ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง
ตอน: บทที่ 5
คฤหาสน์หลังใหญ่ 2 ชั้นตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว้างขวางแถบชานเมือง บริเวณชั้นหนึ่งซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ ถูกใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่ เนื่องจากเป็นความต้องการของเจ้าตัวที่อยากให้งานเลี้ยงเป็นการภายในหมู่ญาติ จึงจัดเป็นโต๊ะจีนประมาณสิบกว่าโต๊ะ
ภายในงานมีบรรดาญาติๆ หลากหลายวัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะทำงานอยู่ในเดอะซัน กรุ๊ปฯ เป็นส่วนใหญ่ และต่างก็ได้ดื่มกินพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง โดยมีคุณโฉมฉายและตะวันฉายคอยให้การต้อนรับ
ขณะที่ปาลิกาในฐานะแม่งานวุ่นวายตั้งแต่เช้า เพราะนอกจากงานเลี้ยงที่นี่แล้ว คุณโฉมฉายยังได้จัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษเนื่องในโอกาสพิเศษนี้ให้กับพนักงานทั้งบริษัทตั้งแต่ตอนกลางวัน ทำให้ปาลิกาต้องวิ่งทางโน้นที ทางนี้ทีดูวุ่นวายนัก โชคดีทางนี้มีอาสะใภ้ของตะวันฉายที่อาศัยอยู่กับคุณโฉมฉายในบ้านนี้คอยช่วย และตอนเย็นหลังเลิกงานก็มีพวกเพื่อนๆ ตามมาช่วยอีกแรง จึงทำให้ปาลิกามีเวลาหยุดวิ่งวุ่นบ้าง
“ฉันพึ่งรู้ว่านายซันเริ่มทำงานตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ไม่เห็นเธอบอกฉันเลยหยินมี่” คนพูดมองไปยังร่างสูงของตะวันฉายที่นั่งคุยอยู่กับกลุ่มญาติผู้ใหญ่ที่โต๊ะหนึ่ง
“ฉันก็นึกว่านายซันบอกให้เธอรู้แล้วซะอีก” หยินมี่อ้อมแอ้มตอบ
“บอกบ้าอะไรล่ะ หลอกฉันอีกต่างหาก ฮึ้ย...พูดแล้วมันน่าโมโหนัก อุ๊ย! นั่นพี่อ๋ามาแล้ว” จากที่กำลังโมโหกรุ่นๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นตื่นเต้นยินดีทันทีที่เห็นคนที่ก้าวเข้ามาใหม่
อ๋า หรือ ‘อานุภาพ’ ชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงพอสมควร ผิวขาวตัดกับเส้นผมดำสนิท ตาชั้นเดียวบ่งบอกถึงเชื้อสายจีนที่เข้มข้น แต่ดวงตาคู่นั้นมีความอ่อนโยนเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางที่แต้มริมฝีปากอยู่เสมอ เขาเป็นลูกชายคนโตของคุณอาภากรน้องชายคนรองของท่านเจ้าสัวอาทิตย์ แต่มีอายุมากกว่าตะวันฉาย 3 ปี และมีน้องสาวฝาแฝดที่อายุอ่อนกว่าตะวันฉายปีหนึ่ง
“มานานแล้วใช่ไหมน้องปลา หยินมี่” อานุภาพทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ก็ใช่น่ะสิ เฮียมาช้ามากเลยนะ แล้วนี่เฮียมากับใครล่ะอากรกับอาอรนภามาด้วยหรือเปล่า” หยินมี่มองหาคนที่ถามถึงทางด้านหลังของชายหนุ่ม
“มาสิ แถมด้วยหมวยเล็ก หมวยใหญ่อีกคู่ อ้อ...เพื่อนเค้าอีกคน เห็นว่าอยากรู้จักเจ้าซันมันอะไรนี่แหล่ะ นั่นไงเข้ามากันแล้ว” อานุภาพพยักพเยิดไปทางกลุ่มคนที่มาใหม่
ซึ่งนอกจากพ่อแม่ของเขาแล้วยังมีอีกสามสาว ที่สองคนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันยังกับแกะเพราะเป็นฝาแฝดกันและเป็นน้องสาวของเขานั่นเอง ส่วนอีกหนึ่งสาวที่แต่งตัวเซ็กซี่เน้นทรวดทรงองค์เอวให้เห็นกันจะๆ นั้นไม่เป็นที่คุ้นตาของคนในงานนัก คุณโฉมฉายเข้าไปต้อนรับ เพราะตะวันฉายยังติดคุยกับญาติผู้ใหญ่อีกด้านหนึ่ง
“พี่อ๋านั่งก่อนไหมคะ” ปาลิกาเอ่ยชวน
“พี่ขอยืนเตร่อยู่แถวนี้ก่อนดีกว่า” อานุภาพว่าเมื่อมองไปยังแต่ละโต๊ะ ที่ส่วนใหญ่มีแต่พวกญาติที่เป็นผู้ใหญ่นั่งกันอยู่ พวกที่รุ่นราวคราวเดียวกันก็มาช่วยปาลิกาเสียเป็นส่วนมาก
“งั้นรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” ปาลิกาถามต่อ
“มีอะไรเบาๆ ไหม พี่ไม่อยากเมาต้องขับรถกลับอีก”
“ได้ค่ะ พี่อ๋ารอตรงนี้นะคะปลาจะไปดูให้”
พอปาลิกากลับมาพร้อมถาดใส่แก้วบรรจุไวน์ ก็เห็นว่าตะวันฉายมายืนคุยกับกลุ่มของอานุภาพ หยินมี่และหยางอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมไม่ให้เด็กเอามาล่ะน้องปลา ไม่เห็นต้องลำบากเลย” อานุภาพรีบเข้าไปรับถาดจากมือปาลิกามาถือไว้เองในทันที
“เด็กกำลังวุ่นอยู่ค่ะพี่อ๋า” เธอยิ้มหวานตอบ
“อยากเอาใจเฮียอ๋าละสิไม่ว่า” ตะวันฉายกระแหนะกระแหนมา ปาลิกาอดถลึงตาเข้าใส่ไม่ได้ แต่ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะได้คุยกันต่อ เสียงเสียดรูหูก็ดังประสานกันขึ้น
“เฮียซัน!! ” เจ้าของเสียงปรี้ดยกกำลังสองนั้นปราดเข้ามาดันร่างปาลิกาออกไปให้พ้นทาง แล้วจึงเกาะแขนตะวันฉายหมับคนละข้างอย่างคนที่ดีใจสุดชีวิต จนร่างสูงของชายหนุ่มเอนไปทางซ้ายทีขวาทีตามแรงดึง
“หมวยเล็ก หมวยใหญ่เป็นไงสบายกันดีนะ” ตะวันฉายรีบถามขึ้นหลังจากตั้งตัวได้
“สบายดีอยู่แล้วเฮียซัน ดีใจจังที่เฮียกลับมาเสียที” หมวยใหญ่แฝดผู้พี่ หรือ ‘อารียา’ พูดขึ้น
“จริงด้วย เออ...เฮียเราพาเพื่อนมาให้เฮียรู้จักด้วยนะ ชื่อ วดีลดา หรือดีด้าน่ะ เป็นนางแบบที่กำลังมาแรงในตอนนี้เลยนะ ดีด้ามานี่สิ” หมวยเล็ก หรือ ‘อาภาพร’ แฝดผู้น้องพูดพลางเดินแหวกผู้คนในกลุ่มไปลากเพื่อนสาวที่แต่งตัวสุดเซ็กซี่มาหาตะวันฉาย
“ดีด้า นี่ไงเฮียซันที่ฉันให้เธอดูรูปน่ะ ยัยด้าน่ะปลื้มเฮียจะตายรู้’เปล่า” ท้ายประโยคหันมาบอกตะวันฉายอีกรอบ
“หวัดดีค่ะพี่ซัน” วดีลดายิ้มหวานทักทาย
“เอ่อ...ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับดีด้า”
“นี่เธอเป็นแม่งานไม่ใช่เหรอ หาอะไรมาให้เรากินหน่อยสิ” หมวยเล็กหันมาออกคำสั่งกับไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาลอย่างปาลิกาที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล
“พอดีงานนี้เป็นโต๊ะจีน ฉันว่าเธอไปนั่งโต๊ะก่อนดีกว่า ให้เจ้าภาพพาไปที่โต๊ะเองล่ะกันไม่ใช่หน้าที่ฉัน ไปทางโน้นกันเถอะหยินมี่ หยาง ไปค่ะพี่อ๋า” ปาลิกากลับโยนให้เจ้าภาพเสียนี่ เป็นเหตุให้ตะวันฉายอ้าปากค้าง ขณะที่สองหมวยล็อคแขนเขาไว้คนละข้าง โดยมีวดีลดายืนจ้องอยู่ด้วยแววตาหวานหยาดเยิ้ม
“น้องปลางานเยอะไหมช่วงนี้ พี่เองก็ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทเลย” อานุภาพเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“ไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะพี่อ๋า พอดีว่าช่วงนี้ไม่มีงานด่วน แล้วที่โชว์รูมโอเค.ไหมคะ” เธอหมายถึงโชว์รูมข้างนอกของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่อานุภาพทำงานอยู่
“ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ ว่าแต่ตอนนี้น้องปลาคงไม่เหงาปากแล้วนะ คู่ปรับอย่างเจ้าซันกลับมาแล้วอย่างนี้น่ะ” ชายหนุ่มแกล้งเย้าเล่นด้วยนึกขำ เพราะรู้ถึงสัมพันธภาพของคู่นี้มาตั้งแต่เด็ก
“ปากแฉะไม่ว่าสิคะ ไม่เคยเปลี่ยนเล้ย หาแต่เรื่องให้ปากเปียกปากแฉะอยู่นั่นแหล่ะ” หญิงสาวทำหน้าเบ้ให้รู้ว่าเหม็นเบื่อคนที่พูดถึงเพียงใด
“น้องปลารู้ไหม เวลาน้องปลากับเจ้าซันอยู่ด้วยกันทีไร เหมือนเด็กทุกที” รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าของอานุภาพ และสายตาคู่ที่ทอดมองคนตรงหน้าก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ทว่าคนถูกมองกลับไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่คิดไปถึงคนต้นเหตุแล้วส่ายหน้าที่หงิกๆ หวือ
“ไม่จริงหรอกค่ะ ปลาน่ะโตแล้ว นายซันต่างหากล่ะคะที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ให้ตามบ่นกันอยู่เรื่อย” เธอจีบปากจีบคอว่า แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้อานุภาพหัวเราะเบาๆ
เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นกิริยาท่าทางแบบนี้จากหญิงสาว ในสายตาของชายหนุ่มปาลิกาจะเป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู ว่าง่าย ไม่มีพิษภัยกับใคร เรื่องที่จะว่าใครแบบนี้ปกติแล้วไม่มีให้เห็นบ่อยนัก แม้แต่กับน้องสาวฝาแฝดของเขาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับปาลิกามาตั้งแต่เด็ก อาจจะมีทะเลาะ ตีกันตามประสาเด็ก แต่เขาก็ไม่เคยเห็นว่าเธอจะเก็บเอามาเป็นอารมณ์ นินทาว่าร้ายลับหลังไม่ว่าจะทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็ตาม
แต่กับตะวันฉายต่างหากที่ปาลิกาไม่เคยยอม แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันเป็นสิ่งที่อานุภาพเห็นมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทำให้เจ้าตัวหันมามอง
“พี่อ๋าขำทำไมล่ะคะ ปลาไม่ได้พูดตลกซะหน่อย” แล้วท้วงขึ้นเบาๆ ทำหน้างอง้ำ
“พี่ไม่ได้ขำซะหน่อย พี่แค่คิดว่าน้องปลาชอบบ่นแต่เจ้าซันจัง เมื่อไหร่จะบ่นพี่บ้างนะ” เขาจ้องสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและบางอย่างที่ฉายอยู่ในแววตาของชายหนุ่ม ทำให้คนถูกจ้องชะงักไป ก่อนหลบสายตามองมือตัวเอง
“ก็...ก็พี่อ๋าไม่ทำตัวเป็นเด็กแบบนายซันนี่คะ” และอ้อมแอ้มตอบท่าทางเอียงอาย
“เอ ถ้าพี่อยากให้น้องปลาบ่นนี่จะต้องทำยังไงน้า...หรือเอาไว้พี่ทำตัวแบบเจ้าซันมันบ้างดีกว่า น้องปลาจะได้ตามบ่นตามว่า ดีไหม” ชายหนุ่มแกล้งว่าด้วยรอยยิ้มพราย สายตายังไม่ละไปจากดวงหน้าหวานละมุนของคนตรงหน้า
“พี่อ๋าก็ ไม่เอาแล้วค่ะพูดอะไรก็ไม่รู้ ปลาว่าเราไปที่โต๊ะหยินมี่กันเถอะค่ะ” อานุภาพก้าวตามร่างเล็กที่เดินล่วงหน้าไป ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบไม่น้อย
ตอนดึกแขกเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ปาลิกาแยกมาดูเด็กในบ้านที่ช่วยกันเก็บกวาดอยู่ด้านหลัง และเสียงโวยวายโหวกเหวกก็ดังเข้าหูมา
“ไม่มี! ไม่มีก็ไปหามาสิ ฉันยังไม่กลับและอยากจะกินต่อ” ปาลิการีบเดินเข้าไปดู ก็เห็นว่าหมวยเล็กยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่กับลูกจ้างคนหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ” ปาลิกาถามเด็กสาวคู่กรณีที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ตรงหน้าหมวยเล็ก ทั้งคู่จึงหันมาทางเธอพร้อมกัน
“คุณปลา คือ...คุณหมวยเล็กน่ะค่ะ เอ่อ...” พูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องรีบหุบปากในทันทีเมื่อสบสายตาคนตรงข้ามที่มีท่าทางถมึงทึงเอาเรื่อง ปาลิการีบบอกให้เด็กสาวออกไป หมวยเล็กจึงหันมาทางเธอแทน
“มาก็ดีแล้วยัยปลา ฉันอยากได้ไวน์กับพวกกับแกล้มเพิ่มอีก แต่ลูกน้องเธอบอกว่าไม่มี เก็บไปหมดแล้ว เธอไปเอามาให้ฉันทีสิ” หมวยเล็กออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ส่อว่าเมาพอสมควร
“ไม่ได้หรอกหมวยเล็ก เธอก็เห็นนี่ว่าคนที่รับจัดโต๊ะจีนเขาเก็บกันหมดแล้ว นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย ดูเธอเองก็เมาเหมือนกันนี่พอแค่นี้เถอะนะ เดี๋ยวพี่อ๋าก็คงจะพากลับแล้ว” หญิงสาวพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสักนิด แถมยังตาลุกวาว
“นี่เธอไล่ฉันเหรอยัยปลาเน่า” หมวยเล็กชี้หน้าปาลิกาด้วยความโมโห
“ฉันไม่ได้ไล่ แต่มันเป็นความจริง ถ้าเธออยากได้ไวน์จริงๆ ก็ไปขอคุณป้าเองล่ะกัน” ปาลิกาทำหน้าเมื่อยบอก
“ที่เธอท้าฉันนี่เพราะเห็นว่าฉันไม่ใช่คนโปรดของคุณป้าเหมือนเธอใช่ไหมยัยปลาเน่า”
“ไปกันใหญ่แล้วหมวยเล็ก ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว เก็บของกันต่อเถอะจ้ะพวกเรา” ท้ายประโยคปาลิกาหันไปบอกบรรดาลูกจ้างที่เริ่มเมียงมองกันมากขึ้น แต่ทว่า...
“มันจะมากไปแล้วนะยัยปลาเน่า ยัยกาฝาก เธอเป็นใครถึงกล้าทำแบบนี้กับหมวยเล็กหา! ” เสียงที่ดังแทรกขึ้นมานั้นออกอาการเมาไม่ต่างกัน
“ใช่ จัดการมันเลยหมวยใหญ่” หมวยเล็กรีบยุส่งเมื่อเห็นหน้าพี่สาวที่พึ่งก้าวเข้ามาแสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อน แล้วทั้งสองก็ปราดเข้าไปกระชากแขนปาลิกาพร้อมกัน
“โอ๊ย! ทำอะไรของเธอน่ะยัยแฝดนรก ปล่อยแขนฉันนะ” ปาลิกาโวยวายขณะที่ร่างเล็กถูกทึ้งให้เซไปทางขวาทีซ้ายที ทั้งเจ็บแขนและเวียนหัวในคราเดียวกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! หมวยเล็ก หมวยใหญ่” แล้วหยินมี่ก็ปรี่เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “พวกเธอทำอะไรยัยปลาน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ” หยินมี่ตวาดพลางแยกสองหมวยออกจากปาลิกาอย่างทุลักทุเล
“ให้ตายเถอะ พวกเธอนี่มันร้ายกาจอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีสติจริงๆ ร้ายอย่างกะถูกเขียนมาให้ร้ายแบบเดียวกับในละคร ในนิยายโดยเฉพาะอย่างนั้นแหล่ะ น่ารังเกียจที่สุดเลย” หยินมี่ว่าต่อด้วยความโมโหสุดขีดหลังจากแยกทั้งสามคนออกจากกันได้
“เจ๊หยินมาว่าเราแบบนี้ไม่ได้นะ” หมวยเล็กไม่ยอมรับ
“ทำไมจะไม่ได้ พวกเธอเมาก็อย่ามาหาเรื่องคนอื่นสิ ถ้าอยากมีเรื่องจริงๆ มาเจอฉันหน่อยไหมล่ะ” แม้จะเมาแต่สองหมวยก็อดหน้าเจื่อนไม่ได้ เพราะเกรงหยินมี่มาตั้งแต่เด็ก “ยัยปลา เป็นอะไรหรือเปล่า” หยินมี่หันไปทางปาลิกาอย่างเป็นห่วง หญิงสาวส่ายหน้า
“ฮึ...เจ๊หยินทำไมต้องเข้าข้างยัยกาฝากนี่ด้วยนะ” แม้ไม่กล้าหือกับหยินมี่มากนักแต่ด้วยความไม่พอใจ
หมวยใหญ่จึงบ่นออกมาเบาๆ
“ใช่ เจ๊ก็รู้ว่ายัยนี่น่ะปะเหลาะคุณป้าโฉมเก่งจะตาย ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรกับเราสักหน่อย เจ๊
หยินอยู่ข้างยัยกาฝากนี่ได้ยังไง” หมวยเล็กพลอยผสมโรง
“พวกเธอจะเอาอะไรกับยัยปลานักหนานะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงต้องคอยแต่ระรานยัยปลามาตั้งแต่เด็กจนโต” หยินมี่ส่ายหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมที่ชาชิน
“ก็พวกเราไม่ชอบ/เกลียดมันนี่” ทั้งสองประสานเสียงราวกับนัดกันไว้ ทำให้คนถูกเกลียดโมโหขึ้นหน้าในทันใด
“ฮึ่ม! ฉันเองก็เหลือทนกับพวกเธอแล้วเหมือนกันนะยัยแฝดนรก” ครานี้ปาลิกาต่อปากอย่างไม่ยอม
“นี่ ยัยกาฝาก เธอกล้าพูดอย่างนี้เหรอ” หมวยเล็กชี้หน้าหมายจะปรี่เข้ามาหาปาลิกาอีกครั้ง แต่หยินมี่ยืนกอดอกขวางเอาไว้ทำให้หมวยเล็กชะงักกึก และลดมือลงโดยอัตโนมัติ
“ฉัน ฉันจะฟ้องเฮียซัน” ที่สุดก็เอ่ยขึ้นเพราะทำอะไรไม่ได้ แต่คนถูกขู่กลับเชิดหน้าเอ่ยท้าทาย
“เชิ้ญ...นี่จะบอกอะไรให้พวกเธอรู้ ต่อให้ร้อยนายซัน พันตะวันฉายฉันก็ไม่กลัวหรอกจะบอกให้”
“กล้าจริงนะ ฉันพึ่งรู้ว่าเธอกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้” เปล่า...ไม่ใช่เสียงประสานของสองหมวยนรกแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงทุ้มห้าวที่คุ้นหูปาลิกายิ่งนัก อ่า...เสียงแห่งความหายนะ! หญิงสาวรีบหันไปมองทางต้นเสียงในทันที
“อ๊าย! นายซัน! ” คนไม่กลัวร้องเสียงหลงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นร่างสูงนั้นเดินเข้ามาใกล้
“ดีล่ะ ไม่กลัวใช่ไหม งั้นมานี่เลย” ว่าแล้วเขาก็ฉวยข้อมือเล็กนั้นหมับและหันไปทางหยินมี่ “หยินมี่ดูต่อให้ด้วยนะฉันจะพายัยนี่ไปหักคอทิ้งซะหน่อย” พลางดึงคนที่ขืนตัวแข็งทื่อให้ตามมา
“ไม่เอ๊า...ปล่อยฉันนะ” แม้จะพยายามฝืนขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงตะวันฉายได้ หญิงสาวจึงถูกลากถูลู่ถูกังออกไปด้านนอกท่ามกลางความสะใจของแฝดนรกคู่ปรับ
ตะวันฉายลากปาลิกาผ่านคุณโฉมฉายที่กำลังคุยกับญาติกลุ่มสุดท้ายอยู่ ต่างก็หันมามองคนทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
“หม่าม๊าผมพายัยปลิกกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับอากร อาอรนภา เฮียอ๋า อ๋อ...ดีด้าด้วย แล้วเจอกันครับ” ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างโบกไหวๆ และโค้งให้นิดหนึ่ง ก่อนออกแรงดึงปาลิกาออกมาจากห้องโถงต่อ
ภายในงานมีบรรดาญาติๆ หลากหลายวัยที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี เพราะทำงานอยู่ในเดอะซัน กรุ๊ปฯ เป็นส่วนใหญ่ และต่างก็ได้ดื่มกินพูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง โดยมีคุณโฉมฉายและตะวันฉายคอยให้การต้อนรับ
ขณะที่ปาลิกาในฐานะแม่งานวุ่นวายตั้งแต่เช้า เพราะนอกจากงานเลี้ยงที่นี่แล้ว คุณโฉมฉายยังได้จัดเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษเนื่องในโอกาสพิเศษนี้ให้กับพนักงานทั้งบริษัทตั้งแต่ตอนกลางวัน ทำให้ปาลิกาต้องวิ่งทางโน้นที ทางนี้ทีดูวุ่นวายนัก โชคดีทางนี้มีอาสะใภ้ของตะวันฉายที่อาศัยอยู่กับคุณโฉมฉายในบ้านนี้คอยช่วย และตอนเย็นหลังเลิกงานก็มีพวกเพื่อนๆ ตามมาช่วยอีกแรง จึงทำให้ปาลิกามีเวลาหยุดวิ่งวุ่นบ้าง
“ฉันพึ่งรู้ว่านายซันเริ่มทำงานตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว ไม่เห็นเธอบอกฉันเลยหยินมี่” คนพูดมองไปยังร่างสูงของตะวันฉายที่นั่งคุยอยู่กับกลุ่มญาติผู้ใหญ่ที่โต๊ะหนึ่ง
“ฉันก็นึกว่านายซันบอกให้เธอรู้แล้วซะอีก” หยินมี่อ้อมแอ้มตอบ
“บอกบ้าอะไรล่ะ หลอกฉันอีกต่างหาก ฮึ้ย...พูดแล้วมันน่าโมโหนัก อุ๊ย! นั่นพี่อ๋ามาแล้ว” จากที่กำลังโมโหกรุ่นๆ แปรเปลี่ยนมาเป็นตื่นเต้นยินดีทันทีที่เห็นคนที่ก้าวเข้ามาใหม่
อ๋า หรือ ‘อานุภาพ’ ชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงพอสมควร ผิวขาวตัดกับเส้นผมดำสนิท ตาชั้นเดียวบ่งบอกถึงเชื้อสายจีนที่เข้มข้น แต่ดวงตาคู่นั้นมีความอ่อนโยนเช่นเดียวกับรอยยิ้มบางที่แต้มริมฝีปากอยู่เสมอ เขาเป็นลูกชายคนโตของคุณอาภากรน้องชายคนรองของท่านเจ้าสัวอาทิตย์ แต่มีอายุมากกว่าตะวันฉาย 3 ปี และมีน้องสาวฝาแฝดที่อายุอ่อนกว่าตะวันฉายปีหนึ่ง
“มานานแล้วใช่ไหมน้องปลา หยินมี่” อานุภาพทักทายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ก็ใช่น่ะสิ เฮียมาช้ามากเลยนะ แล้วนี่เฮียมากับใครล่ะอากรกับอาอรนภามาด้วยหรือเปล่า” หยินมี่มองหาคนที่ถามถึงทางด้านหลังของชายหนุ่ม
“มาสิ แถมด้วยหมวยเล็ก หมวยใหญ่อีกคู่ อ้อ...เพื่อนเค้าอีกคน เห็นว่าอยากรู้จักเจ้าซันมันอะไรนี่แหล่ะ นั่นไงเข้ามากันแล้ว” อานุภาพพยักพเยิดไปทางกลุ่มคนที่มาใหม่
ซึ่งนอกจากพ่อแม่ของเขาแล้วยังมีอีกสามสาว ที่สองคนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันยังกับแกะเพราะเป็นฝาแฝดกันและเป็นน้องสาวของเขานั่นเอง ส่วนอีกหนึ่งสาวที่แต่งตัวเซ็กซี่เน้นทรวดทรงองค์เอวให้เห็นกันจะๆ นั้นไม่เป็นที่คุ้นตาของคนในงานนัก คุณโฉมฉายเข้าไปต้อนรับ เพราะตะวันฉายยังติดคุยกับญาติผู้ใหญ่อีกด้านหนึ่ง
“พี่อ๋านั่งก่อนไหมคะ” ปาลิกาเอ่ยชวน
“พี่ขอยืนเตร่อยู่แถวนี้ก่อนดีกว่า” อานุภาพว่าเมื่อมองไปยังแต่ละโต๊ะ ที่ส่วนใหญ่มีแต่พวกญาติที่เป็นผู้ใหญ่นั่งกันอยู่ พวกที่รุ่นราวคราวเดียวกันก็มาช่วยปาลิกาเสียเป็นส่วนมาก
“งั้นรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” ปาลิกาถามต่อ
“มีอะไรเบาๆ ไหม พี่ไม่อยากเมาต้องขับรถกลับอีก”
“ได้ค่ะ พี่อ๋ารอตรงนี้นะคะปลาจะไปดูให้”
พอปาลิกากลับมาพร้อมถาดใส่แก้วบรรจุไวน์ ก็เห็นว่าตะวันฉายมายืนคุยกับกลุ่มของอานุภาพ หยินมี่และหยางอยู่ก่อนแล้ว
“ทำไมไม่ให้เด็กเอามาล่ะน้องปลา ไม่เห็นต้องลำบากเลย” อานุภาพรีบเข้าไปรับถาดจากมือปาลิกามาถือไว้เองในทันที
“เด็กกำลังวุ่นอยู่ค่ะพี่อ๋า” เธอยิ้มหวานตอบ
“อยากเอาใจเฮียอ๋าละสิไม่ว่า” ตะวันฉายกระแหนะกระแหนมา ปาลิกาอดถลึงตาเข้าใส่ไม่ได้ แต่ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะได้คุยกันต่อ เสียงเสียดรูหูก็ดังประสานกันขึ้น
“เฮียซัน!! ” เจ้าของเสียงปรี้ดยกกำลังสองนั้นปราดเข้ามาดันร่างปาลิกาออกไปให้พ้นทาง แล้วจึงเกาะแขนตะวันฉายหมับคนละข้างอย่างคนที่ดีใจสุดชีวิต จนร่างสูงของชายหนุ่มเอนไปทางซ้ายทีขวาทีตามแรงดึง
“หมวยเล็ก หมวยใหญ่เป็นไงสบายกันดีนะ” ตะวันฉายรีบถามขึ้นหลังจากตั้งตัวได้
“สบายดีอยู่แล้วเฮียซัน ดีใจจังที่เฮียกลับมาเสียที” หมวยใหญ่แฝดผู้พี่ หรือ ‘อารียา’ พูดขึ้น
“จริงด้วย เออ...เฮียเราพาเพื่อนมาให้เฮียรู้จักด้วยนะ ชื่อ วดีลดา หรือดีด้าน่ะ เป็นนางแบบที่กำลังมาแรงในตอนนี้เลยนะ ดีด้ามานี่สิ” หมวยเล็ก หรือ ‘อาภาพร’ แฝดผู้น้องพูดพลางเดินแหวกผู้คนในกลุ่มไปลากเพื่อนสาวที่แต่งตัวสุดเซ็กซี่มาหาตะวันฉาย
“ดีด้า นี่ไงเฮียซันที่ฉันให้เธอดูรูปน่ะ ยัยด้าน่ะปลื้มเฮียจะตายรู้’เปล่า” ท้ายประโยคหันมาบอกตะวันฉายอีกรอบ
“หวัดดีค่ะพี่ซัน” วดีลดายิ้มหวานทักทาย
“เอ่อ...ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับดีด้า”
“นี่เธอเป็นแม่งานไม่ใช่เหรอ หาอะไรมาให้เรากินหน่อยสิ” หมวยเล็กหันมาออกคำสั่งกับไม้เบื่อไม้เมาตลอดกาลอย่างปาลิกาที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล
“พอดีงานนี้เป็นโต๊ะจีน ฉันว่าเธอไปนั่งโต๊ะก่อนดีกว่า ให้เจ้าภาพพาไปที่โต๊ะเองล่ะกันไม่ใช่หน้าที่ฉัน ไปทางโน้นกันเถอะหยินมี่ หยาง ไปค่ะพี่อ๋า” ปาลิกากลับโยนให้เจ้าภาพเสียนี่ เป็นเหตุให้ตะวันฉายอ้าปากค้าง ขณะที่สองหมวยล็อคแขนเขาไว้คนละข้าง โดยมีวดีลดายืนจ้องอยู่ด้วยแววตาหวานหยาดเยิ้ม
“น้องปลางานเยอะไหมช่วงนี้ พี่เองก็ไม่ค่อยได้เข้าบริษัทเลย” อานุภาพเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพัง
“ไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะพี่อ๋า พอดีว่าช่วงนี้ไม่มีงานด่วน แล้วที่โชว์รูมโอเค.ไหมคะ” เธอหมายถึงโชว์รูมข้างนอกของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่อานุภาพทำงานอยู่
“ไม่มีปัญหาหรอกจ้ะ ว่าแต่ตอนนี้น้องปลาคงไม่เหงาปากแล้วนะ คู่ปรับอย่างเจ้าซันกลับมาแล้วอย่างนี้น่ะ” ชายหนุ่มแกล้งเย้าเล่นด้วยนึกขำ เพราะรู้ถึงสัมพันธภาพของคู่นี้มาตั้งแต่เด็ก
“ปากแฉะไม่ว่าสิคะ ไม่เคยเปลี่ยนเล้ย หาแต่เรื่องให้ปากเปียกปากแฉะอยู่นั่นแหล่ะ” หญิงสาวทำหน้าเบ้ให้รู้ว่าเหม็นเบื่อคนที่พูดถึงเพียงใด
“น้องปลารู้ไหม เวลาน้องปลากับเจ้าซันอยู่ด้วยกันทีไร เหมือนเด็กทุกที” รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าของอานุภาพ และสายตาคู่ที่ทอดมองคนตรงหน้าก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน แต่ทว่าคนถูกมองกลับไม่รู้ตัวเพราะมัวแต่คิดไปถึงคนต้นเหตุแล้วส่ายหน้าที่หงิกๆ หวือ
“ไม่จริงหรอกค่ะ ปลาน่ะโตแล้ว นายซันต่างหากล่ะคะที่ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ให้ตามบ่นกันอยู่เรื่อย” เธอจีบปากจีบคอว่า แต่ท่าทางนั้นกลับทำให้อานุภาพหัวเราะเบาๆ
เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นกิริยาท่าทางแบบนี้จากหญิงสาว ในสายตาของชายหนุ่มปาลิกาจะเป็นคนน่ารัก น่าเอ็นดู ว่าง่าย ไม่มีพิษภัยกับใคร เรื่องที่จะว่าใครแบบนี้ปกติแล้วไม่มีให้เห็นบ่อยนัก แม้แต่กับน้องสาวฝาแฝดของเขาที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับปาลิกามาตั้งแต่เด็ก อาจจะมีทะเลาะ ตีกันตามประสาเด็ก แต่เขาก็ไม่เคยเห็นว่าเธอจะเก็บเอามาเป็นอารมณ์ นินทาว่าร้ายลับหลังไม่ว่าจะทะเลาะกันแรงแค่ไหนก็ตาม
แต่กับตะวันฉายต่างหากที่ปาลิกาไม่เคยยอม แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเรื่องไม่เป็นเรื่อง มันเป็นสิ่งที่อานุภาพเห็นมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว เสียงหัวเราะจากชายหนุ่มทำให้เจ้าตัวหันมามอง
“พี่อ๋าขำทำไมล่ะคะ ปลาไม่ได้พูดตลกซะหน่อย” แล้วท้วงขึ้นเบาๆ ทำหน้างอง้ำ
“พี่ไม่ได้ขำซะหน่อย พี่แค่คิดว่าน้องปลาชอบบ่นแต่เจ้าซันจัง เมื่อไหร่จะบ่นพี่บ้างนะ” เขาจ้องสบตาอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มและบางอย่างที่ฉายอยู่ในแววตาของชายหนุ่ม ทำให้คนถูกจ้องชะงักไป ก่อนหลบสายตามองมือตัวเอง
“ก็...ก็พี่อ๋าไม่ทำตัวเป็นเด็กแบบนายซันนี่คะ” และอ้อมแอ้มตอบท่าทางเอียงอาย
“เอ ถ้าพี่อยากให้น้องปลาบ่นนี่จะต้องทำยังไงน้า...หรือเอาไว้พี่ทำตัวแบบเจ้าซันมันบ้างดีกว่า น้องปลาจะได้ตามบ่นตามว่า ดีไหม” ชายหนุ่มแกล้งว่าด้วยรอยยิ้มพราย สายตายังไม่ละไปจากดวงหน้าหวานละมุนของคนตรงหน้า
“พี่อ๋าก็ ไม่เอาแล้วค่ะพูดอะไรก็ไม่รู้ ปลาว่าเราไปที่โต๊ะหยินมี่กันเถอะค่ะ” อานุภาพก้าวตามร่างเล็กที่เดินล่วงหน้าไป ด้วยหัวใจที่อิ่มเอิบไม่น้อย
ตอนดึกแขกเริ่มทยอยกันกลับแล้ว ปาลิกาแยกมาดูเด็กในบ้านที่ช่วยกันเก็บกวาดอยู่ด้านหลัง และเสียงโวยวายโหวกเหวกก็ดังเข้าหูมา
“ไม่มี! ไม่มีก็ไปหามาสิ ฉันยังไม่กลับและอยากจะกินต่อ” ปาลิการีบเดินเข้าไปดู ก็เห็นว่าหมวยเล็กยืนทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่กับลูกจ้างคนหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะ” ปาลิกาถามเด็กสาวคู่กรณีที่ยืนหน้าจ๋อยอยู่ตรงหน้าหมวยเล็ก ทั้งคู่จึงหันมาทางเธอพร้อมกัน
“คุณปลา คือ...คุณหมวยเล็กน่ะค่ะ เอ่อ...” พูดได้เพียงแค่นั้นก็ต้องรีบหุบปากในทันทีเมื่อสบสายตาคนตรงข้ามที่มีท่าทางถมึงทึงเอาเรื่อง ปาลิการีบบอกให้เด็กสาวออกไป หมวยเล็กจึงหันมาทางเธอแทน
“มาก็ดีแล้วยัยปลา ฉันอยากได้ไวน์กับพวกกับแกล้มเพิ่มอีก แต่ลูกน้องเธอบอกว่าไม่มี เก็บไปหมดแล้ว เธอไปเอามาให้ฉันทีสิ” หมวยเล็กออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงที่ส่อว่าเมาพอสมควร
“ไม่ได้หรอกหมวยเล็ก เธอก็เห็นนี่ว่าคนที่รับจัดโต๊ะจีนเขาเก็บกันหมดแล้ว นี่มันก็ดึกมากแล้วด้วย ดูเธอเองก็เมาเหมือนกันนี่พอแค่นี้เถอะนะ เดี๋ยวพี่อ๋าก็คงจะพากลับแล้ว” หญิงสาวพยายามอธิบายอย่างใจเย็น แต่อีกฝ่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจสักนิด แถมยังตาลุกวาว
“นี่เธอไล่ฉันเหรอยัยปลาเน่า” หมวยเล็กชี้หน้าปาลิกาด้วยความโมโห
“ฉันไม่ได้ไล่ แต่มันเป็นความจริง ถ้าเธออยากได้ไวน์จริงๆ ก็ไปขอคุณป้าเองล่ะกัน” ปาลิกาทำหน้าเมื่อยบอก
“ที่เธอท้าฉันนี่เพราะเห็นว่าฉันไม่ใช่คนโปรดของคุณป้าเหมือนเธอใช่ไหมยัยปลาเน่า”
“ไปกันใหญ่แล้วหมวยเล็ก ฉันไม่อยากพูดกับเธอแล้ว เก็บของกันต่อเถอะจ้ะพวกเรา” ท้ายประโยคปาลิกาหันไปบอกบรรดาลูกจ้างที่เริ่มเมียงมองกันมากขึ้น แต่ทว่า...
“มันจะมากไปแล้วนะยัยปลาเน่า ยัยกาฝาก เธอเป็นใครถึงกล้าทำแบบนี้กับหมวยเล็กหา! ” เสียงที่ดังแทรกขึ้นมานั้นออกอาการเมาไม่ต่างกัน
“ใช่ จัดการมันเลยหมวยใหญ่” หมวยเล็กรีบยุส่งเมื่อเห็นหน้าพี่สาวที่พึ่งก้าวเข้ามาแสดงอาการเป็นเดือดเป็นร้อน แล้วทั้งสองก็ปราดเข้าไปกระชากแขนปาลิกาพร้อมกัน
“โอ๊ย! ทำอะไรของเธอน่ะยัยแฝดนรก ปล่อยแขนฉันนะ” ปาลิกาโวยวายขณะที่ร่างเล็กถูกทึ้งให้เซไปทางขวาทีซ้ายที ทั้งเจ็บแขนและเวียนหัวในคราเดียวกัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!! หมวยเล็ก หมวยใหญ่” แล้วหยินมี่ก็ปรี่เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “พวกเธอทำอะไรยัยปลาน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ” หยินมี่ตวาดพลางแยกสองหมวยออกจากปาลิกาอย่างทุลักทุเล
“ให้ตายเถอะ พวกเธอนี่มันร้ายกาจอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีสติจริงๆ ร้ายอย่างกะถูกเขียนมาให้ร้ายแบบเดียวกับในละคร ในนิยายโดยเฉพาะอย่างนั้นแหล่ะ น่ารังเกียจที่สุดเลย” หยินมี่ว่าต่อด้วยความโมโหสุดขีดหลังจากแยกทั้งสามคนออกจากกันได้
“เจ๊หยินมาว่าเราแบบนี้ไม่ได้นะ” หมวยเล็กไม่ยอมรับ
“ทำไมจะไม่ได้ พวกเธอเมาก็อย่ามาหาเรื่องคนอื่นสิ ถ้าอยากมีเรื่องจริงๆ มาเจอฉันหน่อยไหมล่ะ” แม้จะเมาแต่สองหมวยก็อดหน้าเจื่อนไม่ได้ เพราะเกรงหยินมี่มาตั้งแต่เด็ก “ยัยปลา เป็นอะไรหรือเปล่า” หยินมี่หันไปทางปาลิกาอย่างเป็นห่วง หญิงสาวส่ายหน้า
“ฮึ...เจ๊หยินทำไมต้องเข้าข้างยัยกาฝากนี่ด้วยนะ” แม้ไม่กล้าหือกับหยินมี่มากนักแต่ด้วยความไม่พอใจ
หมวยใหญ่จึงบ่นออกมาเบาๆ
“ใช่ เจ๊ก็รู้ว่ายัยนี่น่ะปะเหลาะคุณป้าโฉมเก่งจะตาย ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรกับเราสักหน่อย เจ๊
หยินอยู่ข้างยัยกาฝากนี่ได้ยังไง” หมวยเล็กพลอยผสมโรง
“พวกเธอจะเอาอะไรกับยัยปลานักหนานะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงต้องคอยแต่ระรานยัยปลามาตั้งแต่เด็กจนโต” หยินมี่ส่ายหน้าเอือมระอากับพฤติกรรมที่ชาชิน
“ก็พวกเราไม่ชอบ/เกลียดมันนี่” ทั้งสองประสานเสียงราวกับนัดกันไว้ ทำให้คนถูกเกลียดโมโหขึ้นหน้าในทันใด
“ฮึ่ม! ฉันเองก็เหลือทนกับพวกเธอแล้วเหมือนกันนะยัยแฝดนรก” ครานี้ปาลิกาต่อปากอย่างไม่ยอม
“นี่ ยัยกาฝาก เธอกล้าพูดอย่างนี้เหรอ” หมวยเล็กชี้หน้าหมายจะปรี่เข้ามาหาปาลิกาอีกครั้ง แต่หยินมี่ยืนกอดอกขวางเอาไว้ทำให้หมวยเล็กชะงักกึก และลดมือลงโดยอัตโนมัติ
“ฉัน ฉันจะฟ้องเฮียซัน” ที่สุดก็เอ่ยขึ้นเพราะทำอะไรไม่ได้ แต่คนถูกขู่กลับเชิดหน้าเอ่ยท้าทาย
“เชิ้ญ...นี่จะบอกอะไรให้พวกเธอรู้ ต่อให้ร้อยนายซัน พันตะวันฉายฉันก็ไม่กลัวหรอกจะบอกให้”
“กล้าจริงนะ ฉันพึ่งรู้ว่าเธอกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้” เปล่า...ไม่ใช่เสียงประสานของสองหมวยนรกแต่อย่างใด แต่เป็นเสียงทุ้มห้าวที่คุ้นหูปาลิกายิ่งนัก อ่า...เสียงแห่งความหายนะ! หญิงสาวรีบหันไปมองทางต้นเสียงในทันที
“อ๊าย! นายซัน! ” คนไม่กลัวร้องเสียงหลงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นร่างสูงนั้นเดินเข้ามาใกล้
“ดีล่ะ ไม่กลัวใช่ไหม งั้นมานี่เลย” ว่าแล้วเขาก็ฉวยข้อมือเล็กนั้นหมับและหันไปทางหยินมี่ “หยินมี่ดูต่อให้ด้วยนะฉันจะพายัยนี่ไปหักคอทิ้งซะหน่อย” พลางดึงคนที่ขืนตัวแข็งทื่อให้ตามมา
“ไม่เอ๊า...ปล่อยฉันนะ” แม้จะพยายามฝืนขนาดไหนแต่ก็ไม่อาจต้านทานแรงตะวันฉายได้ หญิงสาวจึงถูกลากถูลู่ถูกังออกไปด้านนอกท่ามกลางความสะใจของแฝดนรกคู่ปรับ
ตะวันฉายลากปาลิกาผ่านคุณโฉมฉายที่กำลังคุยกับญาติกลุ่มสุดท้ายอยู่ ต่างก็หันมามองคนทั้งคู่ด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
“หม่าม๊าผมพายัยปลิกกลับก่อนนะครับ สวัสดีครับอากร อาอรนภา เฮียอ๋า อ๋อ...ดีด้าด้วย แล้วเจอกันครับ” ชายหนุ่มยกมือข้างที่ว่างโบกไหวๆ และโค้งให้นิดหนึ่ง ก่อนออกแรงดึงปาลิกาออกมาจากห้องโถงต่อ
กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ม.ค. 2559, 13:54:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ม.ค. 2559, 14:00:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 1226
<< บทที่ 4 | บทที่ 6 >> |