เด็ดหัวใจเจ้าชายมาเฟีย
...หนึ่งคือมาเฟียเลือดมังกรสูงศักดิ์...
...หนึ่งคือหญิงสาวและหัวใจอันเป็นที่รัก...
...หนึ่งคือนักฆ่าผู้ฝากชีวิตกับไกปืน...
ลินจง ลูกครึ่งไทยจีนซึ่งใช้ชีวิตในฮ่องกง
ต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
ชายคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือหล่อนคือ'ทศ'
คนไทยในฮ่องกงซึ่งไร้ที่มาที่ไป
แต่แล้วชะตากรรมของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อลินจงไปปรากฏตัวในสงครามมาเฟียฮ่องกงที่กำลังร้อนระอุ
ชีวิตของหล่อนพลันตกอยู่ในอุ้งมือของ'จางหลี่หง'
มาเฟียระดับทายาทมังกรผู้มีปรัชญาเดียวในการปฏิบัติต่อผู้หญิง
นั่นคือหากต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง
เมื่อช่วงชิงแล้ว...ก็ต้องครอบครอง
ความอ่อนโยนของลินจงเปลี่ยนแปลงจิตใจทายาทหมายเลขหนึ่งแห่งโลกมืด
หล่อนรักเขาด้วยชีวิตและหัวใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมอบให้ชายคนรัก
และเขาก็รักหล่อนด้วยสัญชาตญาณมาเฟียเลือดมังกรที่เหนือกว่าร่างกายและวิญญาณ
สำหรับลินจง...ความรักของหล่อนคือการให้
แต่สำหรับจางหลี่หง...ความรักของเขาคืออะไร?
ท่ามกลางอันตรายจากโลกแห่งอาชญากรฮ่องกงที่บีบคั้น
อำนาจ...ความรัก...หยาดเลือด...และน้ำตาจะไหลหลั่งบนบัลลังก์มังกร!!!
...หนึ่งคือหญิงสาวและหัวใจอันเป็นที่รัก...
...หนึ่งคือนักฆ่าผู้ฝากชีวิตกับไกปืน...
ลินจง ลูกครึ่งไทยจีนซึ่งใช้ชีวิตในฮ่องกง
ต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
ชายคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือหล่อนคือ'ทศ'
คนไทยในฮ่องกงซึ่งไร้ที่มาที่ไป
แต่แล้วชะตากรรมของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อลินจงไปปรากฏตัวในสงครามมาเฟียฮ่องกงที่กำลังร้อนระอุ
ชีวิตของหล่อนพลันตกอยู่ในอุ้งมือของ'จางหลี่หง'
มาเฟียระดับทายาทมังกรผู้มีปรัชญาเดียวในการปฏิบัติต่อผู้หญิง
นั่นคือหากต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง
เมื่อช่วงชิงแล้ว...ก็ต้องครอบครอง
ความอ่อนโยนของลินจงเปลี่ยนแปลงจิตใจทายาทหมายเลขหนึ่งแห่งโลกมืด
หล่อนรักเขาด้วยชีวิตและหัวใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมอบให้ชายคนรัก
และเขาก็รักหล่อนด้วยสัญชาตญาณมาเฟียเลือดมังกรที่เหนือกว่าร่างกายและวิญญาณ
สำหรับลินจง...ความรักของหล่อนคือการให้
แต่สำหรับจางหลี่หง...ความรักของเขาคืออะไร?
ท่ามกลางอันตรายจากโลกแห่งอาชญากรฮ่องกงที่บีบคั้น
อำนาจ...ความรัก...หยาดเลือด...และน้ำตาจะไหลหลั่งบนบัลลังก์มังกร!!!
Tags: มาเฟีย ฮ่องกง
ตอน: บทที่4-5-6
จะลงให้อ่านประมาณ 9 บทนะคะ
หากสนใจจับจองในรูปแบบอีบุกได้
กำลังจะวางขายที่ Mebmarket ในวันที่ 13 ธ.ค. 2015
ราคาโปรโมชัน 49 ฿ (จากราคาเต็ม 85) จนถึงสิ้นปี
บทที่ 4
ทศจากไปตั้งแต่เช้าก่อนที่หล่อนจะตื่น เขาทิ้งเงินสดไว้หัวเตียงของหล่อนปึกหนึ่งซึ่งทำให้ลินจงแทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เพราะมันมากพอที่จะทำให้หล่อนซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยได้สบายๆ
เขาเป็นใครกันแน่?
หญิงสาวได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แม้หล่อนจะวางใจเขา ขนาดพักในห้องโรงแรมเดียวกันได้ในคืนที่ผ่านมา แต่จนตอนนี้ลินจงก็ยังไม่อาจจะเรียกได้ว่ารู้จักเขาอย่างถ่องแท้ เขาทำงานอะไรกันแน่ถึงได้มีเงินมากมายขนาดนี้ และที่สำคัญ...เขาจะมอบมันให้กับหญิงสาวที่รู้จักกันเพียงวันเดียวไปทำไม
จริงอยู่...เขารู้ว่าหล่อนอยากกลับเมืองไทย แต่คนแบบเขาก็ไม่ควรจะช่วยเหลือหล่อนมากมายจนคาดไม่ถึงแบบนี้
ลินจงจัดการอาบน้ำล้างหน้า แล้วลงไปเช็คเอาท์ที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง เมื่อธุระต่างๆ เสร็จลงแล้ว หญิงสาวจึงเดินออกมาจากโรงแรม ในใจรู้สึกเหงาหงอยจนไม่มีเรี่ยวแรงคิดว่าควรไปที่ไหนต่อ
ตอนนี้หล่อนอยู่ในเขตเกาะลันเตา ที่ตั้งของสนามบินนานาชาติของฮ่องกง หรือหล่อนควรจะรีบเดินทางออกไปจากที่นี่?
มาเฟียพวกนั้นอาจกำลังตามหาตัวหล่อน ฮ่องกงมีพื้นที่ไม่มาก สักวันพวกมันอาจจะควานหาตัวหล่อนเจอก็ได้
แต่พอคิดว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้อยู่บนแผ่นดินฮ่องกง หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกโหยหาขึ้นมาลึกๆ
ลินจงเคยใช้ชีวิตที่นี่สิบกว่าปี ความผูกพันในใจก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าบ้านเกิด แม้ว่าหลายครั้งหล่อนจะเบื่อความวุ่นวาย เบื่อแสงสีและตึกสูงระฟ้า แต่มันก็คือที่ที่หล่อนเติบโตและได้เรียนรู้อะไรมามาก หล่อนได้พบเพื่อนดีๆ และเพื่อนแย่ๆ ได้เจอประสบการณ์หลายอย่างซึ่งคงไม่มีวันลืมไปจนตาย
ในกระเป๋าของหล่อนยังมีเงินก้อนใหญ่ ทั้งเงินจากการทำงานกลางคืนครั้งแรกในชีวิต...แต่กลับรอดจากเงื้อมมือชายชราตัณหากลับได้อย่างหวุดหวิด แล้วยังเงินที่เหลือจากค่าโรงแรมซึ่งทศมอบให้
“ไหนๆ แล้ว...ลองทำอะไรที่อยากทำดูสักครั้งดีกว่า”
หญิงสาวบอกตัวเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปหารถประจำทางเพื่อไปยังรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างเกาะ
++++++++++++++++++++
ห้างสรรพสินค้า...ที่ที่ลินจงเคยมาแทบนับครั้งได้ ข้าวของหลายอย่างในนี้เป็นสินค้าที่หล่อนไม่เคยเอื้อมมือถึง เพราะความที่เป็นสินค้าแบรนด์เนมจากโลกตะวันตก แต่วันนี้หล่อนมีเงินในกระเป๋าเหลือเฟือที่จะจับจ่ายของพวกนี้สักชิ้น อย่างน้อย...ชุดเสื้อผ้าของหล่อนก็ควรเปลี่ยนใหม่ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย
หญิงสาวลองหยิบเสื้อตัวหนึ่งมาทาบตัว พลิกดูป้ายราคาแล้ว...แม้จะแพงไปหน่อยแต่คนอย่างหล่อนก็อยากลองใส่ดูสักครั้ง ลินจงเหลียวซ้ายแลขวามองหาห้องลองชุด ก่อนจะพบว่ามันตั้งอยู่ด้านในสุด
ห้องเต็ม...มีคนกำลังลองเสื้อก่อนหน้าหล่อน ลินจงจึงได้แต่ยืนรอเงียบๆ
“คุณ...คุณอยู่ตรงนั้นรึเปล่าน่ะ”
มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามออกมาจากห้องลองเสื้อ ลินจงขมวดคิ้ว บริเวณนี้ไม่มีใครสักคน แต่หล่อนก็แน่ใจว่าผู้หญิงในห้องลองเสื้อไม่ได้เรียกหล่อนแน่
“คุณว่าชุดนี้เป็นไง...”
บานประตูห้องลองเสื้อเปิดออก หญิงสาวแต่งหน้าโทนสีเข้มคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า หล่อนมองลินจงด้วยความแปลกใจ
“อ้าว...ฉันนึกว่าพนักงานยืนรอฉันตรงนี้ซะอีก ก็ฉันบอกให้รอ...แล้วช่วยฉันเลือกชุดนี่นา”
หญิงสาวคนนั้นเอ่ย สุ้มเสียงขัดอกขัดใจเล็กน้อย
“ฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่พอฉันมาตรงนี้พนักงานก็ไม่อยู่แล้ว”
ลินจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงรอมชอม หล่อนบอกตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเกิดความรู้สึกกริ่งเกรงหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ลึกๆ อาจเพราะผู้หญิงคนนี้ดูมีราศีความเป็นคุณหนู ท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างแต่ก็ไม่ได้เรื่องมากจนเกินไป
“เฮ้อ...มาฮ่องกงก็มาเจออะไรแบบนี้จนได้...แย่ชะมัด”
หญิงสาวคนนั้นบ่นเบาๆ แต่ลินจงก็ยังได้ยินชัด ดูเหมือนหล่อนจะไม่ใช่คนที่นี่ จะว่าไปหญิงสาวก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพูดภาษาจีนกวางตุ้งซึ่งเป็นภาษามาตรฐานของฮ่องกงได้แปร่งๆ เพี้ยนๆ บางทีหล่อนอาจจะเป็นคนจีนจากที่อื่นแต่มาเที่ยวฮ่องกงก็เป็นได้
“ฉันว่าชุดที่คุณลองก็โอเคแล้วนะคะ คุณรูปร่างเพรียว...การสวมชุดแบบนี้ช่วยให้รูปร่างดูดีขึ้นมาก เพียงแต่ที่คอของคุณน่ะไม่ควรสวมสร้อยค่ะ เพราะผมของคุณปล่อยเคลียไหล่แบบนี้มันจะทำให้ดูรุงรัง และตัวชุดก็มีรายละเอียดของเนื้อผ้ามากพออยู่แล้วด้วย”
ลินจงแนะนำ หล่อนเคยช่วยงานบริษัทออร์แกไนเซอร์ซึ่งจัดงานเดินแบบมาก่อน จึงเคยได้ยินบรรดาสไตลิสต์อธิบายหลักการจัดแต่งชุดเสื้อผ้ามาเป็นวิชาประดับตัวอยู่บ้าง
“หืม...คุณว่างั้นเหรอ จริงสินะ...รสนิยมคุณนี่ใช้ได้จริงๆ”
หญิงสาวคนนั้นมองหล่อนอย่างชื่นชม ก่อนจะชะเง้อมองเสื้อที่ลินจงกำลังจะลองบ้าง
“คุณจะลองชุดพวกนั้นเหรอ อย่าดีกว่า...ฉันว่ามันไม่เหมาะกับคุณหรอก”
“อ๋อ...ค่ะ พอดีฉันกำลังจะเดินทาง ก็เลยคิดว่าชุดที่ทะมัดทะแมงน่าจะดีกว่าชุดกระโปรง เรื่องเหมาะไม่เหมาะมันคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“คุณจะเดินทาง...ไปไหนหรือคะ”
“เอ่อ...ไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ คิดว่าคงอีกไม่กี่วันเลยมาหาเสื้อผ้าไว้”
“งั้นคุณช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าก่อนได้ไหมคะ พอดีฉันกะจะซื้อสักหลายๆ ชุด ไม่ทราบว่าคุณจะรังเกียจไหมคะคุณ...”
“ฉันชื่อหลินค่ะ” ลินจงแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกฉันว่าซิดนีย์”
ผู้หญิงคนนั้นแนะนำตัว ลินจงจึงพอจะเดาได้ว่าหล่อนคงเป็นลูกคนมีฐานะหรืออย่างน้อยก็เป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมระดับสูง เพราะในฮ่องกงซึ่งเคยอยู่ในการปกครองของอังกฤษ ครอบครัวผู้มีอันจะกินมักจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้กับลูกหลานเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับชาวตะวันตก และบางครอบครัวก็เรียกกันด้วยชื่ออังกฤษจนติดปาก
ไม่เพียงฮ่องกง แต่ในเมืองอื่นๆ ที่มีชาวจีนไปตั้งรกรากทั่วโลก คนจีนที่นั่นก็มักจะมีทั้งชื่อจีนและชื่ออังกฤษ
“หลิน...คุณลองชุดนี้ให้ฉันดูได้ไหมคะ รูปร่างคุณกับฉันใกล้เคียงกัน พอดีฉันอยากลองหลายๆ ชุด แต่เกรงว่าถ้าเอาแต่เปลี่ยนเองละก็ บ่ายนี้ก็คงไม่เสร็จ”
“หา?”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ แค่ช่วยฉันเลือกเสื้อผ้านิดหน่อย วันนี้ฉันมีนัดเสียด้วย ฉันก็เลยอยากประหยัดเวลาตรงนี้บ้าง เดี๋ยวฉันต้องไปดูกระเป๋าด้วยค่ะ”
ซิดนีย์ส่งชุดกระโปรงสีเงินตัวหนึ่งให้หญิงสาว ลินจงรับมาด้วยความงุนงง ถ้าหากว่าหล่อนเป็นเพื่อน...การไหว้วานแบบนี้ก็คงไม่แปลก หญิงสาวคนนี้ช่างไว้วางใจคนง่ายเหลือเกิน หรือที่หล่อนเคยได้ยินมาว่าลูกเศรษฐีมักทำอะไรโดยเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่นั้นจะเป็นความจริง
“เสร็จแล้วออกมาให้ฉันดูด้วยนะคะหลิน ฉันอยากเห็นเร็วๆ” ซิดนีย์เร่ง
+++++++++++++++++++
ลินจงแน่ใจแล้วว่าหล่อนกำลังกลายเป็นคนติดตามคุณหนูลูกเศรษฐีซึ่งหล่อนเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากมหานครเซี่ยงไฮ้ เพราะซิดนีย์ซื้อชุดเสื้อผ้าหลายถุงด้วยบัตรเครดิตชั้นดี และยังจ่ายเงินค่าชุดกระโปรงหรูหราซึ่งสวมอยู่บนเรือนร่างของลินจงอีกด้วย
“ฉันไม่มีเพื่อนมาด้วยเลย พอดีจะต้องไปเจอคนที่ไม่ค่อยอยากเจอซะด้วย คุณไปกับฉันทีนะคะ ชุดนี้ถือว่าฉันจ่ายให้สำหรับค่าเสียเวลาของคุณก็แล้วกัน เพราะว่าคุณเป็นเพื่อนคนแรกของฉันในฮ่องกงเชียวนะคะ...อาหลิน”
ซิดนีย์เดินเฉิดฉายออกมาจากห้างสรรพสินค้า มีลินจงในชุดกระโปรงหรูหราซึ่งทั้งชีวิตนี้ไม่มีวันได้ใส่เดินตามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงในห้างสรรพสินค้า คุณหนูซิดนีย์ได้ทำให้หล่อนกลายเป็นเพื่อนที่สมน้ำสมเนื้อราวกับเนรมิตลินจงคนใหม่ขึ้นมาได้ พวกหล่อนใส่เสื้อผ้าเกรดเดียวกัน เครื่องประดับทั้งหมวกกระเป๋าสร้อยแหวนล้วนดูดีมีระดับ แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ลินจงไม่สบายใจแม้แต่น้อย
“จะดีเหรอคะซิดนีย์ ถ้าคุณมีนัดแล้วพาเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันไปด้วยแบบนี้”
“ไม่ต้องสนใจความรู้สึกฝ่ายนั้นหรอกค่ะ ขนาดฉันเองยังไม่แคร์เลย ผู้ชายแบบนั้นไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้หญิงเลยสักครั้ง คุณแค่ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ฉันให้เขารู้สึกว่ามีก้างขวางคอก็พอ”
“เอ๋...แต่ว่า...”
“ขึ้นรถกันเถอะหลิน ฉันอยากจะไปเผชิญหน้ากับเขาเต็มแก่แล้ว”
ลินจงได้แต่มองตามคุณหนูผู้คิดเองเออเองด้วยความงุนงง หล่อนยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปพบใคร และทำไมถึงได้ต้องการเพื่อนไปด้วยนัก หล่อนเองก็อยากจะกลับเมืองไทยอยู่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ด้วยความที่ได้สัมผัสซิดนีย์มาเกือบทั้งวัน ลินจงคิดว่าหล่อนเริ่มเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว
ซิดนีย์เป็นคนง่ายๆ อาจจะดูโผงผาง ทำตามใจตัวเอง แต่คนแบบนี้ไม่น่าจะมีเจตนาร้ายกับใคร ตอนนี้หล่อนเพียงแค่จะทำอะไรบางอย่างที่ต้องการให้มีคนไปเป็นเพื่อน ซึ่งถ้าเห็นว่าสิ่งที่สาวเซี่ยงไฮ้กำลังจะทำนั้นดูไม่เหมาะสม ตอนนั้นลินจงคิดว่าหล่อนค่อยขอถอนตัวก็คงไม่สายเกินไป
รถแท็กซี่แล่นไปถึงบริเวณท่าเรือ ซิดนีย์เดินนำดุ่มๆ พลางคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วยตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงเรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบอยู่ มันดูคล้ายเรือส่วนบุคคล แต่ลินจงก็ไม่แน่ใจนักเพราะหล่อนใช้บริการเรือน้อยมากจนแทบไม่รู้จักพาหนะประเภทนี้
เรือใหญ่คล้ายเรือเฟอร์รี่แบบนี้...อาจจะเป็นเรือโดยสารก็ได้
นั่นคือความคิดของลินจง หญิงสาวลืมเฉลียวใจไปว่า...หากเป็นเรือโดยสารจริง ทำไมถึงยังไม่มีเพื่อนร่วมทางคนอื่นขึ้นมาด้วย บนเรือใหญ่โตมีเพียงหล่อนกับซิดนีย์เท่านั้น
“นั่งก่อนเถอะหลิน ลมแรงนะคะ คุณสวมหมวกด้วยดีกว่า”
ซิดนีย์บอกพลางถอดหมวกทรงกลมใบใหญ่เนื้อนุ่มใส่ให้หญิงสาว
“อ้าว แต่คุณก็จะไม่มีหมวกนี่คะ”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันชอบลมเย็นๆ อากาศของที่นี่ไม่ถือว่าหนาวมากหรอกค่ะ หนาวกว่านี้ฉันก็เคยเจอมาแล้ว”
คุณหนูสาวสวยจากเซี่ยงไฮ้ยักไหล่ ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็มีสัญญาณเข้า หล่อนจึงกดรับ
ลินจงพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคุยด้วยภาษาจีนกลางซึ่งหล่อนไม่เข้าใจนัก แต่ท่าทางที่ตกอกตกใจก็น่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าที่ควร สีหน้าคุณหนูคนสวยดูจะร้อนรนเอามากๆ
“อาหลิน...ฉันติดธุระด่วน!” ซิดนีย์บอกหล่อนหน้าตื่น “บอยเฟรนด์ของฉันประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ฉันคงต้องกลับเซี่ยงไฮ้ไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ถ้าคนที่ฉันนัดมาละก็ ฉันฝากคุณบอกเขาด้วยนะว่า...ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!”
ว่าแล้วหล่อนก็เดินตัวปลิวลงไปจากเรือ ปล่อยให้ลินจงนั่งงงเป็นไก่ตาแตก หญิงสาวได้แต่มองพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงด้วยความกระวนกระวายใจ
แปลกจริง...ทำไมเรือถึงไม่มีผู้โดยสารคนอื่นขึ้นมาเลยนะ แล้วถ้าคนที่ซิดนีย์นัดพบขึ้นเรือมา...หล่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนคือเขา
และที่สำคัญที่สุด หญิงสาวจะกล้าเอ่ยประโยคที่คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ฝากเอาไว้ได้หรือไม่
‘ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!’
ลินจงมั่นใจว่าหล่อนได้เข้ามาอยู่ระหว่างกลางของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกจับคลุมถุงชนโดยไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ต้องเดาก็บอกได้...ขืนหล่อนพูดแบบนี้ออกไปจริงๆ คงมีหวังคงได้กลายเป็นอาหารปลากลางทะเลก่อนกลับเมืองไทยแน่นอน
+++++++++++++++++++++
“ดูเหมือนจะพบแล้วครับ เรือที่คุณหนูชางนัดคุณเอาไว้ นายครับ...จะให้ออกเรือเลยหรือครับ เธออาจจะต้องการพบคุณที่ท่าตรงนี้เฉยๆ ก็ได้”
ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาคมมองตรงไปยังเรือสีขาวด้วยความนิ่งเฉย ริมฝีปากแปรเป็นเส้นตรงไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เขาไม่สนใจตอบคำถามของบริวารซึ่งยืนรายรอบไม่ต่ำกว่าห้าคน แต่กลับย่ำเท้าหนักแน่นไปที่บันไดเรือด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
บรรดาคนติดตามสงบปากสงบคำอย่างรู้หน้าที่ พวกเขารู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายดูไม่สบอารมณ์เช่นนี้
คู่หมั้นจอมเอาแต่ใจจากเซี่ยงไฮ้นัดพบนายหนุ่มอย่างกะทันหัน ผู้หญิงคนนั้นโทรศัพท์เรียกนายของพวกเขาให้มาพบที่ท่าเรือ แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในกำหนดการประจำวัน ทว่าเจ้านายของพวกเขาไม่ปฏิเสธก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว
“ออกเรือ”
ชายหนุ่มสั่งบรรดาคนติดตามตั้งแต่ก้าวแรกที่ขึ้นมาบนเรือลำนี้
“ครับนาย”
คำสั่งของนาย...เป็นสิ่งที่ไม่มีทางปฏิเสธได้ อันที่จริงถ้าหากชายคนนี้สั่งให้พวกเขาไปตาย พวกเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่หาวิธีตายโดยไม่จำเป็นต้องถามสาเหตุ
เพราะนี่คือคำสั่งของ จางหลี่หง
ทายาทตระกูลจางซึ่งครอบครองธุรกิจใหญ่หลายอย่างในฮ่องกง ความร่ำรวยและมั่งคั่งนั้นไม่อาจประเมินได้ แม้ว่าจางหลี่หงจะมิใช่ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลจาง แต่โดยฐานะความเป็นน้องชาย เขาจึงมีศักดิ์เป็นรองพี่ชายเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
ตระกูลจาง...หนึ่งในตระกูลชั้นนำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุในฮ่องกง ทายาทของจางรุ่นต่อรุ่นล้วนได้รับการยกย่อง ไม่ใช่เพียงเพราะความร่ำรวยของตระกูลซึ่งนับวันจะมีแต่เพิ่มพูนเท่านั้น แต่เป็นเพราะความสูงส่งของสายเลือด จึงทำให้ทายาทเป็นที่จับตามองด้วยรูปลักษณ์และกิริยาซึ่งสมบูรณ์แบบตามขนบของชนชั้นสูง
แต่นั่นเป็นเพียงฉากหน้าที่วงสังคมรับรู้เท่านั้น
สิ่งที่หลายคนไม่รู้...นั่นก็คือตระกูลจางมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพล‘มาเฟียฮ่องกง’อย่างแนบแน่น และสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดแม้จะรู้ความจริงก็คือ ประมุขตระกูลจางก็คือบุคคลเดียวกับประมุขมาเฟียแห่งเกาะฮ่องกง
นั่นคือจักรพรรดิมาเฟียฮ่องกง
ฮ่องกงอาจเป็นเกาะเล็กๆ แต่มาเฟียฮ่องกงล้วนขึ้นชื่อลือชาในระดับโลก ด้วยความบ้าเลือดและกล้าได้กล้าเสียซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดลูกผู้ชายชาติมังกร ประวัติศาสตร์การขับเคี่ยวของแต่ละกลุ่มอิทธิพลก็นับว่ายาวนานไม่แพ้มาเฟียสายพันธุ์ใดๆ ในโลก
มาเฟียฮ่องกงจึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดหลักอย่างหนึ่งของฮ่องกง เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะเล็กๆ ซึ่งเคยถูกชาวตะวันตกเรียกขานว่า ‘โขดหินไร้ค่า’ส่วนหนึ่งก็ด้วยอำนาจเงินของกลุ่มอิทธิพลมืดเหล่านี้
เมื่อประมุขแห่งมาเฟียฮ่องกงก็คือองค์จักรพรรดิที่บรรดาสมุนทุกคนยอมตายแทนได้ น้องชายคนเดียวขององค์ประมุขก็ย่อมสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
จางหลี่หงจึงได้ถูกหมั้นหมายกับทายาทกลุ่มตระกูลใหญ่เจ้าของกิจการที่ร่ำรวยที่สุดในเซี่ยงไฮ้...ในเขตของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่นั่นเป็นการตกลงกันในหมู่ผู้อาวุโส โดยที่เจ้าตัวทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนแม้แต่น้อย
การจับคู่ระหว่างชนชั้นสูงเป็นธรรมเนียมสามัญของชาวจีน จางหลี่หงไม่เคยแสดงอาการต่อต้านเรื่องพวกนี้ เขาเกิดในตระกูลจางและเติบโตมาโดยรู้ฐานะของตนดี
ชนชั้นสูงในฮ่องกงยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมเอาไว้อย่างไม่มีบกพร่อง อาจเพราะเหตุนี้คนฮ่องกงจึงเชื่อมั่นในความมีอารยธรรมสูงส่งของตน ซึ่งอาจจะมากกว่าคนจากจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเคยผ่านการปฏิรูปวัฒนธรรมเสียอีก
ในกรณีนี้ก็เห็นได้ชัด...คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้จอมเอาแต่ใจเรียกตัวเขามาพบกะทันหัน และชายหนุ่มก็ยอมมาพบหล่อน แต่ลูกผู้ชายตระกูลจาง...ซึ่งมีสายเลือดเจ้าแห่งมาเฟียทุกหยาดหยดเช่นจางหลี่หงคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะยอมอ่อนข้อให้คู่หมั้นที่ไม่เคยพบหน้า
สีหน้าและแววตาเฉยชาของเขาในตอนนี้ซ่อนอารมณ์ความรู้สึกมิดชิด แม้บริวารคนสนิทจะรู้ดีว่าการมาครั้งนี้...ผู้เป็นนายไม่ได้มาต่อรอง แต่มาเพื่อกำราบความดื้อรั้นของคู่หมั้นที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง
เรือเริ่มเคลื่อนออกจากท่า และบรรดาคนติดตามของเขาก็กระจายกันไปเฝ้าตามจุดสำคัญ จางหลี่หงยังไม่ใช่ประมุขตระกูลจาง แต่การอารักขาชายหนุ่มคนนี้ก็เข้มงวดไม่แพ้ผู้นำตระกูล
ด้วยเหตุที่ว่า ประมุขตระกูลจางคนปัจจุบันยังไม่มีทายาท
เพราะเหตุนั้น จางหลี่หงจึงอยู่ในฐานะ ‘ทายาทหมายเลขหนึ่ง’ตราบเท่าที่ประมุขยังไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มก้าวไปยังบริเวณดาดฟ้าเรือ ร่างหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขา หล่อนสวมชุดกระโปรงสีเงินที่พลิ้วกับสายลมเมื่อเรือแล่นออกสู่ทะเล หมวกใบใหญ่สวมกันลมเอาไว้ ทว่าเรือนผมสีดำขลับด้านหลังยังแผ่สยายตามแรงลม
หล่อนยังนั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ซึ่งหันหน้าเข้าหาวิว ดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้เช่นนี้ ดวงตะวันกำลังจมลงที่ผิวน้ำเบื้องทิศตะวันตก แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เดินทางจากเซี่ยงไฮ้เพียงเพื่อมาชมอาทิตย์อัสดงที่ฮ่องกง
ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ และเมื่อเห็นหล่อนยังไม่มีปฏิกิริยา เขาจึงขยับไปยืนตรงหน้าอีกฝ่ายเพื่อเผชิญหน้ากันโดยตรง
ตอนนั้นเอง จางหลี่หงจึงได้รู้ว่าความนิ่งเฉยของหล่อนตลอดเวลานั้นเป็นเพราะ...หล่อนกำลังหลับ
และเหนือกว่านั้นก็คือรู้ว่า...ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คู่หมั้นของเขา!
แม้จะไม่เคยได้พบหน้าคู่หมั้นสักครั้ง แต่คนระดับทายาทตระกูลจาง หากต้องเกี่ยวดองกับใครแล้วก็ย่อมต้องมีข้อมูลของว่าที่เจ้าสาวมากพอจนเกิดความแน่ใจว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ข้อมูลเหล่านั้นเคยผ่านตาเขาด้วยแฟ้มเอกสารเป็นตั้งราวกับเป็นกิจการสำคัญ แน่นอนว่านั่นต้องมีรูปถ่าย และข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่บรรดาผู้ใหญ่ไม่กล้าพูดถึง
ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็คือซิดนีย์ ชาง คุณหนูผู้ร่ำรวยแห่งเซี่ยงไฮ้มีคนรักอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน และหล่อนก็คัดค้านการแต่งงานนี้ชนิดหัวชนฝาตามแบบเด็กสมัยใหม่
แน่นอนว่าการนัดพบครั้งนี้ คู่หมั้นสาวจะต้องถกเรื่องนี้กับเขาให้กระจ่าง
จางหลี่หงจึงเตรียมตัวมาเพื่อการเจรจาแบบนั้น แต่ไม่ใช่การพบหญิงสาวนิรนามอีกคนบนเรือลำเดียวกัน และยังเป็นเวลาที่เรือออกจากท่ามาไกลแล้วไม่น้อย
เงาของร่างสูงซึ่งทอดยาวตามลำแดดยามเย็นทำให้ลินจงรู้สึกตัว ทั้งที่เมื่อครู่มีเสียงฝีเท้าของเขาดังก้องทั่วดาดฟ้าเรือ แต่นั่นก็ไม่ปลุกหล่อนได้เท่ากับเงาดำตระหง่านซึ่งพาดทับใบหน้าสวยละไมแม้ในยามหลับใหล
หญิงสาวขยี้ตาเบาๆ ราวกับหล่อนไม่แน่ใจว่าภาพชายหนุ่มสูงสง่าในชุดสูทตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน และเมื่อหล่อนแน่ใจว่าเป็นความจริง ร่างบางก็ลุกพรวดพราด มองหน้าเขาด้วยความงุนงง
“อะไรน่ะ...คุณเป็นใคร?”
บทที่ 5
ลินจงตำหนิตัวเองซ้ำๆ...หล่อนไม่น่าเผลอหลับไปเลย!
แต่ลมเย็นๆ พวกนี้มันทำให้หล่อนรู้สึกผ่อนคลาย หญิงสาวรู้สึกเมื่อยล้าเพราะต้องตามคุณหนูกระเป๋าหนักคนนั้นช้อปปิ้งอยู่หลายชั่วโมง ผสมกับที่เมื่อคืนหล่อนก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่มนัก พอมาเจอเก้าอี้นุ่มๆ และบรรยากาศที่แสนสบายแบบนี้จึงได้เผลอหลับอย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่เพื่อเป็นธุระแทนคุณหนูคนนั้น แต่ก็การนั่งคนเดียวนับชั่วโมงก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่าย สุดท้ายก็เผลอหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการหลับใหลที่ยาวนานขนาดนี้
แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือพอตื่นขึ้นมาหล่อนก็พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่สำคัญ...เรือลำนี้กำลังเคลื่อนที่ เมื่อเหลียวมองไปรอบๆ ลินจงก็แน่ใจว่ามันออกสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว
หมายความว่าหล่อนกำลังอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักกลางทะเลซึ่งไม่มีทางหนี!
“เธอเป็นใคร”
ชายหนุ่มไม่ยอมตอบ แต่กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามหล่อนบ้าง ลินจงลุกจากเก้าอี้นั่ง ถอยหลังจนปะทะเข้ากับราวเหล็กของเรือ ท่าทีของเขาดูไม่คุกคามก็จริง แต่ในสถานการณ์แบบนี้หญิงสาวยังไว้ใจอะไรไม่ได้
“เธอไม่ใช่...ซิดนีย์ ชาง”
จางหลี่หงไม่ก้าวเข้าไปใกล้หล่อน สีหน้าของเขานิ่งเฉยไม่ต่างจากน้ำเสียง เขารู้...หญิงสาวคนนี้กำลังกลัวเขา แต่หากนี่เป็นแผนการปั่นหัวเขาเล่นของคู่หมั้นสาว คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ก็ควรใช้คนที่มีไหวพริบและพร้อมจะเผชิญหน้าเขามากกว่านี้
ที่สำคัญ หญิงสาวคนนี้พูดกับเขาด้วยภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐานของฮ่องกงได้ชัดเจนมาก หากว่าหล่อนเป็นคนของซิดนีย์ซึ่งมาจากเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน ก็น่าจะพูดภาษาทางนี้ไม่ได้ หรือได้ก็ต้องมีความแปร่งเพี้ยนเล็กๆ น้อยๆ
หน้าตาของหล่อนก็ดูเหมือนไม่ใช่ชาวจีนแท้ๆ ดวงตาของหล่อนดูกลมใสเต็มไปด้วยประกาย ผิวขาวแต่ไม่ได้ขาวซีด...เป็นผิวสีขาวเหลืองที่ดูสุขภาพดี รูปร่างสูงระหงพอๆ กับซิดนีย์ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มมองพลาดไปในทีแรก
“ซิดนีย์? จริงสิ...หรือคุณจะเป็นคนที่ซิดนีย์นัดพบ”
ลินจงเอ่ยอย่างนึกได้ หล่อนพอจะคาดเดาได้แล้ว ผู้ชายคนนี้คงเป็นคู่หมั้นของคุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ แต่เมื่อนึกถึงประโยคที่ซิดนีย์ฝากบอก หญิงสาวก็เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลที่หล่อนจะพูดอะไรเล่นๆ ด้วยได้ ลินจงรับรู้ถึงความน่าเกรงขามของเขาราวกับเป็นคุณชายผู้มีชาติตระกูล ไม่เพียงเท่านั้น ดวงตาสีดำขลับก็ทำให้หญิงสาวร้อนๆ หนาวๆ ผู้ชายคนนี้มีความดุดันแฝงอยู่ในตัว และหล่อนก็คงไม่ใช่คนที่จะต่อกรเขาได้แน่ๆ
“ซิดนีย์...เธอรีบกลับเซี่ยงไฮ้เพราะธุระด่วนค่ะ เธอฝากบอกว่าการนัดครั้งนี้คงต้องยกเลิก ฉันรออยู่ที่นี่เพื่อจะบอกคุณเท่านี้”
ประโยคดุเดือดว่า ‘ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!’กลายมาเป็นคำบอกเล่าที่สุภาพนิ่มนวล ลินจงเห็นเขายังนิ่ง เหมือนไม่สนใจธุระพวกนั้นแม้แต่น้อย
“ขอโทษที่ฉันเสียมารยาทกับคุณเมื่อครู่ คือฉันตกใจค่ะ ว่าแต่...ทำไมเรือมันออกจากท่าแล้วละค่ะ ฉันเข้าใจว่าน่าจะมีผู้โดยสารมากกว่านี้เสียอีก”
ลินจงพยายามเอ่ยต่อไป ความเงียบจากชายหนุ่มคนนี้ทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัด
“เธอกับเจ้านายของเธอคิดจะเล่นเกมอะไรกัน”
เขาเอ่ยถามหล่อนอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาทุ้มมีกังวานน่าฟังอย่างมาก การพูดจาล้วนชัดเจนทุกอักขระ ลินจงเชื่อว่าที่หล่อนเคยคิดว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลใดตระกูลหนึ่งนั้นคงเป็นจริงโดยไม่ต้องสงสัย
“อะไรนะคะ? ซิดนีย์ให้ฉันอยู่เพื่อบอกคุณเท่านั้น เธอกับฉันเพิ่งรู้จักกันวันนี้เพราะเธอบอกว่าเธอไม่มีเพื่อนเลยในฮ่องกง ฉันบังเอิญไปพบเธอในห้างสรรพสินค้าก็เลยมาที่นี่เป็นเพื่อนเธอ แล้วเธอก็ต้องรีบไปเพราะมีธุระด่วนที่เซี่ยงไฮ้ ที่ฉันรู้ก็มีเท่านี้”
ลินจงเริ่มรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ หล่อนถอยหลังไปอีกหลายก้าว บนเรือนี้ไม่มีคนอื่นหรือถึงไม่มีใครเข้ามาช่วยหล่อนได้แบบนี้!
ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าหล่อนอย่างง่ายดาย
ลินจงเริ่มลนลาน แววตาของเขาเหมือนมีดที่พร้อมจะแล่เนื้อเถือหนังหล่อนได้ทุกเมื่อ มันช่างเป็นแววตาที่น่ากลัวจนหญิงสาวคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ แล้วก็ต้องอุทานเบาๆ เมื่อข้อมือเล็กบางถูกรวบไว้แน่น ร่างระหงถูกกระชากกลับมาจนแทบเซล้ม
“ฉันถามว่าเจ้านายของเธอคิดจะเล่นเกมอะไร”
เสียงของเขาไม่แข็งกร้าว แต่ก็ไม่ใช่ความสุภาพนิ่มนวลเช่นกัน ข้อมือของหล่อนถูกบีบไว้แน่น กระดูกของหล่อนเหมือนกำลังถูกบด จนลินจงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มทั้งยืน
หล่อนภาวนาให้ตัวเองกลัวจนเป็นลมหรือหมดสติ เพราะนั่นอาจจะดีกว่าการเงยหน้ามองใบหน้าสมบูรณ์แบบราวเทพบุตรแต่แฝงเร้นไว้ด้วยวิญญาณแห่งนักล่าของเขาคนนี้
“ซิดนีย์...ไม่ใช่นายหญิงของฉันนะคะ...”
หล่อนเอ่ยเสียงเบาหวิว แปลกใจตัวเองที่จนบัดนี้...หล่อนยังมีสติมองตาเขา และเจรจาโต้ตอบได้
“ฉันเพิ่งรู้จักเธอ...เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน...”
ลินจงพยายามสลัดข้อมือออก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายตัวสูงใหญ่กว่าหล่อนมากนัก พละกำลังของชายคนนี้เหนือกว่าหล่อนหลายเท่า ถ้าเขาต้องการหักคอหล่อนให้ตายคามือก็อาจจะทำได้ด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยพบกับใครที่ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นได้มากขนาดนี้ เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงกรรโชกหรือคำพูดขู่คำราม แต่แค่ดวงตาเรียวคมมองหล่อนนิ่งๆ ลินจงก็รู้สึกเหมือนถูกล้วงลึกเข้ามาถึงความคิดความอ่านที่อยู่ข้างใน
จางหลี่หงกำลังอ่านหล่อน ดวงตากลมของหญิงสาวดูใสราวแก้วที่ไม่มีอะไรเคลือบแฝง หล่อนเหมือนสัตว์ป่าอ่อนแอที่หลงเข้ามาในพงนักล่าและกำลังหวาดระแวง นี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ควรถูกส่งมาเพื่อปั่นหัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อย...ปล่อยฉันก่อน...ได้ไหมคะ”
หญิงสาววอนขอ แต่แน่นอนว่าเขาไม่สนใจ ในเมื่อซิดนีย์ ชางคิดจะเล่นเกมกับเขา เขาก็จะเดินเกมโต้ตอบกับเบี้ยหมากของหล่อนที่ถูกทิ้งไว้บนเรือลำนี้เช่นกัน
แต่แล้ววินาทีนั้น ชายหนุ่มก็รับรู้ถึงรังสีแห่งการฆ่าฟัน!
บนเรือที่แล่นออกจากท่า แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่พ้นไปสู่ทะเลใหญ่ดีนัก ห่างออกไปเพียงไม่ถึงร้อยเมตรยังมีแนวเรือที่จอดอยู่ในท่าเรือล้อมรอบ สถานการณ์แบบนี้เหมือนเขากำลังตกเป็นเป้ากลางทะเล แม้จะยังไม่เห็นว่านักล่าคือใคร อยู่ที่ไหน แต่ชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความสังหรณ์จนแน่ใจ
อะไรบางอย่างกำลังเล็งมาที่เขา!
ร่างสูงรับรู้ได้ถึงแสงสะท้อนชั่ววูบจากชายฝั่งผ่านเข้ามาในดวงตา แม้จะเป็นเหตุการณ์เพียงเสี้ยววินาที แต่นั่นก็มากพอที่จะปลุกประสาทสัมผัสของชายหนุ่มตื่นตัว
“คุณจะทำอะไร!”
ลินจงร้องอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เพราะหลังจากชายหนุ่มละสายตาจากหล่อนเพื่อไปเขม้นมองบริเวณชายฝั่งแล้ว ร่างสูงก็รวบคว้าเอวบางของหล่อนแล้วพาพุ่งราบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!!!
กระถางที่บรรจุต้นไม้ประดับบนดาดฟ้าเรือแตกกระจาย
ลินจงสะดุ้งเฮือก หล่อนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่เห็นชัดว่าในตำแหน่งที่เขาและหล่อนเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่ถูกเล็งด้วยอะไรบางอย่างจนกระถางต้นไม้แตกกระจาย นั่นหมายความว่าหากผู้ชายคนนี้ไม่ได้พุ่งมารวบหล่อนให้ล้มมาด้วยกันแบบนี้ เขาและหล่อนก็คงตกเป็นเป้าแทนกระถางนั้นไปแล้ว
หญิงสาวตวัดสายตากลับมามองเขา ด้วยความกลัวและความสับสนที่กำลังล้นปรี่ สัญชาตญาณบอกให้รีบหนีห่างจากชายคนนี้ เพราะแม้เขาจะไม่อันตราย แต่สถานการณ์ตรงนี้นับว่าอันตรายเกินไป
ดวงตาเรียวคมก็กำลังมองหล่อน มือเล็กๆ คู่นั้นที่กำลังยันบ่าเขาเอาไว้ ทั้งที่ควรจะรู้ว่าตอนนี้ร่างของเขากำลังเป็นเกราะกำบัง นั่นทำให้ชายหนุ่มเกิดคำถามบางอย่างในใจ
เขาไม่ควรช่วยเหลือหญิงสาวนิรนามคนนี้ ในเมื่อหล่อนอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนลวงที่ล่อให้เขามาตกอยู่ในภยันตราย
แต่ดวงตาใสที่ฉายแววตื่นตระหนกบนใบหน้างามละไมนั้นกำลังลดทอนสัญชาตญาณระวังภัยในตัวเขาลง และปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเข้ามากอบกุมในหัวใจทีละน้อย
จางหลี่หงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ที่ควบคุมไม่ได้นานไปนัก เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็หยัดกายขึ้นครึ่งหนึ่ง และกระชากเอาสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อสูทด้านในออกมา
ลินจงซึ่งดิ้นขลุกขลักจึงได้เบิกตากว้าง เพราะนั่นคือ...ปืน!
เสียงวัตถุแตกกระจายเรียกให้บริวารของจางหลี่หงมารวมตัวกันที่ดาดฟ้า และเมื่อเห็นผู้เป็นนายชักปืนออกมาจากตัวเสื้อ แล้วพยายามเล็งปืนไปยังชายฝั่งด้วยมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างยังโอบประคองร่างผู้หญิงคนหนึ่งไว้ พวกเขาก็รีบกรูกันเข้ามาปกป้องอย่างเต็มความสามารถ
“มันอยู่ตรงนั้น ที่เรือจอดอยู่ที่ท่านั่น!”
ลินจงได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนสั่งการต่อกันเป็นทอดๆ หล่อนกวาดตามองว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่มั่นใจว่านี่คงเป็นการปะทะระหว่างกลุ่มแก๊งที่บังเอิญหล่อนเข้ามาอยู่ตรงกลางอีกครั้ง
ชายในชุดสูทดำหลายคนชักปืนออกมาจากเสื้อ เสียงปืนลั่นจากปากกระบอกเริ่มดังขึ้นถี่ยิบ ลินจงเริ่มสั่นด้วยความกลัว ไม่กี่คืนก่อนหล่อนก็ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกันบนรถยนต์ แต่ตอนนั้นอาจจะดีกว่าตรงที่หล่อนเอาชีวิตรอดมาแล้ว ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ายังเป็นสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่หล่อนไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
กระเป๋าสะพายของหล่อนร่วงหล่นพื้น มันอาจจะหล่นตั้งแต่ตอนที่หล่อนลนลานถอยหนีชายแปลกหน้า หญิงสาวพยายามสลัดแขนแข็งแกร่งออกไปเพื่อตะเกียกตะกายไปหากระเป๋าใบนั้น ในใจของหล่อนคิดเพียงอย่างเดียว
เงินของทศ!
เงินก้อนที่ชายหนุ่มคนนั้นมอบให้หล่อนเพื่อเป็นความหวังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หล่อนเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระทั้งวันเพื่อจะผ่านพ้นวันนี้ แล้วเดินทางกลับเมืองไทยวันรุ่งขึ้น อนาคตของหล่อนอยู่ในกระเป๋าใบนี้ ลินจงจึงไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด
ในที่สุดอ้อมแขนแข็งแกร่งก็ไม่อาจกักขังหล่อนไว้ได้ หญิงสาวสลัดจากเขาจนหลุด ชายหนุ่มพยายามคว้าร่างหล่อนกลับมาแต่ไม่เป็นผล
ลินจงไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้หล่อนควรอยู่นิ่งกับที่ให้มากที่สุด หล่อนเป็นคนธรรมดา ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในพื้นที่การปะทะต่อสู้ระหว่างมาเฟีย ที่ซึ่งมีกระสุนพุ่งมาจากทุกทิศในอากาศ หญิงสาวจึงเหมือนลูกแกะตัวน้อยที่หลงเข้ามาในดงหมาป่าซึ่งกำลังทำห้ำหั่นกัน ชีวิตของหล่อนแขวนอยู่บนเส้นด้ายโดยไม่รู้ตัว
อีกไม่กี่วินาทีหล่อนก็จะคว้ากระเป๋าใบนั้นเอาไว้ได้ แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
แรงกระสุนพุ่งเฉียดผ่านร่างหล่อนไป ปืนที่ไม่มีเสียงทำให้หล่อนแทบไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเหยื่อตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงสาวล้มลง ร่างระหงหลุดร่วงจากแนวรั้วเหล็กโครเมียมลงสู่พื้นกราบเรือที่ต่ำกว่า และศีรษะฟาดกระแทกเข้ากับหมุดโลหะขนาดเขื่องซึ่งเป็นส่วนประกอบของเรือที่ด้านล่างด้วยความแรง
ตึง!!!
ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วกะโหลกศีรษะ หญิงสาวไม่รู้ว่าความเจ็บที่เกิดขึ้นทั่วร่างขณะนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ เพราะกระสุนปืน หรือเพราะแรงกระแทกจากแท่นโลหะ แต่ที่ลินจงแน่ใจก็คือ...หล่อนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่อ่อนลงทุกที จนเหมือนชีพจรจะหยุดลงในอีกไม่ช้า
ชีวิตช่างเป็นสิ่งเปราะบาง...
เพียงวันพรุ่งนี้ หล่อนจะได้กลับบ้านเกิด เมืองไทยที่สงบสุขและปลอดภัย แต่แล้วทุกอย่างก็กลับแปรผัน หล่อนไม่หลงเหลืออนาคตอีกแล้ว เมื่อสติสุดท้ายของหล่อนกำลังจะโบยบินจากร่าง หล่อนคิดว่า...หล่อนเห็นมัจจุราชกำลังมารับตัวหล่อน
มัจจุราชในชุดสูทสีเทา...เจ้าของดวงตาเรียวได้รูป....ดวงตาคมปลาบที่ปลิดลมหายใจหล่อนได้ตั้งแต่แรกพบ
++++++++++++++++++++++++++
จางหลี่หงถูกลอบสังหาร เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่สมุนในกลุ่มตระกูลจางต้องวิ่งวุ่นจัดการหลังเกิดเหตุในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ชายหนุ่มรอดชีวิต เขาไม่เป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลจางถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อรับมือสถานการณ์แบบนี้ บริวารซึ่งอารักขาเขาก็ล้วนมีฝีมือระดับพระกาฬ ฉะนั้นต่อให้ศัตรูจ้างนักฆ่าอันดับหนึ่งมาเพื่อการนี้ ก็ใช่ว่าจะล้มล้างทายาทคนสำคัญได้ง่ายนัก
เสียงปืนต่างหากที่ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ตำรวจฮ่องกงมักจะไวข่าวเมื่อมีการปะทะหรือลอบสังหารมาเฟียเสมอ แต่กลุ่มมาเฟียระดับชนชั้นนักปกครองก็ไหวตัวได้เร็วและเหนือชั้นกว่าหลายเท่า เมื่อเกิดการปะทะ มาเฟียจึงไม่อยู่รอการสอบสวนจากตำรวจ แต่จะเร้นหายไปในรังของตน ที่ตรงนั้นแม้แต่กฎหมายฮ่องกงก็เอื้อมไม่ถึง
จางหลี่หงนั่งรออยู่ในห้องรับรองแขกพิเศษของโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่าคนที่บาดเจ็บไม่ใช่เขา และไม่ต้องกล่าวถึงบริวารของเขาซึ่งแทบไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือต่อให้บาดเจ็บ...คนเหล่านั้นก็มีแพทย์ประจำตระกูลที่รักษาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการของโรงพยาบาล
แต่เขามาที่นี่เพื่อส่งร่างหล่อนให้หมอผู้เชี่ยวชาญรักษา อย่างน้อยโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้รับเงินบริจาคจากตระกูลจาง จนเชื่อใจได้ว่าคนไข้หญิงคนนี้จะถูกเก็บเป็นความลับ แม้ว่าคณะแพทย์ผู้ทำการรักษาจะประจักษ์ตาว่าบาดแผลบริเวณไหล่ของผู้หญิงคนนั้นเกิดจาก...กระสุนปืน
“นายใหญ่กำลังสั่งคนสอบสวนครับนาย ถึงจะยังมีข้อมูลยืนยันไม่ได้...แต่น่าจะเป็นฝีมือพวกฝั่งนิวเทอร์ริทอรี”
บริวารของเขาคนหนึ่งสันนิษฐาน แต่นั่นไม่ใช่การเดาสุ่ม เพราะก่อนจะเป็นข่าวรายงานนาย ความจริงย่อมถูกคั้นจนเหลือแต่ความจริงที่เชื่อถือได้เท่านั้น
มาเฟียฮ่องกงมีอาณาเขตที่แน่นอนในเขตปกครองของตัวเอง บางทีเขตแดนของมาเฟียอาจชัดเจนกว่าเขตแดนของรัฐบาลเสียอีก ตระกูลจางเป็นเจ้าแห่งมาเฟียในเขตเกาะฮ่องกงซึ่งเป็นแผ่นดินหลัก ขณะที่ฮ่องกงยังมีอีกฟากฝั่งคือเขตเกาลูน และถัดไปคือเขตนิวเทอร์ริทอรี
“เพราะช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพวกมันนำเข้าคนจากยุโรปตะวันออก ปลอกกระสุนที่พบวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นผลผลิตหลังสงครามเย็นที่จบลงในแถบนั้น เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนักฆ่าที่ถูกนำเข้าโดยพวกเขตนิวเทอร์ริทอรีครับนาย”
“ก็นับว่าพวกมันลงทุนกับฉันไม่น้อย ถึงกับเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฉันโดยไม่รู้กำหนดการอยู่ตลอดเวลา”
สีหน้าคนเกือบจะตกเป็นเหยื่อกระสุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนไม่ได้แสดงความสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“การที่ฉันออกมาพบซิดนีย์ ชางไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตามกำหนดการ...ถึงได้กลายเป็นโอกาสทองที่พวกมันไม่ยอมให้ปล่อยไปได้ง่ายๆ”
“นายครับ ส่วนเรื่องคุณหนูชาง ผมได้ข้อมูลจากสนามบินแล้ว ดูเหมือนเธอจะมาที่นี่เพียงลำพัง และกำลังขึ้นเครื่องกลับเซี่ยงไฮ้ เท่าที่ทราบ...เกิดอุบัติเหตุกับแฟนหนุ่มของเธอ เธอจึงได้หุนหันกลับไปครับ” คนสนิทรายงานต่อ
จางหลี่หงนิ่ง...เขาแน่ใจว่าหญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ในมือแพทย์ขณะนี้เป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับซิดนีย์ ชางมาก่อนจริงๆ อันที่จริง...เขาแน่ใจตั้งแต่ก่อนจะได้รับข่าวกรองนี้แล้วด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่ควรยุ่งกับหล่อน หากปล่อยให้หล่อนสลบอยู่บนเรือลำนั้นก็ถือว่าเป็นยถากรรมของหล่อนเองที่เข้ามารู้จักกับซิดนีย์โดยบังเอิญ แต่เขากลับเป็นคนที่โอบอุ้มหล่อนลงมาจากเรือที่เกิดเหตุ และนำหล่อนมารักษาในที่ปลอดภัยแห่งนี้
“ส่วนผู้หญิงคนนี้ ผมจะให้คนของเราสืบ...”
แน่นอนว่าใครก็ตามที่จะเข้าใกล้ทายาทตระกูลจาง และยิ่งใกล้ชิดขนาดกลายเป็นคนไข้ที่จางหลี่หงจะดูแล คนคนนั้นจะต้องถูกตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดยิบ
“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มเอ่ยห้วนสั้นโดยที่คนสนิทยังไม่ทันได้พูดจบ “สืบเรื่องพวกที่ลอบฆ่าฉันอย่างเดียว ฉันต้องการรู้ว่าใครสั่งการครั้งนี้ ส่วนเรื่องของเธอ...ฉันจัดการเอง”
“ครับนาย...”
คำสั่งของนาย...คือคำสั่งที่พวกเขาต้องทำตามโดยไม่มีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัยเท่านั้น
“คุณจาง...เชิญทางนี้ครับ”
นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลถึงกับออกมาต้อนรับชายหนุ่มด้วยตัวเอง ปกติแล้วโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ต้อนรับคนป่วยจากวงสังคมระดับสูง แต่สมาชิกตระกูลจางเองกลับไม่เคยมาใช้บริการที่นี่ ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในเจ้าของเงินทุนและเงินบริจาคสำคัญ
“คุณผู้หญิงปลอดภัยแล้วครับ เรากำลังพาเธอไปที่ห้องพิเศษ คิดว่าอีกไม่นานเธอคงจะฟื้น อาการของเธอไม่หนักมากครับ กระสุน...เอ้อ...ผมหมายถึงบาดแผลที่ไหล่ของเธอไม่ร้ายแรงมาก เพราะมันแค่ถากไปเล็กน้อย ที่หนักกว่าอาจจะเป็นแรงกระแทกที่ศีรษะของเธอครับ การที่เธอสลบก็เป็นเพราะแรงกระแทกนี่แหละครับ ไม่ใช่เพราะบาดแผล”
“เธอปลอดภัยดีใช่ไหม”
เขาถามเสียงเรียบๆ ระหว่างที่เดินตามนายแพทย์ไปยังห้องพิเศษของโรงพยาบาล ธรรมดาห้องผู้ป่วยทั่วไปของโรงพยาบาลนี้ก็ค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับระบุว่าเขาต้องการห้องพิเศษที่สุดสำหรับผู้ป่วยสาว นั่นย่อมแสดงถึงความสำคัญของหล่อนซึ่งไม่ธรรมดา
“แน่นอนครับ ร่างกายเธอฟื้นตัวได้เร็ว เชิญครับ...อาจจะใกล้ได้เวลาที่เธอฟื้นพอดี”
บรรดาบริวารในชุดสูทดำของจางหลี่หงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ร่างสูงก้าวเข้าไปช้าๆ ในห้องผู้ป่วยที่ดูไม่ต่างจากห้องโรงแรมชั้นดี แต่เน้นความสะอาดมากกว่าความหรูหรา นายแพทย์ผละจากไปเพื่อไปคุยงานกับนางพยาบาลในห้อง จางหลี่หงจึงสืบเท้าไปที่เตียงคนไข้ช้าๆ
ดวงตาเฉยชาเป็นนิตย์ของเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป ใบหน้าอ่อนละไมที่หลับใหลอยู่ตรงหน้าคล้ายมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด แม้ชายหนุ่มจะเคยผ่านสาวสวยในวงสังคมระดับสูงมาหลายคน แต่ผู้หญิงพวกนั้นไม่อาจตรึงสายตาเขาได้เท่าร่างบอบบางเจ้าของดวงหน้าใสบริสุทธิ์ตรงหน้านี้
วินาทีนั้น...ชายหนุ่มลืมเรื่องของคู่หมั้นไปหมดหัวใจ
อะไรบางอย่างบอกตัวเองว่า...เขาต้องการผู้หญิงคนนี้!
ไม่บ่อยนักที่จางหลี่หงจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ความปรารถนาอันแรงกล้า และลึกลงไปคือความอบอุ่นเมื่อรู้ว่านับจากนี้เขาจะมีหล่อนอยู่ในการครองครอง
ชายหนุ่มยืนตระหง่านข้างเตียงด้วยความต้องการมาดมั่นเช่นนั้น จนกระทั่งสังเกตได้ถึงอาการขยุกขยิกของร่างน้อยบนเตียงกว้าง เป็นสัญญาณว่าหล่อนกำลังจะฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นเองนางพยาบาลก็เข้ามาหาหญิงสาว และช่วยประคองหล่อนที่พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองช้าๆ
“ที่นี่ที่ไหนน่ะ...”
หญิงสาวส่งเสียงถาม สายตาของหล่อนกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง และเมื่อพบร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้า หล่อนก็เอาแต่มองเขานิ่งอยู่เช่นนั้น
แววตาของหล่อนไม่มีความเกลียดหรือกลัวอย่างที่เคยเป็น แต่มันเหมือนหล่อนไม่รู้จักเขา ไม่แม้แต่จะเคยพบเห็นเขามาก่อนในชีวิต
“คุณ...คุณเป็นใคร?”
หญิงสาวเอ่ยถามออกมา จางหลี่หงรู้ดีว่าจนบัดนี้เขาก็ยังไม่เคยได้แนะนำตัวให้หล่อนรู้จักสักครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอธิบายอะไรออกไป สาวน้อยตรงหน้าก็พึมพำขมวดคิ้ว
“ไม่สิ...แล้วฉันล่ะ...ฉันเป็นใครกัน?”
บทที่ 6
“มันคืออาการสูญเสียความทรงจำครับคุณจาง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่ศีรษะถูกกระแทก ทำให้ความทรงจำบางส่วนสูญหายไป”
นายแพทย์เจ้าของไข้อธิบายกับชายหนุ่ม หลังจากหญิงสาวคนนั้นฟื้นขึ้นมา คณะแพทย์และชายหนุ่มที่พาหล่อนมาส่งจึงพบว่าอาการบาดเจ็บของหล่อนไม่ได้มีเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสียความทรงจำ
หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจนทำให้หล่อนต้องมานอนในโรงพยาบาลแบบนี้ และแม้แต่ตัวเองชื่ออะไร...หญิงสาวก็ยังบอกไม่ถูก
“คนไข้มักจะจำเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้ โดยมากมักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุครับ แต่สิ่งที่เป็นทักษะติดตัวอย่างเช่น ความสามารถในการพูดภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน ของพวกนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ แต่ยังไงก็ตาม...ถ้าคนไข้ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยที่คนรอบข้างพยายามพาเธอไปในที่ที่เธอเคยอยู่ พาเธอทำสิ่งที่เธอเคยทำ ความทรงจำก็จะฟื้นกลับคืนมาได้ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลจนเกินไปครับคุณจาง”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิทรับฟังคำบอกเล่าของแพทย์ ทว่าสายตาเอาแต่มองร่างบางระหงซึ่งกำลังเดินอยู่ในสวนหย่อม มีนางพยาบาลถึงสองคนคอยประคองช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านั้น หลายจุดในสวนยังมีคนของเขาคอยเฝ้าหล่อนอยู่ห่างๆ แต่หญิงสาวคนนั้นกลับไม่รู้ตัว
“เธอจำเรื่องราวก่อนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้งั้นหรือ...”
จางหลี่หงเอ่ยออกมาแผ่วเบา ถ้าเช่นนั้นมันก็ย่อมหมายความว่า...หล่อนจะจำเหตุการณ์บนเรือไม่ได้ และยังไม่รู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร
“มันจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
“โดยมากการสูญเสียความทรงจำหลังอุบัติเหตุมักจะเป็นความทรงจำระยะสั้นครับ คนไข้หลายคนยังพอจะจำคนในครอบครัวและเรื่องราวเก่าๆ ได้ เพียงแต่จะจำวันที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้เท่านั้น ถ้าญาติช่วยฟื้นฟูคนไข้ก็จะหายกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่กี่เดือน ในกรณีของคุณผู้หญิง...เราสแกนสมองไม่พบความผิดปกติที่น่าเป็นห่วง เพราะอย่างนั้นคงใช้เวลาแค่สักเดือน...หรืออาจจะสองเดือนครับ ไม่ต้องห่วงครับคุณจาง...ความทรงจำของเธอต้องกลับมาแน่ๆ”
คำยืนยันเป็นมั่นเหมาะของนายแพทย์ต่างหากคือสิ่งที่จางหลี่หงไม่ต้องการ
“ที่ฉันห่วงก็คือ...ความทรงจำของเธอจะกลับมาต่างหาก”
ประโยคนั้นดังอยู่แต่ในใจชายหนุ่ม ภาพแววตากลมใสที่ฉายแต่ความหวาดกลัวเขายังติดตรึงอยู่ในความนึกคิด ถ้าหากหญิงสาวคนนั้นยังเป็นคนเดิม หล่อนก็จะฟื้นขึ้นมาและมองเขาด้วยแววตาแบบนั้น แต่จางหลี่หงไม่มีวันลืมแววตาของหล่อนที่กลายเป็นคนใหม่ มันเป็นแววตาของผู้หญิงที่ไม่หวาดกลัวเขาอีกต่อไป
เขาต้องการแววตาแบบนี้...
สิ่งที่จางหลี่หงต้องการ...ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่ได้ครอบครอง
กระเป๋าของหล่อนถูกเขาเก็บเอาไว้ เขารู้ดีว่าหล่อนชื่อ ‘หลิน’ แต่ดูเหมือนหล่อนจะมีอีกชื่อในภาษาไทย เขารู้ได้จากพาสปอร์ตสำหรับการเดินทางในกระเป๋าของหญิงสาว มันระบุว่าหล่อนมีเชื้อสายมาจากประเทศไทยซึ่งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางทีหล่อนอาจจะกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ต้องมาพัวพันในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเสียก่อน
จางหลี่หงจึงเก็บหลักฐานเอกสารทุกอย่างของหล่อนเอาไว้ ผู้หญิงในมือของเขากำลังเหมือนแผ่นกระดาษสีขาว นับจากนี้ไป...เขาจะขีดเขียนความทรงจำใหม่ให้แก่หล่อนด้วยตัวเอง!
+++++++++++++
“วันนี้หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ เราจะกลับบ้านของเรากัน”
จางหลี่หงบอกกับหล่อน คนรับใช้หลายคนกำลังเก็บสัมภาระลงกระเป๋า หน้าที่ของหญิงสาวมีเพียงประคองตัวลงจากเตียงเท่านั้น อันที่จริงหล่อนแทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเลย ทุกๆ ย่างก้าวมีชายหนุ่มร่างสูงคนนี้คอยประคองประคอง มันเป็นภาพที่แสนหวานจนนางพยาบาลหลายคนยังต้องแอบยิ้มด้วยความชื่นชม
แต่หลายครั้ง...หล่อนก็ไม่แน่ใจเลย หล่อนรู้จักจาง หลี่หงแน่หรือ?
‘ฉันคือจางหลี่หง คนรักของเธอ...หลิน’
นั่นคือประโยคแรกที่ชายหนุ่มบอกกับหล่อน เพราะตอนนั้นหญิงสาวจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อที่ตัวเองใช้มาตั้งแต่เกิดก็ยังคิดไม่ออก เมื่อหล่อนได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เพราะผู้ชายท่าทางดูดีมีระดับราวกับคุณชายจากตระกูลชั้นสูงแบบนี้...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนรักของหล่อนได้
กระนั้น หลินก็นึกไม่ออกว่าหากไม่ใช่แล้ว เขาจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่หล่อนขนาดนี้ไปทำไม นางพยาบาลพูดกรอกหูหล่อนบ่อยๆ ว่าสามีของหล่อนช่างน่ารักมาก เขาทุ่มเทเงินไม่อั้นสำหรับการรักษาหล่อน ยารักษาโรคหรือข้าวของสำหรับหล่อนก็ล้วนเป็นของชั้นดีมีราคาทั้งนั้น
หญิงสาวรู้สึกว่า...เดิมแล้วหล่อนไม่เคยชินกับชีวิตที่หรูหราเช่นนี้ ห้องพักของหล่อนในความทรงจำรางๆ ก็เป็นที่ซึ่งคับแคบ...แวดล้อมไปด้วยตึกสูงที่บดบีบให้รู้สึกอึดอัด หล่อนเคยพบปะผู้คนที่เห็นได้ทั่วไปตามบนถนนของฮ่องกง ไม่ใช่ชีวิตในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลชั้นหรู และได้พบแต่คนรับใช้ที่พินอบพิเทาแบบนี้
แต่จางหลี่หงบอกเพียงว่านั่นเป็นอดีตของหล่อน และเขาก็ไม่เคยอธิบายว่าผู้ชายแบบเขา...ผู้ชายที่ดูแตกต่างจากหล่อนราวฟ้ากับดิน...เหตุใดจึงมารักหล่อนได้
หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองเคยรักเขาหรือเปล่า แต่หากมันมีช่วงเวลาแบบนั้นจริงก็คงเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่หล่อนจะประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำ
ยิ่งคิดหญิงสาวก็รู้สึกว่าหล่อนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อีกเลย
จางหลี่หงประคองร่างของหล่อนพาไปยังรถลีมูซีนที่จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาล เบาะรถแบบนี้นุ่มมากจนหญิงสาวรู้สึกว่าผิวของหล่อนอาจจะสากเสียยิ่งกว่าเบาะ ด้านหน้าด้านหลังยังมีรถคนติดตามซึ่งเป็นชายในชุดสูท หญิงสาวเคยสงสัยว่าจางหลี่หงเป็นใครกัน เหตุใดเขาจึงมักปรากฏตัวพร้อมกับบริวารหนาตาแบบนี้
“ฉัน...ฉันเคยเรียกคุณว่าอะไรคะ”
ระหว่างที่รถออกวิ่ง หญิงสาวหันไปถามเขา ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อนเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับในกรอบตาเรียวคู่นั้นทำให้ใจของหล่อนสั่นสะท้านทุกครั้ง ถ้าหล่อนเป็นคนรักของเขา...ก็น่าที่จะคุ้นเคยกับแววตาเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
“หลี่หง...”
เขาเอ่ยชื่อตัวของเขาเบาๆ สำหรับคนสนิทกันแล้ว การเรียกชื่อไม่จำเป็นต้องขึ้นด้วยแซ่ก่อน
“หลี่...หง...”
หล่อนทวนเสียงแผ่ว ริมฝีปากเหมือนไม่คุ้นเคยกับการเรียกชื่อแบบนี้เลยสักนิด ที่สำคัญมันเหมือนหล่อนกลายเป็นคนใกล้ชิดของเขา เมื่อต้องเรียกเขาด้วยชื่อตัวแบบนี้
“และฉันก็เรียกเธอว่า...หลิน...”
“หลิน...”
นี่สิเป็นชื่อที่หล่อนเคยคุ้น แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจ
หล่อนชื่อหลินก็จริง...แต่มันเหมือนหล่อนจะมีอีกชื่อหนึ่งไม่ใช่หรือ ชื่อที่ไม่ใช่ภาษาจีน แต่ก็ไม่ใช่ชื่อภาษาอังกฤษอย่างที่ชนชั้นสูงของฮ่องกงนิยมมีกัน
ลิน...
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด แต่มันกลับยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกปวดเป็นริ้วๆ ไปทั่วศีรษะ จนหล่อนต้องยกมือข้างหนึ่งมากุมหน้าผากตัวเอง
“ปวดหรือ...”
เสียงต่ำลึกเอ่ยถาม หญิงสาวได้แต่พยักหน้าช้าๆ แพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลก็เคยเตือนหล่อนว่าอย่าคิดมาก เพราะการได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะทำให้ระบบสมองและความทรงจำของหล่อนยังไม่กลับเป็นปกติ และหล่อนต้องผ่อนคลายทั้งจิตใจอารมณ์เพื่อจะหายเป็นปกติในเร็ววัน
“มาหาฉัน...หลิน...”
มือกว้างประคองศีรษะของหล่อนเอาไว้ แล้วโอบร่างของหล่อนมาอิงซบแนบแผ่นอกแกร่ง ความใกล้ชิดแบบนั้นทำให้หล่อนได้กลิ่นน้ำหอมชั้นสูงซึ่งผสานกับกลิ่นกายของเขา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ลมหายใจ และแรงเต้นของชีพจรเป็นจังหวะซึ่งทำให้ใจของหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ
เรือนผมยาวสลวยของหล่อนนุ่มเนียนเหมือนแพรไหม อุ้งมือกว้างของชายหนุ่มลูบไล้เรือนผมยาวพวกนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับหล่อนเป็นตุ๊กตาแก้วซึ่งเขาต้องทะนุถนอมเอาไว้สุดชีวิต
หล่อนเคยใกล้ชิดกับเขามาก่อนแน่หรือ?
ทำไมพอได้อิงแอบอยู่กับแผ่นอกอบอุ่นนี้แล้ว...หญิงสาวจึงรู้สึกร้อนซู่ราวกับไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดกับเขามาก่อน
แต่หล่อนรู้เพียงอย่างเดียว...สัมผัสของเขาทำให้หล่อนรู้สึกถึงความมั่นคง...ปลอดภัย เหมือนอ้อมอกและมือคู่นี้จะปกป้องหล่อนได้ทั้งชีวิต
ชีวิตของหล่อนจึงอยู่ในอุ้งมือของเขา...จางหลี่หง
+++++++++++++++++++++
จุดหมายปลายทางคือบ้านริมทะเลบริเวณอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ขนาดของบ้านกว้างขวางจนทำให้หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา
แม้จะสูญเสียความทรงจำ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในฮ่องกงของหล่อนยังไม่สูญหาย ฮ่องกงเป็นเกาะเล็กๆ ที่ดินที่นี่จึงได้ราคาแพงมหาศาล คนจำนวนมากต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์บนตึกสูง ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองนั้น...หากไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินมาตั้งแต่ต้นตระกูลแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้
แล้วนี่บ้านริมทะเลซึ่งประกอบด้วยทิวทัศน์งดงามแบบนี้ ราคาก็ย่อมแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว นี่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เศรษฐีธรรมดาจะเป็นเจ้าของได้
คนรักของหล่อนทำงานอะไรกัน?
จางหลี่หงเคยอธิบายกับหล่อนว่าเขาช่วยพี่ชายบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงพี่ชาย หรือแม้แต่ลักษณะกิจการของเขาสักครั้ง
“เป็นอะไรไป ทำไมไม่มานั่งข้างๆ ฉัน”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม ร่างของเขาปลดเสื้อนอกออกไปแล้ว เหลือเพียงเชิ้ตตัวในสีเทาอ่อน กางเกงขายาวทรงสแล็ค ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ยาวบริเวณระเบียง มองออกไปแลเห็นผืนทะเลพลิ้วเป็นระลอก มีเรือสัญจรผ่านเพียงประปราย
มันเป็นบรรยากาศที่งดงามมาก ฮ่องกงเป็นเมืองแห่งตึกสูง การได้ออกมาสัมผัสธรรมชาติแท้ๆ แบบนี้ช่วยทำให้หล่อนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
“หลี่หงคะ...ฉัน...ฉันเคยอยู่ที่นี่หรือคะ?”
หญิงสาวถามออกไปอย่างไม่เชื่อสายตานัก
“ไม่เคย”
“เอ๋...”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ ปกติ...ฉันไม่ค่อยอนุญาตให้ใครมาที่บ้านริมทะเลของฉัน แต่เธอเป็นคนแรก”
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกมากระตุกร่างบางโดยไม่สนใจท่าทีประหลาดใจ ร่างระหงเซจนนั่งลงข้างกายเขา ใบหน้าสวยละไมยังมองเขาตลอดเวลา
“เรารู้จักกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ มันเป็นความบังเอิญที่เธอเข้ามาในชีวิตของฉัน แรกๆ เธอก็ไม่ชอบฉันนักหรอก จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น ฉันจึงปล่อยให้เธอกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้ เพราะฉันต้องการดูแลเธอไม่ให้ห่างไปไหนอีกแล้ว”
ตลอดเวลา แววตาสีดำขลับของเขาบอกถึงความปรารถนาในตัวหล่อนอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ความต้องการในฐานะที่หล่อนเป็นเพียงวัตถุ...หรือเป็นผู้หญิงที่เขาต้องเฝ้าหึงหวง แต่เป็นความต้องการทั้งร่างกายและจิตใจ...เพื่อจะเฝ้าทะนุถนอมและรักษาหล่อนไว้แนบกาย
มันเป็นสายตาที่ทำให้หล่อนสั่นสะท้าน แต่ไม่อาจเมินหนีกระแสความรู้สึกนี้ได้
“ฉัน...ฉันเคยไม่ชอบคุณด้วยเหรอคะ” หล่อนย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัย
จางหลี่หงหรุบสายตาลงนิดหนึ่ง ผู้หญิงซึ่งเคยกลัวเขาจนลนลานกลับจำความรู้สึกของตัวเองตอนนั้นไม่ได้
“ทำไม? หรือเธอคิดว่าคนอย่างฉันจะถูกเกลียดบ้างไม่ได้หรือ”
การถูกเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับจางหลี่หง เขาถูกอาฆาตมาดร้ายจากบรรดาศัตรูของตระกูลจางเสียด้วยซ้ำ มีแต่ผู้หญิงที่เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ตรงหน้าซึ่งเข้าใจไปว่า...เขาเป็นนักบุญแห่งโลกสว่างซึ่งจะมีแต่ผู้คนรักใคร่
“ไม่รู้สิ คุณเป็นคนดี...ฉันจะไปเกลียดคุณได้ยังไงกันล่ะคะ”
หญิงสาวพูดออกมาตามที่ใจคิด อันที่จริง หล่อนอยากพูดเสริมไปด้วยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่รูปงามราวกับเทพบุตร ทั้งยังร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้ คนเช่นเขาไม่คู่ควรกับหล่อนซึ่งน่าจะมีฐานะอันต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อย
“ฉันน่ะหรือ...เป็นคนดี”
เขาเลิกคิ้ว ราวกับคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“ก็คุณช่วยชีวิตฉัน...ฉันรู้สึกนะคะ...ทั้งชีวิตของฉันน่ะไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย...”
คำพูดของหล่อนหยุดชะงัก ภาพในสมองเลือนรางบอกตัวเองว่า...การช่วยเหลือจากใครอีกคนที่ทำให้หล่อนรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันนั้นยังมีอยู่ คนที่ปรากฏเป็นเงาจางๆ ในภวังค์ความคิด เพียงแต่หล่อนนึกใบหน้าของใครคนนั้นไม่ออกเลย
“เธอประสบอุบัติเหตุครั้งนี้เพราะฉัน ฉันคงจะดูดายเธอไม่ได้ ที่สำคัญ...” ชายหนุ่มเชยคางมนของหล่อนเบาๆ “ถ้าไม่ใช่ความต้องการของฉัน อะไรก็จะมาพรากเราไปจากกันไม่ได้ นอกเสียจากความตาย”
“อย่า...อย่าพูดเรื่องนี้สิคะ” หล่อนรู้สึกขัดเขินที่ต้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ใบหน้าละไมจึงสะบัดเบาๆ “คนบ้านฉันไม่ชอบให้พูดเรื่องเป็นเรื่องตาย มันเป็นลาง”
“คนบ้านเธอ...”
“ฉันหมายถึงว่า...สังคมที่ฉันเติบโตมาน่ะค่ะ”
ประโยคนี้เองทำให้หญิงสาวเริ่มนึกถึงอดีตของตนขึ้นมาได้ หล่อนรู้ว่าตัวเองน่าจะเติบโตมากับชุมชนเล็กๆ ซึ่งเหมือนเป็นคนต่างด้าวของฮ่องกง ขนบธรรมเนียมบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในตัวหล่อนจึงไม่ตรงกับชาวจีนที่นี่มากนัก แต่ว่าชุมชนนั้นคือคนจากที่ไหนกัน
“อดีตของเธอจะเป็นยังไง...ฉันไม่แคร์ และไม่ว่าเธอจะจำได้หรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานฉันทุกอย่างหรอกนะ”
จางหลี่หงกุมมือของหล่อนเอาไว้ อุ้งมือของเขากว้างใหญ่และอบอุ่น หญิงสาวนึกถึงอดีตของตัวเอง...ดูเหมือนหล่อนจะใช้ชีวิตกับแม่เพียงสองคน เพราะเหตุนั้นหล่อนจึงไม่คุ้นเคยกับเพศตรงข้าม ผู้ชายคนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชายคนแรกในชีวิต
“ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก แล้วจะกลับมาให้เร็วที่สุด ระหว่างนี้เธอก็พักฟื้นที่นี่ให้สบายใจ มีอะไรที่อยากได้ก็บอกสาวใช้ พวกเธอจะจัดหาให้เธอทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวนั่นคือการออกไปจากที่นี่ เพราะถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน เธอจะไปไหนไม่ได้ เข้าใจไหมหลิน”
ร่างสูงเพรียวได้รูปตามแบบความงามของบุรุษเพศลุกขึ้นช้าๆ คำพูดของเขาเหมือนไม่ใช่คำลา แต่ยังแฝงไว้ด้วยคำสั่งอีกด้วย แต่หลินกลับไม่รู้สึกว่าจะต้องต่อต้านคำสั่งพวกนี้ ในเมื่อแววตาของเขาทำให้ความหมายของมันกลายเป็นการปกป้อง หล่อนรับรู้ว่าจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่การกักขังหล่อนเลย
“หลี่หงคะ...”
ร่างระหงลุกขึ้นยืนตามเขา เมื่อชายหนุ่มหันหลังมา หญิงสาวก็สวมกอดเขาไว้แนบแน่น ใบหน้าละไมของหล่อนซุกซบกับบ่าของเขา จนได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยกรุ่นอ่อนๆ จากกายชายหนุ่มอีกครั้ง
“ตอนเด็กๆ...ฉันจำได้ว่าแม่มักจะขอให้ฉันทำแบบนี้ตอนแม่ต้องออกไปทำงานนานๆ ค่ะ มันทำให้ทั้งแม่และฉันรู้สึกว่าต่อให้ไกลกันแค่ไหนเราก็ยังมีกันและกัน ฉันไม่รู้ว่าฉันเคยทำแบบนี้กับคุณหรือเปล่า แต่ว่า...โชคดีนะคะ”
หล่อนคลายวงแขนจากร่างสูงของเขา และ...ส่งยิ้มให้
รอยยิ้มแรกที่เขาได้พบจากใบหน้าละไมของหล่อน มันเป็นภาพที่งดงามจนชายหนุ่มแทบหยุดลมหายใจ
ในอกของเขาเกิดแรงสั่นอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ผู้ชายอย่างจางหลี่หงเคยคุ้น ความรู้สึกที่ถักทอขึ้นอย่างละเมียดละไม...แฝงไว้ด้วยสายใยอันอบอุ่น...เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ชายหนุ่มเดินผละจากหล่อนโดยไม่พูดอะไรตอบสักคำ ร่างสูงของเขาก้าวยาวๆ ด้วยความเร็วปานพายุ ขณะที่สีหน้าฉายแววความสับสนในตัวเองจนทำให้คนสนิทซึ่งรออยู่ในห้องรับแขกประหลาดใจ
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ทายาทมาเฟียอันดับหนึ่งอย่างจางหลี่หงกลายเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30
หากสนใจจับจองในรูปแบบอีบุกได้
กำลังจะวางขายที่ Mebmarket ในวันที่ 13 ธ.ค. 2015
ราคาโปรโมชัน 49 ฿ (จากราคาเต็ม 85) จนถึงสิ้นปี
บทที่ 4
ทศจากไปตั้งแต่เช้าก่อนที่หล่อนจะตื่น เขาทิ้งเงินสดไว้หัวเตียงของหล่อนปึกหนึ่งซึ่งทำให้ลินจงแทบจะหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เพราะมันมากพอที่จะทำให้หล่อนซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทยได้สบายๆ
เขาเป็นใครกันแน่?
หญิงสาวได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แม้หล่อนจะวางใจเขา ขนาดพักในห้องโรงแรมเดียวกันได้ในคืนที่ผ่านมา แต่จนตอนนี้ลินจงก็ยังไม่อาจจะเรียกได้ว่ารู้จักเขาอย่างถ่องแท้ เขาทำงานอะไรกันแน่ถึงได้มีเงินมากมายขนาดนี้ และที่สำคัญ...เขาจะมอบมันให้กับหญิงสาวที่รู้จักกันเพียงวันเดียวไปทำไม
จริงอยู่...เขารู้ว่าหล่อนอยากกลับเมืองไทย แต่คนแบบเขาก็ไม่ควรจะช่วยเหลือหล่อนมากมายจนคาดไม่ถึงแบบนี้
ลินจงจัดการอาบน้ำล้างหน้า แล้วลงไปเช็คเอาท์ที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง เมื่อธุระต่างๆ เสร็จลงแล้ว หญิงสาวจึงเดินออกมาจากโรงแรม ในใจรู้สึกเหงาหงอยจนไม่มีเรี่ยวแรงคิดว่าควรไปที่ไหนต่อ
ตอนนี้หล่อนอยู่ในเขตเกาะลันเตา ที่ตั้งของสนามบินนานาชาติของฮ่องกง หรือหล่อนควรจะรีบเดินทางออกไปจากที่นี่?
มาเฟียพวกนั้นอาจกำลังตามหาตัวหล่อน ฮ่องกงมีพื้นที่ไม่มาก สักวันพวกมันอาจจะควานหาตัวหล่อนเจอก็ได้
แต่พอคิดว่าวันนี้พรุ่งนี้จะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้อยู่บนแผ่นดินฮ่องกง หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกโหยหาขึ้นมาลึกๆ
ลินจงเคยใช้ชีวิตที่นี่สิบกว่าปี ความผูกพันในใจก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าบ้านเกิด แม้ว่าหลายครั้งหล่อนจะเบื่อความวุ่นวาย เบื่อแสงสีและตึกสูงระฟ้า แต่มันก็คือที่ที่หล่อนเติบโตและได้เรียนรู้อะไรมามาก หล่อนได้พบเพื่อนดีๆ และเพื่อนแย่ๆ ได้เจอประสบการณ์หลายอย่างซึ่งคงไม่มีวันลืมไปจนตาย
ในกระเป๋าของหล่อนยังมีเงินก้อนใหญ่ ทั้งเงินจากการทำงานกลางคืนครั้งแรกในชีวิต...แต่กลับรอดจากเงื้อมมือชายชราตัณหากลับได้อย่างหวุดหวิด แล้วยังเงินที่เหลือจากค่าโรงแรมซึ่งทศมอบให้
“ไหนๆ แล้ว...ลองทำอะไรที่อยากทำดูสักครั้งดีกว่า”
หญิงสาวบอกตัวเองด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปหารถประจำทางเพื่อไปยังรถไฟฟ้าเชื่อมระหว่างเกาะ
++++++++++++++++++++
ห้างสรรพสินค้า...ที่ที่ลินจงเคยมาแทบนับครั้งได้ ข้าวของหลายอย่างในนี้เป็นสินค้าที่หล่อนไม่เคยเอื้อมมือถึง เพราะความที่เป็นสินค้าแบรนด์เนมจากโลกตะวันตก แต่วันนี้หล่อนมีเงินในกระเป๋าเหลือเฟือที่จะจับจ่ายของพวกนี้สักชิ้น อย่างน้อย...ชุดเสื้อผ้าของหล่อนก็ควรเปลี่ยนใหม่ก่อนเดินทางกลับเมืองไทย
หญิงสาวลองหยิบเสื้อตัวหนึ่งมาทาบตัว พลิกดูป้ายราคาแล้ว...แม้จะแพงไปหน่อยแต่คนอย่างหล่อนก็อยากลองใส่ดูสักครั้ง ลินจงเหลียวซ้ายแลขวามองหาห้องลองชุด ก่อนจะพบว่ามันตั้งอยู่ด้านในสุด
ห้องเต็ม...มีคนกำลังลองเสื้อก่อนหน้าหล่อน ลินจงจึงได้แต่ยืนรอเงียบๆ
“คุณ...คุณอยู่ตรงนั้นรึเปล่าน่ะ”
มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งถามออกมาจากห้องลองเสื้อ ลินจงขมวดคิ้ว บริเวณนี้ไม่มีใครสักคน แต่หล่อนก็แน่ใจว่าผู้หญิงในห้องลองเสื้อไม่ได้เรียกหล่อนแน่
“คุณว่าชุดนี้เป็นไง...”
บานประตูห้องลองเสื้อเปิดออก หญิงสาวแต่งหน้าโทนสีเข้มคนหนึ่งยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า หล่อนมองลินจงด้วยความแปลกใจ
“อ้าว...ฉันนึกว่าพนักงานยืนรอฉันตรงนี้ซะอีก ก็ฉันบอกให้รอ...แล้วช่วยฉันเลือกชุดนี่นา”
หญิงสาวคนนั้นเอ่ย สุ้มเสียงขัดอกขัดใจเล็กน้อย
“ฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่พอฉันมาตรงนี้พนักงานก็ไม่อยู่แล้ว”
ลินจงเอ่ยด้วยน้ำเสียงรอมชอม หล่อนบอกตัวเองไม่ได้ว่าเหตุใดจึงเกิดความรู้สึกกริ่งเกรงหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ลึกๆ อาจเพราะผู้หญิงคนนี้ดูมีราศีความเป็นคุณหนู ท่าทีเจ้ายศเจ้าอย่างแต่ก็ไม่ได้เรื่องมากจนเกินไป
“เฮ้อ...มาฮ่องกงก็มาเจออะไรแบบนี้จนได้...แย่ชะมัด”
หญิงสาวคนนั้นบ่นเบาๆ แต่ลินจงก็ยังได้ยินชัด ดูเหมือนหล่อนจะไม่ใช่คนที่นี่ จะว่าไปหญิงสาวก็สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายพูดภาษาจีนกวางตุ้งซึ่งเป็นภาษามาตรฐานของฮ่องกงได้แปร่งๆ เพี้ยนๆ บางทีหล่อนอาจจะเป็นคนจีนจากที่อื่นแต่มาเที่ยวฮ่องกงก็เป็นได้
“ฉันว่าชุดที่คุณลองก็โอเคแล้วนะคะ คุณรูปร่างเพรียว...การสวมชุดแบบนี้ช่วยให้รูปร่างดูดีขึ้นมาก เพียงแต่ที่คอของคุณน่ะไม่ควรสวมสร้อยค่ะ เพราะผมของคุณปล่อยเคลียไหล่แบบนี้มันจะทำให้ดูรุงรัง และตัวชุดก็มีรายละเอียดของเนื้อผ้ามากพออยู่แล้วด้วย”
ลินจงแนะนำ หล่อนเคยช่วยงานบริษัทออร์แกไนเซอร์ซึ่งจัดงานเดินแบบมาก่อน จึงเคยได้ยินบรรดาสไตลิสต์อธิบายหลักการจัดแต่งชุดเสื้อผ้ามาเป็นวิชาประดับตัวอยู่บ้าง
“หืม...คุณว่างั้นเหรอ จริงสินะ...รสนิยมคุณนี่ใช้ได้จริงๆ”
หญิงสาวคนนั้นมองหล่อนอย่างชื่นชม ก่อนจะชะเง้อมองเสื้อที่ลินจงกำลังจะลองบ้าง
“คุณจะลองชุดพวกนั้นเหรอ อย่าดีกว่า...ฉันว่ามันไม่เหมาะกับคุณหรอก”
“อ๋อ...ค่ะ พอดีฉันกำลังจะเดินทาง ก็เลยคิดว่าชุดที่ทะมัดทะแมงน่าจะดีกว่าชุดกระโปรง เรื่องเหมาะไม่เหมาะมันคงไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“คุณจะเดินทาง...ไปไหนหรือคะ”
“เอ่อ...ไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ คิดว่าคงอีกไม่กี่วันเลยมาหาเสื้อผ้าไว้”
“งั้นคุณช่วยฉันเลือกเสื้อผ้าก่อนได้ไหมคะ พอดีฉันกะจะซื้อสักหลายๆ ชุด ไม่ทราบว่าคุณจะรังเกียจไหมคะคุณ...”
“ฉันชื่อหลินค่ะ” ลินจงแนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ เรียกฉันว่าซิดนีย์”
ผู้หญิงคนนั้นแนะนำตัว ลินจงจึงพอจะเดาได้ว่าหล่อนคงเป็นลูกคนมีฐานะหรืออย่างน้อยก็เป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมระดับสูง เพราะในฮ่องกงซึ่งเคยอยู่ในการปกครองของอังกฤษ ครอบครัวผู้มีอันจะกินมักจะตั้งชื่อภาษาอังกฤษให้กับลูกหลานเพื่อความสะดวกในการติดต่อกับชาวตะวันตก และบางครอบครัวก็เรียกกันด้วยชื่ออังกฤษจนติดปาก
ไม่เพียงฮ่องกง แต่ในเมืองอื่นๆ ที่มีชาวจีนไปตั้งรกรากทั่วโลก คนจีนที่นั่นก็มักจะมีทั้งชื่อจีนและชื่ออังกฤษ
“หลิน...คุณลองชุดนี้ให้ฉันดูได้ไหมคะ รูปร่างคุณกับฉันใกล้เคียงกัน พอดีฉันอยากลองหลายๆ ชุด แต่เกรงว่าถ้าเอาแต่เปลี่ยนเองละก็ บ่ายนี้ก็คงไม่เสร็จ”
“หา?”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ แค่ช่วยฉันเลือกเสื้อผ้านิดหน่อย วันนี้ฉันมีนัดเสียด้วย ฉันก็เลยอยากประหยัดเวลาตรงนี้บ้าง เดี๋ยวฉันต้องไปดูกระเป๋าด้วยค่ะ”
ซิดนีย์ส่งชุดกระโปรงสีเงินตัวหนึ่งให้หญิงสาว ลินจงรับมาด้วยความงุนงง ถ้าหากว่าหล่อนเป็นเพื่อน...การไหว้วานแบบนี้ก็คงไม่แปลก หญิงสาวคนนี้ช่างไว้วางใจคนง่ายเหลือเกิน หรือที่หล่อนเคยได้ยินมาว่าลูกเศรษฐีมักทำอะไรโดยเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่นั้นจะเป็นความจริง
“เสร็จแล้วออกมาให้ฉันดูด้วยนะคะหลิน ฉันอยากเห็นเร็วๆ” ซิดนีย์เร่ง
+++++++++++++++++++
ลินจงแน่ใจแล้วว่าหล่อนกำลังกลายเป็นคนติดตามคุณหนูลูกเศรษฐีซึ่งหล่อนเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากมหานครเซี่ยงไฮ้ เพราะซิดนีย์ซื้อชุดเสื้อผ้าหลายถุงด้วยบัตรเครดิตชั้นดี และยังจ่ายเงินค่าชุดกระโปรงหรูหราซึ่งสวมอยู่บนเรือนร่างของลินจงอีกด้วย
“ฉันไม่มีเพื่อนมาด้วยเลย พอดีจะต้องไปเจอคนที่ไม่ค่อยอยากเจอซะด้วย คุณไปกับฉันทีนะคะ ชุดนี้ถือว่าฉันจ่ายให้สำหรับค่าเสียเวลาของคุณก็แล้วกัน เพราะว่าคุณเป็นเพื่อนคนแรกของฉันในฮ่องกงเชียวนะคะ...อาหลิน”
ซิดนีย์เดินเฉิดฉายออกมาจากห้างสรรพสินค้า มีลินจงในชุดกระโปรงหรูหราซึ่งทั้งชีวิตนี้ไม่มีวันได้ใส่เดินตามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงในห้างสรรพสินค้า คุณหนูซิดนีย์ได้ทำให้หล่อนกลายเป็นเพื่อนที่สมน้ำสมเนื้อราวกับเนรมิตลินจงคนใหม่ขึ้นมาได้ พวกหล่อนใส่เสื้อผ้าเกรดเดียวกัน เครื่องประดับทั้งหมวกกระเป๋าสร้อยแหวนล้วนดูดีมีระดับ แต่ทั้งหมดนี้ทำให้ลินจงไม่สบายใจแม้แต่น้อย
“จะดีเหรอคะซิดนีย์ ถ้าคุณมีนัดแล้วพาเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันไปด้วยแบบนี้”
“ไม่ต้องสนใจความรู้สึกฝ่ายนั้นหรอกค่ะ ขนาดฉันเองยังไม่แคร์เลย ผู้ชายแบบนั้นไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้หญิงเลยสักครั้ง คุณแค่ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ฉันให้เขารู้สึกว่ามีก้างขวางคอก็พอ”
“เอ๋...แต่ว่า...”
“ขึ้นรถกันเถอะหลิน ฉันอยากจะไปเผชิญหน้ากับเขาเต็มแก่แล้ว”
ลินจงได้แต่มองตามคุณหนูผู้คิดเองเออเองด้วยความงุนงง หล่อนยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไปพบใคร และทำไมถึงได้ต้องการเพื่อนไปด้วยนัก หล่อนเองก็อยากจะกลับเมืองไทยอยู่วันนี้พรุ่งนี้ แต่ด้วยความที่ได้สัมผัสซิดนีย์มาเกือบทั้งวัน ลินจงคิดว่าหล่อนเริ่มเข้าใจอีกฝ่ายขึ้นมาบ้างแล้ว
ซิดนีย์เป็นคนง่ายๆ อาจจะดูโผงผาง ทำตามใจตัวเอง แต่คนแบบนี้ไม่น่าจะมีเจตนาร้ายกับใคร ตอนนี้หล่อนเพียงแค่จะทำอะไรบางอย่างที่ต้องการให้มีคนไปเป็นเพื่อน ซึ่งถ้าเห็นว่าสิ่งที่สาวเซี่ยงไฮ้กำลังจะทำนั้นดูไม่เหมาะสม ตอนนั้นลินจงคิดว่าหล่อนค่อยขอถอนตัวก็คงไม่สายเกินไป
รถแท็กซี่แล่นไปถึงบริเวณท่าเรือ ซิดนีย์เดินนำดุ่มๆ พลางคุยโทรศัพท์มือถือไปด้วยตลอดทาง จนกระทั่งมาถึงเรือลำหนึ่งซึ่งจอดเทียบอยู่ มันดูคล้ายเรือส่วนบุคคล แต่ลินจงก็ไม่แน่ใจนักเพราะหล่อนใช้บริการเรือน้อยมากจนแทบไม่รู้จักพาหนะประเภทนี้
เรือใหญ่คล้ายเรือเฟอร์รี่แบบนี้...อาจจะเป็นเรือโดยสารก็ได้
นั่นคือความคิดของลินจง หญิงสาวลืมเฉลียวใจไปว่า...หากเป็นเรือโดยสารจริง ทำไมถึงยังไม่มีเพื่อนร่วมทางคนอื่นขึ้นมาด้วย บนเรือใหญ่โตมีเพียงหล่อนกับซิดนีย์เท่านั้น
“นั่งก่อนเถอะหลิน ลมแรงนะคะ คุณสวมหมวกด้วยดีกว่า”
ซิดนีย์บอกพลางถอดหมวกทรงกลมใบใหญ่เนื้อนุ่มใส่ให้หญิงสาว
“อ้าว แต่คุณก็จะไม่มีหมวกนี่คะ”
“ช่างเถอะค่ะ ฉันชอบลมเย็นๆ อากาศของที่นี่ไม่ถือว่าหนาวมากหรอกค่ะ หนาวกว่านี้ฉันก็เคยเจอมาแล้ว”
คุณหนูสาวสวยจากเซี่ยงไฮ้ยักไหล่ ระหว่างนั้นเองโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็มีสัญญาณเข้า หล่อนจึงกดรับ
ลินจงพยายามเงี่ยหูฟัง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะคุยด้วยภาษาจีนกลางซึ่งหล่อนไม่เข้าใจนัก แต่ท่าทางที่ตกอกตกใจก็น่าจะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าที่ควร สีหน้าคุณหนูคนสวยดูจะร้อนรนเอามากๆ
“อาหลิน...ฉันติดธุระด่วน!” ซิดนีย์บอกหล่อนหน้าตื่น “บอยเฟรนด์ของฉันประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย แต่ฉันคงต้องกลับเซี่ยงไฮ้ไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ถ้าคนที่ฉันนัดมาละก็ ฉันฝากคุณบอกเขาด้วยนะว่า...ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!”
ว่าแล้วหล่อนก็เดินตัวปลิวลงไปจากเรือ ปล่อยให้ลินจงนั่งงงเป็นไก่ตาแตก หญิงสาวได้แต่มองพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลงด้วยความกระวนกระวายใจ
แปลกจริง...ทำไมเรือถึงไม่มีผู้โดยสารคนอื่นขึ้นมาเลยนะ แล้วถ้าคนที่ซิดนีย์นัดพบขึ้นเรือมา...หล่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนคือเขา
และที่สำคัญที่สุด หญิงสาวจะกล้าเอ่ยประโยคที่คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ฝากเอาไว้ได้หรือไม่
‘ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!’
ลินจงมั่นใจว่าหล่อนได้เข้ามาอยู่ระหว่างกลางของชายหญิงคู่หนึ่งที่ถูกจับคลุมถุงชนโดยไม่ต้องสงสัย แต่ไม่ต้องเดาก็บอกได้...ขืนหล่อนพูดแบบนี้ออกไปจริงๆ คงมีหวังคงได้กลายเป็นอาหารปลากลางทะเลก่อนกลับเมืองไทยแน่นอน
+++++++++++++++++++++
“ดูเหมือนจะพบแล้วครับ เรือที่คุณหนูชางนัดคุณเอาไว้ นายครับ...จะให้ออกเรือเลยหรือครับ เธออาจจะต้องการพบคุณที่ท่าตรงนี้เฉยๆ ก็ได้”
ชายหนุ่มร่างสูงสง่าในชุดสูทสีเทาถอดแว่นกันแดดออก ดวงตาคมมองตรงไปยังเรือสีขาวด้วยความนิ่งเฉย ริมฝีปากแปรเป็นเส้นตรงไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เขาไม่สนใจตอบคำถามของบริวารซึ่งยืนรายรอบไม่ต่ำกว่าห้าคน แต่กลับย่ำเท้าหนักแน่นไปที่บันไดเรือด้วยสีหน้าเฉยชาเหมือนไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
บรรดาคนติดตามสงบปากสงบคำอย่างรู้หน้าที่ พวกเขารู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มผู้เป็นนายดูไม่สบอารมณ์เช่นนี้
คู่หมั้นจอมเอาแต่ใจจากเซี่ยงไฮ้นัดพบนายหนุ่มอย่างกะทันหัน ผู้หญิงคนนั้นโทรศัพท์เรียกนายของพวกเขาให้มาพบที่ท่าเรือ แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นสิ่งที่อยู่ในกำหนดการประจำวัน ทว่าเจ้านายของพวกเขาไม่ปฏิเสธก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว
“ออกเรือ”
ชายหนุ่มสั่งบรรดาคนติดตามตั้งแต่ก้าวแรกที่ขึ้นมาบนเรือลำนี้
“ครับนาย”
คำสั่งของนาย...เป็นสิ่งที่ไม่มีทางปฏิเสธได้ อันที่จริงถ้าหากชายคนนี้สั่งให้พวกเขาไปตาย พวกเขาก็มีหน้าที่เพียงแค่หาวิธีตายโดยไม่จำเป็นต้องถามสาเหตุ
เพราะนี่คือคำสั่งของ จางหลี่หง
ทายาทตระกูลจางซึ่งครอบครองธุรกิจใหญ่หลายอย่างในฮ่องกง ความร่ำรวยและมั่งคั่งนั้นไม่อาจประเมินได้ แม้ว่าจางหลี่หงจะมิใช่ประมุขคนปัจจุบันของตระกูลจาง แต่โดยฐานะความเป็นน้องชาย เขาจึงมีศักดิ์เป็นรองพี่ชายเพียงแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
ตระกูลจาง...หนึ่งในตระกูลชั้นนำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุในฮ่องกง ทายาทของจางรุ่นต่อรุ่นล้วนได้รับการยกย่อง ไม่ใช่เพียงเพราะความร่ำรวยของตระกูลซึ่งนับวันจะมีแต่เพิ่มพูนเท่านั้น แต่เป็นเพราะความสูงส่งของสายเลือด จึงทำให้ทายาทเป็นที่จับตามองด้วยรูปลักษณ์และกิริยาซึ่งสมบูรณ์แบบตามขนบของชนชั้นสูง
แต่นั่นเป็นเพียงฉากหน้าที่วงสังคมรับรู้เท่านั้น
สิ่งที่หลายคนไม่รู้...นั่นก็คือตระกูลจางมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพล‘มาเฟียฮ่องกง’อย่างแนบแน่น และสิ่งที่ไม่มีใครกล้าพูดแม้จะรู้ความจริงก็คือ ประมุขตระกูลจางก็คือบุคคลเดียวกับประมุขมาเฟียแห่งเกาะฮ่องกง
นั่นคือจักรพรรดิมาเฟียฮ่องกง
ฮ่องกงอาจเป็นเกาะเล็กๆ แต่มาเฟียฮ่องกงล้วนขึ้นชื่อลือชาในระดับโลก ด้วยความบ้าเลือดและกล้าได้กล้าเสียซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่ในสายเลือดลูกผู้ชายชาติมังกร ประวัติศาสตร์การขับเคี่ยวของแต่ละกลุ่มอิทธิพลก็นับว่ายาวนานไม่แพ้มาเฟียสายพันธุ์ใดๆ ในโลก
มาเฟียฮ่องกงจึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดหลักอย่างหนึ่งของฮ่องกง เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะเล็กๆ ซึ่งเคยถูกชาวตะวันตกเรียกขานว่า ‘โขดหินไร้ค่า’ส่วนหนึ่งก็ด้วยอำนาจเงินของกลุ่มอิทธิพลมืดเหล่านี้
เมื่อประมุขแห่งมาเฟียฮ่องกงก็คือองค์จักรพรรดิที่บรรดาสมุนทุกคนยอมตายแทนได้ น้องชายคนเดียวขององค์ประมุขก็ย่อมสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
จางหลี่หงจึงได้ถูกหมั้นหมายกับทายาทกลุ่มตระกูลใหญ่เจ้าของกิจการที่ร่ำรวยที่สุดในเซี่ยงไฮ้...ในเขตของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่นั่นเป็นการตกลงกันในหมู่ผู้อาวุโส โดยที่เจ้าตัวทั้งสองฝ่ายยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนแม้แต่น้อย
การจับคู่ระหว่างชนชั้นสูงเป็นธรรมเนียมสามัญของชาวจีน จางหลี่หงไม่เคยแสดงอาการต่อต้านเรื่องพวกนี้ เขาเกิดในตระกูลจางและเติบโตมาโดยรู้ฐานะของตนดี
ชนชั้นสูงในฮ่องกงยังรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมเอาไว้อย่างไม่มีบกพร่อง อาจเพราะเหตุนี้คนฮ่องกงจึงเชื่อมั่นในความมีอารยธรรมสูงส่งของตน ซึ่งอาจจะมากกว่าคนจากจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเคยผ่านการปฏิรูปวัฒนธรรมเสียอีก
ในกรณีนี้ก็เห็นได้ชัด...คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้จอมเอาแต่ใจเรียกตัวเขามาพบกะทันหัน และชายหนุ่มก็ยอมมาพบหล่อน แต่ลูกผู้ชายตระกูลจาง...ซึ่งมีสายเลือดเจ้าแห่งมาเฟียทุกหยาดหยดเช่นจางหลี่หงคงไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะยอมอ่อนข้อให้คู่หมั้นที่ไม่เคยพบหน้า
สีหน้าและแววตาเฉยชาของเขาในตอนนี้ซ่อนอารมณ์ความรู้สึกมิดชิด แม้บริวารคนสนิทจะรู้ดีว่าการมาครั้งนี้...ผู้เป็นนายไม่ได้มาต่อรอง แต่มาเพื่อกำราบความดื้อรั้นของคู่หมั้นที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง
เรือเริ่มเคลื่อนออกจากท่า และบรรดาคนติดตามของเขาก็กระจายกันไปเฝ้าตามจุดสำคัญ จางหลี่หงยังไม่ใช่ประมุขตระกูลจาง แต่การอารักขาชายหนุ่มคนนี้ก็เข้มงวดไม่แพ้ผู้นำตระกูล
ด้วยเหตุที่ว่า ประมุขตระกูลจางคนปัจจุบันยังไม่มีทายาท
เพราะเหตุนั้น จางหลี่หงจึงอยู่ในฐานะ ‘ทายาทหมายเลขหนึ่ง’ตราบเท่าที่ประมุขยังไม่มีบุตรเป็นของตนเอง
ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มก้าวไปยังบริเวณดาดฟ้าเรือ ร่างหญิงสาวคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขา หล่อนสวมชุดกระโปรงสีเงินที่พลิ้วกับสายลมเมื่อเรือแล่นออกสู่ทะเล หมวกใบใหญ่สวมกันลมเอาไว้ ทว่าเรือนผมสีดำขลับด้านหลังยังแผ่สยายตามแรงลม
หล่อนยังนั่งอยู่ที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ซึ่งหันหน้าเข้าหาวิว ดูไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้เช่นนี้ ดวงตะวันกำลังจมลงที่ผิวน้ำเบื้องทิศตะวันตก แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้เดินทางจากเซี่ยงไฮ้เพียงเพื่อมาชมอาทิตย์อัสดงที่ฮ่องกง
ร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้ และเมื่อเห็นหล่อนยังไม่มีปฏิกิริยา เขาจึงขยับไปยืนตรงหน้าอีกฝ่ายเพื่อเผชิญหน้ากันโดยตรง
ตอนนั้นเอง จางหลี่หงจึงได้รู้ว่าความนิ่งเฉยของหล่อนตลอดเวลานั้นเป็นเพราะ...หล่อนกำลังหลับ
และเหนือกว่านั้นก็คือรู้ว่า...ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คู่หมั้นของเขา!
แม้จะไม่เคยได้พบหน้าคู่หมั้นสักครั้ง แต่คนระดับทายาทตระกูลจาง หากต้องเกี่ยวดองกับใครแล้วก็ย่อมต้องมีข้อมูลของว่าที่เจ้าสาวมากพอจนเกิดความแน่ใจว่ามีคุณสมบัติที่เหมาะสม ข้อมูลเหล่านั้นเคยผ่านตาเขาด้วยแฟ้มเอกสารเป็นตั้งราวกับเป็นกิจการสำคัญ แน่นอนว่านั่นต้องมีรูปถ่าย และข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่บรรดาผู้ใหญ่ไม่กล้าพูดถึง
ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็คือซิดนีย์ ชาง คุณหนูผู้ร่ำรวยแห่งเซี่ยงไฮ้มีคนรักอยู่แล้วเป็นตัวเป็นตน และหล่อนก็คัดค้านการแต่งงานนี้ชนิดหัวชนฝาตามแบบเด็กสมัยใหม่
แน่นอนว่าการนัดพบครั้งนี้ คู่หมั้นสาวจะต้องถกเรื่องนี้กับเขาให้กระจ่าง
จางหลี่หงจึงเตรียมตัวมาเพื่อการเจรจาแบบนั้น แต่ไม่ใช่การพบหญิงสาวนิรนามอีกคนบนเรือลำเดียวกัน และยังเป็นเวลาที่เรือออกจากท่ามาไกลแล้วไม่น้อย
เงาของร่างสูงซึ่งทอดยาวตามลำแดดยามเย็นทำให้ลินจงรู้สึกตัว ทั้งที่เมื่อครู่มีเสียงฝีเท้าของเขาดังก้องทั่วดาดฟ้าเรือ แต่นั่นก็ไม่ปลุกหล่อนได้เท่ากับเงาดำตระหง่านซึ่งพาดทับใบหน้าสวยละไมแม้ในยามหลับใหล
หญิงสาวขยี้ตาเบาๆ ราวกับหล่อนไม่แน่ใจว่าภาพชายหนุ่มสูงสง่าในชุดสูทตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน และเมื่อหล่อนแน่ใจว่าเป็นความจริง ร่างบางก็ลุกพรวดพราด มองหน้าเขาด้วยความงุนงง
“อะไรน่ะ...คุณเป็นใคร?”
บทที่ 5
ลินจงตำหนิตัวเองซ้ำๆ...หล่อนไม่น่าเผลอหลับไปเลย!
แต่ลมเย็นๆ พวกนี้มันทำให้หล่อนรู้สึกผ่อนคลาย หญิงสาวรู้สึกเมื่อยล้าเพราะต้องตามคุณหนูกระเป๋าหนักคนนั้นช้อปปิ้งอยู่หลายชั่วโมง ผสมกับที่เมื่อคืนหล่อนก็ไม่ได้นอนเต็มอิ่มนัก พอมาเจอเก้าอี้นุ่มๆ และบรรยากาศที่แสนสบายแบบนี้จึงได้เผลอหลับอย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่เพื่อเป็นธุระแทนคุณหนูคนนั้น แต่ก็การนั่งคนเดียวนับชั่วโมงก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกเบื่อหน่าย สุดท้ายก็เผลอหลับตาพักผ่อนสักครู่ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการหลับใหลที่ยาวนานขนาดนี้
แต่ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือพอตื่นขึ้นมาหล่อนก็พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่สำคัญ...เรือลำนี้กำลังเคลื่อนที่ เมื่อเหลียวมองไปรอบๆ ลินจงก็แน่ใจว่ามันออกสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว
หมายความว่าหล่อนกำลังอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักกลางทะเลซึ่งไม่มีทางหนี!
“เธอเป็นใคร”
ชายหนุ่มไม่ยอมตอบ แต่กลับเป็นฝ่ายเอ่ยถามหล่อนบ้าง ลินจงลุกจากเก้าอี้นั่ง ถอยหลังจนปะทะเข้ากับราวเหล็กของเรือ ท่าทีของเขาดูไม่คุกคามก็จริง แต่ในสถานการณ์แบบนี้หญิงสาวยังไว้ใจอะไรไม่ได้
“เธอไม่ใช่...ซิดนีย์ ชาง”
จางหลี่หงไม่ก้าวเข้าไปใกล้หล่อน สีหน้าของเขานิ่งเฉยไม่ต่างจากน้ำเสียง เขารู้...หญิงสาวคนนี้กำลังกลัวเขา แต่หากนี่เป็นแผนการปั่นหัวเขาเล่นของคู่หมั้นสาว คุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ก็ควรใช้คนที่มีไหวพริบและพร้อมจะเผชิญหน้าเขามากกว่านี้
ที่สำคัญ หญิงสาวคนนี้พูดกับเขาด้วยภาษาจีนกวางตุ้ง ซึ่งเป็นสำเนียงมาตรฐานของฮ่องกงได้ชัดเจนมาก หากว่าหล่อนเป็นคนของซิดนีย์ซึ่งมาจากเซี่ยงไฮ้ด้วยกัน ก็น่าจะพูดภาษาทางนี้ไม่ได้ หรือได้ก็ต้องมีความแปร่งเพี้ยนเล็กๆ น้อยๆ
หน้าตาของหล่อนก็ดูเหมือนไม่ใช่ชาวจีนแท้ๆ ดวงตาของหล่อนดูกลมใสเต็มไปด้วยประกาย ผิวขาวแต่ไม่ได้ขาวซีด...เป็นผิวสีขาวเหลืองที่ดูสุขภาพดี รูปร่างสูงระหงพอๆ กับซิดนีย์ นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มมองพลาดไปในทีแรก
“ซิดนีย์? จริงสิ...หรือคุณจะเป็นคนที่ซิดนีย์นัดพบ”
ลินจงเอ่ยอย่างนึกได้ หล่อนพอจะคาดเดาได้แล้ว ผู้ชายคนนี้คงเป็นคู่หมั้นของคุณหนูจากเซี่ยงไฮ้ แต่เมื่อนึกถึงประโยคที่ซิดนีย์ฝากบอก หญิงสาวก็เกิดความกระอักกระอ่วนขึ้นมา
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่บุคคลที่หล่อนจะพูดอะไรเล่นๆ ด้วยได้ ลินจงรับรู้ถึงความน่าเกรงขามของเขาราวกับเป็นคุณชายผู้มีชาติตระกูล ไม่เพียงเท่านั้น ดวงตาสีดำขลับก็ทำให้หญิงสาวร้อนๆ หนาวๆ ผู้ชายคนนี้มีความดุดันแฝงอยู่ในตัว และหล่อนก็คงไม่ใช่คนที่จะต่อกรเขาได้แน่ๆ
“ซิดนีย์...เธอรีบกลับเซี่ยงไฮ้เพราะธุระด่วนค่ะ เธอฝากบอกว่าการนัดครั้งนี้คงต้องยกเลิก ฉันรออยู่ที่นี่เพื่อจะบอกคุณเท่านี้”
ประโยคดุเดือดว่า ‘ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เหอะฉันจะแต่งงานกับนาย!’กลายมาเป็นคำบอกเล่าที่สุภาพนิ่มนวล ลินจงเห็นเขายังนิ่ง เหมือนไม่สนใจธุระพวกนั้นแม้แต่น้อย
“ขอโทษที่ฉันเสียมารยาทกับคุณเมื่อครู่ คือฉันตกใจค่ะ ว่าแต่...ทำไมเรือมันออกจากท่าแล้วละค่ะ ฉันเข้าใจว่าน่าจะมีผู้โดยสารมากกว่านี้เสียอีก”
ลินจงพยายามเอ่ยต่อไป ความเงียบจากชายหนุ่มคนนี้ทำให้หล่อนรู้สึกอึดอัด
“เธอกับเจ้านายของเธอคิดจะเล่นเกมอะไรกัน”
เขาเอ่ยถามหล่อนอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาทุ้มมีกังวานน่าฟังอย่างมาก การพูดจาล้วนชัดเจนทุกอักขระ ลินจงเชื่อว่าที่หล่อนเคยคิดว่าเขาเป็นคุณชายตระกูลใดตระกูลหนึ่งนั้นคงเป็นจริงโดยไม่ต้องสงสัย
“อะไรนะคะ? ซิดนีย์ให้ฉันอยู่เพื่อบอกคุณเท่านั้น เธอกับฉันเพิ่งรู้จักกันวันนี้เพราะเธอบอกว่าเธอไม่มีเพื่อนเลยในฮ่องกง ฉันบังเอิญไปพบเธอในห้างสรรพสินค้าก็เลยมาที่นี่เป็นเพื่อนเธอ แล้วเธอก็ต้องรีบไปเพราะมีธุระด่วนที่เซี่ยงไฮ้ ที่ฉันรู้ก็มีเท่านี้”
ลินจงเริ่มรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาจริงๆ หล่อนถอยหลังไปอีกหลายก้าว บนเรือนี้ไม่มีคนอื่นหรือถึงไม่มีใครเข้ามาช่วยหล่อนได้แบบนี้!
ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้าหล่อนอย่างง่ายดาย
ลินจงเริ่มลนลาน แววตาของเขาเหมือนมีดที่พร้อมจะแล่เนื้อเถือหนังหล่อนได้ทุกเมื่อ มันช่างเป็นแววตาที่น่ากลัวจนหญิงสาวคิดว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ แล้วก็ต้องอุทานเบาๆ เมื่อข้อมือเล็กบางถูกรวบไว้แน่น ร่างระหงถูกกระชากกลับมาจนแทบเซล้ม
“ฉันถามว่าเจ้านายของเธอคิดจะเล่นเกมอะไร”
เสียงของเขาไม่แข็งกร้าว แต่ก็ไม่ใช่ความสุภาพนิ่มนวลเช่นกัน ข้อมือของหล่อนถูกบีบไว้แน่น กระดูกของหล่อนเหมือนกำลังถูกบด จนลินจงรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มทั้งยืน
หล่อนภาวนาให้ตัวเองกลัวจนเป็นลมหรือหมดสติ เพราะนั่นอาจจะดีกว่าการเงยหน้ามองใบหน้าสมบูรณ์แบบราวเทพบุตรแต่แฝงเร้นไว้ด้วยวิญญาณแห่งนักล่าของเขาคนนี้
“ซิดนีย์...ไม่ใช่นายหญิงของฉันนะคะ...”
หล่อนเอ่ยเสียงเบาหวิว แปลกใจตัวเองที่จนบัดนี้...หล่อนยังมีสติมองตาเขา และเจรจาโต้ตอบได้
“ฉันเพิ่งรู้จักเธอ...เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน...”
ลินจงพยายามสลัดข้อมือออก แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายตัวสูงใหญ่กว่าหล่อนมากนัก พละกำลังของชายคนนี้เหนือกว่าหล่อนหลายเท่า ถ้าเขาต้องการหักคอหล่อนให้ตายคามือก็อาจจะทำได้ด้วยซ้ำ
ตั้งแต่เกิดมาหล่อนไม่เคยพบกับใครที่ทำให้เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นได้มากขนาดนี้ เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงกรรโชกหรือคำพูดขู่คำราม แต่แค่ดวงตาเรียวคมมองหล่อนนิ่งๆ ลินจงก็รู้สึกเหมือนถูกล้วงลึกเข้ามาถึงความคิดความอ่านที่อยู่ข้างใน
จางหลี่หงกำลังอ่านหล่อน ดวงตากลมของหญิงสาวดูใสราวแก้วที่ไม่มีอะไรเคลือบแฝง หล่อนเหมือนสัตว์ป่าอ่อนแอที่หลงเข้ามาในพงนักล่าและกำลังหวาดระแวง นี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่ควรถูกส่งมาเพื่อปั่นหัวเขาเลยแม้แต่น้อย
“ปล่อย...ปล่อยฉันก่อน...ได้ไหมคะ”
หญิงสาววอนขอ แต่แน่นอนว่าเขาไม่สนใจ ในเมื่อซิดนีย์ ชางคิดจะเล่นเกมกับเขา เขาก็จะเดินเกมโต้ตอบกับเบี้ยหมากของหล่อนที่ถูกทิ้งไว้บนเรือลำนี้เช่นกัน
แต่แล้ววินาทีนั้น ชายหนุ่มก็รับรู้ถึงรังสีแห่งการฆ่าฟัน!
บนเรือที่แล่นออกจากท่า แต่อย่างไรเสียก็ยังไม่พ้นไปสู่ทะเลใหญ่ดีนัก ห่างออกไปเพียงไม่ถึงร้อยเมตรยังมีแนวเรือที่จอดอยู่ในท่าเรือล้อมรอบ สถานการณ์แบบนี้เหมือนเขากำลังตกเป็นเป้ากลางทะเล แม้จะยังไม่เห็นว่านักล่าคือใคร อยู่ที่ไหน แต่ชายหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความสังหรณ์จนแน่ใจ
อะไรบางอย่างกำลังเล็งมาที่เขา!
ร่างสูงรับรู้ได้ถึงแสงสะท้อนชั่ววูบจากชายฝั่งผ่านเข้ามาในดวงตา แม้จะเป็นเหตุการณ์เพียงเสี้ยววินาที แต่นั่นก็มากพอที่จะปลุกประสาทสัมผัสของชายหนุ่มตื่นตัว
“คุณจะทำอะไร!”
ลินจงร้องอุทานด้วยความคาดไม่ถึง เพราะหลังจากชายหนุ่มละสายตาจากหล่อนเพื่อไปเขม้นมองบริเวณชายฝั่งแล้ว ร่างสูงก็รวบคว้าเอวบางของหล่อนแล้วพาพุ่งราบลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว
เพล้ง!!!
กระถางที่บรรจุต้นไม้ประดับบนดาดฟ้าเรือแตกกระจาย
ลินจงสะดุ้งเฮือก หล่อนไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่เห็นชัดว่าในตำแหน่งที่เขาและหล่อนเพิ่งยืนอยู่เมื่อครู่ถูกเล็งด้วยอะไรบางอย่างจนกระถางต้นไม้แตกกระจาย นั่นหมายความว่าหากผู้ชายคนนี้ไม่ได้พุ่งมารวบหล่อนให้ล้มมาด้วยกันแบบนี้ เขาและหล่อนก็คงตกเป็นเป้าแทนกระถางนั้นไปแล้ว
หญิงสาวตวัดสายตากลับมามองเขา ด้วยความกลัวและความสับสนที่กำลังล้นปรี่ สัญชาตญาณบอกให้รีบหนีห่างจากชายคนนี้ เพราะแม้เขาจะไม่อันตราย แต่สถานการณ์ตรงนี้นับว่าอันตรายเกินไป
ดวงตาเรียวคมก็กำลังมองหล่อน มือเล็กๆ คู่นั้นที่กำลังยันบ่าเขาเอาไว้ ทั้งที่ควรจะรู้ว่าตอนนี้ร่างของเขากำลังเป็นเกราะกำบัง นั่นทำให้ชายหนุ่มเกิดคำถามบางอย่างในใจ
เขาไม่ควรช่วยเหลือหญิงสาวนิรนามคนนี้ ในเมื่อหล่อนอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนลวงที่ล่อให้เขามาตกอยู่ในภยันตราย
แต่ดวงตาใสที่ฉายแววตื่นตระหนกบนใบหน้างามละไมนั้นกำลังลดทอนสัญชาตญาณระวังภัยในตัวเขาลง และปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเข้ามากอบกุมในหัวใจทีละน้อย
จางหลี่หงไม่ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ที่ควบคุมไม่ได้นานไปนัก เพียงไม่กี่วินาทีต่อมาชายหนุ่มก็หยัดกายขึ้นครึ่งหนึ่ง และกระชากเอาสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อสูทด้านในออกมา
ลินจงซึ่งดิ้นขลุกขลักจึงได้เบิกตากว้าง เพราะนั่นคือ...ปืน!
เสียงวัตถุแตกกระจายเรียกให้บริวารของจางหลี่หงมารวมตัวกันที่ดาดฟ้า และเมื่อเห็นผู้เป็นนายชักปืนออกมาจากตัวเสื้อ แล้วพยายามเล็งปืนไปยังชายฝั่งด้วยมือข้างเดียว เพราะมืออีกข้างยังโอบประคองร่างผู้หญิงคนหนึ่งไว้ พวกเขาก็รีบกรูกันเข้ามาปกป้องอย่างเต็มความสามารถ
“มันอยู่ตรงนั้น ที่เรือจอดอยู่ที่ท่านั่น!”
ลินจงได้ยินเสียงผู้ชายหลายคนสั่งการต่อกันเป็นทอดๆ หล่อนกวาดตามองว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่มั่นใจว่านี่คงเป็นการปะทะระหว่างกลุ่มแก๊งที่บังเอิญหล่อนเข้ามาอยู่ตรงกลางอีกครั้ง
ชายในชุดสูทดำหลายคนชักปืนออกมาจากเสื้อ เสียงปืนลั่นจากปากกระบอกเริ่มดังขึ้นถี่ยิบ ลินจงเริ่มสั่นด้วยความกลัว ไม่กี่คืนก่อนหล่อนก็ตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายคลึงกันบนรถยนต์ แต่ตอนนั้นอาจจะดีกว่าตรงที่หล่อนเอาชีวิตรอดมาแล้ว ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ายังเป็นสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานที่หล่อนไม่รู้ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร
กระเป๋าสะพายของหล่อนร่วงหล่นพื้น มันอาจจะหล่นตั้งแต่ตอนที่หล่อนลนลานถอยหนีชายแปลกหน้า หญิงสาวพยายามสลัดแขนแข็งแกร่งออกไปเพื่อตะเกียกตะกายไปหากระเป๋าใบนั้น ในใจของหล่อนคิดเพียงอย่างเดียว
เงินของทศ!
เงินก้อนที่ชายหนุ่มคนนั้นมอบให้หล่อนเพื่อเป็นความหวังในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หล่อนเสียเวลาทำเรื่องไร้สาระทั้งวันเพื่อจะผ่านพ้นวันนี้ แล้วเดินทางกลับเมืองไทยวันรุ่งขึ้น อนาคตของหล่อนอยู่ในกระเป๋าใบนี้ ลินจงจึงไม่ยอมปล่อยมันไปเด็ดขาด
ในที่สุดอ้อมแขนแข็งแกร่งก็ไม่อาจกักขังหล่อนไว้ได้ หญิงสาวสลัดจากเขาจนหลุด ชายหนุ่มพยายามคว้าร่างหล่อนกลับมาแต่ไม่เป็นผล
ลินจงไม่รู้ว่าในสถานการณ์แบบนี้หล่อนควรอยู่นิ่งกับที่ให้มากที่สุด หล่อนเป็นคนธรรมดา ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในพื้นที่การปะทะต่อสู้ระหว่างมาเฟีย ที่ซึ่งมีกระสุนพุ่งมาจากทุกทิศในอากาศ หญิงสาวจึงเหมือนลูกแกะตัวน้อยที่หลงเข้ามาในดงหมาป่าซึ่งกำลังทำห้ำหั่นกัน ชีวิตของหล่อนแขวนอยู่บนเส้นด้ายโดยไม่รู้ตัว
อีกไม่กี่วินาทีหล่อนก็จะคว้ากระเป๋าใบนั้นเอาไว้ได้ แต่แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
แรงกระสุนพุ่งเฉียดผ่านร่างหล่อนไป ปืนที่ไม่มีเสียงทำให้หล่อนแทบไม่รู้ตัวว่ากลายเป็นเหยื่อตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงสาวล้มลง ร่างระหงหลุดร่วงจากแนวรั้วเหล็กโครเมียมลงสู่พื้นกราบเรือที่ต่ำกว่า และศีรษะฟาดกระแทกเข้ากับหมุดโลหะขนาดเขื่องซึ่งเป็นส่วนประกอบของเรือที่ด้านล่างด้วยความแรง
ตึง!!!
ความเจ็บปวดแล่นร้าวไปทั่วกะโหลกศีรษะ หญิงสาวไม่รู้ว่าความเจ็บที่เกิดขึ้นทั่วร่างขณะนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ เพราะกระสุนปืน หรือเพราะแรงกระแทกจากแท่นโลหะ แต่ที่ลินจงแน่ใจก็คือ...หล่อนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจที่อ่อนลงทุกที จนเหมือนชีพจรจะหยุดลงในอีกไม่ช้า
ชีวิตช่างเป็นสิ่งเปราะบาง...
เพียงวันพรุ่งนี้ หล่อนจะได้กลับบ้านเกิด เมืองไทยที่สงบสุขและปลอดภัย แต่แล้วทุกอย่างก็กลับแปรผัน หล่อนไม่หลงเหลืออนาคตอีกแล้ว เมื่อสติสุดท้ายของหล่อนกำลังจะโบยบินจากร่าง หล่อนคิดว่า...หล่อนเห็นมัจจุราชกำลังมารับตัวหล่อน
มัจจุราชในชุดสูทสีเทา...เจ้าของดวงตาเรียวได้รูป....ดวงตาคมปลาบที่ปลิดลมหายใจหล่อนได้ตั้งแต่แรกพบ
++++++++++++++++++++++++++
จางหลี่หงถูกลอบสังหาร เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่สมุนในกลุ่มตระกูลจางต้องวิ่งวุ่นจัดการหลังเกิดเหตุในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ชายหนุ่มรอดชีวิต เขาไม่เป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ ทายาทอันดับหนึ่งของตระกูลจางถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อรับมือสถานการณ์แบบนี้ บริวารซึ่งอารักขาเขาก็ล้วนมีฝีมือระดับพระกาฬ ฉะนั้นต่อให้ศัตรูจ้างนักฆ่าอันดับหนึ่งมาเพื่อการนี้ ก็ใช่ว่าจะล้มล้างทายาทคนสำคัญได้ง่ายนัก
เสียงปืนต่างหากที่ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ตำรวจฮ่องกงมักจะไวข่าวเมื่อมีการปะทะหรือลอบสังหารมาเฟียเสมอ แต่กลุ่มมาเฟียระดับชนชั้นนักปกครองก็ไหวตัวได้เร็วและเหนือชั้นกว่าหลายเท่า เมื่อเกิดการปะทะ มาเฟียจึงไม่อยู่รอการสอบสวนจากตำรวจ แต่จะเร้นหายไปในรังของตน ที่ตรงนั้นแม้แต่กฎหมายฮ่องกงก็เอื้อมไม่ถึง
จางหลี่หงนั่งรออยู่ในห้องรับรองแขกพิเศษของโรงพยาบาลเอกชน แน่นอนว่าคนที่บาดเจ็บไม่ใช่เขา และไม่ต้องกล่าวถึงบริวารของเขาซึ่งแทบไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือต่อให้บาดเจ็บ...คนเหล่านั้นก็มีแพทย์ประจำตระกูลที่รักษาได้โดยไม่ต้องพึ่งพาบริการของโรงพยาบาล
แต่เขามาที่นี่เพื่อส่งร่างหล่อนให้หมอผู้เชี่ยวชาญรักษา อย่างน้อยโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ได้รับเงินบริจาคจากตระกูลจาง จนเชื่อใจได้ว่าคนไข้หญิงคนนี้จะถูกเก็บเป็นความลับ แม้ว่าคณะแพทย์ผู้ทำการรักษาจะประจักษ์ตาว่าบาดแผลบริเวณไหล่ของผู้หญิงคนนั้นเกิดจาก...กระสุนปืน
“นายใหญ่กำลังสั่งคนสอบสวนครับนาย ถึงจะยังมีข้อมูลยืนยันไม่ได้...แต่น่าจะเป็นฝีมือพวกฝั่งนิวเทอร์ริทอรี”
บริวารของเขาคนหนึ่งสันนิษฐาน แต่นั่นไม่ใช่การเดาสุ่ม เพราะก่อนจะเป็นข่าวรายงานนาย ความจริงย่อมถูกคั้นจนเหลือแต่ความจริงที่เชื่อถือได้เท่านั้น
มาเฟียฮ่องกงมีอาณาเขตที่แน่นอนในเขตปกครองของตัวเอง บางทีเขตแดนของมาเฟียอาจชัดเจนกว่าเขตแดนของรัฐบาลเสียอีก ตระกูลจางเป็นเจ้าแห่งมาเฟียในเขตเกาะฮ่องกงซึ่งเป็นแผ่นดินหลัก ขณะที่ฮ่องกงยังมีอีกฟากฝั่งคือเขตเกาลูน และถัดไปคือเขตนิวเทอร์ริทอรี
“เพราะช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวว่าพวกมันนำเข้าคนจากยุโรปตะวันออก ปลอกกระสุนที่พบวันนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นผลผลิตหลังสงครามเย็นที่จบลงในแถบนั้น เพราะฉะนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นนักฆ่าที่ถูกนำเข้าโดยพวกเขตนิวเทอร์ริทอรีครับนาย”
“ก็นับว่าพวกมันลงทุนกับฉันไม่น้อย ถึงกับเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฉันโดยไม่รู้กำหนดการอยู่ตลอดเวลา”
สีหน้าคนเกือบจะตกเป็นเหยื่อกระสุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนไม่ได้แสดงความสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“การที่ฉันออกมาพบซิดนีย์ ชางไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นตามกำหนดการ...ถึงได้กลายเป็นโอกาสทองที่พวกมันไม่ยอมให้ปล่อยไปได้ง่ายๆ”
“นายครับ ส่วนเรื่องคุณหนูชาง ผมได้ข้อมูลจากสนามบินแล้ว ดูเหมือนเธอจะมาที่นี่เพียงลำพัง และกำลังขึ้นเครื่องกลับเซี่ยงไฮ้ เท่าที่ทราบ...เกิดอุบัติเหตุกับแฟนหนุ่มของเธอ เธอจึงได้หุนหันกลับไปครับ” คนสนิทรายงานต่อ
จางหลี่หงนิ่ง...เขาแน่ใจว่าหญิงสาวซึ่งกำลังอยู่ในมือแพทย์ขณะนี้เป็นคนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องกับซิดนีย์ ชางมาก่อนจริงๆ อันที่จริง...เขาแน่ใจตั้งแต่ก่อนจะได้รับข่าวกรองนี้แล้วด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาไม่ควรยุ่งกับหล่อน หากปล่อยให้หล่อนสลบอยู่บนเรือลำนั้นก็ถือว่าเป็นยถากรรมของหล่อนเองที่เข้ามารู้จักกับซิดนีย์โดยบังเอิญ แต่เขากลับเป็นคนที่โอบอุ้มหล่อนลงมาจากเรือที่เกิดเหตุ และนำหล่อนมารักษาในที่ปลอดภัยแห่งนี้
“ส่วนผู้หญิงคนนี้ ผมจะให้คนของเราสืบ...”
แน่นอนว่าใครก็ตามที่จะเข้าใกล้ทายาทตระกูลจาง และยิ่งใกล้ชิดขนาดกลายเป็นคนไข้ที่จางหลี่หงจะดูแล คนคนนั้นจะต้องถูกตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดยิบ
“ไม่ต้อง” ชายหนุ่มเอ่ยห้วนสั้นโดยที่คนสนิทยังไม่ทันได้พูดจบ “สืบเรื่องพวกที่ลอบฆ่าฉันอย่างเดียว ฉันต้องการรู้ว่าใครสั่งการครั้งนี้ ส่วนเรื่องของเธอ...ฉันจัดการเอง”
“ครับนาย...”
คำสั่งของนาย...คือคำสั่งที่พวกเขาต้องทำตามโดยไม่มีสิทธิ์ตั้งข้อสงสัยเท่านั้น
“คุณจาง...เชิญทางนี้ครับ”
นายแพทย์ประจำโรงพยาบาลถึงกับออกมาต้อนรับชายหนุ่มด้วยตัวเอง ปกติแล้วโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ต้อนรับคนป่วยจากวงสังคมระดับสูง แต่สมาชิกตระกูลจางเองกลับไม่เคยมาใช้บริการที่นี่ ทั้งๆ ที่เป็นหนึ่งในเจ้าของเงินทุนและเงินบริจาคสำคัญ
“คุณผู้หญิงปลอดภัยแล้วครับ เรากำลังพาเธอไปที่ห้องพิเศษ คิดว่าอีกไม่นานเธอคงจะฟื้น อาการของเธอไม่หนักมากครับ กระสุน...เอ้อ...ผมหมายถึงบาดแผลที่ไหล่ของเธอไม่ร้ายแรงมาก เพราะมันแค่ถากไปเล็กน้อย ที่หนักกว่าอาจจะเป็นแรงกระแทกที่ศีรษะของเธอครับ การที่เธอสลบก็เป็นเพราะแรงกระแทกนี่แหละครับ ไม่ใช่เพราะบาดแผล”
“เธอปลอดภัยดีใช่ไหม”
เขาถามเสียงเรียบๆ ระหว่างที่เดินตามนายแพทย์ไปยังห้องพิเศษของโรงพยาบาล ธรรมดาห้องผู้ป่วยทั่วไปของโรงพยาบาลนี้ก็ค่าใช้จ่ายสูงอยู่แล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับระบุว่าเขาต้องการห้องพิเศษที่สุดสำหรับผู้ป่วยสาว นั่นย่อมแสดงถึงความสำคัญของหล่อนซึ่งไม่ธรรมดา
“แน่นอนครับ ร่างกายเธอฟื้นตัวได้เร็ว เชิญครับ...อาจจะใกล้ได้เวลาที่เธอฟื้นพอดี”
บรรดาบริวารในชุดสูทดำของจางหลี่หงยืนเฝ้าอยู่หน้าห้อง ร่างสูงก้าวเข้าไปช้าๆ ในห้องผู้ป่วยที่ดูไม่ต่างจากห้องโรงแรมชั้นดี แต่เน้นความสะอาดมากกว่าความหรูหรา นายแพทย์ผละจากไปเพื่อไปคุยงานกับนางพยาบาลในห้อง จางหลี่หงจึงสืบเท้าไปที่เตียงคนไข้ช้าๆ
ดวงตาเฉยชาเป็นนิตย์ของเขากำลังเปลี่ยนแปลงไป ใบหน้าอ่อนละไมที่หลับใหลอยู่ตรงหน้าคล้ายมีแรงดึงดูดอย่างประหลาด แม้ชายหนุ่มจะเคยผ่านสาวสวยในวงสังคมระดับสูงมาหลายคน แต่ผู้หญิงพวกนั้นไม่อาจตรึงสายตาเขาได้เท่าร่างบอบบางเจ้าของดวงหน้าใสบริสุทธิ์ตรงหน้านี้
วินาทีนั้น...ชายหนุ่มลืมเรื่องของคู่หมั้นไปหมดหัวใจ
อะไรบางอย่างบอกตัวเองว่า...เขาต้องการผู้หญิงคนนี้!
ไม่บ่อยนักที่จางหลี่หงจะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ความปรารถนาอันแรงกล้า และลึกลงไปคือความอบอุ่นเมื่อรู้ว่านับจากนี้เขาจะมีหล่อนอยู่ในการครองครอง
ชายหนุ่มยืนตระหง่านข้างเตียงด้วยความต้องการมาดมั่นเช่นนั้น จนกระทั่งสังเกตได้ถึงอาการขยุกขยิกของร่างน้อยบนเตียงกว้าง เป็นสัญญาณว่าหล่อนกำลังจะฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว ตอนนั้นเองนางพยาบาลก็เข้ามาหาหญิงสาว และช่วยประคองหล่อนที่พยายามลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองช้าๆ
“ที่นี่ที่ไหนน่ะ...”
หญิงสาวส่งเสียงถาม สายตาของหล่อนกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง และเมื่อพบร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้า หล่อนก็เอาแต่มองเขานิ่งอยู่เช่นนั้น
แววตาของหล่อนไม่มีความเกลียดหรือกลัวอย่างที่เคยเป็น แต่มันเหมือนหล่อนไม่รู้จักเขา ไม่แม้แต่จะเคยพบเห็นเขามาก่อนในชีวิต
“คุณ...คุณเป็นใคร?”
หญิงสาวเอ่ยถามออกมา จางหลี่หงรู้ดีว่าจนบัดนี้เขาก็ยังไม่เคยได้แนะนำตัวให้หล่อนรู้จักสักครั้ง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอธิบายอะไรออกไป สาวน้อยตรงหน้าก็พึมพำขมวดคิ้ว
“ไม่สิ...แล้วฉันล่ะ...ฉันเป็นใครกัน?”
บทที่ 6
“มันคืออาการสูญเสียความทรงจำครับคุณจาง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่ศีรษะถูกกระแทก ทำให้ความทรงจำบางส่วนสูญหายไป”
นายแพทย์เจ้าของไข้อธิบายกับชายหนุ่ม หลังจากหญิงสาวคนนั้นฟื้นขึ้นมา คณะแพทย์และชายหนุ่มที่พาหล่อนมาส่งจึงพบว่าอาการบาดเจ็บของหล่อนไม่ได้มีเพียงภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสียความทรงจำ
หล่อนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจนทำให้หล่อนต้องมานอนในโรงพยาบาลแบบนี้ และแม้แต่ตัวเองชื่ออะไร...หญิงสาวก็ยังบอกไม่ถูก
“คนไข้มักจะจำเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้ โดยมากมักจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะเกิดอุบัติเหตุครับ แต่สิ่งที่เป็นทักษะติดตัวอย่างเช่น ความสามารถในการพูดภาษาที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน ของพวกนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงครับ แต่ยังไงก็ตาม...ถ้าคนไข้ได้รับการฟื้นฟูทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยที่คนรอบข้างพยายามพาเธอไปในที่ที่เธอเคยอยู่ พาเธอทำสิ่งที่เธอเคยทำ ความทรงจำก็จะฟื้นกลับคืนมาได้ ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลจนเกินไปครับคุณจาง”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อโค้ทสีดำสนิทรับฟังคำบอกเล่าของแพทย์ ทว่าสายตาเอาแต่มองร่างบางระหงซึ่งกำลังเดินอยู่ในสวนหย่อม มีนางพยาบาลถึงสองคนคอยประคองช่วยเหลือ ไม่เพียงเท่านั้น หลายจุดในสวนยังมีคนของเขาคอยเฝ้าหล่อนอยู่ห่างๆ แต่หญิงสาวคนนั้นกลับไม่รู้ตัว
“เธอจำเรื่องราวก่อนเกิดอุบัติเหตุไม่ได้งั้นหรือ...”
จางหลี่หงเอ่ยออกมาแผ่วเบา ถ้าเช่นนั้นมันก็ย่อมหมายความว่า...หล่อนจะจำเหตุการณ์บนเรือไม่ได้ และยังไม่รู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร
“มันจะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหน”
“โดยมากการสูญเสียความทรงจำหลังอุบัติเหตุมักจะเป็นความทรงจำระยะสั้นครับ คนไข้หลายคนยังพอจะจำคนในครอบครัวและเรื่องราวเก่าๆ ได้ เพียงแต่จะจำวันที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้เท่านั้น ถ้าญาติช่วยฟื้นฟูคนไข้ก็จะหายกลับมาเป็นปกติในเวลาไม่กี่เดือน ในกรณีของคุณผู้หญิง...เราสแกนสมองไม่พบความผิดปกติที่น่าเป็นห่วง เพราะอย่างนั้นคงใช้เวลาแค่สักเดือน...หรืออาจจะสองเดือนครับ ไม่ต้องห่วงครับคุณจาง...ความทรงจำของเธอต้องกลับมาแน่ๆ”
คำยืนยันเป็นมั่นเหมาะของนายแพทย์ต่างหากคือสิ่งที่จางหลี่หงไม่ต้องการ
“ที่ฉันห่วงก็คือ...ความทรงจำของเธอจะกลับมาต่างหาก”
ประโยคนั้นดังอยู่แต่ในใจชายหนุ่ม ภาพแววตากลมใสที่ฉายแต่ความหวาดกลัวเขายังติดตรึงอยู่ในความนึกคิด ถ้าหากหญิงสาวคนนั้นยังเป็นคนเดิม หล่อนก็จะฟื้นขึ้นมาและมองเขาด้วยแววตาแบบนั้น แต่จางหลี่หงไม่มีวันลืมแววตาของหล่อนที่กลายเป็นคนใหม่ มันเป็นแววตาของผู้หญิงที่ไม่หวาดกลัวเขาอีกต่อไป
เขาต้องการแววตาแบบนี้...
สิ่งที่จางหลี่หงต้องการ...ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่ได้ครอบครอง
กระเป๋าของหล่อนถูกเขาเก็บเอาไว้ เขารู้ดีว่าหล่อนชื่อ ‘หลิน’ แต่ดูเหมือนหล่อนจะมีอีกชื่อในภาษาไทย เขารู้ได้จากพาสปอร์ตสำหรับการเดินทางในกระเป๋าของหญิงสาว มันระบุว่าหล่อนมีเชื้อสายมาจากประเทศไทยซึ่งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บางทีหล่อนอาจจะกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน แต่ต้องมาพัวพันในเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเสียก่อน
จางหลี่หงจึงเก็บหลักฐานเอกสารทุกอย่างของหล่อนเอาไว้ ผู้หญิงในมือของเขากำลังเหมือนแผ่นกระดาษสีขาว นับจากนี้ไป...เขาจะขีดเขียนความทรงจำใหม่ให้แก่หล่อนด้วยตัวเอง!
+++++++++++++
“วันนี้หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ เราจะกลับบ้านของเรากัน”
จางหลี่หงบอกกับหล่อน คนรับใช้หลายคนกำลังเก็บสัมภาระลงกระเป๋า หน้าที่ของหญิงสาวมีเพียงประคองตัวลงจากเตียงเท่านั้น อันที่จริงหล่อนแทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเลย ทุกๆ ย่างก้าวมีชายหนุ่มร่างสูงคนนี้คอยประคองประคอง มันเป็นภาพที่แสนหวานจนนางพยาบาลหลายคนยังต้องแอบยิ้มด้วยความชื่นชม
แต่หลายครั้ง...หล่อนก็ไม่แน่ใจเลย หล่อนรู้จักจาง หลี่หงแน่หรือ?
‘ฉันคือจางหลี่หง คนรักของเธอ...หลิน’
นั่นคือประโยคแรกที่ชายหนุ่มบอกกับหล่อน เพราะตอนนั้นหญิงสาวจำอะไรไม่ได้ แม้แต่ชื่อที่ตัวเองใช้มาตั้งแต่เกิดก็ยังคิดไม่ออก เมื่อหล่อนได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เพราะผู้ชายท่าทางดูดีมีระดับราวกับคุณชายจากตระกูลชั้นสูงแบบนี้...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนรักของหล่อนได้
กระนั้น หลินก็นึกไม่ออกว่าหากไม่ใช่แล้ว เขาจะเข้ามาดูแลเอาใจใส่หล่อนขนาดนี้ไปทำไม นางพยาบาลพูดกรอกหูหล่อนบ่อยๆ ว่าสามีของหล่อนช่างน่ารักมาก เขาทุ่มเทเงินไม่อั้นสำหรับการรักษาหล่อน ยารักษาโรคหรือข้าวของสำหรับหล่อนก็ล้วนเป็นของชั้นดีมีราคาทั้งนั้น
หญิงสาวรู้สึกว่า...เดิมแล้วหล่อนไม่เคยชินกับชีวิตที่หรูหราเช่นนี้ ห้องพักของหล่อนในความทรงจำรางๆ ก็เป็นที่ซึ่งคับแคบ...แวดล้อมไปด้วยตึกสูงที่บดบีบให้รู้สึกอึดอัด หล่อนเคยพบปะผู้คนที่เห็นได้ทั่วไปตามบนถนนของฮ่องกง ไม่ใช่ชีวิตในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลชั้นหรู และได้พบแต่คนรับใช้ที่พินอบพิเทาแบบนี้
แต่จางหลี่หงบอกเพียงว่านั่นเป็นอดีตของหล่อน และเขาก็ไม่เคยอธิบายว่าผู้ชายแบบเขา...ผู้ชายที่ดูแตกต่างจากหล่อนราวฟ้ากับดิน...เหตุใดจึงมารักหล่อนได้
หล่อนไม่รู้ว่าตัวเองเคยรักเขาหรือเปล่า แต่หากมันมีช่วงเวลาแบบนั้นจริงก็คงเป็นช่วงสั้นๆ ก่อนที่หล่อนจะประสบอุบัติเหตุจนสูญเสียความทรงจำ
ยิ่งคิดหญิงสาวก็รู้สึกว่าหล่อนหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้อีกเลย
จางหลี่หงประคองร่างของหล่อนพาไปยังรถลีมูซีนที่จอดรออยู่หน้าโรงพยาบาล เบาะรถแบบนี้นุ่มมากจนหญิงสาวรู้สึกว่าผิวของหล่อนอาจจะสากเสียยิ่งกว่าเบาะ ด้านหน้าด้านหลังยังมีรถคนติดตามซึ่งเป็นชายในชุดสูท หญิงสาวเคยสงสัยว่าจางหลี่หงเป็นใครกัน เหตุใดเขาจึงมักปรากฏตัวพร้อมกับบริวารหนาตาแบบนี้
“ฉัน...ฉันเคยเรียกคุณว่าอะไรคะ”
ระหว่างที่รถออกวิ่ง หญิงสาวหันไปถามเขา ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อนเล็กน้อย ดวงตาสีดำขลับในกรอบตาเรียวคู่นั้นทำให้ใจของหล่อนสั่นสะท้านทุกครั้ง ถ้าหล่อนเป็นคนรักของเขา...ก็น่าที่จะคุ้นเคยกับแววตาเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
“หลี่หง...”
เขาเอ่ยชื่อตัวของเขาเบาๆ สำหรับคนสนิทกันแล้ว การเรียกชื่อไม่จำเป็นต้องขึ้นด้วยแซ่ก่อน
“หลี่...หง...”
หล่อนทวนเสียงแผ่ว ริมฝีปากเหมือนไม่คุ้นเคยกับการเรียกชื่อแบบนี้เลยสักนิด ที่สำคัญมันเหมือนหล่อนกลายเป็นคนใกล้ชิดของเขา เมื่อต้องเรียกเขาด้วยชื่อตัวแบบนี้
“และฉันก็เรียกเธอว่า...หลิน...”
“หลิน...”
นี่สิเป็นชื่อที่หล่อนเคยคุ้น แต่ลึกๆ แล้วหญิงสาวก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจ
หล่อนชื่อหลินก็จริง...แต่มันเหมือนหล่อนจะมีอีกชื่อหนึ่งไม่ใช่หรือ ชื่อที่ไม่ใช่ภาษาจีน แต่ก็ไม่ใช่ชื่อภาษาอังกฤษอย่างที่ชนชั้นสูงของฮ่องกงนิยมมีกัน
ลิน...
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด แต่มันกลับยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกปวดเป็นริ้วๆ ไปทั่วศีรษะ จนหล่อนต้องยกมือข้างหนึ่งมากุมหน้าผากตัวเอง
“ปวดหรือ...”
เสียงต่ำลึกเอ่ยถาม หญิงสาวได้แต่พยักหน้าช้าๆ แพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลก็เคยเตือนหล่อนว่าอย่าคิดมาก เพราะการได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะทำให้ระบบสมองและความทรงจำของหล่อนยังไม่กลับเป็นปกติ และหล่อนต้องผ่อนคลายทั้งจิตใจอารมณ์เพื่อจะหายเป็นปกติในเร็ววัน
“มาหาฉัน...หลิน...”
มือกว้างประคองศีรษะของหล่อนเอาไว้ แล้วโอบร่างของหล่อนมาอิงซบแนบแผ่นอกแกร่ง ความใกล้ชิดแบบนั้นทำให้หล่อนได้กลิ่นน้ำหอมชั้นสูงซึ่งผสานกับกลิ่นกายของเขา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ลมหายใจ และแรงเต้นของชีพจรเป็นจังหวะซึ่งทำให้ใจของหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ
เรือนผมยาวสลวยของหล่อนนุ่มเนียนเหมือนแพรไหม อุ้งมือกว้างของชายหนุ่มลูบไล้เรือนผมยาวพวกนั้นอย่างแผ่วเบา ราวกับหล่อนเป็นตุ๊กตาแก้วซึ่งเขาต้องทะนุถนอมเอาไว้สุดชีวิต
หล่อนเคยใกล้ชิดกับเขามาก่อนแน่หรือ?
ทำไมพอได้อิงแอบอยู่กับแผ่นอกอบอุ่นนี้แล้ว...หญิงสาวจึงรู้สึกร้อนซู่ราวกับไม่เคยได้อยู่ใกล้ชิดกับเขามาก่อน
แต่หล่อนรู้เพียงอย่างเดียว...สัมผัสของเขาทำให้หล่อนรู้สึกถึงความมั่นคง...ปลอดภัย เหมือนอ้อมอกและมือคู่นี้จะปกป้องหล่อนได้ทั้งชีวิต
ชีวิตของหล่อนจึงอยู่ในอุ้งมือของเขา...จางหลี่หง
+++++++++++++++++++++
จุดหมายปลายทางคือบ้านริมทะเลบริเวณอ่าวเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง ขนาดของบ้านกว้างขวางจนทำให้หญิงสาวแทบไม่เชื่อสายตา
แม้จะสูญเสียความทรงจำ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในฮ่องกงของหล่อนยังไม่สูญหาย ฮ่องกงเป็นเกาะเล็กๆ ที่ดินที่นี่จึงได้ราคาแพงมหาศาล คนจำนวนมากต้องอาศัยอยู่ในห้องเช่าหรืออพาร์ตเมนต์บนตึกสูง ความฝันที่จะมีบ้านเป็นของตัวเองนั้น...หากไม่ใช่คนที่เป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินมาตั้งแต่ต้นตระกูลแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้
แล้วนี่บ้านริมทะเลซึ่งประกอบด้วยทิวทัศน์งดงามแบบนี้ ราคาก็ย่อมแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว นี่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เศรษฐีธรรมดาจะเป็นเจ้าของได้
คนรักของหล่อนทำงานอะไรกัน?
จางหลี่หงเคยอธิบายกับหล่อนว่าเขาช่วยพี่ชายบริหารธุรกิจของครอบครัว แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงพี่ชาย หรือแม้แต่ลักษณะกิจการของเขาสักครั้ง
“เป็นอะไรไป ทำไมไม่มานั่งข้างๆ ฉัน”
ชายหนุ่มเอ่ยถาม ร่างของเขาปลดเสื้อนอกออกไปแล้ว เหลือเพียงเชิ้ตตัวในสีเทาอ่อน กางเกงขายาวทรงสแล็ค ชายหนุ่มนั่งลงที่เก้าอี้ยาวบริเวณระเบียง มองออกไปแลเห็นผืนทะเลพลิ้วเป็นระลอก มีเรือสัญจรผ่านเพียงประปราย
มันเป็นบรรยากาศที่งดงามมาก ฮ่องกงเป็นเมืองแห่งตึกสูง การได้ออกมาสัมผัสธรรมชาติแท้ๆ แบบนี้ช่วยทำให้หล่อนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
“หลี่หงคะ...ฉัน...ฉันเคยอยู่ที่นี่หรือคะ?”
หญิงสาวถามออกไปอย่างไม่เชื่อสายตานัก
“ไม่เคย”
“เอ๋...”
“นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่นี่ ปกติ...ฉันไม่ค่อยอนุญาตให้ใครมาที่บ้านริมทะเลของฉัน แต่เธอเป็นคนแรก”
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกมากระตุกร่างบางโดยไม่สนใจท่าทีประหลาดใจ ร่างระหงเซจนนั่งลงข้างกายเขา ใบหน้าสวยละไมยังมองเขาตลอดเวลา
“เรารู้จักกันเป็นระยะเวลาสั้นๆ มันเป็นความบังเอิญที่เธอเข้ามาในชีวิตของฉัน แรกๆ เธอก็ไม่ชอบฉันนักหรอก จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น ฉันจึงปล่อยให้เธอกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้ เพราะฉันต้องการดูแลเธอไม่ให้ห่างไปไหนอีกแล้ว”
ตลอดเวลา แววตาสีดำขลับของเขาบอกถึงความปรารถนาในตัวหล่อนอย่างชัดเจน มันไม่ใช่ความต้องการในฐานะที่หล่อนเป็นเพียงวัตถุ...หรือเป็นผู้หญิงที่เขาต้องเฝ้าหึงหวง แต่เป็นความต้องการทั้งร่างกายและจิตใจ...เพื่อจะเฝ้าทะนุถนอมและรักษาหล่อนไว้แนบกาย
มันเป็นสายตาที่ทำให้หล่อนสั่นสะท้าน แต่ไม่อาจเมินหนีกระแสความรู้สึกนี้ได้
“ฉัน...ฉันเคยไม่ชอบคุณด้วยเหรอคะ” หล่อนย้อนถามด้วยสีหน้าสงสัย
จางหลี่หงหรุบสายตาลงนิดหนึ่ง ผู้หญิงซึ่งเคยกลัวเขาจนลนลานกลับจำความรู้สึกของตัวเองตอนนั้นไม่ได้
“ทำไม? หรือเธอคิดว่าคนอย่างฉันจะถูกเกลียดบ้างไม่ได้หรือ”
การถูกเกลียดเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับจางหลี่หง เขาถูกอาฆาตมาดร้ายจากบรรดาศัตรูของตระกูลจางเสียด้วยซ้ำ มีแต่ผู้หญิงที่เหมือนผ้าขาวบริสุทธิ์ตรงหน้าซึ่งเข้าใจไปว่า...เขาเป็นนักบุญแห่งโลกสว่างซึ่งจะมีแต่ผู้คนรักใคร่
“ไม่รู้สิ คุณเป็นคนดี...ฉันจะไปเกลียดคุณได้ยังไงกันล่ะคะ”
หญิงสาวพูดออกมาตามที่ใจคิด อันที่จริง หล่อนอยากพูดเสริมไปด้วยว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่รูปงามราวกับเทพบุตร ทั้งยังร่ำรวยมหาศาลขนาดนี้ คนเช่นเขาไม่คู่ควรกับหล่อนซึ่งน่าจะมีฐานะอันต่ำต้อยเลยแม้แต่น้อย
“ฉันน่ะหรือ...เป็นคนดี”
เขาเลิกคิ้ว ราวกับคำพูดนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
“ก็คุณช่วยชีวิตฉัน...ฉันรู้สึกนะคะ...ทั้งชีวิตของฉันน่ะไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย...”
คำพูดของหล่อนหยุดชะงัก ภาพในสมองเลือนรางบอกตัวเองว่า...การช่วยเหลือจากใครอีกคนที่ทำให้หล่อนรู้สึกซาบซึ้งและตื้นตันนั้นยังมีอยู่ คนที่ปรากฏเป็นเงาจางๆ ในภวังค์ความคิด เพียงแต่หล่อนนึกใบหน้าของใครคนนั้นไม่ออกเลย
“เธอประสบอุบัติเหตุครั้งนี้เพราะฉัน ฉันคงจะดูดายเธอไม่ได้ ที่สำคัญ...” ชายหนุ่มเชยคางมนของหล่อนเบาๆ “ถ้าไม่ใช่ความต้องการของฉัน อะไรก็จะมาพรากเราไปจากกันไม่ได้ นอกเสียจากความตาย”
“อย่า...อย่าพูดเรื่องนี้สิคะ” หล่อนรู้สึกขัดเขินที่ต้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา ใบหน้าละไมจึงสะบัดเบาๆ “คนบ้านฉันไม่ชอบให้พูดเรื่องเป็นเรื่องตาย มันเป็นลาง”
“คนบ้านเธอ...”
“ฉันหมายถึงว่า...สังคมที่ฉันเติบโตมาน่ะค่ะ”
ประโยคนี้เองทำให้หญิงสาวเริ่มนึกถึงอดีตของตนขึ้นมาได้ หล่อนรู้ว่าตัวเองน่าจะเติบโตมากับชุมชนเล็กๆ ซึ่งเหมือนเป็นคนต่างด้าวของฮ่องกง ขนบธรรมเนียมบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในตัวหล่อนจึงไม่ตรงกับชาวจีนที่นี่มากนัก แต่ว่าชุมชนนั้นคือคนจากที่ไหนกัน
“อดีตของเธอจะเป็นยังไง...ฉันไม่แคร์ และไม่ว่าเธอจะจำได้หรือไม่ ก็ไม่จำเป็นต้องรายงานฉันทุกอย่างหรอกนะ”
จางหลี่หงกุมมือของหล่อนเอาไว้ อุ้งมือของเขากว้างใหญ่และอบอุ่น หญิงสาวนึกถึงอดีตของตัวเอง...ดูเหมือนหล่อนจะใช้ชีวิตกับแม่เพียงสองคน เพราะเหตุนั้นหล่อนจึงไม่คุ้นเคยกับเพศตรงข้าม ผู้ชายคนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นชายคนแรกในชีวิต
“ฉันมีธุระต้องออกไปข้างนอก แล้วจะกลับมาให้เร็วที่สุด ระหว่างนี้เธอก็พักฟื้นที่นี่ให้สบายใจ มีอะไรที่อยากได้ก็บอกสาวใช้ พวกเธอจะจัดหาให้เธอทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวนั่นคือการออกไปจากที่นี่ เพราะถ้าไม่มีคำสั่งจากฉัน เธอจะไปไหนไม่ได้ เข้าใจไหมหลิน”
ร่างสูงเพรียวได้รูปตามแบบความงามของบุรุษเพศลุกขึ้นช้าๆ คำพูดของเขาเหมือนไม่ใช่คำลา แต่ยังแฝงไว้ด้วยคำสั่งอีกด้วย แต่หลินกลับไม่รู้สึกว่าจะต้องต่อต้านคำสั่งพวกนี้ ในเมื่อแววตาของเขาทำให้ความหมายของมันกลายเป็นการปกป้อง หล่อนรับรู้ว่าจุดมุ่งหมายของเขาไม่ใช่การกักขังหล่อนเลย
“หลี่หงคะ...”
ร่างระหงลุกขึ้นยืนตามเขา เมื่อชายหนุ่มหันหลังมา หญิงสาวก็สวมกอดเขาไว้แนบแน่น ใบหน้าละไมของหล่อนซุกซบกับบ่าของเขา จนได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยกรุ่นอ่อนๆ จากกายชายหนุ่มอีกครั้ง
“ตอนเด็กๆ...ฉันจำได้ว่าแม่มักจะขอให้ฉันทำแบบนี้ตอนแม่ต้องออกไปทำงานนานๆ ค่ะ มันทำให้ทั้งแม่และฉันรู้สึกว่าต่อให้ไกลกันแค่ไหนเราก็ยังมีกันและกัน ฉันไม่รู้ว่าฉันเคยทำแบบนี้กับคุณหรือเปล่า แต่ว่า...โชคดีนะคะ”
หล่อนคลายวงแขนจากร่างสูงของเขา และ...ส่งยิ้มให้
รอยยิ้มแรกที่เขาได้พบจากใบหน้าละไมของหล่อน มันเป็นภาพที่งดงามจนชายหนุ่มแทบหยุดลมหายใจ
ในอกของเขาเกิดแรงสั่นอย่างประหลาด นี่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ผู้ชายอย่างจางหลี่หงเคยคุ้น ความรู้สึกที่ถักทอขึ้นอย่างละเมียดละไม...แฝงไว้ด้วยสายใยอันอบอุ่น...เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
ชายหนุ่มเดินผละจากหล่อนโดยไม่พูดอะไรตอบสักคำ ร่างสูงของเขาก้าวยาวๆ ด้วยความเร็วปานพายุ ขณะที่สีหน้าฉายแววความสับสนในตัวเองจนทำให้คนสนิทซึ่งรออยู่ในห้องรับแขกประหลาดใจ
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ทายาทมาเฟียอันดับหนึ่งอย่างจางหลี่หงกลายเป็นคนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้
https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30
อันธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ธ.ค. 2558, 13:29:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ธ.ค. 2558, 13:29:55 น.
จำนวนการเข้าชม : 980
<< บทที่1-2-3 | บทที่7-8-9(ลงเท่านี้นะคะ) >> |