ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 8

หญิงสาวเปิดไฟตรงหัวเตียงทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มสีชมพู

ก่อนจะเอนตัวพิงกับหมอนใบใหญ่ ใจยังติดอยู่กับสิ่งที่ตะวันฉายพูด

‘ความจริง’ อย่างนั้นหรือ? ความจริงที่ว่าเธอเป็นแค่ ‘กาในฝูงหงษ์’

อย่างที่แฝดนรกพวกนั้นว่าน่ะหรือ ที่ทำให้เธอไม่มีทางคู่ควรกับ

อานุภาพพี่ชายของคนพวกนั้น

ปาลิกาเอื้อมมือไปคว้าตุ๊กตาหมีตัวเล็กเก่าคร่ำคร่าที่เคยเป็นสี

ชมพูมาก่อน มากอดไว้แนบอก และมองไปยังหัวเตียงที่มีรูปของเธอใน

วัยเด็กกับพ่อ แม่และยายที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ เธอถือว่าสิ่งเหล่านี้

คือสมบัติล้ำค่าที่ครอบครัวของเธอได้ทิ้งไว้ให้ และหญิงสาวก็ได้เก็บ

รักษามันไว้อย่างดี

แม้ว่าครอบครัวเธอจะไม่ได้ทิ้งมรดกร้อยล้านไว้ให้ เธอเองไม่ได้

เกิดมาพร้อมทรัพย์สมบัติ บ้านหลังใหญ่ แต่ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่จะทำ

ให้ปาลิการู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับการเกิดมาเป็น ‘นางสาวปาลิกา ตา

สันเทียะ’ หลานสาวของ ‘ยายปลิก’ พี่เลี้ยงคุณหนูซัน และลูกสาวเพียง

คนเดียวของ ‘นายการันต์-นางปรางค์’ ผู้ซึ่งเคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงร่วม

สร้างเดอะซัน กรุ๊ปฯ มากับเจ้าของผู้ก่อตั้ง

จนกระทั่งทั้งสามได้จากไปแล้ว ท่านเจ้าสัวอาทิตย์ก็ยังชื่นชมพ่อ

แม่และยายของเธอให้ได้ยินอยู่เสมอ นั่นมันยิ่งทำให้ผู้เป็นหลานและลูก

สาวคนเดียวที่เหลืออยู่ปลาบปลื้ม และภูมิใจยิ่งนักที่ได้เกิดมาเป็นลูก

ของคนทั้งคู่และหลานของยาย

แม้ยายของปาลิกาจะเป็นแค่พี่เลี้ยงของตะวันฉาย และพ่อ แม่

ของเธอจะเป็นแค่ลูกจ้างในบริษัท มีเทือกเถาเหล่ากอมาจากคน

ต่างจังหวัดจนๆ ที่มาดิ้นรนหาเช้ากินค่ำในเมืองใหญ่บังเอิญเจอเจ้านาย

ที่ดีให้โอกาส และทุกคนในครอบครัวของหญิงสาวก็มีความ

ขยันหมั่นเพียรเป็นนิสัยจึงทำให้พอลืมตาอ้าปากได้

ปาลิกาอาจจะมีสิ่งแวดล้อมไม่ต่างไปจากตะวันฉาย หยินมี่และ

คนอื่นๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน แต่หญิงสาวสำนึกอยู่เสมอว่าสิ่งเหล่านั้น

ไม่ใช่ของเธอ เธอเป็นหนึ่งเดียวกับเดอะซัน กรุ๊ปฯ แต่ในขณะเดียวกัน

เธอก็ไม่ใช่เดอะซัน กรุ๊ปฯ เช่นกัน

เพราะความที่รู้จักตัวเองดีว่าเป็นใครมาจากไหน อยู่และทำเพื่อ

อะไร ประกอบกับที่นี่ยังมีคนรักและเห็นคุณค่าของเธอ หญิงสาวจึงไม่

เคยรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า แม้กระทั่งครั้งนี้ก็ไม่เว้น ไม่ว่าในวัยเด็กจนถึง

วันนี้เธอจะถูกสองหมวยนรกตามราวี คอยแกล้ง คอยพูดว่าให้เจ็บใจ

สารพัด อาจจะทำให้ปาลิกาเต้นไปกับการยั่วยุเหล่านั้นบ้าง

หากแต่ว่าหญิงสาวกลับไม่เคยเก็บมาใส่ใจ ถือสาหาความอย่าง

จริงจัง นั่นเป็นเพราะยายปลิกได้คอยปลูกฝังความอดทนอดกลั้น การ

ให้อภัยและเข้าใจคนอื่นให้กับหลานสาว สอนให้เธอสำนึกในบุญคุณ

เจียมเนื้อเจียมตัวตลอดจนรู้จักปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ ตั้งแต่วัน

แรกของการเข้ามาพึ่งพิงชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ

แต่สิ่งที่ตะวันฉายพูดเมื่อครู่ เป็นเรื่องที่ปาลิการู้สึกบ้างเหมือนกัน

แต่ไม่เคยหยุดคิดอย่างจริงจัง ในบรรดาญาติพี่น้องตระกูล ‘รัตนา

วาณิชย์’ มีเพียงครอบครัวคุณอาภากรซึ่งเป็นน้องชายคนรองของท่าน

เจ้าสัวอาทิตย์เท่านั้นที่ให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตรกว่าใครเพื่อน

แม้เธอจะรู้ว่าหัวหน้าครอบครัวอย่างคุณอาภากรจะไม่ได้รู้สึก

อะไรกับเธอในแง่ลบ แต่ทว่าลูกสาวฝาแฝดทั้งสองก็แสดงออกโจ่งแจ้ง

ว่าไม่ต้อนรับเธอ ไม่ว่าจะในฐานะไหนก็ตาม แต่ก็ติดที่ทำอะไรไม่ได้

เพราะปาลิกาอยู่ใกล้คุณโฉมฉายและท่านเจ้าสัวอาทิตย์เกินกว่าที่พวก

นั้นจะกล้า นอกจากคอยแกล้งคอยพูดจายั่วอย่างที่เป็น

ส่วนคุณอรนภาภรรยาของคุณอาภากรนั้น ปาลิกาดูไม่ออกจริงๆ

ว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอ เพราะคุณอรนภาก็พูดคุยกับเธอเป็นปกติ แต่ทว่า

ลึกลงไปหญิงสาวกลับรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสได้อยู่

ใกล้ ความรู้สึกเหล่านี้มีมาตั้งแต่เด็กแล้วแต่เธอก็ไม่ได้คิดมาก ส่วน

อานุภาพลูกชายคนโตนั้นเป็นคนดี แสนดีกับเธอมาตั้งแต่เด็กๆ เขา

อาจจะไม่ใช่คนที่คอยปกป้อง ดูแล เป็นฮีโร่ แต่เขาก็เป็นคนที่อบอุ่น

อ่อนโยนสำหรับเธออยู่เสมอ

ในตอนเด็ก ขณะที่หมวยเล็ก หมวยใหญ่แกล้งหาเรื่องเธอ โดยมี

จอมวายร้ายเจ้าเล่ห์อย่างตะวันฉายคอยบงการอยู่เบื้องหลังบ้างเป็น

บางครั้งนั้น สิ่งที่เด็กชายอานุภาพทำได้ก็คือปล่อยให้ปาลิกาต่อสู้หัวฟัด

หัวเหวี่ยงกับวายร้ายและเหล่าสมุนเสร็จ แล้วจึงพาเธอไปทำแผล กิน

ขนมปลอบใจ

เขาไม่เคยเผชิญหน้า เอาเรื่องกับพวกนั้นเพื่อปกป้องเธอ แต่เขาก็

ยังเป็นห่วงเป็นใยเธอ และปาลิกาก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างอานุภาพคงไม่

ทำตัวเป็นฮีโร่คอยขวางเหล่าร้าย ปราบอธรรมที่มาจากนรกอย่าง

น้องสาวเขาได้ เพราะความที่เป็นคนรักน้อง รักครอบครัวเป็นที่หนึ่ง

อานุภาพรักน้องสาวมากจนกระทั่งไม่รู้สึกถึงความถูกต้องดีงาม

เพราะในบางครั้งสองหมวยนั่นก็ทำอะไรร้ายกาจได้อย่างนึกไม่ถึง หรือ

อีกทีหากเขาเกิดเอาเรื่องน้องขึ้นมาก็ใช่ว่าสองคนนั่นจะเกรงกลัวเพราะ

ตามใจกันมาจนเสียนิสัยนั่นเอง ตัวปาลิกาก็รู้เห็นมาจนชาชิน

และหากเปรียบเทียบกันระหว่างอานุภาพกับตะวันฉาย แฝดนรก

กลับเกรงกลัวตะวันฉายมากกว่า เขาอาจจะเป็นจอมวายร้ายที่คอยนำ

ทัพสองหมวยนรกนั่นแกล้งเธอ แต่ก็เป็นการแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ที่ปาลิกา

สามารถรับมือได้ แต่พอสองคนนั่นเกิดคิดทำการใหญ่กับเธอทีไรก็เป็น

ตะวันฉายเองที่ออกโรงปกป้อง เล่นเอาพวกนั้นกระเจิดกระเจิง เพราะ

เขามักถือคติที่ว่าเขาแกล้งเธอได้แต่คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับ

อนุญาตเสียอย่างนั้น

ถึงกระนั้นที่ผ่านมาปาลิกาก็ยังรู้สึกอบอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้อานุภาพ

อยู่ดี เพราะจะพูดไปอานุภาพเป็นคนเดียวที่ไม่แกล้ง ไม่หาเรื่องเธอให้

ปวดหัววุ่นวาย เขาเป็นผู้ชายที่เธอแอบฝันถึง แม้จะไม่ใช่แบบที่จริงจัง

ถึงขนาดอยากแต่งงานมีลูกด้วย แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลาที่

ผ่านมาเธอไม่เคยฝันถึงใครนอกจากอานุภาพ ปาลิกาไม่เคยคิดมาก่อน

ในแง่ที่ว่าเขาปกป้องเธอได้หรือไม่ หญิงสาวไม่เคยคิดจริงๆ จนกระทั่ง

มาถึงวินาทีนี้


แม้จะเป็นเวลากลางวัน ไฟตามตึกก็เปิดอยู่ตามปกติ แต่คนที่ต้อง

ทำงานใช้สายตาสำรวจความละเอียดของวัตถุชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็

จำเป็นต้องใช้แสงสว่างมากกว่านั้น ปาลิกาจึงใช้กล้องส่องแหวนอันเล็ก

ส่องดูเข็มกลัดทอง 14 k รูปผีเสื้อสยายปีกที่อยู่ในมือตรวจสอบหาความ

ผิดปกติอย่างละเอียด ภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟบนโต๊ะอีกที

เพราะงานเกี่ยวกับจิวเวลรี่เป็นงานที่ต้องใช้ทั้งฝีมือ ทักษะ ความ

ประณีต ละเอียดอ่อนในทุกขั้นตอน แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ต้องแก้ไข

หญิงสาวก็ใช้ปากกาเมจิกหัวแหลมปรี๊ดแต้มลงไปจนได้ เพื่อให้ช่างเอา

กลับไปซ่อมให้อีกรอบ

โดยปกติปาลิกาจะไม่ค่อยตรวจงานเอง เพราะมีแผนกตรวจสอบ

คุณภาพของแต่ละช่างรองรับอยู่แล้ว นอกเสียจากเป็นงานสำคัญ และ

แบบของงานสลับซับซ้อนมากเธอจึงไม่วางใจต้องตรวจซ้ำอีกรอบ อีก

อย่างคืองานที่มีปัญหาให้ต้องแก้ไขมากผิดปกติเช่นนี้

“อาหนูปลา อาตี๋ซันอีบอกลื้อหรือเปล่าว่าจะคุยกับหัวหน้าช่าง”

เสียงของเฮียย้ง ชายร่างเล็กวัยสี่สิบกว่า สวมแว่นสายตาหนาเตอะ

ท่าทางคล่องแคล่วว่องไวก้าวเข้ามาในห้องทำงานของปาลิกาพร้อม

ถาม

“เปล่านี่คะเฮียย้ง นายซันบอกหรือเปล่าคะว่าเรื่องอะไร” ปาลิกา

ละสายตาจากงานตรงหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน

“อ๋อ คงต้องการข้อมูลแต่ละแผนกเพื่อเอาไปปรับปรุงบริษัทของ

เราล่ะมั้ง” คำบอกกล่าวของเฮียย้งทำให้หญิงสาวทำหน้าตาเหมือนได้

ฟังเรื่องเหลือเชื่อสุดๆ

“จริงเหรอคะ แต่ช่างเหอะค่ะ เอาเป็นว่าถ้านายซันต้องการอะไร

เฮียย้งก็จัดการให้ตามที่เห็นสมควรเถอะค่ะ”

“เอาอย่างนั้นนะ ไม่ว่าเฮียย้งก้าวก่ายนะ”

“โธ่...เฮียย้งคะ เฮียย้งเป็นพี่เลี้ยงปลานะคะ แล้วก็เคยดูแลชั้นนี้

มาก่อนปลาด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง...บางทีนายซันอาจจะอยากให้เฮียย้ง

ช่วยมากกว่าปลาก็ได้ เพราะเฮียย้งรู้เรื่องทุกอย่างในบริษัทดีกว่าปลา”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นจากความรู้สึกที่แท้จริง เพราะนอกจากเฮียย้งจะเป็น

หนึ่งในบรรดาญาติๆ ของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ แล้วยังขึ้นชื่อเรื่อง

ทำงานเก่ง แถมยังซื่อสัตย์ ขยัน อดทน จนเป็นที่ไว้วางใจของคุณโฉม

ฉายในทุกเรื่อง ปาลิกาเองก็ชื่นชมเฮียย้งมาตลอดเช่นกัน

“แหม...ไม่ขนาดนั้นหรอกน่าอาหนูปลา” ชายร่างเล็กยิ้มเขินกับคำ

ชม “เออ นี่ลื้อรู้ไหมอาหนูปลา เฮียย้งว่าอาตี๋ซันอีได้นิสัย ความสามารถ

จากท่านเจ้าสัวมาเต็มๆ เลยนะ อีกไม่นานบริษัทเราคงจะก้าวหน้าขึ้น

เยอะเลย มีคนรุ่นใหม่ไฟแรงมาบริหารขนาดนี้ ลื้อว่าไหมอาหนูปลา”

“อ่า...ค่ะ” ปากตอบไปแต่ในใจกลับคิดว่า บริหารเกมส์หรือไม่ก็

บริหารเสน่ห์สิไม่ว่า เฮ้อ! แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยแค่นายซันนั่งอยู่ใน

ห้องทำงานได้ทุกวันคุณป้าก็ปลื้มจนหน้าบานแล้ว


“ถามจริงหยินมี่ นายซันกำลังทำอะไรอยู่กันแน่” ปาลิกาเอ่ยปาก

ถามเพื่อนในตอนพักเที่ยงที่ออกไปทานข้าวด้วยกัน

“ก็ทำงานน่ะสิ เธอถามทำไม มีอะไรเหรอ” สาวอวบที่กำลังใช้

ตะเกียบคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวค้างอยู่ มองหน้าเพื่อนรัก

“เปล่าหรอก ฉันแค่ได้ยินมาว่าข้างล่างมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น

แล้วเฮียย้งแกก็มาสรรเสริญนายซันให้ฉันฟังทู้ก...ทีที่เจอหน้า ทั้งที่ฉันก็

ไม่เห็นว่านายนั่นจะทำอะไร นอกจากเล่นเกมส์ วาดรูปบ้าบอ แล้วก็เดิน

เตร่ไปเตร่มา” หยินมี่หัวเราะคิกกับสิ่งที่ปาลิกาจาระไน

“เธอก็ว่านายซันเกินไป” สาวอวบท้วงทั้งที่ยังขำไม่หาย “เรื่องวาด

รูปฉันนึกว่าเธอเข้าใจนายซันดีเสียอีก” เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนฝูง

และญาติสนิทว่าตะวันฉายนั้นชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก

“ก็เพราะเข้าใจน่ะสิ ถึงได้แปลกใจที่เห็นว่าตอนนี้นายซันมาขลุก

อยู่กับการวาดรูปอีก ฉันนึกว่าจะตั้งหน้าตั้งตาทำงานทำการซะอีก” ปา

ลิกาบ่นอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับสิ่งที่เห็น เพราะหลังจากจบมัธยมฯ

ปลาย ตะวันฉายต้องเลือกระหว่างเรียนทางด้านบริหารธุรกิจกับ

ศิลปกรรม เขาก็เลือกเรียนบริหารฯ มาตลอด พอมาวันนี้บางทีเธอกลับ

เห็นเขาขลุกอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์กับสารพัดโปรแกรมฯ วาดรูปเสีย

นี่

“เอาเถอะน่า นายซันทำอะไรย่อมรู้ตัวเองดีน่า เธอไม่ต้องกังวลไป

หรอก แต่ถ้าเลวร้ายนักก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เพราะอย่างนายซันไม่ต้องทำ

อะไรก็มีกินอยู่แล้ว” หยินมี่ปัดไปเหมือนเห็นเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ

ก่อนตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับก๋วยเตี๋ยวตรงหน้าอย่างเอร็ดอร่อย

“มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ฉันห่วงบริษัทที่คุณท่านอุตส่าห์ลงทุนลง

แรงทุ่มเทสร้างมากับมือตั้งแต่สมัยเรายังไม่เกิด แล้วไหนจะพนักงาน

อีก” มือของปาลิกาที่ถือตะเกียบยังนิ่งค้างอยู่ในชามเย็นตาโฟ เพราะยัง

ไม่คลายความกังวล

“นั่นยิ่งไม่ต้องกลัว เพราะถ้านายซันไม่เอาถ่านขึ้นมาจริงๆ คุณป้า

โฉมเองก็คงไม่ยอมให้บริษัทที่สร้างมากับมือเจ๊งไปต่อหน้าต่อตาหรอก

รีบกินเถอะยัยปลา เส้นอืดหมดแล้ว”

“อืมม์...ก็จริงของเธอ” ปาลิกาจึงเริ่มใช้ตะเกียบคีบเส้นใหญ่ใส่

ปากเคี้ยวตุ้ยๆ แต่สีหน้ายังไม่วายครุ่นคิด ก่อนเอ่ยต่อ “แต่แปลกฉันยัง

ไม่รู้สึกดีขึ้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ”

“นั่นเป็นเพราะที่จริงแล้วเธอห่วงนายซันน่ะสิ”

“บ้าน่า! ฉันเนี่ยนะห่วงนายประสาทนั่น” ปาลิกาส่ายหน้าหวือ

พลางกระแทกตะเกียบเบาๆ เหมือนขัดใจและไม่ยอมรับอยู่ในที


ในวันหยุด ปาลิกาที่ง่วนอยู่กับการทำความสะอาดห้องนอนของ

ตัวเองตั้งแต่เช้า พอเสร็จหันมามองนาฬิกาบนหัวเตียงก็ต้องตกใจ

เพราะเป็นเวลาสายมากแล้ว จึงรีบออกมาจากห้อง

“ป้าแต๋วขา นายซันตื่นหรือยังคะ” เธอถามป้าแต๋วที่กำลังทำ

ความสะอาดห้องรับแขกอยู่เช่นกัน

“ป้ายังไม่เห็นคุณซันออกมาจากห้องเลย วันหยุดอย่างนี้คงตื่น

บ่ายๆ โน่นละมั้งลูก”

“ตายแล้ว...นี่จะเที่ยงแล้วนะคะ นัดคุณป้ากับอาภาสว่าจะไปกิน

อะไรกันที่บ้านโน้นตอนเย็น เผื่อจะไปช่วยเตรียมของด้วยยังไม่ตื่นอีกตา

นี่ เดี๋ยวปลาปลุกเองค่ะ”

ปาลิกาตรงไปยังห้องของตะวันฉาย และเคาะประตู แต่ไม่มีเสียง

ตอบ หญิงสาวจึงลองบิดลูกบิดประตูก็รู้ว่าไม่ได้ล็อค แล้วจึงตัดสินใจ

เปิดประตูเข้าไป เสียงเพลงสากลแนวร็อคดังกระหึ่มอยู่ภายในห้อง ห้อง

นี้แม้จะกว้างไม่เท่าห้องใหญ่ของคุณโฉมฉายที่ถูกปิดไว้ แต่ก็กว้างกว่า

ห้องของเธอมากนัก แถมยังมีเฟอร์นิเจอร์ข้าวของเครื่องใช้ครบครัน ห้อง

ตกแต่งสไตล์โมเดิร์น แต่ทว่ายังคงเน้นสีทึมในแบบที่เจ้าตัวชอบ

ปาลิกากวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไม่พบร่างสูงแต่อย่างใด

แม้กระทั่งบนเตียงที่คาดว่าเขาคงนอนอยู่

“ซัน นายตื่นหรือยัง นายอยู่ไหน” เธอเยี่ยมหน้าออกไปมองหาตรง

ระเบียง ก็ไม่เห็นแม้เงา จึงลองไปดูตรงห้องน้ำซึ่งก็เห็นประตูเปิดแง้มไว้

หญิงสาวเอื้อมมือไปผลัก

“เฮ้ย! /ว้าย! ” เสียงร้องด้วยความตกใจประสานกันดังลั่น ดวงตา

ของปาลิกาเบิกกว้าง จ้องเขม็งไปยังร่างเปล่าเปลือยที่ยืนนิ่งด้วยความ

ตกตะลึงเช่นกัน หัวใจของเธอเต้นแรง แต่ทว่าลมหายใจกลับติดขัด รู้สึก

เหมือนมีอะไรร้อนๆ ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างจนถึงใบหน้า

“ยัยบ้า! จ้องทำไมเล่า” เสียงตวาดของชายหนุ่มทำให้เธอรู้สึกตัว

และรีบหันหลังให้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสียงปิดประตูจะดังตามมา “เปิด

เข้ามาได้ไงคนกำลังอาบน้ำอยู่”

“นายทำไมไม่ล็อคประตูเล่า ไม่ปิดให้สนิทอีกต่างหาก” ปาลิกา

โต้ตอบอยู่อีกฟากที่มีเพียงแค่ประตูกั้น

“นี่มันห้องของฉันนะ เธอนั่นแหล่ะถือวิสาสะเข้ามาได้ยังไง แล้ว

ยังไม่เรียกอีก” เขาตะโกนออกมาอีก

“ฉันเรียกแล้ว แต่นายไม่ได้ยินต่างหากล่ะ ฉันก็นึกว่านายไม่อยู่ก็

เลยเดินหา ไม่นึกว่า...เอ่อ ช่างเหอะ ฉันจะรออยู่ข้างนอกนะ รีบหน่อย

ละกัน” แล้วหญิงสาวก็รีบสาวเท้าออกมาจากห้อง โดยไม่กล้าหันไปมอง

ข้างหลัง แม้จะรู้ว่าประตูห้องน้ำปิดสนิทแล้วก็ตาม



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2559, 10:01:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2559, 10:01:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1113





<< บทที่ 7   บทที่ 9 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account