เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน
เมื่อผู้เป็นหลานหนีการแต่งงานหม่อมเจ้าอัครดนัยจึงแก้ปัญหาด้วยการแต่งงานแทน คนหนึ่งแอบรักอีกคนปิดบังหัวใจ งานวิวาห์ที่เกือบจะล่มจึงกลายเป็นวิวาห์หวานของคู่บ่าวสาวที่(ดูเหมือน)ไม่อยากแต่งงานกันซะงั้น
Tags: หม่อมเจ้า,วัง,แอบรัก

ตอน: บทที่ ๑




หล่อนไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในวันนี้...วันแต่งงานของหล่อนกับกฤตพล

หล่อนอุตส่าห์นัดแนะกับ ‘เจ้าบ่าว’ เสียดิบดี เขาจะหายตัวไปในคืนก่อนวันงาน เขาอาจจะหนีไปซ่อนตัว ไปเที่ยว หรือเดินทางรอบโลกตามความฝันของเขา หล่อนไม่รู้หรอก ที่หล่อนต้องการก็เพียงให้ไม่มีเจ้าบ่าวมาเข้าพิธีวิวาห์เท่านั้น หล่อนยอมเป็นหม้ายขันหมากดีกว่าต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักไปตลอดชีวิต

กฤตพลคือเจ้าบ่าวของหล่อน ทั้งสองหมั้นกันตั้งแต่อายุเพียงขวบเดียว...เป็นไปตามคำสัญญาที่ให้ไว้ระหว่างสองตระกูล ดิลบุตรและสิรภพ

ย้อนไปเมื่อยี่สิบสองปีก่อน เวลานั้นบิดาของหล่อนไปราชการทางเหนือ เกิดปะทะกับพวกค้ายาเสพติด แล้วบิดาของกฤตพลเข้ามารับกระสุนแทน อาการของท่านสาหัสมาก ก่อนจากไปท่านขอร้องให้สองครอบครัวรวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน ด้วยสำนึกในบุญคุณบิดาของหล่อนจึงตกปากรับคำ ให้คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะ และเมื่อสัญญาแล้ว ทหารหาญอย่างท่านย่อมไม่มีวันผิดสัญญา ท่านยึดมั่นในคำสัญญาไม่ลืมเลือน และหล่อนเองก็รับรู้มาตั้งแต่เด็กๆ ว่าโตขึ้นหล่อนจะต้องเป็นเจ้าสาวของกฤตพล

หล่อนกับกฤตพลนั้นอายุเท่านั้น พบเจอกันอยู่บ่อยๆ จึงสนิทสนมกันค่อนข้างมาก...เรียกได้ว่าแทบจะรู้ไส้รู้พุงกันหมดแล้วก็ว่าได้ กฤตพลใช่ว่าจะไม่มีข้อดี เขาทั้งหล่อ รวย มียศถาบรรดาศักดิ์ นิสัยไม่ได้ย่ำแย่อะไร แต่ที่หล่อนไม่ชอบคือเขาขี้เล่นเกินไป เจ้าเสเพล คบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แถมยังไม่เคยจริงจังกับอะไรทั้งนั้น แล้วจะให้หล่อนฝากชีวิตไว้กับผู้ชายคนนี้น่ะหรือ อินทุอรยอมขึ้นคาน อยู่เป็นโสดจนตายเสียยังดีกว่า

‘ถามจริง กฤตจะยอมแต่งงานกับอินจริงๆ น่ะหรือ’

ยิ่งใกล้วันแต่งงาน หล่อนยิ่งร้อนใจ ส่วนเขากลับไม่แสดงทีท่าอะไรเลย...จะว่ากระตือรือร้นอยากแต่งงานก็ไม่ใช่ จะว่าไม่อยากแต่งงานก็ไม่ใช่อีก พูดให้ถูกคือเขาเอาแต่ใช้ชีวิตไปวันๆ เตร็ดเตร่ไปนู่นมานี่ ทำตัวทำมะเลเทเมาไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรสักอย่าง ยังดีอยู่หน่อยที่เขามีแก่ใจเป็นห่วงหล่อน

‘อินไม่สบายใจใช่ไหมที่ต้องแต่งงานกับเรา’

กับกฤตพล อินทุอรไม่เคยอ้อมค้อม หล่อนตอบไปตามตรง และตามความรู้สึกของตัวเองโดยไม่เสียเวลาคิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร

‘แต่งงานกับผู้ชายเจ้าชู้ เสเพล แล้วก็ไม่เอาไหนอย่างกฤต อินขออยู่เป็นโสดดีกว่า’ หญิงสาวถอนใจเฮือกก่อนเอ่ยต่อ ‘แต่เราผิดสัญญาไม่ได้ คุณลุง...’หล่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีคราม ไร้หมู่เมฆ ‘คงเสียใจถ้าเราไม่ทำตามที่ท่านต้องการ’

‘พ่อไม่เสียในหรอก พ่อต้องเข้าใจว่าเราไม่ได้รักกัน’

กฤตพลไม่ได้รักหล่อน หล่อนเองก็เช่นกัน เราเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่าคู่รัก

‘แล้วจะทำยังไง’

‘หาทางแก้สิ’

ทางแก้...หล่อนมีแน่นอน แต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้น

‘อินคิดไว้แล้วใช่ไหม’ เพียงสบตา กฤตพลก็รู้ได้ทันทีว่าหล่อนมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

‘มัน...จะดีเหรอ’

‘ดีสิ พูดมาเถอะ’

‘หนี’

‘หนี?’

‘ใช่ หนีไปที่ไหนก็ได้ เก็บตัวสักเดือนแล้วค่อยกลับมา’

กฤตพลนิ่งเงียบไปนาน จนอินทุอรชักใจเสีย

‘ไม่ดีเหรอ มันจะไม่ได้ผลใช่ไหม’

คำตอบที่ได้รับคือ

‘ขอคิดดูก่อน’

แล้วเขาก็หายหน้าหายตาไปเป็นอาทิตย์ ได้ยินว่าขึ้นเหนือไปกางเต้นท์นอนบนดอยกับพวกเพื่อนๆ ก่อนวันแต่งงานเขาก็กลับมา และโทร.หาหล่อน

‘ตกลง’

เป็นคำตกลงที่ทำให้อินทุอรรู้สึกทั้งโล่งอกและเป็นกังวลในคราวเดียวกัน

‘แต่ถ้าเราไปแล้ว อินจะทำยังไง’

การรับมือคำซุบซิบนินทาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หล่อนเชื่อว่าตัวเองเข้มแข็งมากพอ

‘ก็ไม่ต้องทำยังไง อินก็อยู่ของอินอย่างนี้ กฤตก็ไปเที่ยวให้หนำใจเถอะ หาแฟนสักคนก็ดี ถ้ากฤตมีแฟน หม่อมพ่อคงไม่บังคับให้เราแต่งงานกันหรอก’หล่อนนิ่งไปอึดใจ ก่อนเอ่ยอย่างเอื้อเฟื้อ ‘แต่ทำแบบนี้กฤตจะกลายเป็นคนไม่ดี’

แว่วเสียงหัวเราะดังมาตามสาย กฤตพลก็ยังคงเป็นกฤตพล เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นไปเสียหมด

‘เราเป็นคนบาปได้ ไม่มีปัญหา ส่วนอินก็ทำตัวเป็นหนูอินผู้แสนดีต่อไปเถอะ’ แล้วเขาก็ตัดบทโดยการบอกว่า ‘คืนนี้เราจะออกเดินทางเลย’

อินทุอรไม่รู้ว่าการทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ แต่อย่างน้อยหล่อนก็ทอดระยะเวลาชีวิตอิสระของตัวเองไปได้อีกสักเดือนสองเดือน

หล่อนคิดว่าทุกอย่างจะราบรื่น แต่ไม่นึกเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น...เหตุการณ์ที่ทำให้หล่อนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะหนึ่ง

‘แกจะจัดการปัญหานี้ยังไงดนัย’ เมื่อรู้ว่าเจ้าบ่าวหายตัวไป บิดาของหล่อน...พันตรีหม่อมเจ้าเจตนิพิฐก็แสดงอาการกริ้วออกมาอย่างชัดเจน สุรเสียงของท่านเคร่งเครียด แม้แต่สีพักตร์และแววเนตรยังจับจ้องผู้เป็นสหายอย่างคาดคั้น

‘ไอ้กฤตหลานแก จู่ๆ ก็หนีหน้าไปแบบนี้ แล้วลูกสาวของฉันจะทำยังไง ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ เชื่อใจยกยายหนูอินให้ แต่...’ พูดได้เพียงนั้นก็ถอนทัยหนักหน่วง แล้วหันพักตร์ไปทางอื่น ไม่อาจทนมองหน้าน้องชายของสหายสนิทได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว

ชายผู้นั้นก้าวออกมายืนกลางห้อง สองหัตถ์ไพล่ไว้ทางเบื้องปฤษฎางค์ อังสาตั้งตรง ปลายพระหนุเชิด อีกทั้งแววตายังแน่วแน่เมื่อตรัสว่า

‘ผมรับผิดชอบเอง’

หม่อมเจ้าเจตนิพิฐหันกลับมามอง แววเนตรประหลาดใจ แต่สีพักตร์ยังเคร่งเครียด

‘ยังไง แกจะจัดการปัญหานี้ยังไง’

‘ผมจะแต่งงานกับหนูอินเอง’

ประโยคนั้นทำให้ห้องทั้งห้องเงียบสงัด หม่อมรสสุคนธ์ ผู้เป็นมารดาตื่นตะลึงจนเกือบทำยาหอมที่ถือไว้ร่วงหล่น ส่วนหม่อมราชวงศ์อินทุอร ผู้เป็นเจ้าสาวในวันนี้...จากที่ร้องห่มร้องไห้ตาแดงก่ำแสนน่าสงสาร กลับลุกพรวด ยืนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง

‘อะไรนะคะ อาดนัยตรัสว่าอะไร อินได้ยินไม่ชัด’

หม่อมเจ้าอัครดนัยสูดลมหายพระทัยลึก สาวบาทมาหยุดยืนตรงหน้าหล่อน ดวงเนตรจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตที่มีแวววูบไหวชัดเจน

‘ฟังไม่ผิดหรอกหนูอิน อาจะแต่งงานกับหนูอินเอง’ ทรงโน้มพักตร์เข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูหล่อน ‘หนูอินคงไม่รังเกียจคนแก่อย่างอาหรอก...ใช่ไหม’

หล่อนไม่ได้รักเกียจ แต่หล่อนตกใจ

แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหม่อมพ่อ หม่อมแม่ตกลงอะไรกับอาดนัยบ้าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครมาซับหน้าและแต่งหน้าให้หล่อนใหม่ ทุกอย่างดูปุบปับรวดเร็ว ทั้งเรื่องการแจ้งแก่แขกผู้มีเกียรติที่มางานว่ามีข้อผิดพลาดในเรื่องบัตรเชิญ ไหนจะเรื่องชุดเจ้าบ่าวที่อาดนัยต้องสวมอีก กับกฤตพลนั้น แม้จะสูงพอๆ กันแต่อาดนัยก็ตัวใหญ่กว่า ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่ถึงชั่วโมง ชุดเจ้าบ่าวก็เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว

ทุกอย่างมันเลื่อนลอยไปหมด แม้กระทั่งตอนสวมแหวน หล่อนตาพร่าไปหมด ใครให้ทำอะไร หรือพูดอะไรหล่อนแทบไม่สติจะรับฟังแล้ว มารู้สึกตัวก็ตอน‘เจ้าบ่าวจำเป็น’ มากระซิบข้างหูหล่อน

‘อารู้ว่าอินไม่เต็มใจ แต่อย่างน้อยๆ ก็เห็นแก่หน้าอาบ้าง อย่าเอาแต่ทำหน้าบูดบึ้งแบบนี้ได้ไหม ใครเขาเห็นคงนึกว่าอาบังคับให้หนูอินแต่งงานด้วย’

อินทุอรอยากจะยิ้ม แต่หล่อนยิ้มไม่ออก เพราะเอาแต่นึกสมเพชชะตากรรมของตนเอง...แต่งงานกับกฤตพลหรืออาดนัยก็เหมือนๆ กัน พวกเขาล้วนไม่ได้รักหล่อนในเชิงชู้สาวทั้งสิ้น โดยเฉพาะอาดนัย ผู้มีสตรีที่เพียบพร้อมอยู่ข้างกายอยู่แล้ว ที่ยอมเข้าพิธีวิวาห์กับหล่อนก็เพื่อไม่ให้ตระกูลสิรภพและดิลบุตรเสื่อมเสีย...ก็เท่านั้นเอง

อินทุอรมองใบหน้าอันซีดเซียวของตัวเองในกระจก ก็ได้แต่สะท้อนใจ

ดูเถอะ...นี่หรือใบหน้าเจ้าสาว มีทั้งความตื่นตระหนก หวาดกลัวและกังวล

หล่อน...คงกลายเป็นเจ้าสาวที่ไม่มีความสุขที่สุดคนแรกของโลกเลยกระมัง!

“หนูอิน” เสียงอันก้องกังวานของหม่อมเจ้าอัครดนัยทำให้หล่อนสะดุ้งสุดตัว หญิงสาวเหลือบมองเขาผ่านกระจก เห็นเขายังใส่ชุดเดิมจึงขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อครู่นี้ หลังจากหม่อมพ่อกับหม่อมแม่ของหล่อนออกจากห้องไป อาดนัยก็เข้าห้องน้ำไปได้สักพักใหญ่ๆ โดยไม่พูดอะไรกับหล่อนแม้แต่คำเดียว หล่อนยืนเคว้างอยู่กลางห้องอย่างไม่รู้ว่าจะจัดการชีวิตตนเองอย่างไรดี คิดด้วยซ้ำว่าเมื่อกลับออกมาเขาคงจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว แต่...ที่เห็นอยู่ตอนนี้ อาดนัยเพียงแค่ล้างพักตร์และโกรไรมัสสุข้างปรางทั้งสองข้างจนเกลี้ยงเกลาเท่านั้นเอง

“เหนื่อยหรือเปล่า”

คำถามเอื้ออาทร...ก็แบบผู้ใหญ่ห่วงเด็กนั่นแหละ

“เพคะ”

หล่อนตอบ พลางกวาดสายตามองรอบห้อง

“คืนนี้...อาดนัยนอนบนเตียงนะเพคะ” ว่าพลางชี้มือไปที่โซฟาบุหนังวางชิดผนังห้องฝั่งตรงข้ามกับเตียง “อินจะไปนอนตรงนู้น” เมื่อหันกลับมาก็พบว่าอาดนัยจ้องหล่อนเขม็ง แววเนตรคู่นั้น จะว่าหล่อนคุ้นเคยก็ใช่ แต่จะว่าไม่คุ้นก็ใช่อีก

อย่างไม่รู้ตัว อินทุอรหมุนแหวนแต่งงานที่สวมบนนิ้วข้างซ้ายของตนเองไปมา ก่อนรีบเบือนสายตาไปทางอื่น

“อาดนัยคงเหนื่อยมากแล้ว ไว้เราค่อยคุยกันพรุ่งนี้นะเพคะ”

หล่อนหมุนตัว เดินไปยังโซฟาตัวนั้นและบอกเขาว่า

“อินไม่อาบน้ำนะเพคะ ง่วงจะตายอยู่แล้ว”

เป็นคำโกหกอย่างที่สุด...เวลานี้หัวใจของหล่อนเต้นโครมครามราวกลองตี แล้วจะหลับลงได้อย่างไร

ยิ่งไม่อาจข่มตา หรือก้าวเดินได้แม้อีกก้าวเดียว เมื่อแว่วเสียงห้าวทุ้มตามหลังมาว่า

“มาอาบน้ำกับอา แล้วนอนบนเตียงด้วยกัน”

เท้าทั้งสองชะงักกึก หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

อาบน้ำด้วยกัน? นอนเตียงเดียวกัน?

หล่อนเหลียวไปมองเขา แววตาเบิกกว้างประหนึ่งกระต่ายน้อยที่กำลังตื่นตระหนก

“อะ...อาดนัย หมายความว่า...”

“หนูอินเป็นภรรยาของอา แปลกหรือที่ภรรยาจะอาบน้ำกับสามี เตียงก็มีเตียงเดียว แต่งงานกันแล้วก็ต้องนอนเตียงเดียวกันสิ”

“ตะ...แต่ว่า ระ...เราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ นี่เพคะ”

ริมโอษฐ์ของอาดนัยคลี่ออก เล็กน้อยเท่านั้น...ก่อนจะเลือนหายไป

“ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง”

ทรงย้ำด้วยสุรเสียงหนักแน่น จริงจัง พร้อมกับสาวบาทเข้ามาหา แตะมือของหล่อน รวมถึงแหวนเพชรหลายกะรัต 13 กะรัตด้วย...แหวนเพชรวงนี้เป็นมรดกตกทอดจากมารดาของอาดนัย เป็นเพชรน้ำดีที่แม้จะเก่าก็ยังคงความงามไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

“อินสวมแหวนอยู่” ทรงไล้พระดัชนีบนแหวนวงนั้น “แบบนี้...ยังจะว่าไม่จริงอีก”

“ตะ...แต่ว่า” หล่อนพยายามจะค้าน แต่เมื่อจ้องพักตร์คมสัน เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศของอาดนัย หล่อนกลับพูดอะไรไม่ออก ยิ่งเมื่อพักตร์ของอาดนัยอยู่ใกล้เช่นนี้ สมองของหล่อนจึงแทบไม่ทำงาน เป็นเช่นนี้ตลอดมานับตั้งแต่หล่อนล่วงเข้าสู่วัยสาว

หัวใจของหล่อนเต้นแรงเหมือนครั้งนั้น...วันที่อาดนัยโค้งคำนับขอหล่อนเต้นรำด้วย

หล่อนเพิ่งจะสิบหกปี ได้ออกงานสังคมครั้งแรก ความประหม่าทำให้หล่อนขัดเขินกว่าปกติ ยิ่งเมื่อคิดถึงตอนเต้นรำหล่อนก็ใจแป้ว เพราะคิดว่าคงไม่มีใครขอหล่อน แต่ไม่ใช่อย่างที่หล่อนคิดเพราะมีหนุ่มสองคนเดินตรงมาหาหล่อน ทว่าอาดนัยกลับตัดหน้าหนุ่มทั้งสอง มาขอหล่อนเต้นรำโดยไม่สนใจสาวๆ นับสิบที่ยืนรอด้วยความหวังเลยแม้แต่น้อย

อินทุอรนับถือ เทิดทูน ชื่นชม และปลาบปลื้มผู้เป็นอามาตลอด เขาทั้งเก่ง ทั้งสาร์ท มีความเป็นผู้ใหญ่ เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง ไม่ขี้เล่นและกะล่อนเหมือนกฤต อาจจะเสเพลหน่อยๆ เพราะมักมีผู้หญิงเข้าหาอยู่เสมอๆ แต่ที่หล่อนเห็น อาดนัยสนิทสนมกับผู้หญิงเพียงคนเดียว...หม่อมเจ้าสราวลี ราชนิกูลผู้เพียบพร้อม ทั้งสวย สง่า และเก่ง มีความสามารถหลายด้าน เหมาะกับอาดนัยมากกว่าใคร

วันนั้นท่านอาหญิงสราวลีก็อยู่ในงานด้วย แต่อาดนัยกลับเลือกหล่อน

หล่อนรู้สึกเหมือนตัวลอยๆ ยามอยู่ในอ้อมกอดของอาดนัย เป็นความรู้สึกประหลาดที่หล่อนยังไม่เข้าใจนัก และคืนนั้น อาดนัยพาหล่อนออกจากความวุ่นวายภายในงาน มาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นลีลาวดีที่ออกดอกเต็มต้น ดวงดาวพร่างพรายส่องแสงระยิบเต็มท้องฟ้า

‘เบื่อคนเยอะ วุ่นวาย’

นั่นคือเหตุผลที่พาหล่อนออกมา ยืนมองดาวกันอยู่เงียบๆ หล่อนก็เก็บความสงสัยไว้ไม่ไหว โพล่งถามออกไป

‘มีสาวๆ รออาดนัยเป็นสิบ ทำไมถึงมาขออินเต้นรำล่ะเพคะ’

มุมโอษฐ์ของอาดนัยขยับเล็กน้อย อึดใจใหญ่ๆ ทีเดียวกว่าจะหันมามองหล่อนและให้คำตอบ

‘เพราะอาอยากเต้นรำกับหนูอินน่ะสิ’

เป็นคำตอบที่ทำให้หล่อยยังจ้องเขาด้วยความสงสัย วินาทีนั้น อาดนัยก็ขยับเข้าหาหล่อน หัตถ์ข้างหนึ่งเอื้อมออกไปเด็ดดอกลีลาวดีจากต้น ทัดบนหูของหล่อน

‘หนูอินสวยมาก’

คำชมทำให้หล่อนใจเต้น ก่อนจะหลุดหัวเราะพรวดเมื่อได้ยินประโยคถัดไป

‘ไม่เหมือนทุกวัน’

‘ทุกวันอินดูไม่ได้เลยใช่ไหมเพคะ’

หัตถ์ของอาดนัยร้อน แตะต้องใบหูของหล่อนเพียงผิวเผินก็ยังส่งกระแสความร้อนไปทั่วกายหล่อน รวมถึงหัวใจของหล่อนด้วย

‘อืม...อาไปที่วังทีไร เห็นหนูอินถ้าไม่วิ่งเล่นกับพวกเด็กๆ ในวัง ก็ปีนป่ายต้นไม้ ตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนไปหมด ผมก็พันกันยุ่ง...ไม่สวยเหมือนวันนี้’

ผมยาวตรง ดำขลับ สยายเต็มกลางหลัง...ยามหัตถ์ของอาดนัยสัมผัส หล่อนกลับขวยเขินอย่างประหลาด

‘ใครทำผมให้ล่ะ แม่ปริกหรือ’

‘เพคะ’

แม่ปริกเป็นพี่เลี้ยงของหล่อน เลี้ยงหล่อนมาตั้งแต่แบะเบาะ คอยดูแลทุกอย่างในชีวิตของหล่อน รวมถึงเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายด้วย ปกติหล่อนมักจะไม่เลือกชุดที่แม่ปริกเลือกซึ่งมักจะเป็นกะโปรงยาวเกือบครึ่งน่อง หล่อนชอบใส่กางเกง เพราะคล่องตัวและทะมัดทะแมงกว่ามาก

คืนนี้จึงเป็นคืนที่แม่ปริกสมใจ ได้แต่งตัวให้หล่อน...สวย สง่า สมกับเป็นราชนิกูล

‘แม่ปริกยิ้มแก้มแทบแตกเลยละเพคะ นานๆ อินจะแต่งตัวแบบนี้สักที’

‘สวย’

ตรัสชมหล่อนพร้อมกับเงยพักตร์มองท้องฟ้าเบื้องบน จึงยากจะบอกได้ว่าคำชมนี้...ชมหล่อนหรือชมดาวกันแน่

หล่อนและอาดนัยคุยกันอยู่นานสองนาน จนหม่อมพ่อให้คนมาตาม อาดนัยจึงพาหล่อนกลับเข้าไปในงาน

คงเพราะไม่เคยชินกับส้นสูง ทำให้หล่อนเท้าพลิก เกือบจะล้มหน้าคะมำอยู่แล้ว แต่อ้อมกรของอาดนัยมารับตัวหล่อนไว้...ไม่ใช่แค่ประคอง แต่เป็นการกอดอย่างสนิทแนบ

หล่อนซบหน้ากับอุระของอาดนัย กลิ่นน้ำหอมราคาแพง โชยมาแตะจมูก

‘เป็นอะไรรึเปล่า’

‘ไม่เป็นไรเพคะ’

หัวใจของหล่อนเต้นไม่เป็นส่ำ รู้สึกประหม่าขัดเขินยิ่งกว่าตอนรอว่าใครจะมาขอเต้นรำเสียอีก ความรู้สึกนี้ทำให้หล่อนรีบผละจากอุระของเขา

เพียงขยับกาย เท้าของหล่อนก็เจ็ยแปล๊บ จนต้องร้องโอย

วินาทีนั้น อาดนัยก็ยกหล่อนทั้งตัว เขาอุ้มหล่อนไว้ในอ้อมกอดโดยไม่ให้หล่อนได้ตั้งตัว

‘อาดนัย! ทำอะไรเพคะ’

‘ก็เราเจ็บเท้า เดินไม่ได้ไม่ใช่หรือ’

แล้วเขาก็พาหล่อนเข้างานในสภาพนั้น แขกทุกคนในงานหันมามองหล่อนเป็นจุดเดียว อินทุอรปั้นหน้าไม่ถูกจึงซบหน้าลงบนอังสาของเขา กระซิบบอก

‘พาอินไปที่รถเถอะเพคะ’

‘ไปบอกพี่เจตก่อน’

อาดนัยเรียกบิดาของหล่อนว่าพี่เจต เพราะสนิทสนมกันมาหลายปี

‘อ้าว หนูอินเป็นอะไรล่ะดนัย’

‘เท้าพลิกครับ คงต้องกลับก่อน’

บิดาของหล่อนพยักพักตร์ แล้วฝากฝังให้เขาดูแลหล่อน

‘ฝากด้วยนะดนัย อีกชั่วโมงฉันถึงกลับ’

อาดนัยรับคำ แล้วพาหล่อนออกมา ตรงไปที่ลานจอดรถโดยมีนายพัน...คนขับรถคอยตามมาไม่ห่าง

ทรงดูแลหล่อนเป็นอย่างดี ทั้งทายา ทั้งพันผ้าพันแผลให้ ทรงอุ้มหล่อนไปถึงห้องนอน วางหล่อนลงบนเตียง คลี่คลุมผ้าห่มให้

‘หลับให้สบาย พรุ่งนี้อาจะแวะมาหา’

ทรงจุมพิตแผ่วเบาบนหน้าผากหล่อน ความอบอุ่นแผ่ซ่าน...หล่อนหลับฝันดีทั้งคืน

ความรู้สึกของหล่อน คงเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนั้น

จวบจนกระทั่งวันนี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังคงอยู่ แม้ว่าหล่อนจะพยายามกำจัดมันสักเท่าไร มันก็ไม่ได้ผล

“หนูอินเป็นภรรยาของอาแล้ว ก็ต้องเป็นตลอดไป”

สุรเสียงของอาดนัยทำให้อินทุอรตื่นจากภวังค์ หล่อนกะพริบตาปริบ มองสบเนตรแวววาวของคนตรงหน้านิ่งนาน

“ภรรยาที่ดีควรจะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์”

ใจหล่อนแกว่งไหว...ด้วยวัยยี่สิบสอง หล่อนย่อมเข้าใจนัยของถ้อยคำนั้น

หล่อนหน้าแดงสลับขาว ทั้งตื่นตระหนก ทั้งขัดเขิน ปนเปกันจนทำสีหน้าไม่ถูก

“หรืออินจะรอเจ้ากฤตมัน”

เป็นประโยคคำถามที่ห้วนสั้น และเจ้าของคำถามดูจะกริ้วหน่อยๆ

อินทุอรรู้ดีว่าไม่ต้องการเช่นนั้น แต่การจะต้องเป็นภรรยาของอาดนัยจริงๆ นั้น หล่อนรู้สึกแปลกๆ และยังปรับตัวไม่ทัน

“ไม่ตอบ” ทรงทอดถอนทัย ก่อนตัดบทว่า “อาถือเป็นคำปฏิเสธแล้วกัน”

ทรงสรุปเองเออเอง จากนั้นก็อุ้มหล่อน แล้วพาเข้าไปในห้องน้ำ

“อาจะไม่ให้หนูอินนอนทั้งชุดนี้แน่ ยังไงก็ต้องอาบน้ำ อาบด้วยกันนี่แหละ ประหยัดน้ำดี...จริงไหม”





ใครสนใจจอง...จองได้เลยที่ www.sasiaksorn.com นะคะ
เรื่องนี้สั้นมาก คงลงให้อ่านไม่กี่ตอนนะคะ

ขอบคุณที่ติดตามค่า




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ม.ค. 2559, 14:14:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ม.ค. 2559, 14:40:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1345





   บทที่ ๒ >>
Zephyr 24 ม.ค. 2559, 20:10:12 น.
กรีดร้อง เค้าชอบแนวนี้ที่สุด
อ่านแล้วมันฟินบอกไม่ถูก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account