ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 2

“คุณซันกับคุณหยางไปกันแล้วเหรอหนูปลา ป้าก็ซื้อของกินมาเยอะแยะเลย อ้าว...แล้วคุณหยินมี่ล่ะลูก” ป้าแต๋วที่ออกมาจากห้องครัวถาม
“ไปกันหมดแล้วล่ะค่ะป้าแต๋ว หยินมี่ก็ต้องรีบกลับแฟนมารับน่ะค่ะ” ปาลิกาตอบ
“เฮ้อ! เหลือแต่เราสองคนอีกแล้วสิหนูปลา” ป้าแต๋วเปรย
“ค่ะป้าแต๋ว งั้นเราไปทานข้าวกันเถอะค่ะ นายซันนะนายซันเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ได้” ท้ายประโยคยังไม่วายบ่นถึงคนตัวสูงอีกจนได้
“โถ...คุณหนู เอ๊ย! คุณซันคงจะเครียดจากการเรียนน่ะป้าว่า ไปพบเจอสังสรรค์กับเพื่อนฝูงที่ไม่ได้เจอกันมานานบ้างก็ดีนะลูก อย่าไปว่าแกเลย” ป้าแต๋วพูดถึง ‘คุณหนูซัน’ ด้วยน้ำเสียงเอ็นดูนัก แต่กลับขัดหูขัดใจอีกฝ่ายไปเสียนี่
“ป้าแต๋วก็ให้ท้าย เข้าข้างนายนั่นทู้ก...ทีสิน่า” เธอบ่นอุบ
“ป้าไม่ได้เข้าข้างคุณซันนะ ถ้ายายปลิกยังอยู่ก็คงจะพูดเหมือนกันกับป้านี่แหล่ะ ไม่ก็อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ก็ยายปลิกน่ะรักคุณหนูซันของแกยังกะอะไรดี” ป้าแต๋วเท้าความไปถึงอีกคนที่ล่วงลับไปแล้ว หญิงสาวจึงคลายอาการฮึดฮัดขัดใจลง
“ปลาก็ว่าอย่างนั้นแหล่ะค่ะป้าแต๋ว” และที่สุดก็เอ่ยขึ้นเหมือนยอมรับกับใจตัวเอง และคิดไปถึงยายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
‘ยายปลิก’ เป็นยายแท้ๆ ของปาลิกา ซึ่งได้มาทำงานเป็นพี่เลี้ยงของตะวันฉายตั้งแต่ยังแบเบาะ จึงรักและผูกพันกับตะวันฉายเป็นอย่างมาก ในตอนเด็กตะวันฉายเองก็ติดยายปลิกแจ
ตัวปาลิกาเองลืมตาออกมาดูโลกในขณะที่พ่อแม่ของเธอเป็นหนึ่งในพนักงานแผนกช่างของเดอะซัน กรุ๊ปฯ ในรุ่นที่เริ่มก่อตั้งบริษัท หลังจากคลอดปาลิกาแม่ของเธอได้พักงานมาเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน ซึ่งเป็นบ้านพักของบริษัทที่มีไว้สำหรับพนักงาน และสมัยก่อนมีกันอยู่ไม่กี่ครอบครัว ในขณะที่พ่อของเธอยังทำงานกับท่านเจ้าสัวอาทิตย์อยู่ตลอด
จนกระทั่งปาลิกาถึงวัยเข้าเรียนอนุบาลผู้เป็นแม่ถึงได้กลับเข้ามาทำงานที่บริษัทต่อ จากนั้นไม่กี่ปีพ่อและแม่ของเธอได้ประสบอุบัติเหตุเรือหางยาวโดยสารข้ามฟากชนกัน ซึ่งปาลิกาที่ยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้พ่อแม่ของเธอกับผู้โดยสารจำนวนหนึ่งเสียชีวิต ขณะที่ตัวเธอเองกับผู้โดยสารอีก 2-3 คนรอดชีวิตราวกับปฏิหาริย์
หลังจากสูญเสียลูกสาวและลูกเขยไปกับเหตุการณ์ครั้งนั้น ยายปลิกตั้งใจจะลาออกจากงาน เพื่อพาหลานสาวกลับไปอยู่บ้านนอก แต่ท่านเจ้าสัวอาทิตย์และคุณโฉมฉายเห็นว่าพ่อและแม่ของปาลิกาเป็นพนักงานเก่าแก่ของบริษัทที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง
ประกอบกับตัวยายปลิกเองก็เป็นคนเลี้ยงดูลูกชายของท่านมาแต่แบเบาะ และด้วยความเมตตาที่มีต่อเด็กผู้หญิงกำพร้าคนหนึ่ง จึงไม่ยอมให้ยายปลิกลาออก แต่ให้พาปาลิกามาอยู่ที่นี่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยส่งเสีย เลี้ยงดู และเป็นเพื่อนเล่นกับลูกชายเพียงคนเดียวของทั้งคู่ นั่นเป็นสาเหตุให้ปาลิกาต้องมาอยู่ที่นี่นับแต่อายุ 9 ขวบ จนกระทั่งถึงตอนนี้
ด้วยความเมตตาของท่านเจ้าสัวอาทิตย์และคุณโฉมฉาย ปาลิกาจึงถูกเลี้ยงดูเหมือนเป็นลูกอีกคนหนึ่งของทั้งคู่ ปาลิกากับตะวันฉายเติบโตมาด้วยกัน แม้สัมพันธภาพระหว่างทั้งคู่จะออกแนวโหดๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปาลิกามาอยู่ที่นี่ เพราะตะวันฉายไม่อยากได้เธอเป็น ‘พี่สาว’ จึงได้หาเรื่องทะเลาะ แกล้งกัดอยู่ตลอด
แต่ก็ได้ท่านเจ้าสัวอาทิตย์กับคุณโฉมฉาย คอยปรามและพร่ำสอนให้รักกันเป็นพี่น้องอยู่ตลอดเช่นกัน จนกระทั่งนานวันเข้าปาลิกาทนไม่ไหวจึงตอบโต้กลับบ้าง แม้จะถูกยายปลิกปรามแต่เธอก็ไม่สนใจแล้ว และพอๆกับที่ท่านเจ้าสัวอาทิตย์กับคุณโฉมฉายต่างก็ไม่ว่าอะไร แถมยังคิดว่าเป็นการหยอกล้อด้วยความสนิทสนมกันฉันท์พี่น้องอีกต่างหาก และตั้งแต่นั้นมาเธอก็เริ่มปกป้องตัวเองจากตะวันฉายด้วยประการฉะนี้
นอกจากนั้นหญิงสาวยังมีเพื่อนที่เป็นบรรดาญาติสนิทของครอบครัวนี้เหมือนกับตะวันฉาย ทั้งครอบครัวของหยินมี่กับหยางที่มีแม่เป็นญาติทางฝ่ายคุณโฉมฉาย และยังมีญาติทางฝ่ายท่านเจ้าสัวอาทิตย์ที่มีลูกวัยใกล้เคียงกับปาลิกาและตะวันฉาย เป็นอีกกลุ่มญาติของตระกูลนี้ที่ปาลิกาเติบโตมาด้วยกัน
ที่สนิทรักกันราวกับเป็นพี่น้องจริงๆ ก็มี แต่เช่นกันกับที่มองว่าปาลิกาเป็น ‘กาในฝูงหงษ์’ ก็มีพอกัน แต่โชคดีที่ตอนเด็กเธอมียายปลิกคอยอบรมสั่งสอนอย่างใกล้ชิด จึงทำให้เด็กหญิงเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เจียมเนื้อเจียมตัว และมีจิตใจที่ดี จึงทำให้คนที่ได้ใกล้ชิดรักเธอได้ไม่ยาก
ยายปลิกนั้นได้พร่ำสอนเรื่องการเจียมเนื้อเจียมตัวให้กับหลานสาวเป็นพิเศษ เพราะถูกเลี้ยงมาเหมือน
ลูกอีกคนหนึ่งของครอบครัวนี้ จึงทำให้แกหวั่นใจว่าหลานจะหลงระเริงกำเริบเสิบสานจนตีเสมอเจ้านาย เริ่มจากสรรพนามการเรียกท่านเจ้าสัวอาทิตย์และคุณโฉมฉาย ที่ทั้งคู่ต้องการให้ปาลิกาเรียกว่า ‘ป่ะป๊า-หม่าม๊า’ เหมือนตะวันฉายลูกชาย แต่ยายปลิกได้ขอไว้ให้เรียกท่านเจ้าสัวว่า ‘คุณท่าน’ และคุณโฉมฉายว่า ‘คุณป้า’ แทน แม้ทั้งสองท่านจะใช้สรรพนามเรียกตัวเองเหมือนที่ใช้กับลูกชายก็ตาม
หรือแม้แต่กับตัวตะวันฉายเอง ยายปลิกก็ให้เธอเรียกว่า ‘คุณซัน’ แรกๆ ก็เป็นไปตามนั้นไม่มีผิดเพี้ยน แต่พอปาลิกาถูกเขาแกล้งมากเข้า คนที่ถูกกระทำก็ไม่อยากจะรักษาความสุภาพกับคนเจ้าเล่ห์ ร้ายกาจพรรค์นั้นอีกต่อไป จาก ‘คุณซัน’ (น้ำเสียงที่เรียกจะออกแนวนอบน้อม) ก็เลยกลายเป็น ‘นายซัน’ (ด้วยน้ำเสียงที่แรง! ไม่แพ้กัน) จนติดปากในที่สุด แม้จะเป็นที่ขัดใจยายปลิกยิ่งนักแต่ก็ติดที่ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว
แม้กระทั่งเรื่องการศึกษาก็ไม่เว้น ตะวันฉายนั้นเรียนโรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียงในหมู่ไฮโซฯ ที่ชอบส่งลูกไปเรียน ท่านเจ้าสัวกับคุณโฉมฉายจึงอยากให้ปาลิกาเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกันบ้าง แต่ยายปลิกก็ไม่ยอม จะให้หลานสาวเรียนโรงเรียนวัดใกล้บริษัทแทน
แต่ในที่สุดก็ได้บทสรุปว่าต้องพบกันครึ่งทาง โดยให้ปาลิกาเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ที่เดียวกับหยินมี่แทน ด้วยความที่เป็นเด็กปาลิกาเองไม่ได้รู้สึกอะไรนักกับสถานที่เรียน เธอคิดแค่อยากเรียนที่เดียวกับหยินมี่เพื่อนรักเท่านั้นเองจึงพยายามสอบเข้าจนได้
และก็สมใจเพราะเธอกับหยินมี่ได้เรียนด้วยกันมาตลอดตั้งแต่ระดับประถมฯ จนถึงมหาวิทยาลัย และที่สุดก็จบมาทำงานที่เดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยกันจนถึงตอนนี้ ส่วนตะวันฉายเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจึงเดินทางไปเรียนต่อทางด้านบริหารที่ต่างประเทศ
ตั้งแต่เล็กจนโตปาลิกามีชีวิตผูกติด ผูกพันกับเดอะซัน กรุ๊ปฯ จนเหมือนเป็นทั้งหมดของชีวิตก็ว่าได้ เธอรัก เคารพประมุขทั้งสองของที่นี่เหมือนกับพ่อ แม่ของเธอเอง หญิงสาวสำนึกในบุญคุณของท่านทั้งสองที่ทำให้เธอเป็นอยู่ได้อย่างทุกวันนี้
และทุกคนที่ใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นยายปลิก พ่อ แม่ ต่างก็เป็นคนของเดอะซัน กรุ๊ปฯ จนวาระสุดท้ายของชีวิต หญิงสาวเองก็เช่นกันทุกลมหายใจเข้าออกของเธอจึงเป็นเดอะซัน กรุ๊ปฯ และเพื่อเดอะซัน กรุ๊ปฯ เท่านั้น เรียนก็เพื่อมาช่วยคุณโฉมฉายบริหารงาน ขณะที่เรียนอยู่ก็ยังมาช่วยคุณโฉมฉายทำงานเท่าที่จะพยายามได้
เมื่อเรียนจบได้เข้ามาทำงานอย่างเต็มตัว คุณโฉมฉายไว้ใจให้หญิงสาวเป็นผู้จัดการ คอยดูแล ชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่พ่อ แม่ของเธอเคยทำงานอยู่นั่นเอง โดยมีเฮียย้งผู้จัดการคนก่อนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณโฉมฉายเป็นผู้ถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ในการทำงานให้กับปาลิกา ด้วยความที่เป็นคนใฝ่รู้ มีความรับผิดชอบสูง และเติบโตมาท่ามกลางการทำงานของผู้ใหญ่ ทำให้หญิงสาวเรียนรู้ได้รวดเร็วและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาตลอด

ที่ชั้น 3 หลังจากคุยเรื่องงานด้านนอกเสร็จ ปาลิกาตั้งใจจะเข้าไปพบคุณโฉมฉายที่ห้องทำงานตามปกติ แต่พอไปถึงหน้าห้องทำงานที่กรุกระจกใสรอบด้านแต่ติดผ้าม่านสีน้ำตาลเข้มบังไว้ กลับไม่พบเลขาส่วนตัวของ
คุณโฉมฉายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าห้องเหมือนเช่นเคย ปาลิกามองผ่านประตูกระจกใสเข้าไปก็เห็นว่าทั้งคุณโฉมฉายและเลขาส่วนตัวอยู่ข้างในกันทั้งคู่ หญิงสาวจึงเอื้อมมือไปเคาะประตูกระจกเป็นการส่งสัญญาณ ซึ่งคุณโฉมฉายก็เอ่ยอนุญาต
“เจ๊หยงมาอยู่นี่เอง ปลานึกว่าหายไปไหน” ปาลิกาทักทายเลขาส่วนตัวของคุณโฉมฉายที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานตรงข้ามกับผู้ที่เป็นทั้งเจ้านายและป้าแท้ๆ เพราะเจ๊หยงเป็นพี่สาวคนโตของหยินมี่และหยางนั่นเอง
“ว่าไงล่ะยัยปลา ทำไมวันนี้ลงมาซะบ่าย ทุกทีเรามาแต่เช้าแล้วนี่นา” เจ๊หยงละสายตาจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าหันมาถามยิ้มๆ โดยมีคุณโฉมฉายที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองมาด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ก่อนบุ้ยใบ้ให้ปาลิกานั่งลงข้างเจ๊หยง
“ปลาพึ่งว่างตอนนี้จ้ะ งานไม่ค่อยด่วนเท่าไหร่ด้วยล่ะเจ๊หยง เออ...จริงสิคะคุณป้า นายซันยังไม่ลงมาทำงานอีกเหรอคะ” หญิงสาวหันไปมองห้องทำงานที่กรุกระจกใสอีกห้องซึ่งติดกันอย่างสำรวจตรวจตรา ตอนนี้ไฟยังปิดอยู่ และดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ สิงสถิตอยู่ในห้องนั้นเลย ก่อนนั้นเคยเป็นห้องทำงานของท่านเจ้าสัวอาทิตย์ และผู้เป็นแม่ก็ตั้งใจเก็บรักษาไว้ให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
“ยังหรอกจ้ะ” คุณโฉมฉายตอบด้วยรอยยิ้มไม่จาง
“นี่มันตั้งเกือบเดือนแล้วนะคะที่นายซันกลับมา” ปาลิกาเปรยอย่างเป็นกังวล เพราะเป็นเรื่องของตะวันฉายเธอจึงไม่เคยออมท่าที จนบางทีดูเหมือนละลาบละล้วง จุ้นจ้าน วุ่นวาย แต่ทว่าสำหรับคนใกล้ชิดแล้วกลับเห็นเป็นเรื่องปกติสำหรับสองคนนี้ หากไม่เห็นท่าทีแบบนี้จากปาลิกาสิ จะเป็นเรื่องที่แปลกมากกว่า
“น้องซันคงอยากพักผ่อนต่ออีกสักพักน่ะจ้ะ เดี๋ยวก็ทำเองแหล่ะหนูปลาไม่ต้องห่วงหรอกน่า พอดีเลยนะหนูปลาหม่าม๊ากำลังให้หยงจัดการเรื่องทำห้องทำงานใหม่ให้น้องซันอยู่” คนพูดดวงตาเป็นประกายด้วยความสุข
แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของคนฟังที่เหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินนัก จึงรีบอธิบายต่อ “ที่หม่าม๊าเคยเปรยกับหนูก่อนหน้านี้ไง ว่าห้องเก่าไม่ค่อยเหมาะกับน้องซันเท่าไหร่น่ะ แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากหรอกจ้ะ แค่ติดฟิล์มกรองแสงให้มืดมองไม่เห็นข้างใน เพราะน้องซันชอบอะไรที่เป็นส่วนตัว แล้วก็เปลี่ยนผ้าม่านใหม่สักหน่อย แค่นั้นเองแหล่ะ หนูปลามาดูลายผ้าม่านในแคตตาล็อคที่หยงเอามาให้ดูสิลูก มาช่วยกันเลือกหน่อยเร้ว แบบไหนน้องซันถึงจะชอบ หนูปลาน่าจะรู้ใจน้องซันดีนะ” และตอนท้ายคุณโฉมฉายยังชักชวนด้วยท่าทางกระตือรือร้น จนทำให้คนถูกชวนไม่กล้าปฏิเสธ
“แล้วทำไมไม่ให้นายซันเลือกเองล่ะคะ จะได้ถูกใจ” สิ้นคำถาม คุณโฉมฉายมองเธอตาวาวฉายแววตื่นเต้น พลางใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบเสียง
“ไม่ได้เด็ดขาดเลยลูก หนูอย่าเอ็ดไปนะหม่าม๊าอยากเซอร์ไพร์น้องซันน่ะ” แล้วกระซิบตอบราวกับกลัวคนข้างนอกจะได้ยินความลับของโลกกระนั้น “มาลูก ช่วยกันดูหน่อย หม่าม๊าดูจนตาลายไปหมดแล้วเนี่ย” คุณโฉมฉายหยิบแคตตาล็อคเล่มเบ้อเริ่มส่งให้หญิงสาว แล้วจึงหันไปสนใจเล่มที่อยู่ในมือของตัวเองอีกรอบ ปาลิกาจำใจต้องหยิบแคตตาล็อคมาเปิดอย่างเสียไม่ได้
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความสุขของผู้มีพระคุณยามที่พูดถึง หรือได้ทำอะไรเพื่อเอาใจลูกชายสุดที่รักอยู่เสมอ แม้บางสิ่งบางอย่างเธออาจจะไม่เห็นด้วยอยู่บ้างกับการพะเน้าพะนอกันแบบมากมายอย่างนี้ แต่ปาลิกาก็ไม่เคยกล้าขัดใจคุณโฉมฉายเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าเธอกลัวจนไม่กล้าออกความคิดเห็น แต่หญิงสาวไม่อยากทำลายความสุขของผู้มีพระคุณมากกว่า
ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับลูกชายเพราะความที่มีนิสัยไม่ชอบอะไรเอิกเกริก และขัดเขินต่อการแสดงความรักของผู้เป็นแม่ บางทีก็อาจทำให้ตะวันฉายไม่เข้าใจและปฏิเสธความหวังดีของแม่ไปบ้าง แต่ก็มีปาลิกาคอยช่วยประสานความเข้าใจให้อยู่เสมอ แม้จะหมายความว่าเธอต้องใช้กำลังและถ้อยคำแรงๆ กระทุ้งเขาก็ตาม
แต่หญิงสาวรู้ดีว่าไม่ว่าอย่างไรเสีย ตะวันฉายก็ต้องยอมให้ผู้เป็นแม่ทุกครั้งที่ปาลิกากระทุ้ง ไม่ใช่เพราะเชื่อ หรือกลัวเธอแต่อย่างใด แต่เพราะเขาเองก็รักและไม่อยากขัดใจมารดาต่างหาก และหลังจากตะวันฉายได้กลับมาจนถึงวันนี้ ปาลิกาคิดว่าช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนกาย ใจ และสมองของเขาน่าจะจบลงแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องกระทุ้งเขาเรื่องงานเสียที เพราะนั่นเป็นภาระหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เธอต้องทำ



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ม.ค. 2559, 10:20:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ม.ค. 2559, 10:20:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1219





<< บทที่ 1   บทที่ 3 >>
aom 9 ม.ค. 2559, 09:04:59 น.
เว้นบรรทัดบ้างก็จะทำให้ง่ายขึ้นนะคะ


กานพลู 10 ม.ค. 2559, 10:36:14 น.
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account