ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 1

ทั้งสามขึ้นไปยังชั้น 8 ของตึกซึ่งเป็นส่วนที่พัก พอออกจากลิฟท์ไม่กี่ก้าวก็เป็นประตูกระจก ผ่านประตูเข้าไปจึงถึงส่วนที่เป็นห้องโถงใหญ่ใช้เป็นที่รองรับแขก และรายรอบห้องรับแขกเป็นห้องนอนสามห้อง
ที่ห้องหนึ่งถูกปิดไว้เป็นห้องใหญ่ของประมุขแห่งบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่ จำกัด’ ที่ได้ย้ายออกไปอยู่คฤหาสน์ย่านชานเมือง ส่วนสองห้องที่อยู่ตรงกันข้ามกันแต่เยื้องกันเล็กน้อยนั้น เป็นห้องของตะวันฉายและปาลิกาที่มีขนาดเล็กกว่า เลยจากนั้นไปเป็นห้องรับประทานอาหาร ห้องครัวกับห้องพักป้าแต๋วแม่บ้านเก่าแก่ของตึกอยู่ติดด้านในสุด
ในห้องรับประทานอาหาร ร่างสูงโปร่งของ ‘คุณโฉมฉาย รัตนาวาณิชย์’ ประธานและเจ้าของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่อยู่ในชุดสูทผ้าไหมสีน้ำเงินตัดเย็บอย่างประณีตขับผิวขาวนั้นให้ขาวจัดยิ่งขึ้น ผมมวยเกล้า
ไว้ด้านหลัง ใบหน้าที่มีเค้าความสวยอยู่แล้วได้ตกแต่งไว้อย่างพอดีดูงามสมวัย แม้อายุอานามจะล่วงเลยมาถึง 50 กว่าปีแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เธอดูอ่อนกว่าวัยคงจะเป็นรอยยิ้มใจดีที่ประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจนั่น
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท คุณโฉมฉายได้ต่อสู้และยืนอยู่เคียงข้างท่านเจ้าสัวอาทิตย์ผู้เป็นสามีมาโดยตลอด ตั้งแต่ยังเป็นบริษัทเล็กๆ อยู่กันแบบครอบครัว จนกระทั่งขยายกิจการใหญ่โตเช่นปัจจุบัน หลังจากท่านเจ้าสัวอาทิตย์ได้จากไป คุณโฉมฉายที่เคยอยู่ในตำแหน่งรองประธานบริษัทจึงขึ้นมารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนสามีผู้ล่วงลับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เดอะซัน กรุ๊ปฯ ภายใต้การนำของหญิงวัย 50 กว่าปี ซึ่งยังใช้ระบบครอบครัวตามที่ผู้เป็นสามีได้วางไว้และปฏิบัติกันมา โดยมีญาติสนิททั้งสองฝ่ายช่วยกันบริหารไม่ได้มีตำแหน่งอะไรชัดเจนนัก แต่ก็เป็นไปด้วยความราบรื่นตลอดมา
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็ดูค่อนข้างราบเรียบและไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย เพราะความตั้งใจเดียวที่คุณโฉมฉายยึดมั่นก็คือ ดูแลรักษาบริษัทไว้ให้ดีที่สุด เพื่อรอเวลาส่งมอบให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้
คุณโฉมฉายทอดสายตาที่เต็มไปด้วยความรักไปยังคนที่เดินนำเข้ามา ชายหนุ่มตัวสูงโปร่งนั้นได้ทั้งความสูง ผิวพรรณ และเครื่องหน้าที่สวยงามมาจากผู้เป็นมารดามามากกว่าทางบิดา จึงทำให้ใบหน้าเขาดูสวยไม่แพ้ผู้หญิง
ผู้เป็นแม่รีบเรียกลูกชายและปาลิกาให้มานั่งร่วมโต๊ะ ขณะที่ป้าแต๋วรีบตักข้าวต้มเสิร์ฟให้ทั้งสามในทันที มีอาหารที่คุณโฉมฉายเอามาจาก ‘บ้านใหญ่’ เพิ่มอีกหลายอย่างจนเกือบเต็มโต๊ะ เพื่อต้อนรับการกลับมาของลูกชายโดยเฉพาะ
“ทำไมหนูปลาไม่บอกหม่าม๊าตั้งแต่แรกล่ะลูก โทร.หาก็ไม่ติด หม่าม๊าพึ่งรู้เรื่องจากแต๋วนะเนี่ย” คุณโฉมฉายถามปาลิกาอย่างตำหนิในเรื่องงาน ขณะที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยกัน
“ปลาขอโทษค่ะคุณป้าที่ตัดสินใจเองโดยพลการ ไม่ปรึกษาคุณป้าก่อน ปลาแค่คิดว่าคุณป้าต้องไปรับนายซันแต่เช้า ก็เลย...” หญิงสาวตอบเสียงอ่อยหน้าเจื่อนลง ทำให้คุณโฉมฉายตำหนิต่อไม่ลง
“ไม่ใช่เรื่องตัดสินใจหรอกนะลูก ที่หม่าม๊าพูดก็เพราะเป็นห่วงหนูนะจ๊ะ หม่าม๊าไม่อยากให้หนูอดตาหลับขับตานอนขนาดนี้ ทำโอที.แค่ 3-4 ทุ่ม สัก 2-3 วันก็พอทันอยู่มั้ง ถ้าไม่ทันขึ้นมาจริงๆ หม่าม๊าคุยกับลูกค้าเองก็คงไม่เป็นไร”
“ขอโทษค่ะ ปลาแค่อยากรับผิดชอบให้ดีที่สุดเท่านั้นเองค่ะคุณป้า แต่คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะคะ ตอนนี้ทุกอย่างเสร็จพร้อมส่งลงไปชั้นล่างเช้านี้แล้วค่ะ เดี๋ยวปลาจะให้เฮียย้งจัดการให้ค่ะ”
“ตกลงเธอจะลงไปทำงานอีกใช่ไหมเนี่ย” แล้วคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ ก็ถามแทรกขึ้น แต่คนถูกถามยังไม่ทันตอบคุณโฉมฉายก็รีบขัดขึ้นมาทันที
“ไม่ได้นะหนูปลา หนูไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้วที่เหลือให้อาย้งจัดการเถอะ ทานข้าวแล้วก็ไปพักผ่อน เข้าใจไหมจ๊ะ” ปาลิกาได้แต่รับคำเสียงอ่อน แต่ก็รู้สึกอบอุ่นใจนัก เพราะเข้าใจดีว่าที่คุณโฉมฉายพูดขึ้นมาทั้งหมดนี้ก็เนื่องด้วยความรัก ห่วงใยที่มีต่อเธอนั่นเอง
“แล้วเรื่องที่เราคุยกันค้างไว้ล่ะจ๊ะน้องซัน จะไปอยู่กับหม่าม๊าที่บ้านใหญ่เลยหรือเปล่าลูก จะได้ให้คนขนข้าวของเลย” คุณโฉมฉายหันมาคุยเป็นการเป็นงานกับลูกชายอีกครั้ง ทำให้มือเรียวยาวที่กำลังคนข้าวต้มในชามชะงักไปนิดหนึ่ง
“เอาไว้ก่อนเถอะครับหม่าม๊า ผมยังไม่อยากย้ายตอนนี้”
“หรือลูกเป็นห่วงหนูปลากับแต๋ว”
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันกับป้าแต๋วหรอก เพราะถึงเราจะอยู่ชั้นบนกันแค่ 2 คน แต่ข้างล่างยังมีพวกแม่ครัว คนขับรถ แล้วก็ยามอีก แล้วอีกอย่างชั้น 6 ก็ยังมีพนักงานพักอยู่เป็นร้อย เราเองก็อยู่กันมา 2 คน ตั้งแต่คุณป้าย้ายไปบ้านใหญ่จนป่านนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย” ปาลิกายักไหล่ทำท่าชิลล์ๆ
“ใครบอกฉันห่วงเธอกันยัยงั่ง ที่ฉันไม่ไปก็เพราะฉันยังไม่อยากไปก็เท่านั้น” ตะวันฉายแค่นเสียงเหยียด ทำให้อีกฝ่ายตาวาวทำหน้าเอาเรื่อง คุณโฉมฉายจึงยกมือห้ามทัพ
“เอาเถอะๆ หม่าม๊าเข้าใจนะว่าน้องซันก็ผูกพันกับที่นี่เหมือนหนูปลา ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าถ้าใครอยากไปอยู่กับหม่าม๊าบ้านใหญ่เมื่อไหร่ก็ไปล่ะกัน เพราะจะว่าไปบ้านโน้นก็มีภาสกรกับรัมภาอยู่กับหม่าม๊าอยู่แล้ว ไม่น่าเป็นห่วงเท่าหนูปลากับแต๋วหรอกลูก” คุณโฉมฉายหมายถึงครอบครัวน้องชายคนเล็กของท่านเจ้าสัวอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันในคฤหาสน์ย่านชานเมือง “เออใช่ อีกเรื่อง หม่าม๊าว่าจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับน้องซันกลับบ้าน เราจัดตรงสระว่ายน้ำชั้นบนดีไหม หรือที่บ้านใหญ่ดี แล้วคอนเซ็ปต์ของงานเราแต่งแฟนซีใส่หน้ากากดีไหม ว่ายังไงลูก” เจ้าของฉายาที่เรียกกันในหมู่คนสนิทว่า ‘เจ้าแม่ปาร์ตี้’ หันมาถามความคิดเห็นลูกชายด้วยดวงตาเป็นประกาย
“เอ่อ...อย่าดีกว่ามั้งครับหม่าม๊า ยุ่งยากเปล่าๆ ” ตะวันฉายรีบตอบเก็บอาการกระอักกระอ่วนไว้ไม่มิด
“ไม่ได้นะลูก น้องซันกลับมาทั้งทีจะเงียบกริบได้ยังไง แต่ถ้าไม่ชอบแบบงานแฟนซี จัดธรรมดาๆ ก็ได้นะลูกนะ” หันมามองลูกชายด้วยประกายตาที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่น ไม่มีวันล้มเลิกความคิดอย่างแน่นอน
ตะวันฉายกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่รู้สึกถึงแรงกระแทกตรงหน้าแข้งอย่างแรงจนเขาต้องทำหน้าเบ้ ด้วยความเจ็บ ชายหนุ่มหันไปมองตัวต้นเหตุทันที แต่ครานี้ปาลิกากลับมองเขาด้วยสายตาจิกๆ แล้วที่สุดตะวันฉายก็โวยวายไม่ลง
“ก็ได้ครับ ตามใจหม่าม๊า แต่ภายในอาทิตย์นี้ผมไม่ว่างนะครับ” เขาจำต้องรับคำเสียงอ่อยและขอเวลาทำใจอยู่ในที
“งั้นรอน้องซันว่างก่อนก็ได้ เออ...หนูปลาจ๊ะหม่าม๊าวานช่วยเป็นธุระให้ทีนะลูก”
“ได้ค่ะคุณป้า” หญิงสาวตอบรับพร้อมรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความเต็มอกเต็มใจ

ปาลิกาตื่นขึ้นมาตั้งแต่บ่าย แม้จะไม่ได้เยี่ยมหน้าลงไปยังออฟฟิศที่ตั้งอยู่บริเวณชั้น 5 ของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ปฯ เลย แต่ด้วยความที่ห่วงงานเป็นนิสัยจึงไม่วายโทร.ตามงานให้วุ่นวายไปหมด จนกระทั่งถึงเย็นใกล้เลิกงานจึงโล่งใจขึ้นที่ปัญหาทุกอย่างได้คลี่คลายลงไปด้วยดี
‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่ จำกัด’ เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอัญมณีรูปพรรณและเครื่องประดับทองแบบครบวงจร ส่งออกต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ มีพนักงานเกือบสามร้อยคน ตั้งอยู่ในตึก 8 ชั้นที่มีโครงสร้างใหญ่โตพอสมควร แบ่งพื้นที่เป็นส่วนทำงานและพักอาศัย
ชั้นแรกใต้ตึกด้านหลังซึ่งปล่อยโล่งเป็นลานจอดรถ ด้านหน้าติดถนนเป็นโชว์รูมกรุกระจกใสไว้โชว์สินค้าทั้งที่ทำสำเร็จรูปเรียบร้อย ตัวอย่างงานที่มีไว้สำหรับสั่งทำโดยเฉพาะ และวัตถุดิบที่ใช้ทำเครื่องประดับต่างๆ เช่น เพชร พลอยหลากชนิด ฯลฯ ให้ลูกค้าเลือกสรร ซึ่งกินบริเวณไปถึงชั้น 2
ส่วนชั้น 3 ด้านในสุดเป็นออฟฟิศใหญ่ของผู้บริหารระดับประธานบริษัท ด้านนอกเป็นแผนกบัญชี ฝ่ายบุคคล การเงิน การตลาด ติดต่อประสานงาน ออกแบบ รวมทั้งตรวจสอบคุณภาพครั้งสุดท้ายก่อนส่งออก ชั้น 4 เป็นห้องรับประทานอาหารสำหรับพนักงาน ที่ทางบริษัทจัดเลี้ยงวันละ 2 มื้อ คือมื้อกลางวันและเย็น ชั้น 5 จึงเป็นส่วนของงานช่างจิวเวลรี่เกือบทุกขั้นตอน ทั้งเบื้องต้นอย่างช่างขึ้นตัวเรือน ช่างหล่อ ช่างทอง ช่างขัด ช่างฝัง และช่างชุบ ฯลฯ โดยมีปาลิกาดูแลอยู่ทั้งหมด
แต่ได้แยกแผนกคัดเพชร พลอยให้อยู่ชั้น 7 ซึ่งพนักงานส่วนมากเป็นผู้หญิงและมีจำนวนไม่ถึง 30 คน ใช้พื้นที่ทำงานไม่มาก ชั้น 7 จึงมีพื้นที่เหลือแบ่งเป็นที่พักผ่อน รับประทานอาหารสำหรับผู้บริหารซึ่งส่วนมากจะเป็นบรรดาญาติๆ กัน แล้วยังแบ่งเป็นห้องประชุมทั้งห้องเล็กสำหรับผู้บริหารโดยตรง และห้องโถงใหญ่ที่บรรจุคนได้หลายร้อยสำหรับการประชุมหรือจัดเลี้ยงพนักงานทั้งบริษัท
ชั้น 6 และชั้น 8 เป็นส่วนที่พักอาศัย ชั้น 6 เป็นที่พักของพนักงานที่ยังไม่มีครอบครัว ส่วนชั้น 8 เป็นที่พักของปาลิกา ป้าแต๋ว และตะวันฉายลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่ จำกัด’ ที่พึ่งกลับมาจากเรียนต่อต่างประเทศเช้านี้
ซึ่งตอนที่ปาลิกายังเด็ก ชั้น 8 นอกจากจะมีสามคนนี้แล้วยังมี ‘ยายปลิก’ ยายแท้ๆ ของปาลิกา ท่านเจ้าสัวอาทิตย์ และคุณโฉมฉายอีกคนที่พักอยู่ที่นี่ แต่ทว่ายายปลิกได้จากไปด้วยโรคมะเร็งตอนที่ปาลิกายังเรียนอยู่แค่ชั้นมัธยมฯ ปลาย หลังจากนั้นปีกว่าท่านเจ้าสัวอาทิตย์ก็จากไปอีกคนด้วยโรคหัวใจเฉียบพลัน
จนกระทั่งตะวันฉายเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ คุณโฉมฉายจึงได้ย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์ย่านชานเมืองจนถึงบัดนี้ และพยายามชักชวนปาลิกาไปอยู่ด้วยเสมอ แต่หญิงสาวชอบที่นี่ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเติบโตและมีความทรงจำมากมายอยู่ที่นี่ทั้งกับพ่อ แม่และยายที่เธอรัก แล้วยังจะท่านเจ้าสัวที่เธอเคารพรักอีกคน ปาลิกาจึงยืนยันถึงความตั้งใจที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆ จนคุณโฉมฉายยอมแพ้และตามใจในที่สุด
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เมื่อปาลิกาเดินไปเปิดก็เห็นว่าเป็น ‘หยินมี่’ เพื่อนสาวร่างอวบ ผิวขาวจัด ตาชั้นเดียวตามเชื้อสายจีนของเจ้าตัว ยืนยิ้มแป้นจนตาหยีอยู่ตรงนั้น
“หยินมี่เลิกงานแล้วเหรอ” หญิงสาวถามเพราะหยินมี่ทำงานอยู่ชั้น 3 ปกติจะเลิกงานทีหลังเธอนิดหน่อย ตามเวลาเข้า-เลิกงานที่บริษัทได้กำหนดไว้ให้ลดหลั่นกันไปเล็กน้อย เพื่อที่จะได้ไม่แออัดยัดเยียดกันตอนใช้ห้องอาหารของพนักงานส่วนใหญ่
“พึ่งเลิก เห็นป้าโฉมบอกว่าให้เธอหยุดงานเพราะเมื่อคืนทำโอที.ทั้งคืน ก็เลยแวะมาหาก่อนกลับบ้านน่ะ
ฉันว่าจะมาหานายซันด้วย มาถึงตั้งแต่เช้าไม่เห็นลงไปข้างล่างเลย” ท้ายประโยคหยินมี่ถามหาตะวันฉายและเมียงมองออกไปข้างนอก
“คงอยู่ในห้อง ไปสิเดี๋ยวฉันพาไป” ปาลิกาพาเพื่อนเดินมาหยุดยังห้องตรงกันข้ามที่เยื้องกันไปเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือไปเคาะประตูรัวเร็ว
“เข้ามาสิ ประตูไม่ได้ล็อค” มีเสียงงัวเงียดังออกมา
“นายซันตื่นได้แล้ว หยินมี่มาหาแน่ะ” ปาลิการ้องขึ้นพลางเปิดประตูเข้ามาในห้องที่เปิดแอร์จนเย็นเฉียบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ แต่ร่างสูงที่นอนเหยียดยาวบนเตียงกลางห้องยังนอนสบาย “ดูสิ...หนาวยังกะอยู่ขั้วโลกใต้ ยังไม่ห่มผ้าอีกเดี๋ยวได้แข็งตายกันพอดี ตื่นได้แล้วนายซัน ตื่นๆๆ ” คราวนี้บ่นพลางเอื้อมมือไปจิ้มๆ ร่างที่ยังไม่กระดุกกระดิกนั่นไปพลาง จนตะวันฉายอดรนทนไม่ได้จึงผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงขยี้ตามอง
“เธอนี่บ่นได้บ่นดีน่ารำคาญ ว่าไงหยินมี่สบายดีนะ” บ่นปาลิกาเสร็จก็หันมาทักทายสาวร่างอวบต่อ
“ฉันสบายดีซัน เดี๋ยวเลิกงานหยางก็คงขึ้นมา”
“หยางมันโทร.มาหาแล้วล่ะ ว่าแต่คืนนี้พวกเธอว่างหรือเปล่า ฉันกับหยางนัดพวกเพื่อนสมัยมัธยมฯ ไว้ว่าจะไปฉลองกันสักหน่อย ไปด้วยกันไหม” ตะวันฉายเอ่ยชวนในตอนท้าย ขณะที่ปาลิกากับหยินมี่นั่งลงตรงโซฟาเบดที่วางอยู่มุมหนึ่งของห้อง
“คงไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่เทิดก็มารับฉันแล้ว ไว้ตอนเลี้ยงต้อนรับนายก็ล่ะกัน” หยินมี่ว่า
“แล้วเธอล่ะยัยปลิก” เขาจึงหันไปถามปาลิกาบ้าง
“หึ...ไม่เอาหรอก ฉันไม่อยากไปยุ่งกับพวกนาย เหลือขอกันทั้งนั้น” ปาลิกาส่ายหน้าหวือปฏิเสธในทันที
“นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย กลัวพวกเพื่อนฉันเรียก ป้า ก็ว่ามาเถอะ”
“อ๊าย! อีตาซันบ้า ใครป้ากันยะ เพื่อนนายบางคนหน้าแก่กว่าฉันอีก ไม่อยากจะคุย ถ้านายพูดให้ฉันจี๊ดอีกละก็...” ปาลิกาฮึ่มฮั่มขู่ตาวาวในตอนท้าย แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะขำ
“กลัวตายล่ะ ตัวเท่าลูกหมา ฉันดีดนิ้วเดียวเธอก็กระเด็นแล้ว ยังจะมาหือ”
“กรี๊ด! นายว่าใครลูกหมายะ” คนตัวเท่าลูกหมาปรี่เข้าใส่ร่างสูงที่นั่งหย่อนขาอย่างสบายใจอยู่บนเตียง แล้วร่างเล็กก็เบรคแทบไม่ทัน เมื่อนิ้วชี้ของตะวันฉายจิ้มแหม่ะลงตรงหน้าผาก เล่นเอาหน้าหงายไปในทันที และพอชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้น ปาลิกาก็ประจักษ์แก่ใจว่าที่เขาพูดมาไม่เกินเลยความจริงสักนิด ขนาดว่าเธอยืนแบบเขย่งเต็มที่แล้วก็ยังสูงแค่ระดับอกของคนที่ยืนทำหน้ายียวนอยู่ตรงหน้า เสียงหัวเราะของหยินมี่ที่นั่งมองคนทั้งคู่อยู่ดังขึ้น
“พวกเธอนี่ กี่ปีๆ ก็ไม่เปลี่ยนเลยนะ เห็นหน้ากันเป็นไม่ได้ เคยกัดกันยังไงก็ยังกัดกันอย่างงั้น แต่ฉันว่า ปกติตอนเด็กยัยปลาก็ลำบากอยู่แล้วกับการจะเข้าถึงตัวนาย มาตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีทางไปใหญ่” ปาลิกาหันไปทำหน้าเคืองเอากับหยินมี่ แต่ก่อนที่ทั้งหมดจะทันโต้ตอบกันต่อ เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นพร้อมเสียงทักทาย
“อ้าว ว่าไง...ทำอะไรกันอยู่อะเจ้ทั้งสอง อ้าว...ซันแต่งตัวสิวะ เดี๋ยวจะได้ออกไปกันเลย” ‘หยาง’ ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับตะวันฉายก้าวเข้ามาในห้องทักทายทุกคนด้วยรอยยิ้ม เขาเป็นน้องชายของหยินมี่ ตะวันฉายทำเสียงรับในลำคอก่อนจะผลุบเข้าห้องน้ำไป หยางจึงหันมาพูดคุยกับสองสาวต่อ
ปาลิกากับหยินมี่ที่มานั่งอยู่ห้องรับแขกด้านนอก มองดูสองหนุ่มเดินออกประตูไปด้วยตาปริบๆ หนึ่งหนุ่มนั้นหน้าตา รูปร่างละม้ายคล้ายหยินมี่ผู้เป็นพี่สาวไม่น้อย แต่อีกหนึ่งหนุ่มที่สูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาสวยเหมือนผู้หญิง จึงทำให้ดูโดดเด่น เป็นที่เตะตาใครต่อใครได้ไม่ยากโดยเฉพาะสาวๆ
แม้ปาลิกาจะอายุมากกว่าเขา 1 ปี แต่ทว่าความสูงและความน่ารักน่ามองของตะวันฉายก็ล้ำหน้าเธอ
มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ยิ่งเรื่องความสูงไม่ต้องพูดถึง เพราะเวลาโมโหเธอไม่เคยทำอะไรเขาได้สักที ได้แต่กรี๊ดๆ แต่ก็นั่นแหล่ะอย่าว่าแต่จะคิดประทุษร้ายต่อร่างกายเขาเลย แค่ยืนคุยกันสาวไทยไซด์มินิอย่างเธอยังต้องแหงนคอตั้งบ่ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ปาลิกายอมรับว่า ‘ตะวันฉาย’ หรือ ‘นายซัน’ ที่เธอเรียกจนติดปากในวันนี้ได้เติบโตขึ้นมาก ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จากเวลาแค่ 2-3 ปี ที่หญิงสาวได้ติดตามคุณโฉมฉายไปเยี่ยมเขาในช่วงแรกๆ ที่ตะวันฉายไปเรียนอยู่ต่างประเทศ จากนั้นก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย นอกจากคุยกันทางโทรศัพท์แต่ก็เพียงนิดหน่อย และนานๆ ที
แต่จะเน้นหนักไปทางอีเมลที่ทั้งคู่จะใช้ติดต่อสื่อสารพูดคุยกันแต่เรื่องไร้สาระกัดกันไปตามประสา จะมากน้อยแล้วแต่อารมณ์ที่อยากจะแหย่กันของอีกฝ่าย บางทีก็นานครั้ง บางทีก็ถี่เสียเหลือเกิน แต่สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ปาลิการู้สึกว่าเขายังเป็น ‘นายซัน’ เจ้าเล่ห์ กวนประสาท ชอบแกล้งกัด หาเรื่องให้เธอโมโหได้ตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เจอหน้ากันก็ตาม ราวกับว่าการได้แกล้ง ได้ชวนทะเลาะโวยวายใส่กันมันเป็นสิ่งเสพติดที่ขาดไม่ได้กระนั้น
แม้แต่วินาทีนี้ที่กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตะวันฉายก็ยังไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แม้มันอาจจะดูขัดแย้งกับท่าทางของเขาที่ดูโตขึ้นบ้าง แต่ไม่ว่าชายหนุ่มจะมีท่าทีอย่างไรกับปาลิกามันคงไม่สำคัญอะไรนัก เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับการกลับมาครั้งนี้ของตะวันฉายก็คือภาระหน้าที่ในเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่หญิงสาวได้แต่หวังว่าเขาจะมีความรับผิดชอบ ตั้งใจศึกษาเรียนรู้งานภายในบริษัท เพื่อคุณโฉมฉายผู้เป็นแม่ที่ฝากความหวังไว้กับเขา และเพื่อ ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ แห่งนี้




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ม.ค. 2559, 10:32:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ม.ค. 2559, 10:32:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1289





<< บทนำ   บทที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account