ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง
ตอน: บทที่ 4
ร่างสูงโปร่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวยาว กำลังจดจ่ออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่ก็ละสายตาขึ้นมองไปยังประตูกระจกบานเลื่อนที่เปิดออก ร่างสูงพอกันของคุณโฉมฉายผู้เป็นมารดาที่อยู่ในชุดทำงานก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเลขาคู่ใจที่ตามกันไม่ห่าง
“เป็นยังไงบ้างล่ะลูก ผ้าม่านที่หม่าม๊าเปลี่ยนให้ใหม่ถูกใจไหม นี่ทั้งหนูปลาและหยงช่วยหม่าม๊าเลือกด้วยนะ” คุณโฉมฉายยิ้มละมุน ขณะนั่งลงตรงข้ามลูกชายโดยมีโต๊ะทำงานตัวยาวคั่นกลางอยู่
“เอ่อ...ก็โอเค.ครับหม่าม๊า ขอบคุณหม่าม๊ากับเจ๊หยงมากนะครับ”
“แต่เจ๊ว่าตี๋ซันขอบคุณยัยปลาดีกว่านะ รายนั้นน่ะรู้ดีว่าตี๋ซันชอบสีอะไร เจ๊พึ่งรู้เหมือนกันนะว่าตี๋ซันชอบสีแบบ เอ่อ...แหววขนาดนี้” เจ๊หยงบุ้ยใบ้ไปยังผ้าม่านสีชมพูอ่อนหวานไร้ลวดลาย ที่พึ่งติดตั้งเสร็จเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และเป็นเซอร์ไพร์ที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอยากย้ายห้องทำงานหนีม่านมันเสียเลย แต่ติดที่ว่าไม่อาจทำลายน้ำใจของผู้เป็นมารดาได้ เขาจึงต้องยิ้มหน้าบานรับกับเซอร์ไพร์นี้
“นั่นสิ หม่าม๊านึกว่าลูกจะชอบสีทึมๆ แบบป่ะป๊าเสียอีก แต่พอดีหนูปลายืนยันว่าลูกชอบสีนี้หม่าม๊าก็เลยโอเค.” ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกกับคำบอกเล่าของมารดา ได้แต่ยิ้มกว้างเหมือนปลื้มใจเสียเต็มประดา
ตะวันฉายคิดอยู่แล้วเชียวว่าผ้าม่านสีชมพูนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับปาลิกาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะนี่มันเป็นสีโปรดของหญิงสาว ทำห้องทำงาน ห้องนอนของตัวเองเป็นสีชมพูเขาไม่ว่า แต่นี่ช่างกล้าไม่เบาที่เอาสีโปรดสุดแหววของตัวเองมาแทรกซึมพื้นที่ส่วนตัวของเขาอย่างนี้ ตะวันฉายนึกอยากจะเอาผ้าม่านสีชมพูนี้ไปพันตัวคนต้นคิดให้เป็นมัมมี่สีชมพูนัก ชายหนุ่มแอบเข่นเขี้ยวโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เออ แล้วเรื่องที่หม่าม๊าจะให้หยินมี่มาเป็นเลขาส่วนตัวของลูกล่ะจ๊ะ จะว่ายังไง โอเค.ไหม เพราะหม่าม๊าอยากให้ญาติของเรามาทำมากกว่า โดยเฉพาะหยินมี่ที่รู้งานดีกว่าคนอื่น อายุงานของหยินมี่ก็เท่ากับหนูปลาได้มั้ง นะหยงนะ” ท้ายประโยคหันไปขอความเห็นกับเจ๊หยงที่นั่งข้างๆ
“ประมาณนั้นแหล่ะค่ะป้าโฉม แต่เห็นอากรกับอ๋าเสนอหมวยเล็กกับหมวยใหญ่มาด้วยนะคะ” เจ๊หยงหมายถึงญาติลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายท่านเจ้าสัวอาทิตย์
“หมวยเล็ก หมวยใหญ่ไม่ได้ทำงานกับเราไม่ใช่หรือครับ” ตะวันฉายเลิกคิ้วถาม
“ไม่ได้ทำหรอกจ้ะ ครอบครัวนั้นมีอากรกับอ๋าที่ทำกับเราในส่วนโชว์รูมที่...” เจ๊หยงเอ่ยถึงย่านนอกเมืองซึ่งเป็นโซนที่มีโชว์รูมและบริษัทเกี่ยวกับจิวเวลรี่รวมตัวกันอยู่มากมาย จนเป็นย่านการค้าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับจิวเวลรี่โดยตรง และเดอะซัน กรุ๊ปฯ ก็มีโชว์รูมอยู่ที่นั่นอีกแห่ง “ส่วนอาอรนภากับสองหมวยนั่นไม่ได้ทำอะไรอยู่บ้านเฉยๆ แต่ที่อากรเสนอลูกสาวตัวเองก็อาจเป็นเพราะอยากให้ทำงานทำการซะทีมั้ง คงเห็นว่าตี๋ซันสนิทกับฝาแฝดนั่นและเอาสองคนนั้นอยู่ คิดว่าคงดีกว่าถ้าได้มาทำงานกับตี๋ซันและคงเต็มใจทำมากกว่า”
“อย่างผมเนี่ยนะจะเอายัยแฝดนรกนั่นอยู่ ไม่ไหวหรอกครับปวดหัวตายเลย แค่ยัยสองตัวนั่นมาเจอกับยัยปลิกคู่ปรับก็ไม่ไหวจะหย่าศึก เอาเป็นว่าให้หยินมี่มาเป็นเลขาผมดีที่สุดแล้วล่ะครับหม่าม๊า ตอนนี้ผมต้องการคนที่รู้ระบบงานของบริษัทเรามากกว่าจะได้ช่วยงานผมได้ เพราะผมเองต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ” ตะวันฉายตัดสินใจในที่สุด แล้วจึงเอ่ยต่อ “ส่วนยัยแฝดนรกนั่นหากอยากทำงานจริงๆ ก็ให้มาคุยกันอีกทีละกันครับ แล้วเราค่อยหาตำแหน่งเหมาะๆ ให้ทำ ปกติเราก็ไม่เคยปิดกั้นใครอยู่แล้วนี่ครับ ตั้งแต่สมัยที่ป่ะป๊ายังอยู่ ขอให้มีความตั้งใจจริงและรักที่จะทำงานกับเราก็พอ” พอดีกับหยินมี่เข้ามาสบทบอีกคน
“หนูหยิน ตกลงหนูมาเป็นเลขาให้น้องซันเลยนะลูก ส่วนงานของหนูเดี๋ยวป้าดูคนที่มีแววดีๆ มาทำแทนให้เอง” คุณโฉมฉายจึงหันมาเอ่ยกับหยินมี่ที่ก็รีบยิ้มและรับคำอย่างนอบน้อม แล้วทั้งหมดจึงพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่คุณโฉมฉายกับเจ๊หยงจะออกไปจากห้อง
“รบกวนเธอด้วยนะหยินมี่” ตะวันฉายกล่าวกับหยินมี่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย นายเป็นเจ้านายฉันนะ” หยินมี่พูดกลั้วหัวเราะ
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ยังไงเราก็เป็นญาติสนิทกัน เรามาช่วยกันทำงานดีกว่า ฉันอยากให้เดอะซัน กรุ๊ปฯ ในยุคของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เพราะฉันพึ่งเข้ามาคงต้องรบกวนเธอช่วยถึงจะเป็นไปได้” หน้าตาท่าทางของชายหนุ่มมีแววจริงจังจนเห็นได้ชัด
“นายก็พูดซะ หวังว่าคงไม่ลืมยัยปลานะ”
“ใครจะไปลืมกำลังสำคัญของกองทัพได้เล่า คอยกระทุ้งฉันอยู่ทุกวัน จนฉันจะบ้า! ” ไม่วายบ่นจนได้ ก่อนจะหันมาสั่งงานต่อ “เออ..ก่อนอื่นฉันต้องการรายละเอียดโดยรวมของบริษัทเราทั้งหมด ทั้งพนักงาน บัญชี ออร์เดอร์รวมทั้งแบบของจิวเวลรี่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ช่วงแรกอาจจะหนักหน่อยนะ ส่วนนี้เธอค่อยๆ ทำไปก็ได้ ถ้าส่วนไหนมีหัวหน้าดูแลอยู่ก็ให้มาคุยกับฉันโดยตรงได้เลย”
“ฉันจะรีบทำตามที่นายสั่งไม่ต้องห่วง”
“ขอบใจ ฉันเองก็จะแบ่งเวลาไปศึกษางานกับแผนกต่างๆ ด้วยตัวเองอยู่เหมือนกัน เพื่อให้เข้าใจระบบการทำงานของเราให้มากขึ้น ส่วนไหนดีเราก็ต้องรักษาไว้ ส่วนไหนควรปรับปรุงก็จะได้เริ่มทำกันเลย”
“อยากให้ยัยปลามาเห็นนายตอนนี้จัง คงยิ้มแก้มแทบปริเลยล่ะ ที่เห็นนายเอาการเอางานขนาดนี้” หยินมี่เปรยพร้อมรอยยิ้มชื่นชม
“เฮ้ย...เกือบลืม เธออย่าพึ่งบอกยัยนั่นนะว่าฉันมาทำงานแล้ว หรือหากยัยนั่นถามเรื่องงานก็อย่าพึ่งไปบอก” แต่อีกฝ่ายกลับรีบสั่งต่อด้วยเสียงกระซิบ ท่าทางมีลับลมคมในชอบกล
“อ้าว ทำไมล่ะ เดี๋ยวยัยปลาก็บ่นว่านายเหลวไหลอีกหรอก” สาวอวบมีสีหน้าไม่เข้าใจ
“ช่างเหอะเรื่องนั้นน่ะ เธออย่าพึ่งบอกล่ะกัน” เขาสรุปง่ายๆ ไม่ยอมอธิบายให้กระจ่างแต่อย่างใด
“จะให้ฉันโกหกยัยปลาเนี่ยนะ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรงขนาดไหน” แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ยอมอธิบายอะไรเป็นแน่ แต่สาวร่างอวบก็อดท้วงไม่ได้เพราะนั่นมันช่างขัดกับนิสัยของเธอยิ่งนัก
“ก็อย่าไปโกหกสิ แค่ไม่พูดเท่านั้น หากยัยนั่นถามว่าฉันทำงานหรือเปล่าก็บอกให้มาดูเองซะก็หมดเรื่อง” ตะวันฉายแนะไปส่งๆ หยินมี่มองชายหนุ่มด้วยแววตาแปลกๆ
“เอางั้นเหรอ” แล้วจึงถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจในความคิดของเขาเท่าไหร่
“เออน่า...ไปทำงานได้แล้ว” ชายหนุ่มตัดบท หยินมี่จึงได้ออกไป
เจ้าของร่างเล็กกำลังคุยเรื่องงานที่มีปัญหากับพนักงานคนหนึ่งในแผนกช่างฝัง หลังจากอธิบายให้ช่างฟังถึงรายละเอียดของปัญหาเสร็จ ก็พอดีกับที่เห็นพนักงานสาวหลายคนต่างบุ้ยใบ้กันให้มองไปยังประตูทางเข้าห้องทำงานของเธอ เนื่องจากทั้งชั้นกรุกระจกใสทำให้มองเห็นทุกห้องได้อย่างชัดเจน มีเพียงห้องทำงานของปาลิกาเท่านั้นที่ติดผ้าม่านสีชมพูลายหมีพูห์น่ารัก แต่เวลาทำงานเธอมักรวบผ้าม่านไว้ เพื่อให้สามารถมองไปยังแผนกต่างๆ ได้จากในห้อง
ร่างสูงของตะวันฉายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเนื้อเข้ารูป ปล่อยชายกับกางเกงสแล็คสีดำ ไม่ผูกเนคไท หรือมีส่วนใดที่ส่อแววให้เห็นว่าเป็นการแต่งตัวมาทำงานสักนิด เขาสอดส่ายสายตาเหมือนมองหาใครสักคนที่คงหนีไม่พ้นว่าเป็น...ปาลิกา
“คุณตะวันฉายไงเธอ ล้อ...หล่อนะ เห็นใกล้ๆ ยิ่งหล่อ พึ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ และว่ากันว่ากำลังจะมาเป็นผู้บริหารด้วย อยากให้มาอยู่ชั้นเราจังนะเธอ” เสียงพนักงานดังเข้าหูมา
“ได้เป็นแฟนนะโอ๊ย...รักตายคนอะไรก็ไม่รู้ ว้าย! เดินมาทางนี้แล้วเธอ” ปาลิกาทำเสียงกระแอมกระไอทำหน้าเข้มอยู่ด้านหลังสาวๆ
“อุ๊ย...คุณปลา” แต่ก่อนที่ปาลิกาจะทันเจรจากับบรรดานิวแฟนคลับของตะวันฉาย...
“ยัยปลิก! ” เสียงเรียกที่ดังก้องไปทั้งห้องช่างฝังนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากพนักงานที่ได้ยินกันถ้วนทั่ว ทำให้ร่างเล็กหันไปทางเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาใกล้อย่างเอาเรื่อง
“มาทำอะไรของนาย งานการไม่มีทำหรือไง” แต่พยายามผ่อนเสียงให้เบาลงเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เขาพลอยกระซิบตอบเธอไปด้วย
“ไว้ก่อนได้ไหมฉันกำลังยุ่ง” ปาลิกาบุ้ยใบ้มายังถาดไม้ใบเล็กที่ใช้ใส่งานในมือ และมีแหวนทองเคแบบต่างๆ บรรจุถุงแบบมีซิปล็อควางอยู่ในนั้น 3-4 ถุง
“ก็ทำไปสิฉันรอได้” ชายหนุ่มยักไหล่
จากนั้นเขาก็เตร่ไปแผนกนั้นทีแผนกนี้ที พลางแจกยิ้มถามไถ่โน่นนี่กับพนักงานไปทั่ว เป็นจุดสนใจของบรรดาพนักงานสาวๆ ที่ทั้งโสดและไม่โสดทั้งหลายจนไม่เป็นอันทำการทำงาน สร้างความหมั่นไส้ให้กับปาลิกาที่เหลือบแลมองไปเป็นบางครั้งอย่างเหลือเกิน
“ผ้าม่านในห้องทำงานของฉันน่ะ เธอจงใจแกล้งฉันใช่ไหม” ตะวันฉายเอ่ยขึ้นขณะเดินตามหญิงสาวเข้ามาในห้องทำงานของเธอ ปาลิกาหันมามองพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ
“ฉันเปล่าแกล้งซะหน่อย อ๊ะ...นายไปดูมาแล้วเหรอ แต่จะว่าไปนายควรจะขอบใจฉันถึงจะถูกนะ เพราะฉันเห็นสีทึมๆ อย่างที่นายชอบมันทำให้ห้องดูไม่สว่างไสว สีชมพูนั่นแหล่ะดีที่สุด แต่ถ้านายไม่ชอบก็ขอคุณป้าเปลี่ยนให้ใหม่สิ เฮ้อ! น่าสงสารคุณป้าซะจริงที่มีลูกชายเอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้ งานการไม่ทำ แล้วยังเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไอ้นู้นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เอา” ตอนท้ายๆ คนพูดทำเสียงเหนื่อยเพลียละเหี่ยจิตเสียเต็มประดา
“นี่มันจะมากไปแล้วนะยัยปลิก” เขาเริ่มฮึ่มฮั่มเป็นการเตือนกลายๆ
“ก็มันจริงไหมล่ะ ฉันว่าแทนที่นายจะมาสนใจว่าผ้าม่านสีอะไรเนี่ย เอาเวลามาสนใจงานการจะเวิร์คกว่าไหมซัน แล้วอีกอย่างเลิกเรียกฉันว่า ยัยปลิก ต่อหน้าคนอื่นซะทีได้ไหม” ประโยคหลังคนพูดหน้าหงิก ทำให้คนฟังถึงกับปล่อยก๊ากอย่างสะใจ
“คนอื่นที่ไหน คนในบริษัทก็คนกันเองทั้งนั้นแหล่ะ อีกอย่างมันติดปากซะแล้วอย่ามาห้ามเสียให้ยาก” ตะวันฉายพูดพลางยักไหล่ รอยยิ้มขำยังไม่จางไปจากใบหน้า ปาลิกาตาวาว แต่พอดีฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มออกมาอย่างเป็นต่อ
“เอาซี้...ถ้านายเรียกฉันว่า ยัยปลิก ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนสนิทกันอีกละก็ ฉันจะรียกนายว่า น้องซัน เหมือนกัน” หญิงสาวท้าทายขึ้นมาบ้าง
เพราะชายหนุ่มสงวนลิขสิทธิ์ให้เรียกแบบนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือคุณโฉมฉายมารดาของเขานั่นเอง เธอรู้ว่านั่นเป็นอีกจุดอ่อนของเขา ตะวันฉายเริ่มกระอักกระอ่วนใจตั้งแต่ย่างเข้ามัธยมฯ แล้ว ได้ขอร้องมารดาและบิดาให้เรียกชื่อเขาเฉยๆ ท่านเจ้าสัวอาทิตย์ก็ยอมเพราะกลัวลูกชายจะอาย
แต่คุณโฉมฉายกลับบอกว่าจะเลิกเรียกเขาว่า น้องซัน ก็ต่อเมื่อตะวันฉายมีหลานให้อุ้มแล้วเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า สำหรับคนเป็นแม่แล้วไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ก็ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ของแม่เสมอ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้และยอมรับอย่างง่ายดาย แต่จะเดือดมากหากคนอื่นเผลอเรียกเช่นนี้
มาตอนนี้แม้ตะวันฉายจะทำหน้าขัดใจแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา และหญิงสาวก็รู้ดีว่านั่นเป็นการส่งสัญญาณว่าเขายอมแพ้ ปาลิกาจึงยิ้มด้วยความสมใจบ้าง ความจริงเธอไม่ได้โมโหที่ถูกเขาเรียกว่า ‘ยัยปลิก’ หรอก แต่โมโหที่เขาเรียกต่อหน้าพนักงานให้เป็นที่ขบขันกันมากกว่า แม้ ‘ปลิก’ จะเป็นชื่อของยายเธอ แต่ทว่าปลิกที่ตะวันฉายเรียกไม่ได้มีความหมายอะไรเกี่ยวกับที่เธอมียายชื่อนี้เลยสักนิด
แต่มันมาจากคำว่า ‘ปลิกหลิก’ หรือ ‘ปลิก’ ของภาษาเหนือบ้านป้าแต๋ว ที่ใช้เรียกคนที่มีรูปร่างเล็กๆ บางทีอาจกินความไปถึงแคระแกร็นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งปาลิกาเองมีรูปร่างเล็กกว่าเพื่อนเสมอตั้งแต่เด็ก จนมาถึงตอนนี้ที่แม้จะโตๆ กันแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ปาลิกาก็ยัง ‘ปลิก’ อยู่นั่นเอง และตะวันฉายก็เรียกเธออย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก
ตอนที่ ‘ยายปลิก’ ยังมีชีวิตอยู่ แรกๆ ก็พากันงงว่าเรียกใครกันแน่ แต่พอนานๆ เข้าก็แยกแยะได้จากน้ำเสียง หน้าตา ท่าทางที่ตะวันฉายใช้ ถ้าเป็นน้ำเสียงกระชาก ห้วน หน้ายียวนกวนประสาท และเรียกตัวเอง
ว่า ‘ฉัน’ แน่นอนว่าเป็น ‘ยัยปลิก’ ปาลิกา
แต่ถ้าเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน เรียกชื่อแทนตัวเองว่า ‘ซัน’ และมีหางเสียง เช่น ‘ยายปลิกฮะ ซันหิวข้าวแล้วครับฯ ’ ทำหน้าตาออดอ้อน แน่นอนว่าเป็น ‘ยายปลิก’ ผู้เป็นยายของปาลิกา ซึ่งมักหัวเราะและเห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่เขาทำ แม้กระทั่งการเรียกชื่อซ้ำซ้อนกันอย่างนี้ยายของเธอยังเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารักและช่างคิดของ ‘คุณหนูซัน’ ไปเสียนี่
“ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” ปาลิกาออกปากไล่อย่างไม่ออมน้ำใจเลยสักนิด เมื่อเห็น
อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะกลับออกไปสักที ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง
“เดี๋ยว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ หม่าม๊าให้เธอดูแลเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับฉันใช่ไหม”
“อือ...ใช่ ฉันก็จัดการไปได้เกือบพร้อมสำหรับงานคืนวันเสาร์ที่จะถึงนี่แล้วล่ะ”
“หวังว่าเธอคงไม่บ้าจี้ไปกับความคิดของเจ้าแม่ปาร์ตี้เลิศหรูอลังการอย่างหม่าม๊าหรอกนะ”
“ฉันว่าน่าสนใจดีออกกับงานแฟนซีเริ่ดๆ ” ปาลิกาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้ย! จะบ้าหรือไงยัยปลิก ฉันขอสั่งให้เธอจัดแบบเรียบๆ เข้าใจไหม เชิญเฉพาะญาติมิตรเพื่อนฝูงที่สนิทก็พอ อย่าให้ถึงกับอลังการงานสร้างเลย ฉันไม่ชอบ” คนฟังถึงกับโวยขึ้นในทันทีที่ได้ยิน
“แต่คุณป้าชอบนี่” เธอยิ่งแกล้งยั่ว ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มอย่างเป็นต่อ “แต่ก็ไม่แน่นะถ้านายเริ่มทำงานทำการจริงๆ เสียที บางที...ฉันอาจยอมตามใจนายก็ได้”
“เธอยุ่งอะไรกับเรื่องงานของฉันนักหนา ตอนที่ฉันไม่มาก็อยู่กันได้ไม่เห็นตาย พอฉันกลับมาเธอก็เอามาเป็นข้ออ้างได้เป็นวรรคเป็นเวร” ตะวันฉายบ่นอุบ
“ก็นายเป็นลูกชายคนเดียวของคุณป้า เป็นผู้สืบทอดกิจการของบริษัทเพียงคนเดียวด้วย นายจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้หรอกนะ คุณป้ากับคุณท่านฝากความหวังทั้งหมดไว้กับนาย นายไม่ควรทำให้ท่านทั้งสองผิดหวัง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ลอยไปลอยมา ตอนนี้ระยะเวลาที่นายเอ้อระเหยลอยชายอยู่น่ะมันเกินคำว่าพักผ่อนแล้วนะฉันว่า หากนายยังอยากเอ้อระเหยต่อไปก็ไม่เป็นไร เตรียมตัวใส่ชุดแฟนซีอลังการสุดล้ำที่คุณป้าตัดให้ไปงานเลี้ยงต้อนรับตัวเองได้แล้ว อ้อ! แล้วก็อย่าลืม...เตรียมตัวท่องสุนทรพจน์อันแสนน่าประทับใจในงานเปิดตัวเองด้วยล่ะ”
“เฮ้ย...เอาจริงเหรอ งั้นก็ได้ๆ ฉันทำก็ได้ ขออย่างเดียว งานนี้ขอเป็นการภายใน เรียบง่าย คนน้อยโอเค.ไหม”
“สัญญาว่าเสร็จจากงานนี้แล้วนายจะเริ่มทำงานอย่างจริงจังเสียที” แต่ปาลิกาไม่ยอมง่ายๆ
“โอเคๆ. ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน ปาลิกาหัวเราะกิ๊กด้วยความรู้สึกสะใจ
“จริงๆ แล้วฉันยังไม่ได้เตรียมการอะไรหรอก” ก่อนสารภาพทั้งที่รอยยิ้มขำยังไม่จางไปจากใบหน้า
“หา...อะไรนะ นี่เธอหลอกฉันงั้นเหรอยัยปลิก” เขาหันมาตาวาวเอาเรื่อง แต่หญิงสาวกลับยิ้มสบายใจพลางปฏิเสธ
“เปล่านะ ใครจะไปกล้าลูบคมคุณตะวันฉายล่ะ แต่ไม่ว่ายังไงนายอย่าลืมสัญญาละกัน” ตะวันฉายเข่นเขี้ยวฮึ่มฮั่ม แต่ทั้งคู่ต้องชะงักไปกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ปาลิการีบเอื้อมมือไปรับในทันที เสียงของพนักงานในออฟฟิศชั้น 3 ที่คุ้นเคยก็ดังมา
“คุณปลาคะไม่ทราบว่าคุณตะวันฉายอยู่ชั้น 5 ไหมคะ พอดีว่าเอกสารที่เอาไปให้คุณตะวันฉายเซ็นตอนเช้าเป็นเอกสารด่วนน่ะค่ะ แต่คุณหยินมี่ยังไม่ได้เอามาให้เลยค่ะ ตอนนี้คุณหยินมี่ก็ออกไปข้างนอกด้วยก็เลยไม่รู้จะตามเอากับใคร” พนักงานอธิบายมาตามสายด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง แต่กลับสะดุดใจปาลิกายิ่งนัก
“เอกสารด่วน? ” หญิงสาวพึมพัมงุนงง ก่อนหันมาทางคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “มีเอกสารด่วนให้นายเซ็นด้วยเหรอ หมายความว่าไง? ”
“เหรอ วางหูไปซะ” ไม่พูดเปล่าแต่ชายหนุ่มกลับฉวยโทรศัพท์จากมือปาลิกาวางลงบนแป้นในฉับพลัน
“เดี๋ยวนายซัน หมายความว่ายังไง นายยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยไม่ใช่เหรอ” ความแปลกใจฉายอยู่ในดวงตาคู่กลมโตนั้น แต่ตะวันฉายกลับยักไหล่
“ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้นแหล่ะยัยเบ๊อะ ฉันไปล่ะ” แล้วเขาก็หุนหันจากไปทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความงุนงงไม่หาย
“เป็นยังไงบ้างล่ะลูก ผ้าม่านที่หม่าม๊าเปลี่ยนให้ใหม่ถูกใจไหม นี่ทั้งหนูปลาและหยงช่วยหม่าม๊าเลือกด้วยนะ” คุณโฉมฉายยิ้มละมุน ขณะนั่งลงตรงข้ามลูกชายโดยมีโต๊ะทำงานตัวยาวคั่นกลางอยู่
“เอ่อ...ก็โอเค.ครับหม่าม๊า ขอบคุณหม่าม๊ากับเจ๊หยงมากนะครับ”
“แต่เจ๊ว่าตี๋ซันขอบคุณยัยปลาดีกว่านะ รายนั้นน่ะรู้ดีว่าตี๋ซันชอบสีอะไร เจ๊พึ่งรู้เหมือนกันนะว่าตี๋ซันชอบสีแบบ เอ่อ...แหววขนาดนี้” เจ๊หยงบุ้ยใบ้ไปยังผ้าม่านสีชมพูอ่อนหวานไร้ลวดลาย ที่พึ่งติดตั้งเสร็จเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และเป็นเซอร์ไพร์ที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอยากย้ายห้องทำงานหนีม่านมันเสียเลย แต่ติดที่ว่าไม่อาจทำลายน้ำใจของผู้เป็นมารดาได้ เขาจึงต้องยิ้มหน้าบานรับกับเซอร์ไพร์นี้
“นั่นสิ หม่าม๊านึกว่าลูกจะชอบสีทึมๆ แบบป่ะป๊าเสียอีก แต่พอดีหนูปลายืนยันว่าลูกชอบสีนี้หม่าม๊าก็เลยโอเค.” ชายหนุ่มถึงกับพูดไม่ออกกับคำบอกเล่าของมารดา ได้แต่ยิ้มกว้างเหมือนปลื้มใจเสียเต็มประดา
ตะวันฉายคิดอยู่แล้วเชียวว่าผ้าม่านสีชมพูนี้มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับปาลิกาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะนี่มันเป็นสีโปรดของหญิงสาว ทำห้องทำงาน ห้องนอนของตัวเองเป็นสีชมพูเขาไม่ว่า แต่นี่ช่างกล้าไม่เบาที่เอาสีโปรดสุดแหววของตัวเองมาแทรกซึมพื้นที่ส่วนตัวของเขาอย่างนี้ ตะวันฉายนึกอยากจะเอาผ้าม่านสีชมพูนี้ไปพันตัวคนต้นคิดให้เป็นมัมมี่สีชมพูนัก ชายหนุ่มแอบเข่นเขี้ยวโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เออ แล้วเรื่องที่หม่าม๊าจะให้หยินมี่มาเป็นเลขาส่วนตัวของลูกล่ะจ๊ะ จะว่ายังไง โอเค.ไหม เพราะหม่าม๊าอยากให้ญาติของเรามาทำมากกว่า โดยเฉพาะหยินมี่ที่รู้งานดีกว่าคนอื่น อายุงานของหยินมี่ก็เท่ากับหนูปลาได้มั้ง นะหยงนะ” ท้ายประโยคหันไปขอความเห็นกับเจ๊หยงที่นั่งข้างๆ
“ประมาณนั้นแหล่ะค่ะป้าโฉม แต่เห็นอากรกับอ๋าเสนอหมวยเล็กกับหมวยใหญ่มาด้วยนะคะ” เจ๊หยงหมายถึงญาติลูกพี่ลูกน้องทางฝ่ายท่านเจ้าสัวอาทิตย์
“หมวยเล็ก หมวยใหญ่ไม่ได้ทำงานกับเราไม่ใช่หรือครับ” ตะวันฉายเลิกคิ้วถาม
“ไม่ได้ทำหรอกจ้ะ ครอบครัวนั้นมีอากรกับอ๋าที่ทำกับเราในส่วนโชว์รูมที่...” เจ๊หยงเอ่ยถึงย่านนอกเมืองซึ่งเป็นโซนที่มีโชว์รูมและบริษัทเกี่ยวกับจิวเวลรี่รวมตัวกันอยู่มากมาย จนเป็นย่านการค้าที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับจิวเวลรี่โดยตรง และเดอะซัน กรุ๊ปฯ ก็มีโชว์รูมอยู่ที่นั่นอีกแห่ง “ส่วนอาอรนภากับสองหมวยนั่นไม่ได้ทำอะไรอยู่บ้านเฉยๆ แต่ที่อากรเสนอลูกสาวตัวเองก็อาจเป็นเพราะอยากให้ทำงานทำการซะทีมั้ง คงเห็นว่าตี๋ซันสนิทกับฝาแฝดนั่นและเอาสองคนนั้นอยู่ คิดว่าคงดีกว่าถ้าได้มาทำงานกับตี๋ซันและคงเต็มใจทำมากกว่า”
“อย่างผมเนี่ยนะจะเอายัยแฝดนรกนั่นอยู่ ไม่ไหวหรอกครับปวดหัวตายเลย แค่ยัยสองตัวนั่นมาเจอกับยัยปลิกคู่ปรับก็ไม่ไหวจะหย่าศึก เอาเป็นว่าให้หยินมี่มาเป็นเลขาผมดีที่สุดแล้วล่ะครับหม่าม๊า ตอนนี้ผมต้องการคนที่รู้ระบบงานของบริษัทเรามากกว่าจะได้ช่วยงานผมได้ เพราะผมเองต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ” ตะวันฉายตัดสินใจในที่สุด แล้วจึงเอ่ยต่อ “ส่วนยัยแฝดนรกนั่นหากอยากทำงานจริงๆ ก็ให้มาคุยกันอีกทีละกันครับ แล้วเราค่อยหาตำแหน่งเหมาะๆ ให้ทำ ปกติเราก็ไม่เคยปิดกั้นใครอยู่แล้วนี่ครับ ตั้งแต่สมัยที่ป่ะป๊ายังอยู่ ขอให้มีความตั้งใจจริงและรักที่จะทำงานกับเราก็พอ” พอดีกับหยินมี่เข้ามาสบทบอีกคน
“หนูหยิน ตกลงหนูมาเป็นเลขาให้น้องซันเลยนะลูก ส่วนงานของหนูเดี๋ยวป้าดูคนที่มีแววดีๆ มาทำแทนให้เอง” คุณโฉมฉายจึงหันมาเอ่ยกับหยินมี่ที่ก็รีบยิ้มและรับคำอย่างนอบน้อม แล้วทั้งหมดจึงพูดคุยกันอีกครู่ใหญ่ ก่อนที่คุณโฉมฉายกับเจ๊หยงจะออกไปจากห้อง
“รบกวนเธอด้วยนะหยินมี่” ตะวันฉายกล่าวกับหยินมี่เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย นายเป็นเจ้านายฉันนะ” หยินมี่พูดกลั้วหัวเราะ
“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ยังไงเราก็เป็นญาติสนิทกัน เรามาช่วยกันทำงานดีกว่า ฉันอยากให้เดอะซัน กรุ๊ปฯ ในยุคของเราก้าวหน้ายิ่งขึ้น แต่ฉันยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เพราะฉันพึ่งเข้ามาคงต้องรบกวนเธอช่วยถึงจะเป็นไปได้” หน้าตาท่าทางของชายหนุ่มมีแววจริงจังจนเห็นได้ชัด
“นายก็พูดซะ หวังว่าคงไม่ลืมยัยปลานะ”
“ใครจะไปลืมกำลังสำคัญของกองทัพได้เล่า คอยกระทุ้งฉันอยู่ทุกวัน จนฉันจะบ้า! ” ไม่วายบ่นจนได้ ก่อนจะหันมาสั่งงานต่อ “เออ..ก่อนอื่นฉันต้องการรายละเอียดโดยรวมของบริษัทเราทั้งหมด ทั้งพนักงาน บัญชี ออร์เดอร์รวมทั้งแบบของจิวเวลรี่ทั้งหมดที่เรามีอยู่ ช่วงแรกอาจจะหนักหน่อยนะ ส่วนนี้เธอค่อยๆ ทำไปก็ได้ ถ้าส่วนไหนมีหัวหน้าดูแลอยู่ก็ให้มาคุยกับฉันโดยตรงได้เลย”
“ฉันจะรีบทำตามที่นายสั่งไม่ต้องห่วง”
“ขอบใจ ฉันเองก็จะแบ่งเวลาไปศึกษางานกับแผนกต่างๆ ด้วยตัวเองอยู่เหมือนกัน เพื่อให้เข้าใจระบบการทำงานของเราให้มากขึ้น ส่วนไหนดีเราก็ต้องรักษาไว้ ส่วนไหนควรปรับปรุงก็จะได้เริ่มทำกันเลย”
“อยากให้ยัยปลามาเห็นนายตอนนี้จัง คงยิ้มแก้มแทบปริเลยล่ะ ที่เห็นนายเอาการเอางานขนาดนี้” หยินมี่เปรยพร้อมรอยยิ้มชื่นชม
“เฮ้ย...เกือบลืม เธออย่าพึ่งบอกยัยนั่นนะว่าฉันมาทำงานแล้ว หรือหากยัยนั่นถามเรื่องงานก็อย่าพึ่งไปบอก” แต่อีกฝ่ายกลับรีบสั่งต่อด้วยเสียงกระซิบ ท่าทางมีลับลมคมในชอบกล
“อ้าว ทำไมล่ะ เดี๋ยวยัยปลาก็บ่นว่านายเหลวไหลอีกหรอก” สาวอวบมีสีหน้าไม่เข้าใจ
“ช่างเหอะเรื่องนั้นน่ะ เธออย่าพึ่งบอกล่ะกัน” เขาสรุปง่ายๆ ไม่ยอมอธิบายให้กระจ่างแต่อย่างใด
“จะให้ฉันโกหกยัยปลาเนี่ยนะ นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรงขนาดไหน” แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มคงไม่ยอมอธิบายอะไรเป็นแน่ แต่สาวร่างอวบก็อดท้วงไม่ได้เพราะนั่นมันช่างขัดกับนิสัยของเธอยิ่งนัก
“ก็อย่าไปโกหกสิ แค่ไม่พูดเท่านั้น หากยัยนั่นถามว่าฉันทำงานหรือเปล่าก็บอกให้มาดูเองซะก็หมดเรื่อง” ตะวันฉายแนะไปส่งๆ หยินมี่มองชายหนุ่มด้วยแววตาแปลกๆ
“เอางั้นเหรอ” แล้วจึงถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจในความคิดของเขาเท่าไหร่
“เออน่า...ไปทำงานได้แล้ว” ชายหนุ่มตัดบท หยินมี่จึงได้ออกไป
เจ้าของร่างเล็กกำลังคุยเรื่องงานที่มีปัญหากับพนักงานคนหนึ่งในแผนกช่างฝัง หลังจากอธิบายให้ช่างฟังถึงรายละเอียดของปัญหาเสร็จ ก็พอดีกับที่เห็นพนักงานสาวหลายคนต่างบุ้ยใบ้กันให้มองไปยังประตูทางเข้าห้องทำงานของเธอ เนื่องจากทั้งชั้นกรุกระจกใสทำให้มองเห็นทุกห้องได้อย่างชัดเจน มีเพียงห้องทำงานของปาลิกาเท่านั้นที่ติดผ้าม่านสีชมพูลายหมีพูห์น่ารัก แต่เวลาทำงานเธอมักรวบผ้าม่านไว้ เพื่อให้สามารถมองไปยังแผนกต่างๆ ได้จากในห้อง
ร่างสูงของตะวันฉายที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีเนื้อเข้ารูป ปล่อยชายกับกางเกงสแล็คสีดำ ไม่ผูกเนคไท หรือมีส่วนใดที่ส่อแววให้เห็นว่าเป็นการแต่งตัวมาทำงานสักนิด เขาสอดส่ายสายตาเหมือนมองหาใครสักคนที่คงหนีไม่พ้นว่าเป็น...ปาลิกา
“คุณตะวันฉายไงเธอ ล้อ...หล่อนะ เห็นใกล้ๆ ยิ่งหล่อ พึ่งกลับมาไม่ใช่เหรอ และว่ากันว่ากำลังจะมาเป็นผู้บริหารด้วย อยากให้มาอยู่ชั้นเราจังนะเธอ” เสียงพนักงานดังเข้าหูมา
“ได้เป็นแฟนนะโอ๊ย...รักตายคนอะไรก็ไม่รู้ ว้าย! เดินมาทางนี้แล้วเธอ” ปาลิกาทำเสียงกระแอมกระไอทำหน้าเข้มอยู่ด้านหลังสาวๆ
“อุ๊ย...คุณปลา” แต่ก่อนที่ปาลิกาจะทันเจรจากับบรรดานิวแฟนคลับของตะวันฉาย...
“ยัยปลิก! ” เสียงเรียกที่ดังก้องไปทั้งห้องช่างฝังนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากพนักงานที่ได้ยินกันถ้วนทั่ว ทำให้ร่างเล็กหันไปทางเจ้าของเสียงที่เดินเข้ามาใกล้อย่างเอาเรื่อง
“มาทำอะไรของนาย งานการไม่มีทำหรือไง” แต่พยายามผ่อนเสียงให้เบาลงเพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” เขาพลอยกระซิบตอบเธอไปด้วย
“ไว้ก่อนได้ไหมฉันกำลังยุ่ง” ปาลิกาบุ้ยใบ้มายังถาดไม้ใบเล็กที่ใช้ใส่งานในมือ และมีแหวนทองเคแบบต่างๆ บรรจุถุงแบบมีซิปล็อควางอยู่ในนั้น 3-4 ถุง
“ก็ทำไปสิฉันรอได้” ชายหนุ่มยักไหล่
จากนั้นเขาก็เตร่ไปแผนกนั้นทีแผนกนี้ที พลางแจกยิ้มถามไถ่โน่นนี่กับพนักงานไปทั่ว เป็นจุดสนใจของบรรดาพนักงานสาวๆ ที่ทั้งโสดและไม่โสดทั้งหลายจนไม่เป็นอันทำการทำงาน สร้างความหมั่นไส้ให้กับปาลิกาที่เหลือบแลมองไปเป็นบางครั้งอย่างเหลือเกิน
“ผ้าม่านในห้องทำงานของฉันน่ะ เธอจงใจแกล้งฉันใช่ไหม” ตะวันฉายเอ่ยขึ้นขณะเดินตามหญิงสาวเข้ามาในห้องทำงานของเธอ ปาลิกาหันมามองพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นิดๆ
“ฉันเปล่าแกล้งซะหน่อย อ๊ะ...นายไปดูมาแล้วเหรอ แต่จะว่าไปนายควรจะขอบใจฉันถึงจะถูกนะ เพราะฉันเห็นสีทึมๆ อย่างที่นายชอบมันทำให้ห้องดูไม่สว่างไสว สีชมพูนั่นแหล่ะดีที่สุด แต่ถ้านายไม่ชอบก็ขอคุณป้าเปลี่ยนให้ใหม่สิ เฮ้อ! น่าสงสารคุณป้าซะจริงที่มีลูกชายเอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้ งานการไม่ทำ แล้วยังเอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่ ไอ้นู้นก็ไม่ดี ไอ้นี่ก็ไม่เอา” ตอนท้ายๆ คนพูดทำเสียงเหนื่อยเพลียละเหี่ยจิตเสียเต็มประดา
“นี่มันจะมากไปแล้วนะยัยปลิก” เขาเริ่มฮึ่มฮั่มเป็นการเตือนกลายๆ
“ก็มันจริงไหมล่ะ ฉันว่าแทนที่นายจะมาสนใจว่าผ้าม่านสีอะไรเนี่ย เอาเวลามาสนใจงานการจะเวิร์คกว่าไหมซัน แล้วอีกอย่างเลิกเรียกฉันว่า ยัยปลิก ต่อหน้าคนอื่นซะทีได้ไหม” ประโยคหลังคนพูดหน้าหงิก ทำให้คนฟังถึงกับปล่อยก๊ากอย่างสะใจ
“คนอื่นที่ไหน คนในบริษัทก็คนกันเองทั้งนั้นแหล่ะ อีกอย่างมันติดปากซะแล้วอย่ามาห้ามเสียให้ยาก” ตะวันฉายพูดพลางยักไหล่ รอยยิ้มขำยังไม่จางไปจากใบหน้า ปาลิกาตาวาว แต่พอดีฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มออกมาอย่างเป็นต่อ
“เอาซี้...ถ้านายเรียกฉันว่า ยัยปลิก ต่อหน้าคนอื่นที่ไม่ใช่คนสนิทกันอีกละก็ ฉันจะรียกนายว่า น้องซัน เหมือนกัน” หญิงสาวท้าทายขึ้นมาบ้าง
เพราะชายหนุ่มสงวนลิขสิทธิ์ให้เรียกแบบนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือคุณโฉมฉายมารดาของเขานั่นเอง เธอรู้ว่านั่นเป็นอีกจุดอ่อนของเขา ตะวันฉายเริ่มกระอักกระอ่วนใจตั้งแต่ย่างเข้ามัธยมฯ แล้ว ได้ขอร้องมารดาและบิดาให้เรียกชื่อเขาเฉยๆ ท่านเจ้าสัวอาทิตย์ก็ยอมเพราะกลัวลูกชายจะอาย
แต่คุณโฉมฉายกลับบอกว่าจะเลิกเรียกเขาว่า น้องซัน ก็ต่อเมื่อตะวันฉายมีหลานให้อุ้มแล้วเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า สำหรับคนเป็นแม่แล้วไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ก็ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ ของแม่เสมอ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลิกพูดถึงเรื่องนี้และยอมรับอย่างง่ายดาย แต่จะเดือดมากหากคนอื่นเผลอเรียกเช่นนี้
มาตอนนี้แม้ตะวันฉายจะทำหน้าขัดใจแต่ก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมา และหญิงสาวก็รู้ดีว่านั่นเป็นการส่งสัญญาณว่าเขายอมแพ้ ปาลิกาจึงยิ้มด้วยความสมใจบ้าง ความจริงเธอไม่ได้โมโหที่ถูกเขาเรียกว่า ‘ยัยปลิก’ หรอก แต่โมโหที่เขาเรียกต่อหน้าพนักงานให้เป็นที่ขบขันกันมากกว่า แม้ ‘ปลิก’ จะเป็นชื่อของยายเธอ แต่ทว่าปลิกที่ตะวันฉายเรียกไม่ได้มีความหมายอะไรเกี่ยวกับที่เธอมียายชื่อนี้เลยสักนิด
แต่มันมาจากคำว่า ‘ปลิกหลิก’ หรือ ‘ปลิก’ ของภาษาเหนือบ้านป้าแต๋ว ที่ใช้เรียกคนที่มีรูปร่างเล็กๆ บางทีอาจกินความไปถึงแคระแกร็นด้วยอีกต่างหาก ซึ่งปาลิกาเองมีรูปร่างเล็กกว่าเพื่อนเสมอตั้งแต่เด็ก จนมาถึงตอนนี้ที่แม้จะโตๆ กันแล้ว แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน ปาลิกาก็ยัง ‘ปลิก’ อยู่นั่นเอง และตะวันฉายก็เรียกเธออย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก
ตอนที่ ‘ยายปลิก’ ยังมีชีวิตอยู่ แรกๆ ก็พากันงงว่าเรียกใครกันแน่ แต่พอนานๆ เข้าก็แยกแยะได้จากน้ำเสียง หน้าตา ท่าทางที่ตะวันฉายใช้ ถ้าเป็นน้ำเสียงกระชาก ห้วน หน้ายียวนกวนประสาท และเรียกตัวเอง
ว่า ‘ฉัน’ แน่นอนว่าเป็น ‘ยัยปลิก’ ปาลิกา
แต่ถ้าเป็นน้ำเสียงอ่อนโยน เรียกชื่อแทนตัวเองว่า ‘ซัน’ และมีหางเสียง เช่น ‘ยายปลิกฮะ ซันหิวข้าวแล้วครับฯ ’ ทำหน้าตาออดอ้อน แน่นอนว่าเป็น ‘ยายปลิก’ ผู้เป็นยายของปาลิกา ซึ่งมักหัวเราะและเห็นดีเห็นงามกับทุกสิ่งที่เขาทำ แม้กระทั่งการเรียกชื่อซ้ำซ้อนกันอย่างนี้ยายของเธอยังเห็นว่าเป็นเรื่องน่ารักและช่างคิดของ ‘คุณหนูซัน’ ไปเสียนี่
“ไม่มีอะไรก็กลับไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” ปาลิกาออกปากไล่อย่างไม่ออมน้ำใจเลยสักนิด เมื่อเห็น
อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าจะกลับออกไปสักที ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินเข้าไปนั่งเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานของตัวเอง
“เดี๋ยว ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ หม่าม๊าให้เธอดูแลเรื่องงานเลี้ยงต้อนรับฉันใช่ไหม”
“อือ...ใช่ ฉันก็จัดการไปได้เกือบพร้อมสำหรับงานคืนวันเสาร์ที่จะถึงนี่แล้วล่ะ”
“หวังว่าเธอคงไม่บ้าจี้ไปกับความคิดของเจ้าแม่ปาร์ตี้เลิศหรูอลังการอย่างหม่าม๊าหรอกนะ”
“ฉันว่าน่าสนใจดีออกกับงานแฟนซีเริ่ดๆ ” ปาลิกาตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“เฮ้ย! จะบ้าหรือไงยัยปลิก ฉันขอสั่งให้เธอจัดแบบเรียบๆ เข้าใจไหม เชิญเฉพาะญาติมิตรเพื่อนฝูงที่สนิทก็พอ อย่าให้ถึงกับอลังการงานสร้างเลย ฉันไม่ชอบ” คนฟังถึงกับโวยขึ้นในทันทีที่ได้ยิน
“แต่คุณป้าชอบนี่” เธอยิ่งแกล้งยั่ว ก่อนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงยิ้มอย่างเป็นต่อ “แต่ก็ไม่แน่นะถ้านายเริ่มทำงานทำการจริงๆ เสียที บางที...ฉันอาจยอมตามใจนายก็ได้”
“เธอยุ่งอะไรกับเรื่องงานของฉันนักหนา ตอนที่ฉันไม่มาก็อยู่กันได้ไม่เห็นตาย พอฉันกลับมาเธอก็เอามาเป็นข้ออ้างได้เป็นวรรคเป็นเวร” ตะวันฉายบ่นอุบ
“ก็นายเป็นลูกชายคนเดียวของคุณป้า เป็นผู้สืบทอดกิจการของบริษัทเพียงคนเดียวด้วย นายจะปัดความรับผิดชอบไม่ได้หรอกนะ คุณป้ากับคุณท่านฝากความหวังทั้งหมดไว้กับนาย นายไม่ควรทำให้ท่านทั้งสองผิดหวัง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ลอยไปลอยมา ตอนนี้ระยะเวลาที่นายเอ้อระเหยลอยชายอยู่น่ะมันเกินคำว่าพักผ่อนแล้วนะฉันว่า หากนายยังอยากเอ้อระเหยต่อไปก็ไม่เป็นไร เตรียมตัวใส่ชุดแฟนซีอลังการสุดล้ำที่คุณป้าตัดให้ไปงานเลี้ยงต้อนรับตัวเองได้แล้ว อ้อ! แล้วก็อย่าลืม...เตรียมตัวท่องสุนทรพจน์อันแสนน่าประทับใจในงานเปิดตัวเองด้วยล่ะ”
“เฮ้ย...เอาจริงเหรอ งั้นก็ได้ๆ ฉันทำก็ได้ ขออย่างเดียว งานนี้ขอเป็นการภายใน เรียบง่าย คนน้อยโอเค.ไหม”
“สัญญาว่าเสร็จจากงานนี้แล้วนายจะเริ่มทำงานอย่างจริงจังเสียที” แต่ปาลิกาไม่ยอมง่ายๆ
“โอเคๆ. ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นอย่างยอมจำนน ปาลิกาหัวเราะกิ๊กด้วยความรู้สึกสะใจ
“จริงๆ แล้วฉันยังไม่ได้เตรียมการอะไรหรอก” ก่อนสารภาพทั้งที่รอยยิ้มขำยังไม่จางไปจากใบหน้า
“หา...อะไรนะ นี่เธอหลอกฉันงั้นเหรอยัยปลิก” เขาหันมาตาวาวเอาเรื่อง แต่หญิงสาวกลับยิ้มสบายใจพลางปฏิเสธ
“เปล่านะ ใครจะไปกล้าลูบคมคุณตะวันฉายล่ะ แต่ไม่ว่ายังไงนายอย่าลืมสัญญาละกัน” ตะวันฉายเข่นเขี้ยวฮึ่มฮั่ม แต่ทั้งคู่ต้องชะงักไปกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ปาลิการีบเอื้อมมือไปรับในทันที เสียงของพนักงานในออฟฟิศชั้น 3 ที่คุ้นเคยก็ดังมา
“คุณปลาคะไม่ทราบว่าคุณตะวันฉายอยู่ชั้น 5 ไหมคะ พอดีว่าเอกสารที่เอาไปให้คุณตะวันฉายเซ็นตอนเช้าเป็นเอกสารด่วนน่ะค่ะ แต่คุณหยินมี่ยังไม่ได้เอามาให้เลยค่ะ ตอนนี้คุณหยินมี่ก็ออกไปข้างนอกด้วยก็เลยไม่รู้จะตามเอากับใคร” พนักงานอธิบายมาตามสายด้วยน้ำเสียงกริ่งเกรง แต่กลับสะดุดใจปาลิกายิ่งนัก
“เอกสารด่วน? ” หญิงสาวพึมพัมงุนงง ก่อนหันมาทางคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม “มีเอกสารด่วนให้นายเซ็นด้วยเหรอ หมายความว่าไง? ”
“เหรอ วางหูไปซะ” ไม่พูดเปล่าแต่ชายหนุ่มกลับฉวยโทรศัพท์จากมือปาลิกาวางลงบนแป้นในฉับพลัน
“เดี๋ยวนายซัน หมายความว่ายังไง นายยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยไม่ใช่เหรอ” ความแปลกใจฉายอยู่ในดวงตาคู่กลมโตนั้น แต่ตะวันฉายกลับยักไหล่
“ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้นแหล่ะยัยเบ๊อะ ฉันไปล่ะ” แล้วเขาก็หุนหันจากไปทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความงุนงงไม่หาย
กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ม.ค. 2559, 10:33:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ม.ค. 2559, 10:33:04 น.
จำนวนการเข้าชม : 1181
<< บทที่ 3 | บทที่ 5 >> |