หล่อนไม่รู้เลยว่าอนาคตจะยังมีหรือไม่ และมันจะเป็นอย่างไร
เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ลินจงปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม หล่อนต้องเข้มแข็ง แล้วเรื่องคาวโลกีย์พวกนี้ก็จะเป็นเพียงคืนวันอันเจ็บปวดที่ผ่านพ้นไปเอง
“แล้วฉันจะกลับเมืองไทย...ฉันจะกลับบ้านของฉัน...”
หญิงสาวพร่ำพูดซ้ำๆ ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากรั้วเหล็กดัดดาดฟ้า เวลานี้หล่อนควรกลับไปที่ห้อง และเตรียมความพร้อมสำหรับงานกลางคืนครั้งแรกในชีวิตเสียที
...ตรู้ด....ตรู้ด...
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือ มันไม่ใช่เสียงเรียกเข้าของหล่อนแน่ๆ และตอนนี้หล่อนก็ทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง
หญิงสาวหันขวับ เสียงโทรศัพท์เงียบไปแล้ว แต่หญิงสาวยังมองตามที่มาของเสียงเมื่อครู่ได้ถูก
เสียงมาจากตรงนั้น ห้องเก็บของบนดาดฟ้า จากบริเวณหลังคาห้องที่หล่อนไม่สังเกตดีๆ ในตอนแรก
มีชายคนหนึ่งลุกขึ้นจากท่านอนราบกับหลังคา เขากำลังกดปิดโทรศัพท์มือถือ และมองทางหล่อน
คนนี้เอง!
ลินจงอุทานในใจ อันที่จริงหล่อนไม่รู้จักกระทั่งชื่อของเขา รู้แต่ว่าเคยเห็นหน้าค่าตาอีกฝ่ายตอนเดินขึ้นลงลิฟต์หรือสวนกันที่ทางเข้าตึกมาบ้าง แฟลตนี้มีส่วนแบ่งเช่าสำหรับผู้อยู่อาศัยขาจรอยู่ด้วย และเขาก็เป็นคนประเภทนั้น
ชายคนนี้หน้าตาไม่ค่อยเป็นมิตรกับใคร และอุปนิสัยก็ไม่ต่างจากใบหน้า เขาไม่เคยคุยกับใครเลย แต่นั่นอาจเป็นเพราะเขาพูดภาษาที่นี่ไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แรงงานต่างชาติในฮ่องกงมีไม่น้อยที่พูดภาษาจีนไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยมีใครถามว่าเขาเป็นคนจากประเทศใด
ลินจงใจหายวาบ ตำแหน่งที่เขานอนอยู่บนหลังคานั้นคงทำให้เขาได้ยินเสียงตะโกนของหล่อนเต็มสองหู แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาหญิงสาวก็ปลอบใจตัวเองได้...หล่อนพูดภาษาไทยออกไปนี่นา ผู้ชายคนนี้จะฟังรู้เรื่องได้อย่างไรถ้าหากว่าเขาไม่ใช่คนไทย ซึ่งลินจงแน่ใจว่าเขาคงไม่ใช่ เพราะไม่เคยเห็นผู้ชายคนนี้อยู่ในกลุ่มคนไทยเลย
“เอ่อ...”
หญิงสาวตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง เช่นว่า...ขอโทษที่มารบกวนที่ส่วนตัวของคุณ หรือคุณคงไม่โกรธที่ฉันส่งเสียงดัง แต่ชายคนนั้นก็โดดพรวดลงบนพื้น แล้วเดินผ่านหล่อนลงบันไดไปอย่างเฉยเมย
หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก ผู้ชายคนนี้ช่างไร้มารยาท สายตานิ่งๆ ของเขาแทบไม่มองหล่อนเลยด้วยซ้ำ ลินจงถอนใจเบาๆ ก่อนจะก้าวลงบันไดบ้าง ไปสู่ห้องที่รออยู่...และงานชิ้นสำคัญที่รอหล่อนอยู่
++++++++++++++++++++++++++=
ถ้าเป็นนางกลางคืนชั้นสูงจะได้เฉิดฉายอยู่ตามโรงแรมระดับห้าดาว แต่งานแรกของลินจงกลับไม่ได้หรูหราขนาดนั้น มาม่าซังพาหล่อนมาที่ลานจอดรถ มันเป็นการนัดพบที่ดูเรียบง่ายและแอบซ่อน จนหล่อนรู้สึกพอใจลึกๆ ที่ไม่ต้องออกตัวต่อวงสังคมมากเกินไป
คนที่มาม่าซังพาไปพบนั้นเป็นชายอายุคราวพ่อ รูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่ต่างจากบรรดาชายสูงวัยที่หาได้ทั่วไปในฮ่องกง แต่หญิงสาวรับรู้ได้ว่าเขาคงไม่ใช่คนทำงานสุจริตธรรมดา เพราะการที่มีคนขับรถและคนติดตามอีกคันหนึ่งก็บอกสถานะของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
คงเป็นมาเฟีย...หญิงสาวคิด
มาเฟีย...กลุ่มอิทธิพลที่ขึ้นชื่อในโลกมืด ฮ่องกงมีสมาชิกกลุ่มพวกนี้เต็มไปหมด แม้ผู้ว่าการเกาะจะเชิดชูเพียงด้านสว่างในความเป็นศูนย์การค้าและธุรกิจสำคัญระดับเอเชีย แต่ทุกคนก็รู้กันดีว่าอิทธิพลของมาเฟียพวกนี้มีล้นฟ้าเหนือเกาะเล็กๆ แห่งนี้มากมายเพียงใด
ลินจงพยายามข่มใจไม่ให้สั่นกลัว...เมื่อมาม่าซังฝากฝังหล่อนเสร็จ และคนขับรถก็เปิดประตูรอท่าให้หล่อนขึ้นไปนั่งข้างๆ ชายอายุคราวพ่อคนนั้น
“โฮ่ๆๆ ท่าทางไม่เคยจริงๆ สินะเนี่ย ดูสิ...นั่งนิ่งเชียว...”
ว่าที่ผู้ชายคนแรกในชีวิตของหล่อนพูดออกมาพร้อมหัวเราะอย่างครึ้มอกครึ้มใจ มือสากหนาจับคางหล่อนเชยชมเล่น หญิงสาวพยายามไม่มองมันแม้แต่ใบหน้า พยายามแม้แต่จะไม่ฟังเสียงของมัน แต่คงเป็นไปไม่ได้ในเมื่อหล่อนพูดและฟังภาษาจีนได้คล่อง จนแกล้งทำหูหนวกไม่ได้อีกต่อไป
รถเริ่มออกตัวแล่นเข้าสู่ถนน ปลายทางของมันคงเป็นห้องชุดหรือคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นแหล่งกบดานของชายคนนี้ และนั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของงานแรกสำหรับหล่อนเช่นกัน
หล่อนได้ยินเสียงชายสูงวัยที่นั่งข้างๆ พูดคุยโทรศัพท์มือถือ แต่มันคงไม่คุยธุระสำคัญให้ว่าที่นางบำเรอของมันได้ยินไปด้วย มือหนาหยาบของชายมากวัยเอื้อมมาลูบไล้ตามเรียวขาหญิงสาวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ลินจงเม้มปากแน่นข่มความรู้สึกขนลุกขนพองเอาไว้ หล่อนอดสูใจกับชะตากรรมของตัวเองในตอนนี้เหลือเกิน
จังหวะนั้นเอง...กลับเกิดสิ่งไม่คาดฝันขึ้นกับรถยนต์ผู้ติดตามที่ด้านหลัง
โครม!!!
มีรถยนต์คันหนึ่งพุ่งมาชนรถบริวารที่ติดตาม ก่อนจะตามด้วยเสียงรัวกระสุนหลายนัด ลินจงสะดุ้งเฮือก! หล่อนเหลียวไปมองด้านหลังก่อนจะเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
“อาเว่ย! ขับต่อไป”
ลินจงได้ยินเสียงชายที่นั่งข้างกายหล่อนลนลานบอกคนขับ แต่แล้วตรงหัวโค้งที่รถกำลังจะผ่านพ้น กลับมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งวิ่งสวนเข้ามา
คนซ้อนประคองอะไรบางอย่างด้วยมือทั้งสอง เล็งเป้าเข้ามาในรถคันนี้ ก่อนยิงรัวเข้ามา
“อ๊าก!!!”
คนขับถูกยิงด้วยกระสุนหลายนัด ร่างของเขาเต็มไปด้วยเลือดจนกระทั่งแน่นิ่งไปกับพวงมาลัยรถ ทุกภาพเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาหญิงสาว หล่อนได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตะลึงงัน
“ไอ้สารเลว มึงเป็นใครวะ!”
ชายข้างกายหล่อนชักปืนออกมาจากตัวเสื้อ แต่ยังไม่ทันจะได้เล็ง ประตูก็ถูกเปิดผลัวะอย่างแรง ลินจงเบือนหน้าหนีเมื่อรับรู้ถึงร่างเพชฌฆาตซึ่งยืนตระหง่านภายนอก หล่อนไม่ได้ยินเสียงกระสุน...มันคงเป็นปืนเก็บเสียง แต่ที่รับรู้ได้ก็คือหยาดเลือดที่กระเซ็นจนห้องโดยสารรถแทบกลายเป็นสีแดง
ไม่รอดแน่ๆ!
หญิงสาวหลับตาปี๋ การฆ่าล้างกันระหว่างแก็งสเตอร์มาเฟียเกิดขึ้นได้ทุกเวลาในฮ่องกง แม้ทุกครั้งมันจะไม่ราวีคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แต่ผู้เห็นเหตุการณ์อย่างหล่อนคงไม่มีวันรอดชีวิต อาชญากรพวกนี้รู้ดีว่าตำรวจจะต้องกันตัวพยานในที่เกิดเหตุเอาไว้ และนั่นจะกลายเป็นความเดือดร้อนสำหรับมาเฟียผู้ก่อเหตุในภายหลัง
แต่สวรรค์เหมือนกำลังปลอบโยนหล่อน...ลินจงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย
ในที่สุด หญิงสาวก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างหวาดกลัว
หายไปแล้ว...
แม้จะไม่เห็นผู้ก่อเหตุ แต่ภาพศพชายร่างอ้วนข้างกายกลับไม่ทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น หญิงสาวรีบอุดปากตัวเองเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือด ทุกอย่างเป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนจนหล่อนแทบเป็นลม
ผลัวะ!
ประตูรถฝั่งที่หล่อนนั่งถูกเปิดออก เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากร่างหล่อนออกมา ลินจงซวนเซจนแทบล้มลงกับพื้น หล่อนไม่กล้าจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่รู้ว่าชายคนนั้นสวมชุดแจ็คเก็ตปกปิดมิดชิดและยังสวมหมวกกันน็อคจนทำให้มองไม่เห็นหน้าตาที่แท้จริง
“อย่า!”
หล่อนหวีดร้องแม้จะรู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ มาเฟียไม่เคยเว้นชีวิตคนที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ แต่น่าแปลกที่หล่อนสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ร่างบางก็หลุดจากการเกาะกุมและล้มลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย
หรือมันอาจปล่อยหล่อนออกห่าง...เพื่อจะเล็งยิงอย่างใจเย็น
ทั้งที่รู้ว่านี่กำลังจะเป็นวินาทีสุดท้าย แต่ลินจงก็ยังเงยหน้าช้าๆ มองเพชฌฆาตที่กำลังจะปลิดชีวิตหล่อนด้วยเนื้อตัวสั่นเทา
“Go…”
เสียงเอ่ยเบาๆ จากใบหน้าใต้หมวก คำพูดที่เป็นภาษาอังกฤษทำให้หล่อนรู้สึกพิศวง
หรือว่า...นักฆ่าคนนี้จะไม่ได้เป็นพวกมาเฟีย...
“Go!!!”
เพชฌฆาตไร้หน้าตะคอกอีกครั้ง คราวนี้ลินจงไม่กล้าอิดออดหรือตะลึงงันอีกต่อไป หญิงสาวลนลานลุกขึ้นถอยห่างจากร่างชายตรงหน้า จนแผ่นหลังบอบบางปะทะกับกำแพงถนน
หนี!
หญิงสาวออกตัววิ่งให้เต็มฝีเท้า แม้มันจะยากลำบากเพราะรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ทำให้แทบเสียการทรงตัว หล่อนต้องหนีไปให้ไกลจากที่ตรงนี้ ก่อนที่ตำรวจจะมาถึงที่เกิดเหตุ การตกอยู่ในมือตำรวจในเวลาที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุคงไม่ต่างจากการถูกคุมขัง ชีวิตหล่อนมีแต่ต้องหนีเท่านั้น
เสียงส้นรองเท้าเรียวเล็กกระทบพื้นค่อยๆ ไกลออกไป ร่างนักฆ่าในชุดเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำยืนนิ่ง ใบหน้าที่ถูกซ่อนใต้หมวกกันน็อคเหมือนมองตามร่างระหงนั้นไปจนลับ ก่อนมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจะพุ่งเข้ามาหา แล้วรับร่างเขาขึ้นซ้อนท้าย ก่อนขับรถหายไปในรัตติกาลอันวุ่นวายของฮ่องกง
บทที่ 2
ที่ที่เคยอยู่กลับกลายเป็นที่ที่หล่อนกลับไปอีกไม่ได้ ลินจงชะงักฝีเท้าอยู่ที่หัวมุมถนน เมื่อเห็นมาม่าซังที่เพิ่งพาหล่อนไปส่งลูกค้าเมื่อคืนถูกพามาที่แฟลตพร้อมชายท่าทางน่ากลัวหลายคน
มันต้องการตัวหล่อน...
ลินจงบอกตัวเองเช่นนั้น มาเฟียฮ่องกงมีธรรมเนียมการล้างแค้น เมื่อมันรู้ว่าพวกของมันถูกสังหารอย่างอุกอาจ มันย่อมต้องการรู้ว่าใครเป็นคนฆ่า และในเมื่อที่เกิดเหตุไม่มีหญิงสาว มันก็ต้องเชื่อว่าหล่อนเป็นผู้รอดชีวิตและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
หญิงสาวเดินถอยหลังช้าๆ จนชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ว้าย!”
ชายคนนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ลินจงรู้สึกโล่งอกที่เขาคือชายนิรนามซึ่งเคยเจอหล่อนที่ดาดฟ้า ท่าทางเขาก็เพิ่งกลับมาถึงที่พักเอาในตอนเช้าตรู่เหมือนกัน แต่อย่างไรเขาก็คงไม่เหมือนหล่อนตรงที่ยังมีที่ซุกหัวนอนอยู่ในแฟลตนี้ แต่ลินจงกลับไม่เหลืออะไรแล้ว
หญิงสาวก้มลงมองตัวเองเมื่อสังเกตสายตาของเขาได้ หล่อนสวมชุดกระโปรงสั้นโชว์ขาเรียวกลมกลึง ตัวเสื้อด้านบนก็เรียกได้ว่าเปลือยไหล่ถ้าไม่มีผ้าขนสัตว์ชิ้นเล็กๆ คลุมบ่าไว้ การแต่งตัวของลินจงเหมือนนักร้องไนท์คลับที่เพิ่งเลิกงาน หล่อนจึงไม่แปลกใจที่เขาจะปรายตามองแบบนี้
ลินจงพยายามไม่ใส่ใจ หล่อนกระชับผ้าคลุมไหล่ ก่อนจะเดินเบี่ยงตัวจากเขา อย่างน้อยหล่อนก็ไม่ควรอยู่ตรงนี้นานนัก ในเมื่อมาเฟียพวกนั้นกำลังหาตัวหล่อน
“เดี๋ยวก่อน...”
ฝีเท้าของหล่อนชะงักเมื่อได้ยินคำนี้ นี่มันภาษาไทย!
“คุณ...ว่าไงนะคะ?”
หญิงสาวหันไปถามเขาโดยพยายามพูดช้าและชัดที่สุด หล่อนเห็นใบหน้าของเขาเหมือนมีรอยยิ้ม
“ผมพูดว่า...เดี๋ยวก่อน...”
“คุณเป็นคนไทยหรอกเหรอเนี่ย...โอ้โห...ฉันไม่เคยรู้เลย”
หล่อนโพล่งออกมา รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่ได้พบคนจากแผ่นดินเดียวกันในเวลาที่กำลังอับจนหนทางแบบนี้
แต่วินาทีต่อมาลินจงก็นึกได้...หล่อนกำลังจะต้องหนี คงไม่มีเวลามาทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติคนนี้ได้นานนัก
“แต่...ขอโทษด้วยนะคะ คือตอนนี้ฉันต้องรีบไป”
หล่อนบอกเขาตรงๆ แต่อีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือหล่อนเอาไว้แน่น
“พอดีผมกำลังจะเที่ยวในฮ่องกง คุณรับงานเป็นไกด์ให้ผมได้ไหม”
เขาบอกหล่อนช้าๆ แววตาไม่มีความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มแม้แต่น้อย ข้อมือของหล่อนถูกปล่อยเป็นอิสระทันทีที่หญิงสาวหันกลับมาหาเขา ทุกอากัปกิริยาของชายคนนี้บ่งบอกความเป็นสุภาพบุรุษ
“เอ๋...อะไรนะคะ...”
“ผมเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ยังไม่ค่อยรู้จักที่ทางในฮ่องกง แต่พอดีเพิ่งทำงานเสร็จ ก็เลยได้เงินมา แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี”
“ย่านช็อปปิ้งในฮ่องกงมีอยู่เยอะแยะ หรือถ้าคุณต้องการเสี่ยงโชคก็คาสิโน...”
ลินจงสบตาเขาตรงๆ การที่เขาอยู่แฟลตระดับเดียวกับหล่อนก็หมายความว่าเขาไม่ได้เป็นคนมีรายได้สูงนัก แต่คนแบบนี้ก็คงอยากพักผ่อนบ้าง หล่อนจึงแนะนำที่ที่คนมาฮ่องกงนิยมไปถลุงเงินตามตรง
“ไม่...ผมไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้น ผมอยากให้คุณพาไป...จะได้ไหม” น้ำเสียงของเขายังเรียบเฉย ทั้งๆ ที่นั่นเป็นประโยคขอร้อง
“ทำไม...ทำไมต้องเป็นฉันล่ะคะ” หล่อนเลิกคิ้ว
“คุณท่าทางรู้จักที่นี่ และก็...เราเป็นคนไทยด้วยกัน ผมไม่คิดจะใช้คุณฟรีๆ หรอกนะ คุณนำทาง ส่วนผมจ่าย...”
ท่าทางใจป้ำเสียด้วย...
หญิงสาวนึกในใจ อันที่จริงหล่อนเองก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินติดกระเป๋า เมื่อคืนก่อนที่จะถูกส่งตัวให้ชายอายุคราวพ่อ ลินจงก็ได้รับค่าจ้างล่วงหน้ามาแล้วส่วนหนึ่ง แม้ว่ามันจะไม่มากมาย แต่ก็อาจจะพอให้หล่อนใช้ชีวิตได้อีกสักระยะ
หญิงสาวชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนเดินมาทางนี้ ชายหนุ่มตรงหน้าดูจะไวกว่า เขากระตุกมือหล่อนครั้งเดียว ร่างหญิงสาวก็เซมาติดกำแพง ร่างที่สูงใหญ่ของเขาเข้ามาประชิด แม้จะตกใจกับการรุกคืบที่เหนือความคาดหมาย แต่ลินจงกลับรู้สึกปลอดภัยเมื่อร่างสูงๆ ของเขามาบังร่างบางของหล่อนไว้
เหมือนเขารู้ว่าหล่อนกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง...
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าพวกนั้นย่ำผ่านไป ชายหนุ่มจึงปล่อยหล่อนเป็นอิสระ ลินจงเงยหน้ามองเขาอย่างกระอักกระอ่วน แต่ดูเหมือนสีหน้าของอีกฝ่ายจะแทบไม่เปลี่ยนแปลง
“เอาเป็นว่า...ฉันตกลงจะเป็นไกด์ให้คุณก็แล้วกันนะคะ”
ในที่สุด หญิงสาวก็เอ่ยออกไปเช่นนั้น หล่อนรู้สึกว่าเขามีบุญคุณกับหล่อน ไม่ใช่แค่การช่วยบังตัวหล่อนจากบรรดามาเฟียพวกนั้น แต่มันเหมือนเขาเคยได้ทำอะไรบางอย่างเพื่อช่วยหล่อนมาก่อน เพียงแต่ลินจงยังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
++++++++++++++
“ทศ...คุณชื่อทศเหรอคะ แล้วคุณสนใจจะเที่ยวที่ไหนก่อนละคะ อยากไปดิสนีย์แลนด์ หรือลองโดยสารเรือข้ามไปเกาลูนที่สตาร์เฟอร์รี่ หรือว่าจะไปช็อปปิ้งที่ถนนนาธานดี”
ลินจงลองถามเขา หล่อนปลี่ยนชุดมาเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ง่ายๆ เรียบร้อยหลังจากชายหนุ่มอนุญาตให้หล่อนทำธุระส่วนตัวในห้างสรรพสินค้า หญิงสาวเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวฮ่องกงอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่มันเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาหล่อนมองมันเป็นที่ทำงาน จนวันนี้ที่ชีวิตของหล่อนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ไม่รู้สิ ผมไม่รู้อะไรเลย คุณอยากพาไปไหนก็ตามใจเถอะ”
เขาเอ่ยเรียบๆ ลินจงเหลียวมองเขาอย่างแปลกใจ ใบหน้าของเขาคมสัน...แบบชายไทยที่หล่อนอาจมองผ่านไปหากได้พบเขาในเมืองไทย แต่อาจเพราะแววตานิ่งสงบของเขาดูมีพลังอย่างประหลาด หล่อนจึงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดินถนนธรรมดา
“ลองไปเกาะลันเตากันไหมคะ เกาะลันเตาน่ะเป็นที่ตั้งของสนามบินเช็ก แลป ก็อก หรือเรียกอีกอย่างว่าสนามบินนานาชาติฮ่องกง ที่นั่นมีอะไรน่าเที่ยวเยอะ ทางไปมีทั้งรถไฟฟ้า MTR แล้วก็ถนนเชื่อมเกาะที่ต้องผ่านเกาลูน แต่ฉันว่าเราไปด้วยกระเช้ากันดีกว่าค่ะ ฉันอยากไปมานานแล้ว”
ลินจงชวนอย่างกระตือรือร้น ความรู้สึกว่าโลกนี้ยังมีแง่มุมที่สว่างสดใสไม่ได้อยู่ในใจของหล่อนมานาน ทั้งๆ ที่เมื่อคืนหล่อนเพิ่งเห็นการสังหารโหดต่อหน้าต่อตา แต่คงเพราะรู้สึกถึงอิสรภาพ...และยังมีเงินติดตัวเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง หล่อนจึงเริ่มอยากท่องเที่ยวในดินแดนนี้บ้าง
“ว่าแต่คุณมาทำงานอะไรที่นี่เหรอคะ”
หญิงสาวลองถามเขาระหว่างที่นั่งรอบะหมี่ในย่านถนนสายการค้า ด้วยความที่ชายหนุ่มไม่ค่อยพูด หล่อนจึงต้องเป็นฝ่ายชวนคุยอยู่หลายครั้ง
“ก็แล้วแต่จะมีคนจ้าง แต่งานใหญ่เพิ่งเสร็จไป อีกไม่นานก็คงกลับเมืองไทย”
“เหรอคะ...ดีจัง...เสร็จปุ๊บก็ได้กลับปั๊บ...”
ลินจงพยายามซ่อนความหมองหม่นในน้ำเสียง ทศก็อาจจะคล้ายคนไทยบางคนที่เข้ามาในฮ่องกงชั่วครู่แล้วก็มีทางไปต่อ แต่หล่อนสิ...ยังต้องอดทนอีกระยะ จนกว่าจะมีความพร้อมทางการเงินและหลายๆ อย่างมากพอจะออกจากที่นี่ได้
“ทำไมคุณมาทำงานที่นี่ล่ะ อันที่จริง...กลับเมืองไทยก็น่าจะมีอะไรให้ทำไมใช่เหรอ” เขาเป็นฝ่ายถามหล่อนบ้าง อย่างน้อยลินจงก็รู้ว่าเขาคุยได้...ไม่ได้เอาแต่นิ่งเงียบอย่างเดียว
“อืม...ฉันกำลังรอเวลาค่ะ” หล่อนไม่บอกไปตรงๆ ว่าเวลาสำหรับหล่อนก็คือเมื่อเงินพร้อม “พอดี...ที่ผ่านมามีเรื่องให้ต้องทำงานหนักซักหน่อย ฉันก็เลยคิดว่าถ้าจะกลับเมืองไทยทั้งๆ ที่ยังไม่พร้อมก็อย่าดีกว่า ตัวฉันอยู่ที่นี่ยังทำงานได้อยู่บ้าง ยังไง...เมืองไทยก็คงไม่หนีไปไหน”
“งานของคุณ...ดูเหมือนจะหนักนะ”
ชายหนุ่มมองหล่อน ลินจงรู้สึกเหมือนเขาอ่านออกว่างานที่หล่อนพูดถึงคืองานประเภทใด
ไม่สิ...เขาจะรู้ได้อย่างไร ทศเป็นแค่คนที่อาศัยแฟลตเดียวกับหล่อน เมื่อคืนต่อให้เขาได้ยินเรื่องที่หล่อนพูดว่าอยากกลับบ้าน แต่หล่อนไม่ได้พูดสักนิดว่างานที่ต้องไปทำในคืนนั้นคืออะไร
“ช่างเถอะค่ะ คนไม่มีน่ะ...ขยับไปทำอะไรในฮ่องกงก็ลำบาก ฉะนั้นอะไรที่ทำแล้วสร้างรายได้...ฉันทำทั้งนั้น”
“ผมชอบเวลาที่คุณตะโกนบอกฟ้าว่าคุณต้องการอะไร มากกว่าการเก็บกดว่าชีวิตนี้ต้องทำอะไรแบบนี้นะ”
ทศเอ่ยประโยคที่แทงใจหล่อนเหลือเกิน ใบหน้าที่พยายามปั้นยิ้มในฐานะไกด์จำเป็นค่อยสลายลงช้าๆ ลินจงมองเขาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในหัวใจ
เขาช่างพูดราวกับเข้าใจความรู้สึกที่ถูกเก็บกดของหล่อนเหลือเกิน...
หลายปีแล้วนับตั้งแต่สิ้นมารดา ลินจงกลายเป็นคนเก็บกักความรู้สึก เพราะหล่อนไม่เหลือเพื่อนสนิทที่เข้าใจความรู้สึกลึกๆ อีกแล้ว แม้สังคมคนไทยที่คบกัน...หล่อนก็มีเพื่อนไม่กี่คน และในบรรดาเพื่อนที่น้อยยิ่งกว่าน้อยก็ยังหักหลังหล่อนด้วยการขโมยเงินเก็บไปเกือบเกลี้ยงบัญชี
หญิงสาวยอมรับว่าหล่อนเครียด การตัดสินใจทำงานกลางคืนเป็นครั้งแรกในชีวิตนั้น...หล่อนก็ต้องทำใจอยู่นาน ที่ผ่านมาหล่อนไม่เหลือใครให้ระบายความทุกข์ในใจเลย ในคืนนั้นหญิงสาวจึงได้ออกไปตะโกนกับดาดฟ้าแบบนั้น
“อ๊ะ...ฉัน...”
หล่อนพูดอะไรไม่ออกเมื่อน้ำตาอุ่นๆ ไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่หล่อนปลุกปลอบตัวเองให้กลายเป็นคนเข้มแข็งมาได้หลายวัน แต่วันนี้หน้ากากพวกนั้นมันกลับพังทลายลงไปหมด
“ขอโทษ...ขอโทษนะคะ...”
หล่อนพยายามใช้หลังมือปาดน้ำตา แต่ชายหนุ่มกลับยื่นกระดาษทิชชูให้ สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนลง เขาคงไม่รู้ว่านั่นคือการปลอบประโลมที่หล่อนต้องการที่สุดในเวลานี้
“ไม่เป็นไร คุณไม่ผิดหรอก ชะตากรรมเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก แต่ถ้ามันคิดจะเล่นกับเรา เราก็ต้องต่อสู้กับมัน ชีวิตไม่ใช่แค่วันนี้...พรุ่งนี้เรายังต้องสู้มันต่อไป”
ทศเอ่ยเรียบๆ แต่หนักแน่นทุกคำพูด แววตาของเขาไม่ได้มองหล่อน แต่คล้ายกับเขาเองก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง หญิงสาวไม่รู้ว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร...หรือทำงานอะไรกันแน่ แต่ที่หล่อนแน่ใจก็คือเขาต้องมีประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ถึงได้สอนหล่อนและให้กำลังใจกับชีวิตที่เหมือนจะไม่เหลืออะไรของหล่อนได้
“กินเถอะ กินให้มากๆ นะ”
ทศบอกกับหล่อน สุ้มเสียงของเขาเหมือนพี่ชายที่กำลังสั่งน้องสาวให้กินข้าวไม่ให้เหลือแม้แต่เม็ดเดียว ลินจงเริ่มยิ้มนิดๆ หล่อนเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน...แต่ก็ได้อาหารเต็มโต๊ะแถมยังมีคนเลี้ยงอีกด้วย
“ค่ะ...ขอบคุณคุณมากจริงๆ”
หล่อนเอ่ยเสียงแผ่ว หญิงสาวรู้ดีว่าตัวเองกำลังตื้นตันเกินกว่าจะพูดอะไรมากกว่านี้ และก็เหมือนเขาจะรู้ว่าหล่อนกำลังซาบซึ้งใจ แววตาที่นิ่งเฉยเป็นนิตย์ของทศจึงมองหล่อนด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอาทร
มิตรภาพระหว่างเขาและหล่อนก่อเกิดขึ้นแล้วบนเกาะอันเต็มไปด้วยความทันสมัยแห่งโลกตะวันออก แต่ขณะเดียวกันมันก็แฝงเร้นไว้ด้วยเงามืด...ฮ่องกง
+++++++++++++++++
รถไฟฟ้าในฮ่องกงมีอยู่หลายสาย แม้จะถูกกำกับเส้นทางด้วยสีที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในหนังสือนำเที่ยว แต่การมีไกด์ที่คุ้นทางคอยนำก็ช่วยให้การเดินทางรวดเร็วมากขึ้น
“เราจะขึ้นกระเช้าลอยฟ้ากันนะคะ กระเช้าลอยฟ้านี่เชื่อมไปเขตเกาะลันเตาค่ะ มันชื่อ นองปิง 360 สงสัยไหมคะว่าทำไมต้อง 360 ก็เพราะว่ามันจะทำให้เราเห็นฮ่องกงแล้วก็ลันเตาเหมือนได้หมุน 360 องศายังไงละคะ”
ลินจงบอกชายหนุ่มหลังจากหล่อนซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าเรียบร้อยแล้ว ระหว่างฮ่องกงกับเกาะลันเตามีทางไปทั้งรถไฟฟ้าซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด แต่นักท่องเที่ยวมักจะไม่พลาดการนั่งกระเช้า เพราะจะทำให้ได้ชมวิวระหว่างเดินทางไปด้วย
“ฉันซื้อตั๋วเที่ยวเดียวนะคะ เพราะคิดว่าบางทีขากลับเราอาจจะกลับด้วยเส้นทางอื่น” หล่อนอธิบายเพิ่มเติม
“แล้วแต่คุณเถอะ ผมยังไงก็ได้”
ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ถือสา อันที่จริงลินจงก็ยอมรับว่าการมีลูกทัวร์อย่างเขาก็ทำให้การเดินทางสะดวกสบายไม่น้อย เพราะชายหนุ่มไม่ปริปากบ่นอะไรเลย นอกจากจ่ายเงินอย่างเดียว
“กระเช้ามาแล้ว ไปกันเถอะค่ะ”
หล่อนเรียกเขา จุดจอดกระเช้ามักจะมีเจ้าหน้าที่จัดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปในกระเช้าจนเต็มแล้วค่อยปล่อย แต่วันนั้นไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก พอปล่อยคนเข้านั่งในกระเช้าได้ไม่ถึงครึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูปล่อยกระเช้าออกสู่เส้นทาง
“ลินจง...ทำไมพื้นมัน...”
ชายหนุ่มเอ่ยค้างไม่จบประโยค เพราะพื้นกระเช้าใต้ฝ่าเท้าของเขาเป็นกระจกใส มันใสจนมองทะลุเห็นทุกสิ่งใต้นั้น และยิ่งกระเช้าเริ่มเคลื่อนออกจากสถานี พื้นดินด้านล่างที่ไกลห่างอย่างน่าหวาดเสียวก็ปรากฏใต้ฝ่าเท้าอย่างชัดเจน
“กระเช้าคริสตัลค่ะ พื้นจะใสเพื่อให้เรามองเห็นวิวได้ทุกทาง...บนล่างซ้ายขวา แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะพื้นเนี่ยทนทานมาก เห็นใสๆ แบบนี้เขาออกแบบมาดีค่ะ ยังไงก็ไม่ร่วงไม่พัง”
ลินจงอธิบายเสียงใส หล่อนนึกขันที่ชายหนุ่มตัวโตๆ ทำท่าเหมือนจะเป็นโรคกลัวความสูงขึ้นมากะทันหัน ในกระเช้าเดียวกันมีพ่อแม่ลูกมาเที่ยวครอบครัวหนึ่ง แต่ลูกซึ่งเป็นเด็กอายุไม่เกินสิบขวบก็ยังมองพื้นกระจกใสด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้ทำหน้านิ่วเหมือนชายหนุ่มข้างกายหล่อนเลย
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรอีก แต่การที่เขาเอาแต่มองทิวทัศน์ก็บอกว่าชายหนุ่มคงไม่อยากเลื่อนสายตามองพื้นด้านล่างนัก
“เราต้องอยู่ตรงนี้นานไหม” เขาถามเบาๆ สายตาไม่ยอมหันมามองหล่อน
“กระเช้าใช้เวลาเดินทางประมาณ 20-30 นาทีค่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอกนะคะ แค่มองวิวแป๊บๆ เราก็จะถึงเกาะลันเตากันแล้ว”
“ผมไม่ได้คิด...”
เขายืนกรานปากแข็ง ลินจงจึงไม่เซ้าซี้ แล้วเอาแต่มองทัศนียภาพด้วยความตื่นเต้น
“คุณทศคะ...โน่นไงคะสนามบินนานาชาติฮ่องกง สนามบินนี้เปิดใช้มาเป็นสิบปีแล้วค่ะ เดิมฮ่องกงใช้สนามบินไคตั๊กในเกาลูน แต่ว่าสถานที่ตรงนั้นมันไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่สำหรับการขึ้นลงเครื่องบิน ทางการเขาเลยย้ายมาที่ตอนเหนือของเกาะลันเตา รู้ไหมคะว่าเขาใช้พื้นที่เกาะบริวารเล็กๆ สองเกาะของลันเตามาทำสนามบินโดยเชื่อมสองเกาะด้วยการถมทะเลเลยนะคะ คนฮ่องกงเนี่ยถ้าจะทำอะไรแล้วเขาทุ่มทุนสร้างกันจริงๆ เลยค่ะ”
หญิงสาวหันไปมองลูกทัวร์ เห็นสีหน้านิ่งๆ ของเขาดูไม่สู้ดีนัก
ตายจริง! หล่อนไม่รู้ว่าเขารู้สึกแย่กับการเดินทางครั้งนี้ ตอนจองกระเช้าหล่อนก็เลือกกระเช้าคริสตัลเพราะคิดว่าเขาคงจะชอบ ไม่ได้รู้เลยว่าชายหนุ่มกลัว
“ทศคะ...”
หล่อนเรียก แต่ชายหนุ่มก็เอาแต่มองออกไปข้างนอก ลินจงพอจะรู้ว่าผู้ชายคงจะไม่พอใจแน่ๆ หากแสดงความอ่อนแอให้ผู้หญิงได้เห็น และยิ่งหล่อนก็เป็นผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักเขาได้วันเดียว ชายหนุ่มคงจะไม่ยอมเปิดใจกับหล่อนง่ายๆ เด็ดขาด
หญิงสาวจึงค่อยๆ เลื่อนมือออกไปแตะมือข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ ลินจงไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้เขารู้สึกดีได้หรือเปล่า แต่ตอนที่หล่อนยังเด็ก...เวลาที่หล่อนกลัวหรือท้อแท้หม่นหมอง แม่ก็จะโอบกอดหรือจับมือหล่อนไว้ ลินจงจำสัมผัสที่อบอุ่นแบบนั้นได้ หล่อนจึงคิดว่ามันคงจะช่วยให้ชายหนุ่มรู้สึกดีขึ้น
หล่อนเหลียวไปมองเขา ในจังหวะที่ทศก็หันมาทางหล่อนพอดี
ลินจงรับรู้ถึงเปลือกนอกของความไม่รู้จักมักคุ้นซึ่งกำลังถูกกัดกร่อน นับจากนี้...หล่อนและเขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้าบนดินแดนแห่งความศิวิไลซ์นี้อีกต่อไป
บทที่ 3
ลินจงพาชายหนุ่มชาวไทยท่องเที่ยวในสถานที่สำคัญๆ ของเกาะลันเตาตลอดบ่าย ตั้งแต่พระพุทธรูปใหญ่แห่งเกาะลันเตา ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ยอมพลาด
“คนไทยเรียกว่าพระใหญ่ลันเตาค่ะ เห็นไหมคะสูงตั้ง 20 กว่าเมตร ใกล้ๆ กันมีวัดโปหลินค่ะ เป็นวัดสำคัญของคนที่นี่เหมือนกัน”
หญิงสาวอาศัยการอ่านจากป้ายและความทรงจำกระท่อนกระแท่น การมาท่องเที่ยวสักการะพระพุทธรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่หล่อนอยากทำมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสเลย เพราะลินจงต้องทำแต่งานอยู่ตลอดเวลา
“นี่วัดโปหลินค่ะ วัดสำคัญของคนที่นี่เค้า คนฮ่องกงส่วนใหญ่ก็นับถือพุทธเหมือนๆ เมืองไทยนะคะ แต่จะเป็นคนละนิกายกับบ้านเรา ที่นี่เขาจะนับถือพระโพธิสัตว์แล้วก็พวกเจ้าแม่กวนอิมค่ะ อย่างที่วัดนี้ก็จะมีคนมาบูชากันเยอะ ถ้าจะซื้อธูปก็ตรงนี้นะคะ ราคาไม่กี่เหรียญหรอกค่ะ”
ลินจงพาเขาไปซื้อธูปเพื่อนำมาจุดสักการะ ในวันนี้มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนอยู่พอสมควร แต่ก็ยังมีพื้นที่พอให้หล่อนและเขาได้เข้าไปสักการะรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่ได้
หญิงสาวหยุดพักที่ม้านั่งร่มรื่นใต้ร่มไม้บริเวณนั้น หล่อนบอกให้ชายหนุ่มรออยู่ตรงนี้ ก่อนจะไปหาซื้อน้ำอัดลมเย็นๆ มาดื่มดับกระหาย และไม่ลืมที่จะซื้อมาฝากเขากระป๋องหนึ่งด้วย
“ของแถมค่ะ ถือเสียว่าไกด์ขอเลี้ยงลูกทัวร์บ้างก็แล้วกันนะคะ”
ทศยิ้มให้หล่อนนิดหนึ่ง จะว่าไปหล่อนไม่เคยเห็นเขายิ้มกว้างด้วยความสุขใจอย่างนี้สักครั้ง แต่ลินจงเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นผู้ชายจำพวกที่ชอบวางมาด เพียงแต่ในดวงตาของทศบอกว่าเขามีบางอย่างในใจ ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่อาจยิ้มให้กับโลกนี้ได้อย่างรื่นรมย์
“ทำไมผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างคุณถึงมาอยู่ฮ่องกงล่ะ”
เขาเริ่มคำถาม ลินจงนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม หล่อนคิดอยู่แล้วว่าหากเป็นคนไทยด้วยกัน สักวันจะต้องถามคำถามนี้
“ฉันอยู่ที่นี่มานานค่ะ สิบกว่าปีได้แล้วละมั้งคะ มันก็เลยกลายเป็นความเคยชิน ถ้าให้กลับไปเมืองไทยก็คงยากค่ะ เพราะวุฒิการศึกษาของฉันใช้กับที่นั่นไม่ได้เลย”
การเดินทางมาอยู่ที่นี่ทำให้การเรียนของลินจงไม่ปะติดปะต่อ แน่นอนว่าถ้ากลับไปทำงานที่เมืองไทย หล่อนคงจะไม่ได้ตำแหน่งงานดีๆ ซึ่งต้องใช้วุฒิการศึกษาเป็นแน่ ทางเดียวคือต้องไปสร้างงานเพื่อเป็นแหล่งรายได้เลี้ยงตัวเอง แต่ทุนรอนที่หล่อนสะสมไว้ก็ถูกเพื่อนโกงไปจนเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว
“อยู่ที่เมืองไทยคงไม่ลำบากเท่าที่นี่ งานบางอย่างก็ไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษาชัดเจนหรอก คุณกลัวไปเองเท่านั้นแหละลินจง”
“เรียกฉันว่าหลินก็ได้ค่ะ ชื่อจีน...แล้วก็เป็นชื่อเล่นของฉันด้วย” หล่อนบอก
“แต่ผมอยากเรียกคุณว่าลินจง” เขายังยืนกราน “มันเป็นชื่อไทยของคุณไม่ใช่เหรอ”
ลินจงเถียงไม่ออก นานมาแล้วที่หล่อนไม่ได้ยินใครเรียกหล่อนด้วยชื่อนี้ ในฮ่องกง...ใครๆ มักจะเรียกหล่อนว่าหลิน จนบางครั้งหล่อนก็ลืมชื่อไทยของตัวเองไปเหมือนกัน
“แล้วคุณละคะ คุณมาทำงานอะไรที่นี่เหรอ พูดกันตามตรง ฉันว่ามันดูแปลกเหมือนกันนะคะที่คนแบบคุณมาทำงานในฮ่องกงแบบนี้” หญิงสาวถามบ้าง
“แปลกยังไงกัน”
“ก็...คุณดูทำงานที่ได้เงินเยอะ แต่ว่าคุณกลับพักอยู่แฟลตซอมซ่อนั่น แถมคุณก็ไม่คิดจะเอาเงินของคุณไปใช้กับของฟุ่มเฟือยที่มีอยู่สารพัดในฮ่องกง แต่กลับพอใจมาเที่ยววัดวาแบบนี้”
หล่อนพูดไปตามตรง ลินจงเคยเห็นคนไทยมาเที่ยวฮ่องกงอยู่บ่อยๆ พวกเขาล้วนมีเป้าหมายในการช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังที่มีอยู่มากมาย และเกาะเล็กๆ แห่งนี้ก็ขึ้นชื่อในการเป็นศูนย์การค้าเสียด้วย ฉะนั้นเมื่อลูกทัวร์หนุ่มบอกว่าเขาไม่สนใจการจับจ่ายซื้อของ ลินจงจึงถือว่าเป็นเรื่องแปลก
“ผมชอบที่ที่รู้สึกว่าอยู่แล้ว...จิตใจของเราสงบลง มากกว่าพวกศูนย์การค้าน่ะ”
ทศตอบเรียบๆ แววตาของเขามีความหมองหม่นวูบหนึ่งจนลินจงสังเกตได้ หญิงสาวไม่รู้ว่าชีวิตของเขามีความวุ่นวายมากมายขนาดไหน แต่หล่อนก็เห็นด้วยกับเขา สถานที่ที่ทำให้จิตใจสงบนั้นก็เป็นความปรารถนาของหล่อนเช่นกัน เพราะอย่างนั้นลินจงจึงมีความฝันที่จะเก็บเงินไปตั้งตัวที่เมืองไทย ในเมื่อบ้านเกิดของหล่อนและแม่มีพื้นที่มากมายและยังมีบรรยากาศสงบมากกว่ามหานครใหญ่แบบนี้
“ก็ดีค่ะ งั้นเราพักกันอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ก็ได้นะคะ ที่สงบๆ แบบนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของฮ่องกง ที่นี่ไม่ได้มีแต่แหล่งช้อปปิ้งหรอกค่ะ”
หญิงสาวใช้เวลานั่งนิ่งๆ อยู่กับบรรยากาศสีเขียวพร้อมกับเขา ลินจงไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หรือที่ว่ากันว่าวันเวลาแห่งความสุขนั้นมักผ่านไปเร็วจนไม่รู้ตัวจะเป็นความจริง
เมื่อถึงเวลาหารถกลับสถานีกระเช้าลอยฟ้า มันก็เป็นเวลาเย็นมากทีเดียว ลินจงรีบเดินนำเขาลิ่วๆ ไปยังสถานี หล่อนจำไม่ได้ว่ากระเช้าเที่ยวสุดท้ายจะออกเวลาไหน แต่หวังว่ามันคงยังมีเที่ยวเหลือให้หล่อนและเขาอยู่บ้าง
“เสียใจด้วยค่ะ เที่ยวสุดท้ายเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง”
พนักงานคนหนึ่งบอกกับหล่อน อันที่จริงป้ายในสถานีก็ติดไว้หราว่าเกินเวลาหกโมงเย็นกระเช้าลอยฟ้าจะเลิกให้บริการ แต่มันเป็นความสะเพร่าของหญิงสาวเองที่ไม่ได้จดจำเวลาไว้ให้แม่นยำ
“ไม่ทันหรือ”
ทศเอ่ยถามขึ้น แต่สีหน้าของเขากลับไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่เขาไม่ชินพื้นที่ มิหนำซ้ำยังพูดภาษาจีนอย่างหล่อนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แย่จริงค่ะ ฉันลืมดูเวลาไปเลย แต่ถ้าย้อนไปทางอื่นเพื่อจะใช้รถไฟฟ้าหรือว่าเรียกแท็กซี่ก็น่าจะได้ค่ะ”
“แล้วแต่คุณเถอะ ผมยังไงก็ได้”
เขายังเป็นลูกทัวร์ที่ว่าง่ายเสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม ลินจงรีบหยิบแผนที่ออกมากางดู ตั้งแต่อยู่ฮ่องกงมา ก็มีวันนี้ที่หล่อนทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว ดังนั้นพอต้องมาแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าแบบนี้หญิงสาวจึงทำอะไรไม่ถูก
“ฟ้าฝนดูไม่เป็นใจเลยนะ”
ชายหนุ่มทักขึ้น ท้องฟ้าที่เคยสดใสเมื่อกลางวันเริ่มมีเมฆรวมตัวกันหนาแน่น ถ้าหากฝนตกก็ควรจะเดินทางโดยรถไฟ แต่ว่าจากตรงนี้ก็ต้องไปหาจุดเชื่อมต่อเพื่อจะขึ้นรถไฟกลับฮ่องกง
ลินจงมองแผนที่อยู่ครู่ใหญ่ ท้องฟ้าที่มืดลงเพราะเมฆหนาดูจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย
หญิงสาวมองตัวอักษรย่อ H ที่ปรากฏหลายจุดบนแผนที่ด้วยความลังเลใจ
H ย่อมาจาก Hotel
“ทศคะ...ขอโทษนะคะที่การเดินทางมันไม่เป็นไปตามที่เราคาดกันไว้ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า...เราคงต้องพักโรงแรมค่ะ”
++++++++
“เอ่อ...ได้ห้องแล้วนะคะ เป็นห้องเดี่ยว...แต่ว่าเตียงคู่ค่ะ”
หญิงสาวเดินเข้ามาบอกชายหนุ่มซึ่งนั่งรออยู่บริเวณล็อบบี้ สีหน้าของทศแสดงถึงความคาดไม่ถึง นับแต่เที่ยวด้วยกันทั้งวัน ลินจงก็เพิ่งเห็นชายหนุ่มแสดงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนคนปกติแบบนี้เป็นครั้งแรก
“ว่าไงนะ?”
“เราได้ห้องเดี่ยวค่ะ แต่ยังไงมันก็เป็นเตียงคู่ ฉันคิดว่ามันคงไม่เป็นปัญหานะคะ พอดีช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวเยอะ เขาก็เลยเหลือห้องให้เราได้เท่านี้แหละค่ะ”
อันที่จริง คนที่น่าจะเสียหายเพราะการอยู่ร่วมห้องกับผู้ชายน่าจะเป็นผู้หญิงอย่างหล่อนมากกว่า แต่ลินจงปลอบใจตัวเองว่าหล่อนไม่เหลือใครจะมาดุด่าอีกแล้ว ในฮ่องกง...หล่อนเหมือนเป็นคนตัวคนเดียว ทว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูจะเดือดร้อนแทนจนน่าขัน
ความจริงแล้ว ลินจงเป็นคนเจาะจงเลือกห้องแบบนี้เอง เพราะการที่ชายหนุ่มต้องจ่ายเงินให้หล่อนตลอดนั้นทำให้หล่อนรู้สึกเกรงใจไม่น้อย หากเขาต้องมาออกค่าห้องแยกให้หล่อนอีก หญิงสาวคิดว่ามันคงจะเป็นค่าใช้จ่ายที่บานปลายเกินไป
“แต่...ผมว่ามันคงไม่ดีแน่ๆ” เขายังขมวดคิ้วไม่หยุด
“ช่างเถอะค่ะ ยังไงซะเรามีที่พักก็พอแล้ว ไปกันเถอะค่ะ อย่าลืมว่าพรุ่งนี้เรายังต้องเดินทางกลับกันแต่เช้านะคะ”
ลินจงกระตุกแขนเสื้อพาเขาเดินไปที่ลิฟต์ เป็นการตัดบทเสียงค้านของชายหนุ่มด้วยหล่อนเชื่อมั่นในความเป็นสุภาพบุรุษของอีกฝ่ายเต็มหัวใจ
ชายหนุ่มกำลังจัดการธุระในห้องน้ำ ในเวลาที่ลินจงได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นพอดี
เสียงมันดังมาจากเสื้อแจ็คเก็ตซึ่งทศพาดไว้บนเตียง หญิงสาวรู้ดีว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง แต่เพราะแรงสั่นของโทรศัพท์จนตกขอบเตียงแบบนั้นทำให้เสื้อแจ็คเก็ตหล่นลงไปบนพื้นด้วย ลินจงจึงเข้าไปหยิบเสื้อกลับมาวางที่เดิม
รูปถ่ายขนาดเล็กๆ หลุดแพลมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ หญิงสาวนึกแปลกใจ เพราะวันนี้ที่ท่องเที่ยวด้วยกันทศก็ไม่ได้ถ่ายรูปสักใบ แต่มันคงเป็นของเดิมที่ชายหนุ่มมีอยู่แล้ว
หล่อนหยิบมันรวบเข้าด้วยกัน แล้วจัดการเก็บใส่กระเป๋าเสื้อให้เหมือนเดิม แต่เมื่อลุกขึ้นยืนหญิงสาวก็แทบหงายหลัง
ทศมายืนอยู่ข้างหลังหล่อนอย่างเงียบเชียบ!
สีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มทำให้ลินจงถอยหลังไปหลายก้าว หล่อนไม่รู้ตัวว่าทำอะไรผิด การเก็บเสื้อให้เขาจะกลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายไปได้อย่างไร
“โทรศัพท์คุณ...ทำเสื้อนอกหล่น ฉันก็เลยเก็บให้ค่ะ”
หล่อนพยายามส่งเสียงอธิบาย ใบหน้าคนฟังยังนิ่งเฉย เขาผละจากหล่อนเหมือนไม่เห็นในสายตา แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา เดินไปยังมุมห้องก่อนจะกดโทรกลับ
ลินจงได้แต่เงียบ หล่อนคงทำให้เขาไม่พอใจ แต่หญิงสาวก็แน่ใจว่าไม่ได้ล่วงล้ำข้าวของส่วนตัวของเขา ภาพถ่ายพวกนั้นหล่อนยังไม่ทันได้พินิจว่ามันเป็นภาพอะไรด้วยซ้ำ แต่ที่เห็นผ่านตาก็คล้ายๆ กับเป็นภาพบุคคล ซึ่งก็คงเป็นภาพของเขาเอง ไม่เช่นนั้นก็เกี่ยวกับงานของเขา
“พรุ่งนี้ผมคงต้องขอตัวแต่เช้า”
ลินจงกำลังนั่งซึมที่เตียง ชายหนุ่มซึ่งเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาบอกหล่อน ดูจากสีหน้า...หล่อนเชื่อว่าเขาคงให้อภัยหล่อนแล้ว
“ยังไงผมจะเตรียมค่าโรงแรมไว้ให้ พรุ่งนี้คุณก็กลับฮ่องกงไปก่อน แล้วยังไงผมจะมีเพื่อนมารับ”
“ค่ะ...”
หล่อนรับคำเนือยๆ ทศหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงฝั่งตรงข้าม ตรงกับตำแหน่งของหล่อนบนเตียงพอดี
“ผมขอโทษกับสีหน้าท่าทางของผมเมื่อกี้ แต่บางครั้ง...เรื่องบางอย่างคุณก็ไม่ควรรู้ คุณอยู่ในโลกที่ดีแล้ว...ผมไม่อยากดึงคุณมาเกี่ยว”
หญิงสาวเริ่มมองเขาด้วยความงุนงง เขาพูดราวกับว่าเขาและหล่อนแตกต่างกันราวฟ้าดิน ลินจงจะสูงส่งกว่าเขาไปได้อย่างไร ในเมื่อหล่อนก็เป็นเพียงคนหาเช้ากินค่ำ ทศอาจจะมีโลกที่ดีกว่าหล่อนด้วยซ้ำ อย่างน้อยเขายังเข้าออกฮ่องกงได้อย่างอิสระ มีงานที่รายได้ดีรอเขาอยู่ และเมื่อเสร็จงานเขาก็กลับเมืองไทยได้ทันที หล่อนต่างหากที่ไม่มีอะไรเลย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ผู้ชายทุกคนก็ต้องมีความลับ คุณรู้ไหมคะว่าผู้หญิงก็เหมือนกัน ฉันไม่โกรธคุณหรอกค่ะ”
“ผมดีใจที่ได้พบคุณ ผมเห็นความงดงามบนโลกนี้ก็เพราะได้เห็นแววตาของคุณ มันทำให้ผมรู้สึกมีความสุข”
ลินจงเริ่มวางสีหน้าไม่ถูก แต่สายตาของเขาที่มองตรงมาประสานกับสายตาของหล่อนนั้นแทนความรู้สึกมากมายในใจ
เขาเหมือนหล่อนหลายอย่าง โหยหาอะไรบางอย่าง...แต่ก็ติดอยู่กับกรงที่กักขังเอาไว้จนไม่อาจโบยบินไปหาอิสรภาพได้ ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งไม่สนใจกันและกัน มันช่างเหมือนปาฏิหาริย์ที่คนอย่างเขาและหล่อนมาพบเจอกันได้
“ฉันก็มีความสุข...เวลาใกล้คุณเช่นกันค่ะ ทศ”
หล่อนยิ้มให้เขา ไม่น่าเชื่อว่าเพียงคำพูดไม่กี่คำของเขากลับสร้างกำลังใจที่จะดำเนินชีวิตในวันพรุ่งนี้ได้อย่างล้นเหลือ
คืนนั้น ลินจงนอนหลับสนิทบนเตียงด้วยความอิ่มใจตลอดคืน
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30
<iframe width="430" height="220" src="https://www.mebmarket.com/embed.php?seller_link=https%3A%2F%2Fwww.mebmarket.com%2Findex.php%3Faction%3DBookDetails%26data%3DYToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30" frameborder="0" ></iframe>
อันธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ธ.ค. 2558, 13:57:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ธ.ค. 2558, 14:00:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 978
บทที่4-5-6 >> |