เด็ดหัวใจเจ้าชายมาเฟีย
...หนึ่งคือมาเฟียเลือดมังกรสูงศักดิ์...

...หนึ่งคือหญิงสาวและหัวใจอันเป็นที่รัก...

...หนึ่งคือนักฆ่าผู้ฝากชีวิตกับไกปืน...

ลินจง ลูกครึ่งไทยจีนซึ่งใช้ชีวิตในฮ่องกง
ต้องพบจุดพลิกผันในชีวิต
ชายคนแรกที่ยื่นมือให้ความช่วยเหลือหล่อนคือ'ทศ'
คนไทยในฮ่องกงซึ่งไร้ที่มาที่ไป

แต่แล้วชะตากรรมของหล่อนก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เมื่อลินจงไปปรากฏตัวในสงครามมาเฟียฮ่องกงที่กำลังร้อนระอุ
ชีวิตของหล่อนพลันตกอยู่ในอุ้งมือของ'จางหลี่หง'
มาเฟียระดับทายาทมังกรผู้มีปรัชญาเดียวในการปฏิบัติต่อผู้หญิง
นั่นคือหากต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง
เมื่อช่วงชิงแล้ว...ก็ต้องครอบครอง

ความอ่อนโยนของลินจงเปลี่ยนแปลงจิตใจทายาทหมายเลขหนึ่งแห่งโลกมืด
หล่อนรักเขาด้วยชีวิตและหัวใจที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมอบให้ชายคนรัก
และเขาก็รักหล่อนด้วยสัญชาตญาณมาเฟียเลือดมังกรที่เหนือกว่าร่างกายและวิญญาณ

สำหรับลินจง...ความรักของหล่อนคือการให้
แต่สำหรับจางหลี่หง...ความรักของเขาคืออะไร?
ท่ามกลางอันตรายจากโลกแห่งอาชญากรฮ่องกงที่บีบคั้น
อำนาจ...ความรัก...หยาดเลือด...และน้ำตาจะไหลหลั่งบนบัลลังก์มังกร!!!
Tags: มาเฟีย ฮ่องกง

ตอน: บทที่7-8-9(ลงเท่านี้นะคะ)

บทที่ 7

ในบรรดาวงสังคมที่ไม่รู้จักตื้นลึกหนาบางของตระกูลจาง ภาพลักษณ์ของจางหลี่หงไม่ต่างจาก‘เจ้าชาย’

เขามักปรากฏตัวพร้อมบริวารมากหน้าหลายตา ต่อให้เขาสวมชุดสูทดำแบบเดียวกับบรรดาผู้ติดตามที่ห้อมล้อมหน้าหลัง ร่างสูงของจางหลี่หงก็มักจะโดดเด่นสะดุดตาผู้พบเห็นเสมอ ทั้งกิริยาผึ่งผายอย่างคุณชายผู้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี นิตยสารและรายการทีวีหลายต่อหลายแห่งพยายามทาบทามเพื่อขอสัมภาษณ์และทำสกู๊ปเพื่อรู้จักตัวตนของเขา แต่ทุกครั้งฝ่ายตระกูลจางก็จะตอบปฏิเสธด้วยความสุภาพ

ขณะที่ประมุขของตระกูลอย่าง ‘จางเหวินหลง’นั้นกลับเป็นบุคคลที่วงสังคมแทบไม่รู้จัก ทำให้เขาดูลึกลับทว่าทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในเกาะเล็กๆ แห่งนี้

พี่น้องสองคน...แต่กลับอาศัยอยู่คนละบ้าน ขณะที่จางเหวินหลงอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตในเขตเศรษฐกิจของฮ่องกงซึ่งที่ดินราคาแพงมหาศาล จางหลี่หงกลับพอใจจะอาศัยที่บ้านริมทะเลในอ่าวเล็กๆ ซึ่งไกลออกไปจากเขตเมือง แน่นอนว่าที่อยู่อาศัยซึ่งไกลเสียจนทำให้การเดินทางต้องอาศัยเรือหรือรถส่วนตัวเช่นนี้ก็เป็นที่อยู่สำหรับเศรษฐีอีกประเภทเช่นกัน

การนัดพบระหว่างสองพี่น้องผู้อยู่คนละมุมเมืองจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และเมื่อเกิดขึ้นก็มักเกี่ยวกับกิจธุระมากกว่าพบปะกันธรรมดา

เช่นวันนี้...พี่น้องตระกูลจางนัดพบกันในภัตตาคารหรูบนโรงแรมห้าดาวของฮ่องกง

ห้องพิเศษและอาณาบริเวณโดยรอบถูกจองโดยบริวารของตระกูล เมื่อร่างสูงของจางหลี่หงก้าวเข้ามาในภัตตาคาร พนักงานก็เข้าไปคำนับและนำเขาไปยังห้องพิเศษด้วยความนอบน้อมอย่างที่สุด

จางเหวินหลงรอเขาอยู่ในห้อง เขาเป็นชายรูปร่างสูงไม่น้อยไปกว่าน้องชาย เพียงแต่ใบหน้าคมสันดูมีความแตกต่างระหว่างอายุกับน้องชายไม่น้อย ขณะที่จางหลี่หงยังอยู่ในวัยยี่สิบแปดซึ่งถือว่าหนุ่มมากสำหรับวงการมาเฟียฮ่องกง แต่จางเหวินหลงอายุสามสิบแปดปีถ้วน และเต็มไปด้วยรัศมีความเป็นผู้นำซึ่งมีทั้งความเฉียบขาด ดุดัน และลุ่มลึกผสมผสานกันในตัว

อาหารเลิศรสถูกนำมาเสิร์ฟจนเกือบเต็มโต๊ะ เมื่อบรรดาบริกรทยอยออกไปหมด ธุระอันสำคัญกว่ามื้ออาหารจึงเริ่มต้นขึ้น

“ข่าวแพร่ไปทั่ว...คุณหนูตระกูลชางกับนายถอนหมั้นกันแล้ว ในวันที่นายถูกลอบยิง”

“ซิดนีย์ ชางเรียกผมไปพบที่ท่าเรือ แต่เธอกลับเปลี่ยนใจรีบเดินทางไปหาคนรักที่ประสบอุบัติเหตุกะทันหัน เรื่องนี้ตระกูลชางได้ติดต่อขออภัยกับผมแล้ว เพราะคุณหนูตระกูลชางประกาศตัดตัวเองจากตระกูล แล้วพาคนรักไปรักษาตัวที่อเมริกาโดยไม่ฟังเสียงค้านของใคร”

จางหลี่หงเอ่ยเรียบๆ แม้จะแน่ใจว่าพี่ชายก็ทราบเรื่องนี้แล้วก็ตาม

“ผู้หญิงกับอารมณ์วู่วามมักทำให้เกิดเรื่องวุ่น”

จางเหวินหลงกระดกน้ำชาอุ่นๆ กลั้วคอ ในสายตาของจักรพรรดิมาเฟีย...โลกแห่งอาชญากรคือโลกของผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงมักจะกลายเป็นเพียงเบี้ยหมาก พวกหล่อนต้องเรียนรู้ตำแหน่งแห่งที่ของตนและอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยม ผู้หญิงที่พยศมักก่อเรื่อง...นี่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบที่มาเฟียต้องการ

แม้ว่าคุณหนูตระกูลชางจะร่ำรวยแค่ไหน แต่เมื่อหล่อนได้ปฏิเสธการหมั้นหมายอย่างไม่ไว้หน้า และยังทำให้คู่หมั้นหนุ่มต้องเดินทางออกจากที่พักจนได้รับอันตราย เมื่อนั้นตระกูลจางก็ไม่ถือว่าการผูกมิตรครั้งนี้จำเป็นอีกต่อไป

“ผู้หญิงที่นายรับมาคือใคร”

ไม่มีอะไรรอดพ้นจากสายตาผู้เป็นหนึ่งในมาเฟียฮ่องกง โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตของเขา จางหลี่หงทอดสายตานิ่งไม่สะทกสะท้าน

“เธอเป็นคนที่ซิดนีย์ ชางเพิ่งรู้จักตอนมาถึงฮ่องกง ซิดนีย์พาเธอมาที่จุดนัดพบแต่สุดท้ายเธอก็กลับตัดสินใจกลับเซี่ยงไฮ้กะทันหัน ผู้หญิงคนนี้จึงมาพบผมแทน และเธอก็ถูกลูกหลงจากกระสุนเข้า ผมจึงไม่อาจทิ้งเธอไว้ได้”

“จึงได้พาไปอยู่ที่บ้านริมทะเล นั่นเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่สุดของนาย แบบนี้คงไม่ใช่การดูแลธรรมดาแล้วกระมัง”

คนย้อนถามทราบอุปนิสัยส่วนตัวของน้องชายดี ด้วยรูปลักษณ์ที่ชวนหลงใหล และยังสถานะทางสังคมที่สูงส่งจนถูกเรียกขานว่า‘เจ้าชาย’ จางหลี่หงจึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน หลายรายถึงกับยอมทอดกายให้เชยชมได้ง่ายๆ ด้วยหวังว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนจะผูกมัดชายหนุ่มไว้ได้ กระนั้นก็ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ

จางเหวินหลงไม่เคยได้ยินข่าวว่าน้องชายเคยพาผู้หญิงคนไหนไปถึงบ้านริมทะเลซึ่งเป็นที่พักส่วนตัวของเขาเลย...จนกระทั่งวันนี้

“ผมเพียงต้องการตัวเธอเท่านั้น อย่างที่นายเคยสอนผม...”

ทั้งที่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด แต่จางหลี่หงกลับเรียกพี่ชายว่า‘นาย’ไม่ต่างจากบรรดาลูกน้องคนอื่นๆ

น้อยกว่าน้อยคนที่จะรู้...ทั้งสองเป็นพี่น้องที่เกิดจากคนละมารดา

จางเหวินหลงเกิดจากภรรยาที่ถูกต้องตามธรรมเนียมของประมุขตระกูลจางคนก่อน ขณะที่จางหลี่หงถือกำเนิดจากภรรยาลับ ซึ่งลือกันว่าเป็นดาราสาวสวยที่อดีตประมุขพรากหล่อนมาจากวงการมายาด้วยอำนาจเงิน

เพราะเหตุนั้น จางหลี่หงจึงเป็นน้องที่มีศักดิ์ต่ำกว่าพี่ชายอย่างยิ่ง ในตอนแรกเขาถูกมารดาพาไปเลี้ยงดูที่ต่างประเทศ...ที่ซึ่งอิทธิพลของมาเฟียฮ่องกงเอื้อมไม่ถึง แม่ของเขาไม่เคยบอกกล่าวว่าบิดาของเขาคือใคร จนกระทั่งหล่อนล้มป่วยและเสียชีวิตลง อดีตประมุขตระกูลจางได้สืบพบทายาทคนนี้เข้า ชีวิตของจางหลี่หงจึงหันเหเข้าสู่เส้นทางมาเฟีย แม้จะเป็นเพียงตัวสำรองของพี่ชายต่างแม่ก็ตาม

“ชีวิตพวกเราเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน วันนี้มี...พรุ่งนี้ทุกสิ่งอาจสิ้นสูญ เพราะอย่างนั้น...เมื่อไหร่ที่ได้มาก็ต้องครอบครอง หรือต่อให้ยังไม่ได้มาอยู่ในครอบครอง...ก็ต้องช่วงชิง”

จางหลี่หงเอ่ยประโยคที่พี่ชายเคยสอนเขา

“และตอนนี้...ผมก็กำลังครอบครองสิ่งที่ผมต้องการ นั่นคือเธอ”

ประกายตาเรียวคมนั้นวาวจ้าขึ้น บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายเหลียวมองแววตาแบบนั้นของคนเป็นน้อง ก่อนกระตุกยิ้มบนมุมปากอย่างพึงพอใจ

“นับว่าแกเป็นน้องที่ฉันไม่เสียแรงสอน เอาล่ะ...วันนี้ขอให้พักเรื่องพวกนี้ก่อน พวกที่ลอบกัดนาย...ฉันก็มีข้อมูลแล้วว่ามันเป็นใคร วางใจได้...ใครทำร้ายตระกูลจาง พวกมันต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสมแน่นอน”

จางเหวินหลงตัดบท สีหน้ารื่นรมย์แม้จะพูดถึงเรื่องการแก้แค้น อาหารเลิศรสตามแบบฉบับฮ่องกงบนโต๊ะเหมือนไม่มีรสชาติสำหรับจางหลี่หง เขาอดทนให้มันล่วงผ่านลิ้นไปแต่ละคำอย่างเนิบช้า ในห้วงความคิดมีแต่ภาพของหญิงสาวคนนั้น...และบ้านริมทะเลซึ่งจะไม่เดียวดายอีกต่อไป

+++++++++++++++++++++


ดึกแล้ว จางหลี่หงยังไม่กลับบ้าน หญิงสาวได้แต่เปิดโทรทัศน์และอ่านนิตยสารฆ่าเวลารอเขา สาวใช้บอกหล่อนว่าหล่อนควรพักผ่อน เพื่อให้อาการป่วยหายไปในเร็ววัน แต่การนอนคนเดียวบนเตียงกว้างขวางในห้องที่ใหญ่โตโอ่โถงแบบนี้มันดูอ้างว้างเกินไปสำหรับหล่อน

ที่สำคัญ...ใจหล่อนเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

หากจางหลี่หงกลับมา นั่นหมายความว่าเขาก็จะเข้ามานอนในห้องเดียวกันกับหล่อนน่ะหรือ สาวใช้บอกหล่อนว่านี่เป็นห้องนอนส่วนตัวของจางหลี่หง แม้ว่าห้องนอนในบ้านหลังนี้จะมีอีกหลายห้อง แต่เจ้านายก็สั่งให้พาหล่อนมานอนที่ห้องนี้เท่านั้น

หลินคิดถึงคำพูดของเขา...ที่บอกว่าเขาและหล่อนเป็นคนรัก

แต่หญิงสาวไม่เข้าใจว่านั่นหมายถึงการเป็นสามีภรรยากันหรือไม่ หล่อนนึกไม่ออกเลยว่าหากเป็นเช่นนั้นจริง หล่อนเคย...มีความสัมพันธ์กับเขาไปแล้วหรือยัง?

พวงแก้มหญิงสาวสูบฉีดโลหิตจนร้อนวูบเมื่อนึกมาถึงเรื่องพวกนี้ การสูญเสียความทรงจำทำให้หล่อนไม่รู้ข้อเท็จจริงตรงนี้เลย แต่ถ้าจะให้ถามเขาตรงๆ...มันก็คงเป็นเรื่องน่าอาย

หลินสะบัดหน้าแรงๆ พยายามไม่คิดฟุ้งซ่านในเรื่องไม่เป็นเรื่อง หญิงสาวเอนร่างลงนอน สายตามองออกไประเบียงภายนอก ที่ตรงนั้นมีอ่างดินประดับดอกบัวตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง ชุดอ่างดินนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องตกแต่งไม่สำคัญ แต่มันช่างดึงดูดสายตาหล่อนเหลือเกิน

ดอกบัว...

‘ชื่อนี้...แปลว่าดอกบัวจ้ะลูก’

หลินนึกขึ้นมาได้วูบหนึ่ง มารดาของหล่อนเคยบอกความหมายของชื่อหล่อนไว้เช่นนั้น แต่ว่ามันไม่ใช่ชื่อภาษาจีน เป็นชื่ออะไรสักอย่างที่แปลได้ว่าดอกบัว

หญิงสาวลุกพรวดพราด ในที่สุดหล่อนก็นึกเรื่องเกี่ยวกับตัวเองขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งแล้ว!

“อย่าลุกนั่งเร็วเกินไป ร่างกายเธอยังอ่อนแอ”

แสงไฟในห้องสว่างไสวขึ้น ทำให้หัวใจที่แห้งผากมาทั้งวันของหญิงสาวเหมือนได้รับสายฝนอันชื้นฉ่ำบ้างสักครั้ง ร่างสูงของจางหลี่หงก้าวมานั่งบนเตียงทิ้งระยะห่างจากหล่อนประมาณหนึ่งเมตร แต่การได้พบเขาก็ทำให้หล่อนรู้สึกอุ่นใจมากเพียงพอ

“ขอโทษค่ะ พอดีฉันนึกอะไรได้นิดหน่อยน่ะค่ะหลี่หง”

หล่อนเอ่ย สายตามองออกไปยังระเบียงภายนอก ดวงตาคมปลาบของชายหนุ่มมองตามออกไปอย่างเรียบเฉย

“ฉัน...นอกจากชื่อหลินแล้ว ฉันมีอีกชื่อค่ะ...”

คำบอกเล่าอย่างตื่นเต้นทำให้เกิดอาการชะงักเพียงชั่ววูบในดวงตาเรียวของเขา หากเป็นคนทั่วไปย่อมไม่อาจสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นได้

“แต่...ฉันนึกไม่ออกว่ามันคือชื่ออะไร รู้แต่คำแปลของมันเท่านั้น...” สุ้มเสียงของหล่อนบอกอารมณ์เสียดายอย่างยิ่ง “แย่จริงๆ...ฉันนึกชื่อไม่ออกเลยค่ะ รู้แต่คำแปล...”

“คำแปลคืออะไร”

“แปลว่าดอกบัวค่ะ เหมือนดอกบัวในกระถางที่นอกระเบียงนั่นไงคะ”

หล่อนชี้ไปที่กระถางบัวซึ่งตั้งอยู่ระเบียงด้านนอก ในนั้นมีดอกบัวสีขาวดอกหนึ่งกำลังผลิบานแย้มกลีบอย่างงดงาม ชูช่อเหนือผิวน้ำนิ่งสงบประดับด้วยใบบัวที่แผ่เกือบเต็มกระถางน้ำ

“ดอกบัวสีขาว...งั้นก็เป็น...ไป่เหลียนฮัว...”

“ว่าไงนะคะ?”

“นึกชื่อไม่ออกก็ไม่เป็นไร จำไว้ว่าเธอคือไป่เหลียนฮัว...นั่นก็พอแล้ว”

ชายหนุ่มเอ่ยสรุป คงเพื่อต้องการให้หญิงสาวหยุดการใช้ความคิดซึ่งจะกระทบกระเทือนกับสุขภาพที่เปราะบางของหล่อนในขณะนี้

“ไป่...เหลียน...ฮัว...” หญิงสาวทวนคำเบาๆ

ไป่...แปลว่าสีขาว

เหลียนฮัว...แปลว่าดอกบัว

รวมแล้วชื่อใหม่ที่หล่อนได้รับจึงแปลตรงตัวได้ว่าดอกบัวสีขาว

ถึงมันจะไม่ใช่ชื่อที่คุ้นเคยในความทรงจำ แต่หญิงสาวก็คิดว่าชื่อนี้เหมาะสมกับหล่อนมากทีเดียว

“แผลเป็นยังไงบ้าง”

ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางขยับไปใกล้ๆ หญิงสาว มือข้างหนึ่งของเขากุมข้อมือหล่อนเอาไว้ ทำให้หลินขยับตัวเข้าไปหาเขาโดยไม่รู้ตัว

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เจ็บแล้ว”

หล่อนเอ่ยเบาๆ ปลายเสียงเริ่มสั่นพร่าเมื่ออุ้งมือกว้างเลื่อนไล้ไปบริเวณเนินบ่า เสื้อที่หล่อนสวมวันนี้เป็นเสื้อคอกว้าง เมื่อเขาลูบผ่านคอเสื้อที่บางเบา...ตัวเสื้อก็หลุดลงไปกองที่แขน ไหล่ขาวนวลเปล่าเปลือยจึงเปิดเผยต่อสายตาของเขา...สายตาที่ยังเรียบเฉยราวกับไม่มีความรู้สึกใดๆ

หล่อนเสียอีกที่เริ่มใจเต้นแรง จนกลัวว่าคนตรงหน้าจะรับรู้ถึงอัตราสูบฉีดโลหิตในร่างซึ่งกำลังเร่งระรัวขึ้นทุกขณะ

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผ้าก๊อซซึ่งยังปิดแผลบนเนินบ่าอย่างแผ่วเบา แต่ในสัมผัสอ่อนโยนนั้น หญิงสาวรู้สึกได้...บางอย่างในกายของเขาเองก็กำลังสั่นไหว

มันเหมือนจังหวะการสั่นไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจของหล่อน

ถ้าหล่อนเป็นคนรักของเขา...การใกล้ชิดกันแบบนี้ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดความรู้สึกสะเทิ้นอายถึงเพียงนี้ หรือเป็นเพราะการสูญเสียความทรงจำที่ทำให้ทุกอย่างระหว่างหล่อนกับเขาต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด หญิงสาวนึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปเหลือเกิน

แววตาคมลึกของเขาเหมือนมีมนต์สะกด

ลมหายใจของเขาเหมือนซึมซ่านผ่านเข้ามาในวิญญาณและตัวตน

หลินไม่รู้ตัวเลยว่าอ้อมแขนของเขาเริ่มครอบครองหล่อนไว้ทั้งตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้จนหล่อนรับรู้ได้ถึงปลายจมูกที่ซุกอยู่กับผิวแก้มสีชมพูระเรื่อ ทั้งลมหายใจ ความอบอุ่น และความแนบชิดแบบนั้นทำให้หล่อนห่อไหล่แน่นโดยไม่รู้ตัว

อย่างไรเสีย...หล่อนก็ยังมีสัญชาตญาณแบบผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน เมื่อถูกรุกด้วยอ้อมแขนแข็งแกร่งซึ่งเหมือนกักกันร่างบางของหล่อนได้ทั้งร่าง หญิงสาวจึงสร้างเกราะคุ้มกันภัยด้วยการเบี่ยงหน้าหนี...หลบสายตาเรียวคมซึ่งมีอานุภาพหลอมละลายแรงต้านของหล่อนอย่างง่ายดาย

อุ้งมือกว้างของเขาจึงเข้ามาประคองท้ายทอยของเธอไว้ กระตุ้นให้หล่อนต้องเงยหน้าขึ้นมองตาเขาอีกครั้ง

หล่อนจำแววตาของเขาได้ แววตาที่คมกริบเหมือนใบมีดสีดำขลับซึ่งอยู่ใกล้จนมองเห็นแต่เงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในนั้น

ริมฝีปากอุ่นโน้มลงแนบสนิทกับเรียวปากเนียนนุ่ม

ทาบประทับ...เนิ่นนาน...โหยหา...ละมุนละไม

สัมผัสนั้นทำให้หญิงสาวแทบลืมทุกอย่างเกี่ยวกับตนเอง เรี่ยวแรงต่อต้านเล็กๆ ที่เคยมีอยู่มลายหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่แม้แต่น้อย ทุกห้วงลมหายใจที่มีอยู่ในตอนนี้เหมือนไม่ใช่ของหล่อนเอง บางที...สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณหรือทุกอย่างที่หลอมรวมเป็นตัวหล่อนคงกำลังหลอมละลายกลายเป็นอีกตัวตนใหม่ ด้วยจุมพิตอันแสนหวานละมุนครั้งนี้

แผ่นหลังเนียนบางสัมผัสฟูกที่นอนนุ่มยวบ หลินแทบไม่รู้ตัวเลยว่าร่างของหล่อนเอนลงราบสู่เตียงนอนได้อย่างไร เหมือนหล่อนกำลังอยู่ในมนต์สะกด หัวสมองหยุดทำงานตามคำสั่งของตัวเอง...และกลับทำตามแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นจากอุ้งมือกว้างอบอุ่นคู่นั้นแทน

หล่อนมองเห็นแต่เงาของตัวเองในดวงตาสีดำขลับของเขา และในดวงตากลมของหล่อนเองก็คงมีแต่ภาพสะท้อนของใบหน้าคมคายสมบูรณ์แบบของเขาเช่นกัน

ริมฝีปากอุ่นของเขาลากไล้ผ่านลำคอระหง บริเวณนั้นทำให้หญิงสาวทุกคนต้องอ่อนระทวย ประสาอะไรกับหลินซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครมาก่อน ขี้ผึ้งยามหลอมละลายจะอ่อนยวบได้เพียงใด สภาพของหญิงสาวในเวลานี้ก็อาจจะไม่แตกต่างกันนัก

กระนั้น...ในความโอนอ่อน หลินก็ยังไม่ต่างจากผู้หญิงอื่นซึ่งยังไม่เคยผ่านค่ำคืนแรกกับเพศตรงข้าม ลึกลงไปแล้ว...หล่อนมีความกริ่งกลัว

ลมหายใจของหญิงสาวแทบขาดห้วงหลายครั้ง เปลือกตาปิดแน่น ข้อมือบางที่ถูกอุ้งมือกว้างใหญ่กอบกุมไว้กำลังเกร็งแน่นจนชายหนุ่มรับรู้...

หล่อนกำลังกลัว...

ธรรมชาติของชายหญิงซึ่งกำลังเรียกร้องหากันทรงอานุภาพจนทำให้บุรุษหลายคนไม่อาจทนต่อความยั่วเย้าในห้วงเวลาแสนหวานนี้ได้ แน่นอนว่าจางหลี่หงเองก็มีเลือดเนื้อไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วไป และยิ่งการเลี้ยงดูในฐานะคุณชายตระกูลจาง...หนึ่งในใต้หล้าแห่งโลกมาเฟีย...ย่อมทำให้ความปรารถนาของเขารุนแรงมากกว่าปกติ

โลกของมาเฟียมีลำดับชั้นจากนายใหญ่ไปสู่นายรองตลอดจนถึงบริวารชั้นล่างที่ชัดเจนอย่างยิ่ง คนที่เติบโตในวงการนี้ต้องเคร่งครัดกับหน้าที่และกฎเกณฑ์จนเหมือนเป็นจารีตในการดำเนินชีวิต ดังนั้นเมื่อถึงเวลาปลดปล่อย...โดยเฉพาะกับผู้หญิงซึ่งมีค่าเป็นเพียงสิ่งรองรับอารมณ์ บุรุษในโลกมาเฟียจึงไม่สะกดกลั้นความปรารถนาอันแรงร้อนและอาจรวมถึงอารมณ์ดิบที่แฝงอยู่ในเบื้องลึกแม้แต่น้อย

นอกจากนั้นยังมีความจริงอีกประการที่มาเฟียทุกคนไม่อาจปฏิเสธ

เมื่อต้องการ...ก็ต้องช่วงชิง...

เมื่อช่วงชิงได้...ก็ต้องครอบครอง...

นั่นเรียกได้ว่าเป็นสัจธรรม เพราะชีวิตมาเฟียนั้นแขวนอยู่บนเส้นด้าย สิ่งที่มีอยู่จึงมักเป็นความสุขเพียงชั่วเวลา วันนี้อาจมีสตรีที่รักนอนอยู่เคียงข้าง แต่วันรุ่งขึ้นก็อาจต้องนอนอย่างเดียวดายในโลงศพ เพราะเหตุนั้นเมื่อบุรุษในโลกมืดปรารถนาในตัวหญิงใดสักคน มันจึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะใช้กำลังเข้าช่วงชิง และครอบครองเรือนร่างนั้น ตักตวงความสุขในชั่วเวลาสั้นๆ จนอิ่มเอม

จางหลี่หงเติบโตมาพร้อมปรัชญาชีวิตเช่นนี้ แต่สิ่งที่กำลังดังก้องในมโนสำนึกของเขาเวลานี้ก็คือ...มันไม่ถูกต้อง!

เขากำลังใช้พละกำลังของบุรุษเพศที่เหนือกว่าหักหาญหัวใจดวงน้อย

กำลังทำให้เกิดราคีบนร่างกายที่เฝ้าทะนุถนอมปานดวงใจ

และกำลังพรากทั้งหัวใจและร่างกายของหล่อนจากโลกบริสุทธิ์ที่หญิงสาวคู่ควร!

นี่เป็นความคิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา จางหลี่หงผ่านผู้หญิงมามากต่อมาก หากไม่เคยมีใครล่วงล้ำเข้ามาถึงห้องส่วนตัวของเขา...ในบ้านของเขา และไม่เคยมีใครทำให้เขาหยุดชะงักทุกอย่างเอาไว้แบบนี้...ทั้งที่อีกนิดเดียวธรรมชาติก็จะดำเนินไปตามครรลองของมัน

ร่างสูงคลายการกอบกุมจากร่างระหง ใบหน้างามละไมที่ยังหลับตาแน่นสนิทของหล่อนยิ่งสร้างความรู้สึกอันแปลกประหลาดที่เขาไม่เคยพบมาก่อน

ชายหนุ่มลากปลายนิ้วผ่านผิวแก้มเนียนละเอียดซึ่งซับสีชมพูระเรื่อ สัมผัสนั้นยิ่งทำให้เขาตระหนักถึงความบอบบางของเธอคนนี้ หล่อนเป็นร่างที่มีค่า...และเขายังไม่ควรใช้กำลังหักหาญจนก่อให้เกิดราคีหมองมัว

ความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ...

“หลี่...”

หล่อนเอ่ยออกไปไม่เต็มคำนัก ความเขินอายทำให้รู้ว่าในเวลาแบบนี้หล่อนไม่ควรเรียกชื่อของเขา...เพราะจะเหมือนทำให้หล่อนกลายเป็นฝ่ายเรียกร้อง เพียงแต่หล่อนไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเขาเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น เขาเมินหน้าไปทางอื่นขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นกุมหน้าผากราวกับว่าการขยับตัวลุกขึ้นนั่งนั้นช่างเป็นสิ่งที่กินพลังงานเสียเหลือเกิน

“นอนพักเถอะ ร่างกายของเธอยังอ่อนแอ ปิดคอเสื้อเสีย”

จางหลี่หงเอ่ยโดยไม่ได้มองหน้าหล่อนอีกเลยสักนิด ร่างของเขาขยับไปนั่งที่ริมขอบเตียง ปล่อยให้หญิงสาวลุกขึ้นช้าๆ หล่อนก้มมองไหล่เปล่าเปลือยและคอเสื้อกว้างที่เลื่อนลงไปเกือบถึงข้อศอก ก่อนจะรวบมันกลับด้วยความงงงัน

“ฉัน...”

หญิงสาวกำลังจะถามว่าตนเองได้ทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือไม่ ท่าทางของเขาดูเหมือนแฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดในแบบที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเขากลับตัดบท

“นอน...นี่คือคำสั่ง”

เขาทำราวกับตัวเองเป็นหมอที่สั่งให้คนไข้ต้องปฏิบัติตามเพื่อคำว่าสุขภาพที่ดีอยู่ท่าเดียว หลินไม่กล้าตั้งคำถาม อารมณ์หวามหวิวเมื่อครู่อาจเกิดขึ้นได้อีกครั้งหากเขาต้องการ และหล่อนก็แน่ใจว่าคงไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านหากเป็นการรุกเริ่มจากเขา

หล่อนตวัดผ้าห่มเอนตัวลงนอนอย่างว่าง่าย หญิงสาวนอนตะแคงข้างหันหลังให้ร่างสูงของเขาซึ่งก็ยังนั่งนิ่งอยู่ใกล้ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับไปไหน

นี่เขาไม่รู้หรือว่าหากเขายังนั่งนิ่งอยู่แบบนี้ แล้วหล่อนจะข่มตาหลับลงไปได้อย่างไร

หญิงสาวได้แต่นึกในใจเงียบๆ

“อ๊ะ...”

คำอุทานของหล่อนเกิดจากการรับรู้แรงยวบของฟูกเตียง รวมถึงช่วงแขนของเขาซึ่งโอบพาดเอวบางเอาไว้ หญิงสาวอยากหันกลับไปมองคนต้นเหตุ ทว่าเสียงอธิบายต่อมาหยุดการกระทำของหล่อนชะงัด

“ฉันแค่...อยากกอดเธอเท่านั้น”

เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบาใกล้หู แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับการกระทำของเขาทั้งหมด แต่หญิงสาวก็ยอมรับว่าการมีเขาอยู่เคียงข้างแบบนี้ทำให้หล่อนรู้สึกอบอุ่น...ปลอดภัย

คืนนั้น...หลินหลับสนิททั้งคืนโดยไม่ฝันร้ายหรือตื่นกลางดึกอีกเลย



บทที่ 8

จางหลี่หงไม่อยู่บ้านอีกครั้ง หล่อนไม่เคยรู้เลยว่าแต่ละครั้งเขาออกไปไหน และงานของครอบครัวของเขาคืออะไร แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่อยู่บ้าน หล่อนจะรู้สึกว่ากาลเวลาเดินช้าลง แม้แต่เข็มวินาทีก็อาจจะนานเกินไปสำหรับคนที่มีหน้าที่เพียงเฝ้ารอแบบนี้

ทุกครั้งที่มีเสียงรถแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน หญิงสาวจะตรงไปชะเง้อมองที่ประตู ก่อนจะซ่อนสีหน้าผิดหวังเมื่อพบว่าเป็นสาวใช้ที่กลับมาจากการจับจ่ายซื้อของ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หล่อนจะรี่เข้าไปหา แม้ว่าสุดท้ายแล้วสาวใช้ก็จะเร็วกว่าและรับโทรศัพท์แทนหล่อน ซึ่งเรื่องที่สื่อสารนั้นก็ไม่แคล้วกิจธุระต่างๆ ในบ้านเท่านั้น

หล่อนไม่มีโอกาสได้แตะต้องงานบ้านใดๆ เลยสักชนิด

ไม่มีสาวใช้คนไหนยอมให้หล่อนทำงานแบบนั้น ทุกคนบอกว่าหล่อนเป็นคุณผู้หญิงของบ้าน และพวกหล่อนอาจจะมีโทษหาก‘นาย’กลับมาเห็นภรรยาของเขาต้องทำงานบ้านพวกนี้ หญิงสาวจึงต้องฆ่าเวลาในแต่ละชั่วโมงอย่างอึดอัด ตอนนี้งานของหล่อนกลับไม่มีอะไรมากไปกว่าพลิกอ่านนิตยสารหัวนอก และลองชุดเสื้อผ้าใหม่ๆ รวมถึงเครื่องประทินโฉมราคาแพงซึ่งถูกส่งตรงมาให้หล่อนเลือกจนกว่าจะพอใจ

ทุกอย่างมีพร้อมสรรพในบ้านหลังนี้ หล่อนแทบไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเองเลย กระนั้นหญิงสาวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันเป็นความสะดวกสบายก็จริง แต่มันไม่ใช่สิ่งที่หล่อนเคยคุ้น

หล่อนเคยทำงานมาก่อน...มีภาพความทรงจำของวันเก่าๆ แบบนั้นติดอยู่ในหัว ถึงจะไม่ใช่งานในออฟฟิศใหญ่โตหรูหรา หลายครั้งหล่อนต้องเป็นเบ๊ให้คนอื่นเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่ได้ใช้หยาดเหงื่อแรงงานพื่อแลกกับเงิน มันก็มีแง่มุมของความสุขและความพอใจอยู่ในนั้น

หล่อนเปิดโทรทัศน์ดูเพื่อคลายเหงา เมื่อนึกเบื่อกับช่องรายการของฮ่องกง จึงได้ลองเปลี่ยนไปดูรายการอื่นๆ ที่มาจากเอเชียด้วยกัน

รีโมทคอนโทรลถูกกดจนปุ่มคงใกล้เข้าสู่สภาพสึกหรอ เพราะหล่อนกดเปลี่ยนช่องแทบทุกๆ ห้าวินาที แต่แล้วเมื่อกำลังจะกดเปลี่ยนอีกช่องเข้า หญิงสาวกลับหยุดชะงัก

“สวัสดีค่ะ...กลับมาพบกับรายการมิวสิก...”

เสียงพิธีกรกล่าวทักทายด้วยภาษาแปลกหู มันไม่ใช่ภาษาจีน โทรทัศน์เครื่องนี้รับสัญญาณเคเบิลจากต่างแดนมาด้วย แต่หญิงสาวฟังออกทันทีว่านั่นคือภาษาไทย

หล่อนรู้ภาษาไทย!

หญิงสาวนิ่งงันกับความจริงที่เพิ่งค้นพบ หล่อนสามารถฟังสิ่งที่คนต่างชาติในจอโทรทัศน์สนทนากันได้ทุกคำพูด ทักษะความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาไทยเป็นสิ่งที่หลับใหลในตัวหล่อนมานาน จนกระทั่งวันนี้เองที่มันถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง

แม้แต่ความคิดในสมองของหล่อนเวลานี้ก็ยังมีทั้งภาษาไทยและภาษาจีนพลุ่งพล่านขึ้นเต็มไปหมด เพียงแต่ภาษาจีนถูกใช้บ่อยครั้งกว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ หล่อนจึงถนัดใช้ภาษาจีนมากกว่า ส่วนภาษาไทยของหล่อนนั้นอยู่ในระดับฟังพูดในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอ่านเขียนที่หญิงสาวแน่ใจว่าทักษะคงอยู่แค่ระดับเด็กประถมเท่านั้น

หญิงสาวเดินงุ่นง่าน...หล่อนต้องการทดสอบทักษะทางภาษาของตนเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งมันมีอะไรบางอย่างที่หล่อนอยากเขียนออกมาให้ได้ สิ่งนั้น...เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับตัวหล่อนอย่างยิ่ง

หญิงสาวมองหากระดาษกับปากกาชุดหนึ่งจนเจอ แล้วนั่งลงที่ชุดโต๊ะเขียนหนังสือ ในที่สุดปลายนิ้วของหล่อนก็จรดตัวอักษรลงไปบนนั้น มันเป็นสิ่งที่หล่อนไม่มีวันลืมเพราะอยู่ติดตัวหล่อนมาตั้งแต่เกิด

ลินจง

‘ลินจง...ชื่อนี้แปลว่าดอกบัวจ้ะลูก หลวงพ่อที่วัดท่านเคยบอกแม่ว่าถ้ามีลูกสาวให้ตั้งชื่อนี้ เพราะดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของปัญญา ลูกของแม่จะได้ใช้ปัญญาเอาชนะอุปสรรคทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต’

ปากกาหล่นจากมือของหล่อน...ตกกระแทกพื้นโต๊ะจนหลุดออกเป็นสองท่อน หมึกสีดำหกกระจาย

หล่อนเป็นคนไทยชื่อลินจง!

หญิงสาวเริ่มกุมขมับ เวลาที่หล่อนใช้ความคิดมากๆ มันเหมือนเกิดแรงบีบอัดในศีรษะจนหล่อนอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ

ในเวลาไม่กี่วินาที...หล่อนเห็นภาพมากมายไหลหลั่งเข้ามาในสมอง ภาพอดีตของเด็กหญิงลูกครึ่งไทย-จีนที่เคยอาศัยในหมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองไทย ที่นั่นมีสายน้ำ ภูเขา และทุ่งหญ้าสีเขียวชอุ่ม ภาพเด็กหญิงกับแม่เดินทางมายังฮ่องกง ภาพหล่อนใช้ชีวิตอย่างลำบากกับแม่ในมหานครแห่งตึกสูงระฟ้า และวันสุดท้ายที่แม่จากไปจนหล่อนต้องใช้ชีวิตเพียงลำพัง

ในที่สุดความทรงจำเลือนรางของหล่อนก็กลายเป็นความจริง หล่อนมีชาติกำเนิดต่ำต้อย...เป็นเพียงพลเมืองชั้นสองของเกาะฮ่องกงอันศิวิไลซ์ หล่อนใช้ชีวิตในแฟลตเก่าโทรมในย่านที่ทางการแทบไม่เคยหันมาแลเหลียว กระนั้นหล่อนก็ยึดมั่นกับการทำงานสุจริตหาเช้ากินค่ำ ด้วยความหวังว่าจะเก็บเงินกลับบ้านที่เมืองไทยได้สักวัน

หล่อนถูกเพื่อนคนไทยด้วยกันโกงเงินจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว แล้ว...แล้วหลังจากนั้น...

ภาพต่างๆ ที่ไหลหลั่งเหมือนสายน้ำหยุดอยู่แค่ตรงนั้น ลินจงเริ่มนึกไม่ออกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของหล่อนอีก

นายแพทย์เจ้าของไข้ก็เคยบอกหล่อนว่าเป็นธรรมดาที่หล่อนจะจำเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นเป็นระยะสั้นๆ ก่อนประสบอุบัติเหตุไม่ได้ ความทรงจำที่ขาดหายไปของคนไข้ประเภทนี้มักจะเป็นช่วงวันที่เกิดอุบัติเหตุ...หรืออาจจะย้อนไปไกลกว่านั้นสักเล็กน้อย

แต่ถึงจะจำไม่ได้...หญิงสาวกลับมีความรู้สึกว่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก มันเหมือนหล่อนต้องทำอะไรสักอย่างเพราะความจำยอม แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ จากนั้น...หล่อนก็ได้ท่องเที่ยวผ่อนคลายตัวเอง ดูเหมือนจะมีใครคนหนึ่งอยู่ข้างๆ หล่อนด้วยในช่วงนั้น

ใครคนหนึ่ง...คนคนนั้นไม่น่าจะใช่จางหลี่หง

หญิงสาวขมวดคิ้ว...ทำไมความทรงจำของหล่อนต้องขาดหายตรงจุดที่สำคัญด้วย หล่อนเกือบจะนึกออกแล้วว่าหล่อนพบกับจางหลี่หงได้อย่างไร แต่ว่า...นี่กลับยิ่งทำให้ทุกอย่างว้าวุ่นกว่าเดิม

“หลิน...”

เสียงทุ้มที่คุ้นเคยทำให้ลินจงสะดุ้ง หล่อนเอาแต่จมตัวเองอยู่กับความคิด จึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มกลับเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างสูงของเขาเข้ามายืนอยู่ข้างหลังชุดโต๊ะทำงานซึ่งหล่อนนั่งอยู่ หญิงสาวรับรู้ถึงกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขา...แขนทั้งสองข้างเท้าโต๊ะเหมือนกำลังกักกันร่างหล่อน...ใบหน้าของเขากำลังโน้มลงมา

จางหลี่หงเห็น...ตัวอักษรในภาษาที่เขาไม่รู้จักซึ่งหล่อนขีดเขียนขึ้น และปากกาที่ตกกระแทกโต๊ะจนหมึกสีดำนองกระจาย

จากรูปการณ์นี้ เขารู้ได้ทันที...

หล่อนกำลังจะจำอดีตได้แล้ว!

“หลี่หงคะ...นี่ชื่อของฉันค่ะ ชื่อที่ฉันเคยบอกคุณว่ามันแปลว่า...ดอกบัว”

หญิงสาวพยายามหาหัวข้อดีๆ มาคุยกับเขา เพราะอยากให้เขาปลดปล่อยหล่อนจากวงแขนที่เท้าโต๊ะเอาไว้ แต่ร่างสูงกลับไม่ขยับเลย

“ลินจงค่ะ...ชื่อภาษาไทยของฉัน ฉันเป็นลูกครึ่ง...แม่ของฉันเป็นคนไทย”

หล่อนเงยหน้ายิ้มให้เขา พลางชี้ให้ดูผลงานการเขียนของตัวเองเหมือนเด็กอวดการบ้านที่ทำเสร็จแล้ว ดวงตาใสเต็มไปด้วยประกายตื่นเต้นและรอยยิ้มบนใบหน้าละไมทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลาย บางที...ความทรงจำที่กลับคืนมาของหล่อนอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด

เพราะหากหล่อนจำอดีตทั้งหมดได้ เขาคงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มแบบนี้

มือเรียวยาวของเขาคว้ากระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู ดวงตาคมเพ่งมองราวจะจดจำอักขระที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

“ฉัน...ฉันนึกออกแล้วล่ะค่ะ ฉันอยู่ในฮ่องกงมาสิบกว่าปี แต่ว่า...ฐานะของฉันขัดสนมากๆ แม่ก็จากฉันไปเมื่อสามปีก่อน ช่วงก่อนที่จะมาพบคุณฉันก็แค่เป็นพนักงานชั่วคราวแล้วแต่บริษัทไหนจะจ้างเท่านั้น จากนั้นก็ดูเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดี แล้วฉันก็...นึกอะไรหลังจากนั้นไม่ออกแล้วล่ะค่ะ”

ชายหนุ่มมองร่างระหงซึ่งลุกขึ้นยืนพลางบรรยายถึงความหลังอย่างกระท่อนกระแท่น แววตาของหล่อนมองเขาด้วยความผูกผันไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงมั่นใจ...หล่อนคงจะยังจำเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้หล่อนและเขามาพบกันบนเรือวันนั้นไม่ได้

“คนไทยหรือ...”

เขาเอ่ย สายตามองตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคยบนกระดาษ

ลินจง...ชื่อภาษาไทยของหล่อน ชื่อที่เขาเคยเห็นในเอกสารส่วนตัวของหญิงสาวมาก่อน แต่ตอนนั้นเขายังอ่านมันไม่ได้

“ค่ะ...แม่เคยบอกว่า คำว่าไทยแปลว่าอิสระน่ะค่ะ แม่เคยบอกฉันว่าคนไทยส่วนใหญ่รักอิสระเสรี” หล่อนยิ้ม

“เอาล่ะ ฉันดีใจที่เธอนึกอดีตได้มากมายขนาดนี้”

จางหลี่หงตัดบทเรียบๆ เขาเก็บแผ่นกระดาษลงในลิ้นชักโต๊ะ หญิงสาวกำลังจะทักท้วง แต่เมื่อนึกได้ว่าทุกอย่างในบ้านนี้คือทรัพย์สินของเขา หล่อนก็ต้องสงบปากสงบคำ ที่สำคัญ...ภาษาไทยแบบนั้นหล่อนจะเขียนใหม่อีกสักร้อยแผ่นก็ได้

“แต่ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็น อย่าลืมว่าเธอยังต้องกินยาตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด”

ชายหนุ่มยังไม่ลืมที่จะตักเตือนหล่อน ลินจงพยักหน้าอย่างรู้หน้าที่ แต่ยังไม่ลืมที่จะหากระดาษมาเช็ดซับหมึกดำที่เปื้อนกระจายอยู่บนโต๊ะด้วยความเลินเล่อของตัวเอง

“ไม่ต้อง ฉันจะให้สาวใช้จัดการ”

คำพูดของเขาเหมือนประกาศิต หญิงสาวจำต้องหยุดมือ และค่อยๆ เดินออกไปอย่างว่าง่าย

ดวงตาเรียวคมมองตามร่างบางไปจนลับ มือข้างหนึ่งขยับเปิดลิ้นชักออก และหยิบแผ่นกระดาษผลงานการขีดเขียนของหล่อนออกมาดูอีกครั้ง

วันนี้...จำชื่อได้...

วันข้างหน้า...ความทรงจำอะไรบ้างที่จะกลับคืนมา?

คำถามนั้นดังอยู่ในใจบุรุษผู้เป็นทายาทหนุ่มแห่งตระกูลจาง แต่สีหน้าและแววตาที่บ่งบอกความตื่นเต้นปีติของหญิงสาว...ก็คือภาพที่เขาไม่ได้เห็นมานาน อาจจะนับตั้งแต่เขาพาหล่อนมาอยู่ที่บ้านริมทะเลแห่งนี้ เพราะนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตที่เหมือนถูกขังอยู่ในกรง

หากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นความทรงจำด้านภาษาจะทำให้หล่อนได้มีความสุขมากขึ้นแล้วละก็....

จางหลี่หงตวัดสายตาขึ้นพร้อมกับความคิดนั้น ก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดปุ่ม

“ฉันเอง...ติดต่อร้านหนังสือต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง ฉันต้องการหนังสือจากประเทศไทย...หนังสือที่มีภาษาไทย”


ลินจงกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับกองทัพหนังสือนับร้อยเล่มซึ่งกำลังถล่มห้องโถงกลาง หล่อนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองตอนที่เดินลงมาห้องโถงในเวลาเช้าหลังจากที่จางหลี่หงออกไปทำงานเรียบร้อยแล้ว คนรับใช้วางหนังสือภาษาไทย...ทั้งนิตยสารและพ็อคเก็ตบุคเป็นตั้งอย่างเป็นระเบียบ หล่อนตื่นเต้นจนแทบจะลืมอาหารเช้าไปเสียด้วยซ้ำ ถ้าไม่เพราะสาวใช้กำชับหล่อนว่าต้องไม่ลืมทานยาหลังอาหารอย่างที่จางหลี่หงเคยสั่ง

หญิงสาวจมตัวเองกับการอ่านหนังสือภาษาไทยตั้งแต่เช้าจนค่ำ การอ่านหนังสือก็เหมือนเปิดโลกแห่งจินตนาการ ลินจงกำลังมองเห็นดินแดนแหลมทองผ่านภาพสวยๆ และตัวหนังสือที่หล่อนไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ทิวทัศน์ของเมืองไทยเต็มไปด้วยความหลากหลาย ไม่เหมือนฮ่องกงซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ และยังเต็มไปด้วยตึกระฟ้ามากมาย

หล่อนเคยแสดงออกถึงความโหยหาเมืองไทยอย่างรุนแรง...ความทรงจำนี้ไม่ผิดแน่ ดูเหมือนการกระทำนี้จะเพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แต่มันคืออะไรกัน?

หญิงสาวเริ่มเห็นภาพรางๆ ที่ตรงนั้นเป็นดาดฟ้า...คงเป็นแฟลตที่หล่อนเคยอยู่อาศัย หล่อนไปยืนเกาะรั้วดาดฟ้า และตะเบ็งเสียงออกมาทำนองว่า...อยากกลับบ้าน

ทันใดนั้นก็มีภาพพร่ามัวของใครคนหนึ่งฉายวาบเข้ามาในภวังค์

ในตอนนั้นมีใครคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงพร่ำเพ้อของหล่อนด้วย

ลินจงเงยหน้าขวับเมื่อความทรงจำที่หวนกลับได้รุกคืบมากขึ้น หล่อนไม่รู้ว่าคนที่ปรากฏตัวที่ดาดฟ้าคือใคร แต่โครงร่างของคนคนนั้นไม่ใช่จางหลี่หงแน่นอน สังหรณ์บอกหล่อนว่า...เหตุการณ์หลังจากนั้นเองที่เป็นกุญแจสำคัญ

หญิงสาวกุมขมับ จนแล้วจนรอด...หล่อนก็ยังนึกไม่ออกเสียทีว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงธรรมดาอย่างหล่อนมาพบกับจางหลี่หงได้คืออะไร

เสียงย่ำฝีเท้าหนักๆ ทำให้หล่อนหันขวับ ลินจงเอาแต่อ่านหนังสือและจมอยู่ในห้วงความคิดเพลินจนไม่ได้ยินเสียงรถของเขาที่กลับเข้ามาในบ้าน แต่อย่างน้อยเสียงฝีเท้าของคนติดตามจางหลี่หงก็ทำให้หล่อนไหวตัวทัน

ลินจงไม่รู้ว่าเหตุใดคนติดตามของจางหลี่หงถึงเดินลงส้นเสียงดังขนาดนั้น แต่ดูเหมือนทุกคนจะทำแบบนี้เมื่อเข้ามาใกล้บริเวณห้องนอนของจางหลี่หง หรือที่ไหนๆ ก็ตามที่ชายหนุ่มนั่งทำงานอยู่

เสียงฝีเท้ากึกก้องของคนติดตามหยุดเพียงขั้นบันได เหลือแต่เสียงย่างก้าวอย่างแน่วแน่เป็นจังหวะกำลังตรงมาที่ห้องนี้

ลินจงรีบโดดขึ้นบนเตียง ตวัดผ้าห่มคลุมตัวเองกับหนังสือหอบใหญ่เอาไว้ พอดีกับที่บานประตูเปิดออกและหล่อนรับรู้ได้ว่าร่างของเขากำลังก้าวเข้ามา

หญิงสาวแกล้งทำเป็นหลับ เพราะรู้ดีว่าหากเขาเห็นหล่อนยังไม่นอนทั้งที่เวลาล่วงเข้าสู่ยามดึกขนาดนี้ละก็ ชายหนุ่มจะต้องคาดโทษหล่อนแน่ๆ

“ก่อนนอนเธอควรจะถอดรองเท้าทั้งสองข้าง นอกเสียจากว่ารีบร้อนมากก็ไม่เป็นไร”

ฟูกเตียงไหวยวบบอกว่าร่างของเขากำลังหย่อนกายลงนั่งข้างๆ พร้อมกับเสียงบอกล่าวเรียบเฉยในแบบที่หล่อนคุ้นเคย ลินจงใจหายวูบ ความรีบร้อนเมื่อครู่ทำให้หล่อนถอดรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนขึ้นเตียงได้แค่ข้างเดียว หญิงสาวลดผ้าห่มลงและเหลียวไปมองเขาช้าๆ สีหน้าเหมือนเด็กที่โดนผู้ปกครองจับได้ว่าทำความผิด

“ฉันขอโทษค่ะ...”

ลินจงแอบถอนใจเบาๆ ช่วงหลายวันที่อยู่ด้วยกันย้ำเตือนหล่อนว่าไม่มีอะไรในบ้านนี้ที่จะรอดพ้นสายตาของเขาไปได้ จางหลี่หงเหมือนมีหูตาอยู่รอบตัว ขนาดแค่หล่อนสะดุ้งตื่นตอนกลางดึก ชายหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะหลับสนิทยังรับรู้ได้และลุกขึ้นโอบประคองถามหล่อนว่าเป็นอะไร

“ช่างเถอะ เธอคงกำลังสนุกกับ‘ของเล่น’ ”

พร้อมกับคำพูดนั้น ดวงตาเรียวคมก็ปรายมองสันหนังสือที่แพลมออกมาจากผ้าห่ม ลินจงขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยอมจำนน ในเมื่อหลักฐานก็ทนโท่อยู่เช่นนี้

“ค่ะ มันช่วยอะไรฉันได้มากเลย ขอบคุณค่ะหลี่หงที่ซื้อหนังสือไทยให้ฉันมากมายขนาดนี้”

หล่อนยิ้มสดใสให้เขา ชายหนุ่มยังวางสีหน้าและแววตานิ่งเฉย แม้ว่ารอยยิ้มแบบนั้น...ไม่ว่าจะเห็นสักกี่ครั้งก็ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอันแปลกประหลาดในอกแกร่งของเขา

จางหลี่หงเอื้อมมือมาหยิบหนังสือภาษาไทยเล่มหนึ่งขึ้นพลิกดู แน่นอนว่าเขาคงอ่านเนื้อหาในนั้นไม่ได้ แต่บรรดาภาพสีซึ่งเป็นวัดวาอารามของประเทศไทยก็กำลังผ่านสายตาเขา

“อันนั้นคู่มือนำเที่ยวค่ะ เป็นไกด์บุคสำหรับเที่ยวอยุธยากรุงเก่าของไทย” ลินจงอธิบาย

“ที่นั่นมีร่องรอยอารยธรรมจีนด้วยสินะ”

ชายหนุ่มเอ่ยเบาๆ เพราะวัดในหนังสือปรากฏรูปปั้นและศิลปะแบบจีนอยู่ด้วย ลินจงยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ ก่อนขยายความเพิ่มเติม

“ค่ะ ไทยกับจีนเคยมีการติดต่อสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ยุคโบราณเลยนะคะ วัดนี้ตั้งอยู่ที่กรุงเก่าของไทยค่ะ...มันเคยเป็นราชธานีของไทยในสมัยก่อน มีตำนานว่า...กษัตริย์ของไทยองค์หนึ่งเคยเดินทางมาถึงเมืองจีน และฮ่องเต้ของจีนก็พระราชทานธิดาให้อภิเษกสมรสเป็นราชินี กษัตริย์จากแดนสยามก็เลยพาเจ้าหญิงชาวจีนเดินทางล่องเรือกลับราชธานีอย่างยิ่งใหญ่ เพียงแต่ว่า...พระองค์ติดภารกิจก็เลยเทียบท่ากลับวังไปก่อน เจ้าหญิงชาวจีนจึงรอให้สวามีมารับนางจากเรือ กษัตริย์หนุ่มชาวสยามไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหญิงต้องรอพระองค์เท่านั้น จึงไปพบนางที่เรือและบอกว่าถ้ายังยืนกรานแบบนั้นนางก็จงอยู่ที่นี่ต่อไปเถิด เจ้าหญิงจากเมืองจีนเสียพระทัยมาก นางจึงตรอมใจและสิ้นพระชนม์ที่ท่าเรือตรงนั้นเอง”

ลินจงอ่านข้อความภาษาไทยที่อยู่ในหน้าหนังสือ ผสมกับความจำส่วนตัวเล่าให้ชายหนุ่มฟัง หล่อนจำได้ว่าตอนเด็กๆ แม่ก็เคยพาหล่อนเดินทางไปเที่ยววัดนี้ ดังนั้นตำนานรักยิ่งใหญ่แต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่หล่อนจำได้แทบจะขึ้นใจ

ริมฝีปากซึ่งมักแปรเป็นเส้นตรงไม่แสดงอารมณ์ของชายหนุ่มเหมือนมีรอยยิ้มประกายขึ้น หญิงสาวอ่านความรู้สึกของเขาออก ชายหนุ่มเองก็กำลังรู้สึกหลากใจกับนิทานปรัมปราเรื่องนี้

“ตอนแรกฉันเห็นว่ามันจะเป็นเรื่องของการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทยจีนที่ดี แต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยโศกนาฏกรรมอย่างนั้นหรอกหรือ”

“คุณต้องเข้าใจสิคะหลี่หง เจ้าหญิงจากเมืองจีนน่ะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ในดินแดนที่ไม่รู้จัก คนเพียงคนเดียวที่จะอยู่เคียงข้างก็คือสวามีซึ่งควรจะเข้าใจเธอ แต่พระองค์กลับไม่เข้าใจความต้องการเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ เธอถึงต้องตรอมใจตายแบบนั้น” หญิงสาวแก้ต่าง

จางหลี่หงเอนกายลงกับหมอน ปรายตามองหญิงสาวซึ่งดูเหมือนจะจริงจังกับเรื่องนี้มาก ทั้งที่เจ้าตัวก็ย้ำนักหนาว่ามันเป็นเพียงตำนาน

“อาจเป็นเพราะความแตกต่างของวัฒนธรรม”

เขาเปรยขึ้น ส่งผลให้ใบหน้างามละไมนั้นครุ่นคิดอย่างไม่ยอมแพ้ เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในช่วงเวลาหลายวัน ไม่น่าเชื่อว่านิทานก่อนนอนเพ้อฝันของหญิงสาวจะทำให้เขารื่นรมย์ได้เช่นนี้

“อาจจะด้วยมั้งคะ แต่ฉันว่าประเด็นมันอยู่แค่เจ้าหญิงเธอต้องการความรักค่ะ เมื่อผู้หญิงเรารักใครสักคน เราไม่ได้ต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่หรอกค่ะ ที่เราต้องการก็แค่ผู้ชายคนนึงที่พร้อมจะทำเพื่อเราเท่านั้น กษัตริย์ชาวสยามไม่เข้าใจตรงนี้ พระองค์เข้าใจว่าขบวนแห่มารับมเหสีที่ยิ่งใหญ่นั้นก็เพียงพอแล้ว แต่สำหรับเจ้าหญิง...ขบวนแห่ยิ่งใหญ่อลังการก็ไม่มีความหมายถ้าปราศจากเงาของชายที่รัก ในเมื่อพระองค์ไม่อาจจะเข้าใจเธอได้ เรื่องราวมันจึงต้องลงเอยที่โศกนาฏกรรมไงคะ”

“เธอไม่แก้ต่างให้กับสวามีชาวไทยบ้านเกิดของเธอเลยหรือ” ชายหนุ่มแย้งเบาๆ

“ฉันพูดในฐานะผู้หญิงค่ะหลี่หง ความรู้สึกที่ผู้หญิงทุกคนเข้าใจดีไม่ว่าจะชนชาติหรือภาษาไหนๆ ถ้าเพียงแต่ผู้ชายเข้าใจจิตใจของผู้หญิงบ้าง เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้”

หญิงสาวยืนกรานด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังจนน่าขัน แต่น่าเสียดายที่การหัวเราะขบขันเป็นสิ่งที่ผู้ชายอย่างจางหลี่หงไม่รู้จัก...และไม่เคยที่จะปลดปล่อยอารมณ์แบบนั้นออกมาต่อหน้าใคร

“แล้วเธอเองล่ะหลิน”

ร่างของเขาขยับเข้ามาใกล้ ความสูงใหญ่ของเรือนกายนั้นโอบรอบร่างเล็กบางเอาไว้จากด้านหลัง ศีรษะอันปกคลุมด้วยเรือนผมยาวนุ่มเนียนสยายของหล่อนจึงเอนพิงกับเนินบ่าแน่นตึงของเขา หญิงสาวรู้สึกร้อนวูบจนใบหน้าเริ่มจะซับสีชมพูเรื่อ

“ทั้งหมดตรงหน้า ถ้าฉันจะเอามาให้เธอ เธอยินดีจะรับมันไหม”

เขาชี้ปลายนิ้วไปยังความว่างเปล่านอกประตูกระจก ที่ซึ่งมีแต่ท้องน้ำมืดสนิทหากยังสะท้อนประกายวิบวับของแสงไฟตามชายฝั่งยามราตรี จุดหมายปลายทางของชายหนุ่มเหมือนจะเป็นที่ตรงนั้น...ดินแดนแห่งตึกระฟ้าอันไม่เคยหลับใหล...มหานครแห่งความรุ่งโรจน์ศิวิไลซ์

นั่นหมายถึงตัวเกาะฮ่องกงทั้งเกาะ

“คุณ...พูดอะไรคะ”

ในที่สุดลินจงก็เอ่ยออกมาเสียงแผ่ว มันเหมือนหล่อนต้องการเอาเสียงมาเป็นเพื่อนในเวลาที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับอ้อมแขนแข็งแกร่งนี้มากกว่าอยากรู้คำตอบจริงๆ

“ฉันพูดจริง”

เสียงต่ำลึกของเขากระซิบอยู่ข้างหู แม้ลักษณาการที่ถูกกอดจากด้านหลังแบบนี้จะทำให้หล่อนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ว่าใบหน้าคมคายราวกับรูปสลักนั้นกำลังฉายความจริงจัง เหมือนหล่อนรับรู้ได้ถึงสายตาคมกริบที่จ้องมองเกาะฮ่องกงอย่างแน่วแน่

“แต่ที่ตรงนั้นอาจจะไม่มีฉันอยู่ด้วยเท่านั้น เธอรับมันได้ไหม”

ลินจงรู้สึกโหวงวูบในอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น หล่อนพยายามแกะท่อนแขนของเขาออก แน่นอนว่ามันคงไม่สำเร็จหากเขาไม่ยอมคลายมือออกเอง ในที่สุดหญิงสาวก็เป็นอิสระ หล่อนรีบมุดตัวลงในผ้าห่มผันกายหันหลังให้เขา แล้วส่งเสียงงึมงำสั้นๆ

“ฉันง่วงแล้วค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ หลี่หง”

ชายหนุ่มปรายตามองคนอ้างตัวว่าง่วงทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนยังโต้เถียงกับเขาเป็นเรื่องเป็นราว หล่อนจะรู้บ้างไหมว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าหันหลังให้กับเขาเช่นนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ทายาทมังกรเพิ่งจะถามถึงความปรารถนาที่จะเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของโลกมืดแห่งเกาะฮ่องกง

ร่างสูงลุกขึ้นช้าๆ ปลายเท้าก้าวย่างไปจนถึงประตูกระจกสีชา ภาพของหมู่ตึกบนเขตเกาะฮ่องกงสะท้อนอยู่ในดวงตาสีดำขลับ...ที่ตรงนั้นคือความยิ่งใหญ่ของตระกูลจางซึ่งไม่เคยปราศจากผู้สืบทอดสักครั้งในประวัติศาสตร์

‘ฉันจะสร้างแกขึ้นเป็นมังกรเงา...หลี่หง ในฐานะน้องชายของฉัน...แกกับฉันจะต้องครอบครองทุกตารางนิ้วของฮ่องกง นี่คือวิถีทางที่ถูกกำหนดเอาไว้สำหรับตระกูลจาง’

นั่นคือสิ่งที่ถูกลิขิตเอาไว้...นับแต่วินาทีแรกที่เขาถูกพาตัวกลับมายังฮ่องกงในฐานะทายาทของจักรพรรดิมาเฟีย

หากเวลานี้ นอกจากเกาะฮ่องกงตรงหน้าแล้ว สายตาของเขากลับไม่อาจลบภาพสะท้อนอย่างหนึ่งออกไปได้

ภาพของหญิงสาวซึ่งกำลังหลับใหลอยู่บนเตียงด้านหลัง ทั้งที่เงาร่างของหล่อนเป็นเพียงภาพสะท้อน แต่ในสายตาของเขา...มันช่างเป็นภาพที่ชัดเจนยิ่งกว่าเกาะฮ่องกงที่เปล่งแสงสีตระการตา


บทที่ 9

ลินจงละวางความสนใจจากหนังสือภาษาไทยชั่วคราว เมื่อสังเกตเห็นหญิงรับใช้กำลังหอบเสื้อผ้าออกมาจากห้องซักรีด และดูเหมือนว่ากำลังจะเอามันทิ้งขยะ

“นี่อะไร จะทิ้งแล้วอย่างนั้นหรือ”

“นายหญิง...”

เสียงสาวใช้อุทานเนื่องจากหญิงสาวเดินเข้ามาหยิบชุดเสื้อสูทคลี่ออกดู ลินจงขมวดคิ้ว...สูทตัวนี้หล่อนไม่เคยเห็นจางหลี่หงใส่มัน แต่ทำไมจึงได้รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก

สาวใช้ไม่กล้าสบตาหล่อน เพราะนี่คือชุดที่จางหลี่หงใส่ในวันเกิดเหตุการณ์บนเรือ มันมีรอยขาดเล็กน้อย...รอยขาดที่บริวารไม่มีสิทธิ์ถามหรือรับรู้ว่าเกิดขึ้นจากอะไร แต่สาวใช้อย่างหล่อนมีหน้าที่กำจัดทุกสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบออกจากชีวิตของชายหนุ่ม คนอย่างจางหลี่หงจะไม่สวมใส่ชุดที่มีตำหนิไปแล้ว แม้จะเป็นรอยขาดเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“มันยังดีอยู่เลยนี่นา อ๋อ...แค่ขาดตรงนี้ใช่ไหม”

ลินจงว่า ตัวหล่อนเองไม่เคยใส่สูทแบบนี้ แต่ความที่เคยเป็นพนักงานชั่วคราวในบริษัทออร์แกนไนเซอร์และเคยได้ข้องเกี่ยวกับแวดวงแฟชั่นมาบ้าง หญิงสาวจึงพอจะมองออกว่าชุดเสื้อผ้าแบบไหนเป็นของดีและน่าจะยังไม่หมดมูลค่าแม้จะมีตำหนิเล็กน้อยก็ตาม

“ของจางหลี่หงใช่ไหมจ๊ะ”

หล่อนถาม สาวใช้พยักหน้ารับอย่างอึกอัก

“งั้นขอชุดเข็มกับด้ายทีสิ ถ้ามันขาดแค่นี้ละก็...ฉันพอซ่อมได้”

“นายหญิง!”

สาวใช้อุทานอย่างตกใจราวกับว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอย่างไรอย่างนั้น

“ฉันรู้...จางหลี่หงไม่อนุญาตให้ฉันลงมือทำงานบ้าน ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะมีโทษใช่ไหมล่ะ”

หล่อนเอ่ยต่อไปอย่างเข้าใจดี

“แต่นี่ไม่ใช่งานบ้านที่หนักหนาอะไรหรอก ฉันก็แค่อยากจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนเขาบ้างเท่านั้นเอง เอาเป็นว่าฉันจะอธิบายกับเขาเองจ้ะ รับรองว่าพวกคุณจะไม่โดนว่าหรอก”

ลินจงพยายามโอ้ล้อมสาวใช้ และใช้เวลาอยู่นานกว่าอีกฝ่ายจะยอมไปหยิบชุดอุปกรณ์เย็บผ้าออกมาให้ จนหญิงสาวได้แต่บอกตัวเองว่า...งานนี้สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่การปะชุน แต่เป็นการเรียกร้องอุปกรณ์จากสาวใช้ต่างหาก

ตั้งแต่เด็ก ลินจงก็เคยชินกับงานปักเย็บแบบนี้มาตลอด เพราะมารดาของหล่อนเคยรับงานพวกนี้มาทำโดยมีหล่อนคอยเป็นลูกมือ ทักษะพื้นฐานจากช่วงเวลาของความยากลำบากในวัยเด็กช่วยให้หล่อนได้ทำงานในบริษัทเกี่ยวกับแฟชั่น แต่ด้วยความที่ร่ำเรียนไม่สูงและไม่ใช่คนฮ่องกงแท้ๆ ลินจงจึงก้าวหน้าได้ไม่ไกลนัก

เสื้อสูทตัวนี้มาจากแบรนด์ดังระดับโลก คัทติ้งของตัวเสื้อก็ประณีตเสียจนหญิงสาวกลัวว่าฝีมือการเย็บซ่อมของหล่อนจะกลืนไปกับความเนี้ยบดั้งเดิมหรือไม่ แต่เมื่อนึกว่ามันเป็นเสื้อของจางหลี่หง หล่อนก็ทุ่มเทความตั้งใจลงไปเต็มที่

ในที่สุด รอยเย็บเข็มสุดท้ายก็เสร็จสิ้น หญิงสาวหยิบกรรไกรมาตัดด้ายออก แล้วคลี่ผลงานขึ้นดูอย่างภาคภูมิใจ

“หลิน...”

เสียงต่ำลึกของเขาทำเอาหล่อนแทบสะดุ้ง ลินจงเอาแต่ทุ่มสมาธิกับการทำงานจนไม่ได้ยินเสียงรถของเขาที่แล่นเข้ามาในบ้านอีกครั้ง หญิงสาวหันกลับไปมองเขา นาฬิกาบอกเวลาบ่าย นี่ยังไม่ใช่เวลากลับบ้านของเขาอย่างที่เคยเป็น

“หลี่หง กลับมาแล้วเหรอคะ ฉันซ่อมเสื้อสูทตัวนี้ให้คุณค่ะ ดูไม่ออกเลยใช่ไหมคะว่าเคยมีรอยขาดอยู่ตรงนี้”

หญิงสาวนำเสนอผลงานด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ ไม่สังเกตเห็นสีหน้าของสาวใช้ที่หลบสายตาของเจ้าของบ้านหนุ่มและกำลังกระอักกระอ่วนเต็มที่

จางหลี่หงเอื้อมมือออกไปรับเสื้อนอกตัวนั้น มันเป็นเสื้อสูทที่เขาเคยใส่ในวันแรกที่ได้พบหล่อนบนเรือ รอยขาดเล็กน้อยนั่นเกิดจากความชุลมุนในวินาทีลอบสังหาร ลินจงคงไม่รู้ว่าตัวเองกำลังซ่อมแซมประจักษ์พยานอย่างหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้เขาและหล่อนได้รู้จักกัน

ดวงตาเรียวคมปรายตามองช่วงแขนเสื้อ คนอย่างเขาไม่เคยจดจำว่ามันเคยมีรอยขาดเล็กๆ อยู่ตรงนั้น มันเป็นหน้าที่ของคนรับใช้ที่จะต้องคัดของที่มีตำหนิทิ้งไป แต่เวลานี้เขากลับรับรู้ถึงรอยเย็บที่เนียนสนิทไปกับเนื้อผ้า จนมองอย่างไรก็แทบไม่เห็นร่องรอยนั้น

“ดีมาก ฝีมือของเธอดีจริงๆ”

ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ เรียกรอยยิ้มแทบแก้มปริบนใบหน้าสวยละไม

ทำเอาสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวรู้สึกพิศวง เพราะไม่เคยสักครั้งที่จะเห็นจางหลี่หงยินดีกับข้าวของเครื่องใช้ที่ปลดระวางไปแล้วแบบนี้

“แต่ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าเธอไม่ต้องทำงานแบบนี้”

จะอย่างไรเสีย จางหลี่หงก็ยังไม่ลืมที่จะตำหนิหล่อนในเรื่องการทำเกินหน้าที่

“มันไม่ใช่งานที่ยุ่งยากหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะทำให้คุณเท่านั้น คุณซื้อหนังสือภาษาไทยให้ฉันเยอะแยะ ฉันก็ต้องตอบแทนคุณบ้างสิคะ” หล่อนยืนกราน

“เอาล่ะ...ฉันพอใจมากที่เธอตอบแทนฉันอย่างเต็มความสามารถแบบนี้”

จางหลี่หงกล่าวเป็นเชิงตัดบท เขาส่งเสื้อให้สาวใช้ที่ยืนรีรออยู่ใกล้ๆ เพื่อนำมันไปเก็บในตู้เสื้อผ้า ก่อนจะหันมาบอกกับหล่อนด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

“วันนี้ฉันจะพาเธอออกไปข้างนอก ไปแต่งตัวเสีย ฉันจะรอ”

ลินจงแทบจะปล่อยฝากล่องอุปกรณ์ตัดเย็บเสื้อผ้าตกกระแทกพื้น หญิงสาวลุกขึ้นจากโต๊ะและหันมาถามเขาอย่างตื่นเต้น

“ไปข้างนอก...ไปไหนคะหลี่หง”

“อย่าเพิ่งรู้เลย ฉันเพียงแต่เห็นว่าเธออยู่บ้านเฉยๆ แบบนี้คงจะเบื่อ ก็เลยอยากพาเธอออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเท่านั้นเอง”

เขาไม่ยอมเฉลยตรงๆ แต่เพียงเท่านั้นหญิงสาวก็ยิ้มระรื่นอย่างมีความสุข ร่างระหงรีบตรงรี่ไปที่ห้องแต่งตัว จนจางหลี่หงต้องส่งเสียงทักท้วง

“อย่าวิ่ง ร่างกายเธอยังไม่แข็งแรงดี”

หญิงสาวจึงชะลอความเร็วลงจนกลายเป็นการซอยเท้าถี่ๆ เมื่อไปถึงห้องแต่งตัว สาวใช้ที่เหมือนจะรู้หน้าที่อยู่แล้วก็เข้ามาช่วยแต่งหน้า จัดผมทรงใหม่รวมถึงเลือกชุดเสื้อผ้าให้

“ฉันทำเองก็ได้จ้ะ”

ลินจงโบกมือเบาๆ หล่อนเองก็มีเซนส์ในการเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเองอยู่แล้ว ที่สำคัญการมีคนมาช่วยแต่งหน้าทำผมแบบนี้ทำให้หล่อนรู้สึกไม่เป็นส่วนตัวนัก

“ไม่ได้หรอกค่ะนายหญิง เราต้องช่วยนายหญิงแต่งตัว นี่เป็นคำสั่งของนายนะคะ”

สาวใช้ยืนกราน หญิงสาวจึงได้แต่ยอมรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอย่างอ่อนใจ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงต่อมา ภาพสะท้อนในกระจกนั้นก็กลายเป็นสาวสังคมอย่างที่ไม่เคยรู้จัก หล่อนกลายเป็นลินจงคนใหม่ที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจกับความเปลี่ยนแปลงนี้


ความทรงจำเริ่มกลับคืนมา และยังได้ออกจากบ้านริมทะเลเป็นครั้งแรก วันนี้จึงนับเป็นวันดีที่สุดสำหรับหล่อน

+++++++++++++++++

ลินจงแทบกลั้นรอยยิ้มไม่อยู่เมื่อได้นั่งอยู่ในห้องโดยสารรถลีมูซีนของจางหลี่หง ธรรมชาติของคนเคยทำงานนอกบ้านมาตลอดย่อมเบื่อหน่ายกับการนั่งนอนอยู่เฉยๆ เมื่อได้ออกมาสู่โลกภายนอกซึ่งเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคย หญิงสาวจึงออกอาการร่าเริงอย่างปิดไม่มิด

จางหลี่หงพาหล่อนมายังห้างสรรพสินค้าหรูหรา ที่ซึ่งความทรงจำของลินจงบอกตัวเองว่าเมื่อก่อนหล่อนไม่มีวันย่างกรายเข้ามาซื้อของในที่แบบนี้เด็ดขาด แต่เวลานี้เพียงก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่ม หล่อนก็รับรู้ถึงบรรยากาศความอ่อนน้อมจากบรรดาพนักงาน ไม่ว่าชายหนุ่มที่จับมือหล่อนไว้เป็นใครก็ตาม แต่เวลาที่เขาเดินไปทางไหน สายตาหลายคู่จะแอบมองเขาอย่างสนใจแต่ก็สะเทิ้นอายเกินกว่าจะกล้าสบตาตรงๆ

จางหลี่หงเหมือนมีรัศมีบางอย่างซึ่งทำให้ทุกคนเกรงขามอย่างง่ายดาย

“เธออยากจะซื้ออะไรบ้าง ฉันให้เธอเลือกได้ตามสบาย”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางหยิบบัตรเครดิตจากตัวเสื้อด้านในส่งให้หล่อน ลินจงรับมันเอาไว้ในมืออย่างงุนงง

“หลี่หงคะ...ของแบบนี้ฉัน...”

“ตอนนี้ฉันไม่ต้องการฟังคำปฏิเสธ”

เสียงตัดบทของเขาทำเอาคำพูดกริ่งเกรงใจทั้งหมดต้องกลืนกลับไปในคอ ลินจงรู้ว่าหล่อนคงไม่มีวันคัดค้านชายหนุ่มได้ จึงเปลี่ยนเรื่องบอกเขาด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

“ฉันไม่ได้อยากได้อะไรหรอกค่ะ ก็ทุกอย่างคุณหาให้ฉันไปหมดแล้วนี่คะ หลี่หงคะ...ฉันรู้มาว่าโรงหนังที่นี่ทันสมัยมาก คุณอยากดูหนังกับฉันไหมคะ”

ความจริงแล้วมันก็เป็นความฝันของหล่อนที่จะมาดูภาพยนตร์ที่นี่ แต่ที่ผ่านมาลินจงมีแต่ยุ่งกับงานและการเก็บเงินเพื่อความฝันที่จะกลับไปตั้งตัวที่เมืองไทย ดังนั้นภาพยนตร์ในโรงหนังเรื่องสุดท้ายที่หล่อนได้ดูนั้นก็ผ่านไปแล้วหลายปีได้

“แล้วแต่เธอเถอะ วันนี้ฉันให้อิสระเธอ”

เขาให้สิทธิ์การตัดสินใจนั้นแก่หล่อนอย่างเต็มที่

ลินจงเดินกุมมือชายหนุ่มไปถึงชั้นโรงภาพยนตร์ ขนาดแค่ทางเข้าหล่อนก็สัมผัสได้ถึงความหรูหราของอัครสถานแห่งความบันเทิงสมัยใหม่ ที่ซึ่งเมื่อก่อนหล่อนได้แต่มองจากจอโทรทัศน์ แต่วันนี้หญิงสาวได้ย่างกรายมาถึงที่นี่เพื่อจะชมภาพยนตร์จริงๆ จังๆ สักที

หล่อนบอกให้เขารออยู่บริเวณโซฟา ขณะที่ตัวเองตรงเข้าไปซื้อตั๋ว

“สองที่ค่ะ”

“เชิญเลือกเลยค่ะคุณผู้หญิง”

หล่อนตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง การเลือกที่นั่งธรรมดาคงไม่เหมาะกับผู้ชายอย่างจางหลี่หง หล่อนนึกภาพเขานั่งอยู่ท่ามกลางผู้ชมคนอื่นไม่ออกเลย และเพื่อความสะดวกสบายสำหรับเขา หญิงสาวจึงตัดสินใจเลือกที่นั่งพิเศษที่ราคาแพงที่สุด

ไม่สบายใจเหมือนกันที่เอาเงินเขามาถลุงแบบนี้...แต่จะทำไงได้

หญิงสาวนึกในใจ แล้วจึงตัดสินใจเลือกที่นั่งระดับจักรพรรดิไปสองที่ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ส่งบัตรเครดิตให้พนักงาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

“อาหลิน นี่เธอใช่ไหม”

หญิงสาวหันไปมองที่มาของเสียงก็พบสาวชาวจีนฮ่องกงคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ เพียงเห็นใบหน้าอีกฝ่ายหล่อนก็จำได้ทันที

โซอี้ หยาง พนักงานออฟฟิศแห่งหนึ่งซึ่งลินจงเคยไปทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว หล่อนก็ไม่ต่างจากคนฮ่องกงอื่นๆ ที่มีการศึกษาดีและรู้ภาษาอังกฤษจึงก้าวหน้าได้ไว เพียงแต่กับบุคคลระดับต่ำกว่า...อย่างเช่นแรงงานต่างชาติอย่างลินจง โซอี้ก็แทบไม่เห็นอยู่ในสายตา

สาวหมวยพิจารณาลินจงจากศีรษะจรดปลายเท้า มีความประหลาดใจอยู่ในสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นนั้น ในเมื่อลินจงใช้ชีวิตในฐานะพนักงานระดับล่างของบริษัทมาตลอด แต่เวลานี้หญิงสาวกลับสวมชุดเสื้อผ้าราคาแพงที่ส่งให้หล่อนดูดีกว่าโซอี้ในตอนนี้เสียอีก เครื่องประดับทุกชิ้นก็ล้วนเป็นสินค้าแบรนด์ดังที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าของแท้

“อะไร นี่เธอมาดูหนังที่นี่ด้วยเหรอ”

อีกฝ่ายถามกระแทกใจหล่อนจังๆ ลินจงแทบสะอึก หญิงสาวรู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะจางหลี่หงพาหล่อนมาและมอบบัตรเครดิตให้ คนอย่างหล่อนก็คงไม่มีสิทธิ์ได้ชมภาพยนตร์ในสถานที่แบบนี้แน่นอน

“ใครน่ะ เพื่อนเหรอโซอี้”

ชายคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเป็นแฟนหนุ่มของโซอี้เดินเข้ามาหา สายตาของผู้ชายคนนั้นมองหล่อนอย่างสนใจ และเหมือนมีแววกรุ้มกริ่มนิดๆ จนลินจงรู้สึกอึดอัด

“เปล่า แค่อดีตลูกจ้างที่ออฟฟิศเดียวกันน่ะ แต่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกับฉันหรอกนะ เป็นตำแหน่งชั่วคราวเล็กๆ แล้วบริษัทก็ยุบส่วนนี้ไป”

คำพูดแกมถากถางทำให้ลินจงรู้สึกหน้าชา อีกฝ่ายคงต้องการหักเหความสนใจของแฟนหนุ่ม จึงได้ขุดอดีตที่ต่ำต้อยของหล่อนออกมาพูดแบบนี้

“มาดูหนังที่นี่กระเป๋าไม่ฉีกแย่รึไง โรงหนังแบบนี้น่ะมันแพงมากนะรู้ไหม”

สาวหมวยปรายตามองหล่อนเย้ยๆ ลินจงเริ่มรู้สึกว่ามือของหล่อนเย็นขึ้น ในคอเหมือนมีบางอย่างหนักอึ้งจุกแน่นอยู่ภายใน

แต่ทุกอย่างก็ยุติลงเมื่ออุ้งมือกว้างข้างหนึ่งเข้ามากุมมือหล่อนไว้

“เกิดปัญหาอะไรขึ้นรึเปล่า หลิน”

เสียงของเขาไม่ดังไม่เบา แต่เหมือนมีกังวานจนทำให้ทุกคนที่ได้ยินต้องหยุดชะงัก สาวหมวยกับแฟนหนุ่มถึงกับเบิกตากว้างนิดๆ เมื่อเห็นร่างสูงสง่าซึ่งก้าวเข้ามาโอบประคองหญิงสาวเอาไว้ สายตาของเขากำลังมองสองหนุ่มสาวตรงหน้าแน่ๆ...ลินจงมั่นใจ เพราะหล่อนสังเกตเห็นความกริ่งเกรงอย่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นในสีหน้าของทั้งสองอย่างเห็นได้ชัด

สายตาของจางหลี่หง...บางครั้งเหมือนคมมีดที่กรีดเถือได้โดยไม่ต้องสัมผัส

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันต้องการดูหนังกับเธอเท่านั้น คนอื่นอยู่ด้วยจะเกะกะเสียเปล่า”

ชายหนุ่มส่งบัตรเครดิตให้กับพนักงานสาว ผู้ซึ่งเงยหน้าค้างมองเขาอย่างหลงใหลตั้งแต่วินาทีแรกที่ชายหนุ่มปรากฏตัวนั่นแล้ว

“ทั้งโรง...ยกเลิกที่นั่งทั้งหมด เราต้องการเพียงสองที่เท่านั้น และต้องเป็นที่ที่ดีที่สุด”

พนักงานจึงเริ่มได้สติเมื่อได้ยินคำสั่งซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ที่ประหลาดที่สุด หล่อนก้มลงมองบัตร และหันไปถามความเห็นจากพนักงานด้านในซึ่งดูเหมือนจะเป็นระดับหัวหน้า

เมื่อหัวหน้าฝ่ายเห็นบัตรใบนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ดะ...ได้ค่ะ! ทางเราจะจัดการให้เดี๋ยวนี้”

จบจากคำสั่งของคนเป็นหัวหน้า ความวุ่นวายย่อยๆ ก็เหมือนจะเกิดขึ้นนับตั้งแต่ห้องขายตั๋วไปถึงโรงภาพยนตร์ พนักงานแต่ละคนท่าทางกระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แม้พวกเขาจะไม่เคยรู้จักชายหนุ่มคนนี้มาก่อน แต่การได้เห็นบัตรที่แสดงชื่อบรรษัทยักษ์ใหญ่ของฮ่องกงแล้ว ทุกคนรู้เพียงว่ามีหน้าที่ต้องสนองความต้องการของชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและไม่ให้ขาดตกบกพร่องเท่านั้น

“ไปกันได้แล้ว”

ชายหนุ่มกระตุกข้อมือพาหญิงสาวเดินจากไป ทิ้งไว้แต่สายตาที่เต็มไปด้วยความงงงันและคาดไม่ถึงของสองหนุ่มสาวชาวฮ่องกง ผู้ซึ่งไม่มีโรงภาพยนตร์ที่จะใช้บริการไปเรียบร้อยแล้ว

+++++++++++++++++++


เสร็จจากการชมภาพยนตร์ จางหลี่หงก็พาหล่อนมาที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ลินจงยอมรับว่าหล่อนไม่มีสมาธิจะดูหนังเลยแม้แต่น้อย เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนเข้าโรงภาพยนตร์รบกวนความรู้สึกของหล่อนอย่างมาก หล่อนรู้ดีว่าที่ชายหนุ่มทำลงไปก็เพื่อปกป้องหล่อนจากสายตาเยาะเย้ยของอดีตเพื่อนร่วมงาน เพียงแต่วิธีการของเขาช่างเป็นสิ่งที่หญิงสาวคาดไม่ถึง

เขาปิดโรงหนังทั้งโรง ทำให้พนักงานทั้งหมดพากันตอบสนองความประสงค์ของเขาจ้าละหวั่น ลินจงไม่รู้ว่าบัตรเครดิตของเขามันแสดงถึงอภิสิทธิ์มากมายแค่ไหน แต่มันคงไม่มีบัตรเครดิตประเภทไหนในฮ่องกงที่สามารถดลบันดาลได้ทุกอย่างแบบนี้แน่ๆ

โรงภาพยนตร์ที่มีผู้ชมแค่สองคน ไม่นับรวมคนติดตามของจางหลี่หงที่มายืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ในที่แบบนั้นใครยังมีสมาธิดูหนังได้ก็คงนับว่าแปลกมากแล้ว

ร้านอาหารไทยซึ่งเขาและหล่อนเพิ่งไปถึงว่างโล่งไปถึงครึ่งร้าน ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาค่ำซึ่งน่าจะมีลูกค้าหนาแน่น ลินจงพยายามไม่คิดมากว่าชุดโต๊ะอาหารที่ว่างต้อนรับหล่อนอย่างพอดิบพอดีเกิดขึ้นจากอะไร ในเวลานี้หญิงสาวยังไม่กล้ากระทั่งมองหน้าเขาด้วยซ้ำ

“เธอยังคิดเรื่องที่โรงหนังใช่ไหม”

จางหลี่หงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ไม่มีอะไรในแววตาของหล่อนที่จะหลุดรอดการสังเกตของเขาไปได้ ลินจงเงยหน้ามองเขา ในเวลานี้หล่อนได้แต่พยักหน้ารับอย่างกระอักกระอ่วน

“ฉัน...ขอบคุณคุณมากนะคะ”

ไม่ต้องขยายความ...ชายหนุ่มคงรู้ว่าหล่อนหมายถึงเหตุการณ์ที่เขาเข้ามาช่วยกู้หน้าหล่อนไว้

“แต่ความจริง...ฉันก็ชินแล้วล่ะค่ะกับเรื่องแบบนี้ พลเมืองชั้นสองในฮ่องกงก็มักจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ประจำ ฉันแค่ไม่อยากให้คนอย่างคุณต้องเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นภาระ”

“ไม่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้หญิงของฉัน”

แววตาคมปลาบจ้องมองหล่อนตรงๆ ชายหนุ่มคงไม่รู้ว่าเวลาที่เขาพูดคำว่า‘ผู้หญิงของฉัน’นั้นสร้างความหวั่นไหวในใจคนฟังมากเพียงใด

“การที่เธอจะทนสายตาหรือคำพูดดูหมิ่นของใครๆ ได้หรือไม่นั้น...ฉันถือว่ามันเป็นสิทธิ์ของเธอ แต่ฉันก็มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจทำอะไรเพื่อผู้หญิงของฉันเช่นกัน และฉันขอบอกเธอเอาไว้...หลิน ไม่ใช่แค่โรงหนังที่ฉันจะปิดมันเพื่อเธอได้ ต่อให้เป็นห้างนั้นทั้งหมด ถ้าฉันต้องการจะเอามันมาให้เธอ...ฉันก็จะทำ”

ลินจงไม่มีวันรู้...คำพูดแบบนั้นแสดงถึงวิธีคิดแบบบุรุษที่มีสายเลือดมาเฟียเต็มเปี่ยม แม้จะฟังดูเหมือนหมางเมินความรู้สึกของผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย แต่กลับทำให้ใจหล่อนเต้นแรงขึ้น

ไม่สนใจว่าหล่อนจะรู้สึกอย่างไร...แต่จะมอบทุกอย่างที่มีอยู่ในมือให้กับหล่อนเท่านั้น สิ่งที่เขาทำอยู่นี้คือการแสดงออกถึงความต้องการในแบบของเขา มันคือความปรารถนาอย่างหนึ่งซึ่งมีอานุภาพเหนือยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกว่าความรัก สำหรับจางหลี่หง...คำว่ารักของเขาย่อมไม่เหมือนคนสามัญทั่วไป

ทั้งที่รู้ดีว่าในวิถีทางแห่งความปรารถนาของเขา...หล่อนอาจมีค่าเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่เขาจะวางไว้ตรงไหนก็ได้ แต่ลินจงกลับเข้าใจและเริ่มจะยอมรับสถานะนั้นโดยดุษณี

หล่อนต้องการจะก้าวไปข้างหน้าโดยมีเขาเคียงข้างแบบนี้

บริกรที่นำเมนูเข้ามาส่งยุติภวังค์อันเนิ่นนานและล้ำลึกระหว่างเขาและหล่อน หญิงสาวหยิบเมนูมาพลิกดูเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ ในเวลานี้หล่อนไม่จำเป็นต้องพึ่งภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษที่กำกับอยู่ในนั้นเลย เพราะภาพของอาหารและชื่อภาษาไทยที่เห็นก็ล้วนเป็นสิ่งที่คุ้นเคยทั้งสิ้น

“ฉันจะลองสั่งอาหารไทยจานเด็ดให้คุณได้ชิมนะคะ คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ”

ลินจงเอ่ยถาม ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ต้องการหยั่งความเห็นของเขาก่อนทุกครั้ง ขณะที่ชายหนุ่มมีแนวทางอย่างชัดเจนว่าอะไรก็ตามที่เขาหามาให้หล่อน นั่นคือการตัดสินใจของเขาเองเท่านั้น

“เธอเลือกได้ตามสบาย มันคืออาหารไทยที่เธอรู้จักไม่ใช่หรือ” เขาอนุญาต

“อาหารไทยก็ต้องลองต้มยำ...รสชาติจะออกเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ ซักหน่อยนะคะ แต่ยังไงฉันจะสั่งแกงจืดให้คุณลองสักถ้วย ฉันรู้ค่ะว่าคนต่างชาติจะไม่ค่อยคุ้นกับความเผ็ดของอาหารไทยหรอก แต่อีกไม่นานคุณอาจจะชอบมันก็ได้”

ใบหน้าสวยละไมของหล่อนยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ลินจงลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงภาพยนตร์ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับลินจงซึ่งมีวิธีคิดแบบง่ายๆ หล่อนเลือกที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน...พอใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

แม่ของหล่อนเคยสอนว่าการเอาตัวเองไปจดจ่อกับอดีตหรือคาดหวังกับอนาคตนั้นไม่ใช่การกระทำที่ดีนัก สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือปัจจุบัน เพราะมันคือห้วงเวลาที่เป็นของเราอย่างชัดเจนที่สุด เสียดายที่ยังมีหลายคนพลาดพลั้งกับเรื่องง่ายๆ แบบนี้

“ฉันไปห้องน้ำหน่อยนะคะ”

หล่อนบอกเขาหลังจากสั่งอาหารกับบริกรเรียบร้อยแล้ว ห้องน้ำอยู่ห่างไปเพียงไม่กี่เมตร ชายหนุ่มจึงพยักหน้าอย่างง่ายดาย

ลินจงเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำสะอาดสะอ้าน แทบไม่ต้องมองเงาของตัวเองในกระจกก็รู้ว่าประกายตาทั้งคู่กำลังแสดงถึงความสุขขนาดไหน แม้ว่าความทรงจำจะยังขาดหาย หญิงสาวยังนึกไม่ออกว่าหล่อนมารู้จักกับคนอย่างจางหลี่หงได้อย่างไร แต่หญิงสาวก็ขอบคุณสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมซึ่งลิขิตให้หล่อนได้มาพบกับเขา เพราะมันทำให้ชีวิตเดียวดายของหล่อนได้พบพานกับความรู้สึกอย่างหนึ่งที่กำลังเติมเต็มในหัวใจ

นี่คือความรักใช่หรือไม่...

ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูด แต่เป็นสิ่งที่รู้อยู่ในใจทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขา...และยิ่งชัดเจนเมื่อดวงตาคมปลาบของเขามองตรงมาที่หล่อน

ลินจงตรวจดูความเรียบร้อยของตนเองก่อนออกจากห้องน้ำ แต่เพียงแค่แตะลูกบิดประตู เสียงคนเดินผ่านหน้าห้องและเสียงพูดคุยเป็นภาษาไทยก็ทำให้หล่อนต้องหยุดฟัง

“เศรษฐีที่ไหนน่ะพี่ แต่ท่าทางเมียเค้าก็เป็นคนไทยนะ ตอนสั่งอาหารนี่เห็นเมียพูดภาษาไทยคล่องเชียว”

“ไม่รู้สิ พ่อเล่นจองโต๊ะซะครึ่งร้านแล้วห้ามคนนอกเข้าใกล้โต๊ะตัวเองกับเมียด้วย ทำเอาเคลียร์ร้านแทบไม่ทัน”

ฟังไม่กี่ประโยคลินจงก็รู้ว่าพวกเขาคือพนักงานในร้าน คำพูดนั้นช่วยไขความกระจ่าง...เหตุใดร้านอาหารในเวลาที่ควรจะมีลูกค้าหนาตากลับบังเอิญมีที่ว่างสำหรับหล่อนและจางหลี่หงเช่นนี้

“แสดงว่ากะเอาอกเอาใจเมียน่าดู เฮ้อ...ทำไมหนูไม่โชคดีแบบผู้หญิงคนนั้นบ้างนะ” เสียงแรกยังพูดต่อไป

“พูดก็พูดเหอะ...พี่รู้สึกว่าฝ่ายผัวเนี่ยอย่างกับมาเฟียเลยว่ะ”

“ไม่หรอกมั้งพี่ มาเฟียอะไรหล่อยังกับดารา หนูยังอิจฉาเมียเค้าจะแย่”

“มาเฟียมันมีหลายพวก ไอ้ที่มาเก็บค่าคุ้มครองร้านเราทุกเดือนน่ะเค้าเรียกว่าระดับลิ่วล้อ ฮ่องกงมีมาเฟียอีกระดับที่เป็นบอสใหญ่ พวกเนี้ยเป็นมาเฟียที่ไม่ปรากฏตัวให้คนอย่างเราๆ เห็นหรอก ว่ากันว่าขนาดมาเฟียลิ่วล้อยังไม่รู้จักหน้าตาของพวกบอสใหญ่เลยด้วยซ้ำ แต่ยังไงก็ตามเค้าก็คือลูกค้าเราละนะ ท่าทางจ่ายหนักแบบนี้ก็ต้องบริการกันให้เต็มที่หน่อยล่ะ”

เสียงพนักงานร้านเดินห่างออกไปแล้ว แต่คำพูดของพวกหล่อนยังติดอยู่ในใจหญิงสาว ลินจงเปิดประตูออกช้าๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะด้วยสีหน้าท่าทางที่เหมือนไม่ใช่ตัวเอง และเริ่มครุ่นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมา

มาเฟีย...

ในฮ่องกง ไม่มีใครไม่รู้จักมาเฟีย กลุ่มอาชญากรซึ่งเติบโตคู่มากับประวัติศาสตร์ของเกาะอย่างแยกกันไม่ออก ธุรกิจผิดกฎหมายของมาเฟียคือเส้นเลือดสำคัญของฮ่องกง กลุ่มคนพวกนี้จึงร่ำรวยมหาศาล แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าใครคือมาเฟียระดับสูงแบบนั้น เพราะพวกเขาไม่แสดงตัวชัดเจนเหมือนกับมาเฟียระดับล่างซึ่งอย่างเก่งก็แค่รีดไถร้านค้าในเขตคุ้มครองไปวันๆ

“หลิน แนะนำแต่ละจานให้ฉันทีสิ”

เสียงของจางหลี่หงเรียกสติหญิงสาวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน อันที่จริงเขาสังเกตว่าตั้งแต่เดินออกมาจากห้องน้ำหล่อนก็ดูเหม่อลอยผิดปกติ เขาจึงหักเหความสนใจของหล่อนมาที่เรื่องนี้แทน

“ค่ะ...เดี๋ยวฉันจะตักให้คุณเองนะคะ...”

หญิงสาวยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่สนิทใจนัก สายตาหล่อนเหลือบมองชายหนุ่ม พร้อมกับความคิดที่เริ่มเตลิดไปไกลเกินจะควบคุม

จางหลี่หง ชายคนรักที่หล่อนยังจำไม่ได้ว่าเหตุการณ์สำคัญซึ่งหักเหให้เขาและหล่อนมาพบกันคืออะไร ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความลับ ลินจงไม่เคยรู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่งานของเขากลับมอบทรัพย์สินมหาศาลอย่างที่หล่อนประเมินไม่ได้

หญิงสาวนึกหวั่น...แต่ก็พยายามคิดว่าเพราะหล่อนเอาคำพูดของคนอื่นมาเป็นธุระ จึงได้แต่มองบางอย่างในแง่ร้ายมากเกินไป

+++++++++++++++++++++++


ลินจงขอเดินดูร้านค้ายามค่ำคืนในละแวกนั้นหลังอาหารค่ำจบลง ในทีแรกชายหนุ่มเหมือนไม่เต็มใจนัก แต่เพราะเห็นแก่ความเหงาที่เก็บกักมาหลายวันของหล่อน เขาจึงอนุญาตให้หญิงสาวควงแขนเขาเดินดูของขายตามแผงเล็กๆ ได้สักช่วงถนน

“ฉันคุ้ยเคยวิถีชีวิตแบบนี้จังค่ะ บางทีฉันอาจจะเคยมาเดินแถวนี้ก็ได้นะคะ”

หญิงสาวบอก และนั่นก็อาจจะเป็นความจริง ฮ่องกงส่วนที่เป็นตัวเกาะฮ่องกงจริงๆ ไม่นับเกาลูน นิวเทอร์ริทอรีและลันเตา ก็มีพื้นที่ไม่กี่สิบตารางกิโลเมตร ถ้าครั้งหนึ่งหล่อนจะเคยมาเดินที่นี่ก็ไม่แปลก

“ลูกชิ้นนั่นน่ากินไหมคะ เดี๋ยวฉันจะเอามาเผื่อคุณนะคะ”

ลินจงปล่อยมือจากเขา แล้วเดินดิ่งเข้าไปยังแผงขายลูกชิ้นทอดเล็กๆ แห่งหนึ่ง หญิงสาวสั่งลูกชิ้นเผื่อเขาและยังบรรดาคนรับใช้ที่บ้านด้วย แต่ระหว่างที่รอจ่ายเงิน ลินจงไม่รู้เลยว่าหล่อนตกอยู่ในสายตาคนกลุ่มหนึ่งเข้า เมื่อพวกมันเพ่งมองหล่อนจนแน่ใจก็เดินเข้ามาหาด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย

“อยู่นี่เองนังตัวดี! โผล่หัวออกมาจนได้นะ”

หญิงสาวสะดุ้ง ชายท่าทางน่ากลัวสามคนเข้ามาล้อมรอบหล่อนเอาไว้ ลินจงมองพวกเขาอย่างงุนงง เพราะนึกไม่ออกว่าเคยพบพวกเขามาก่อนหรือไปทำอะไรให้ขัดเคือง

“แกรู้ใช่ไหมว่าใครฆ่าพี่ใหญ่ มานี่เดี๋ยวนี้เลย!”

ข้อมือของหล่อนถูกกระชาก แต่เพียงเสี้ยววินาที ชายท่าทางน่ากลัวคนนั้นก็ถูกซัดกระเด็นลงไปกับกองกับพื้นถนน ลินจงยืนตะลึงเมื่อเห็นชายในชุดสูท...คนของจางหลี่หงที่หล่อนเคยเห็นมาก่อน...พวกเขากำลังลากอันธพาลสามคนนั้นเข้าไปในตรอกแคบๆ ซึ่งมืดมิด มันเป็นการต่อสู้ที่เห็นได้ชัดว่าใครถูกฝึกมาดี และใครเป็นแค่กุ๊ยข้างถนน

“หลิน...”

จางหลี่หงเข้ามาโอบร่างหล่อนเอาไว้ เขาพยายามจะกันหล่อนออกมาจากภาพที่หล่อนไม่ควรดู แต่หญิงสาวยังได้ยินเสียงอันธพาลที่กลายเป็นฝ่ายเคราะห์ร้ายดังแว่ว

“แม่นั่นก็แค่โสเภณีที่เคยไปกับพี่ใหญ่...พี่ใหญ่โดนประกบยิงแต่มันรอดมาได้ ฉันก็แค่อยากถามมันว่าใครเป็นคนลงมือ...อ๊าก! อย่า...”

ชายหนุ่มไม่สนใจแรงขัดขืนที่จะชะเง้อคอมองและเงี่ยหูฟังของหล่อน เขาใช้แรงแขนข้างเดียวโอบร่างพาหล่อนเดินกลับที่รถด้วยความเร็ว

ลินจงเพิ่งรู้ว่ารอบกายหล่อนและเขามีคนติดตามมากถึงเพียงนี้ แท้ที่จริงแล้วหล่อนกับเขาไม่ได้มาแวะร้านอาหารไทยกันตามลำพัง

คำพูดของนักเลงพวกนั้นทำให้หล่อนเริ่มนึกได้...ความทรงจำที่ขาดหายของหล่อนหนึ่งคืนนั้น...

หล่อนต้องยอมทำงานขายตัวเพื่อแลกเงิน คืนนั้นมาม่าซังพาหล่อนไปส่งให้ชายชราตัณหากลับคนหนึ่ง เขาเป็นพวกมาเฟียระดับหัวหน้าเขตย่อย แต่ก่อนที่มันจะได้พร่าพรหมจรรย์ของหญิงสาว มาเฟียเฒ่าคนนั้นกลับโดนประกบยิงระหว่างนั่งรถเสียก่อน และหล่อนก็เป็นผู้เห็นเหตุการณ์

หล่อนหนีรอดจากมือปืนมาได้...แล้ว...แล้วเจอกับใครเข้าสักคนในเช้าวันต่อมา

จนวันนี้ มาเฟียระดับลิ่วล้อซึ่งเป็นลูกน้องของชายชราตัณหากลับก็มาพบหล่อนเข้า แต่พวกมันก็ถูกคนของจางหลี่หงจัดการเสียก่อน

ทำไมคนของจางหลี่หงถึงจัดการพวกมันได้ง่ายดายขนาดนั้น?

วิสัยมาเฟียมักจะสู้จนถึงขั้นเลือดตกยางออก มันไม่น่าจะยอมแพ้ง่ายๆ ถ้าหากว่าฝ่ายตรงข้ามคือศัตรู แต่ที่หล่อนเห็นคือพวกมันเหมือนจะยอมรับความเหนือกว่าของจางหลี่หงและบริวารของเขา แม้ว่ามันจะยังไม่รู้ว่าเขาคือใครก็ตาม

“ขึ้นรถ”

จางหลี่หงส่งหล่อนเข้าไปภายในเบาะรถหนานุ่ม คนติดตามของเขาปิดประตูอย่างรวดเร็วและขับออกไปสู่ถนนซึ่งเต็มไปด้วยแสงสี หญิงสาวเริ่มรู้สึกว่าหล่อนไม่กล้าจะมองหน้าเขา ความเงียบในตัวชายหนุ่มทำให้หล่อนรู้สึกกริ่งเกรง

‘มาเฟียระดับลิ่วล้อจะไม่รู้จักหน้าตาของมาเฟียระดับสูง พวกมันรู้แค่ว่ามีเจ้าแห่งมาเฟียที่อยู่เหนือพวกมันเท่านั้น...’

เรื่องที่หล่อนเพิ่งได้ยินจากพนักงานในร้านอาหารไทยย้อนกลับเข้ามาในภวังค์

และยังทุกฉากทุกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ประโยคที่จางหลี่หงเคยถามว่าหากเขาเอาฮ่องกงทั้งเกาะมามอบให้หล่อน...หล่อนจะยินดีรับมันหรือไม่ คำสั่งปิดโรงภาพยนตร์ทั้งโรงเพื่อตอบโต้อดีตเพื่อนร่วมงานซึ่งมองหล่อนอย่างดูแคลน และคำบอกเล่าที่ว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อมอบสิ่งที่เขาต้องการให้กับหญิงสาว...โดยไม่สนใจความรู้สึกของหล่อนว่าจะต้องการมันหรือไม่

ทุกอย่างแสดงถึงความไม่ธรรมดาของชายคนนี้ ทั้งวิธีคิด การแสดงออก และตัวตนของเขา

จางหลี่หงหันมาสบตาหล่อน ในเวลานี้เขาดูจะอ่านทะลุปรุโปร่งว่าหล่อนกำลังคิดเรื่องอะไร

“ถูกแล้วหลิน เธอควรรู้ไว้...ฉันเป็นมาเฟีย!”

+++++++++++++++++
Sample ถึงบทนี้นะคะ หากสนใจดาวโหลดในรูปแบบอีบุคได้ที่ MebMarket
(ดูเหมือนจะทำลิงก์ไม่ได้ หากผู้อ่านสนใจ เสิร์ชชื่อเรื่องที่ Meb เพื่อดูปกและเนื้อในคร่าวๆได้ค่ะ)

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NjoiODMxNzU2IjtzOjc6ImJvb2tfaWQiO3M6NToiMzQ3NzUiO30



อันธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ธ.ค. 2558, 14:50:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ธ.ค. 2558, 14:50:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1022





<< บทที่4-5-6   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account