จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1


*** ฝากนิยายด้วยนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ ***

บทที่ ๑

เด็กหนุ่มคนนั้นก้าวเท้าลงจากรถยุโรปคันหรูที่โดยสารมาเป็นระยะเวลาหลายชั่วโมง ร่างนั้นสูงแต่ก็ผอมแห้งดูเก้งก้างสวมชุดนักเรียนมอซอที่มีรอยปะชุนยิ่งทำให้ดูอนาถานัก ในอ้อมแขนกอดกรอบรูปถ่ายของสตรีงามหมดจดนางหนึ่ง อีกคนที่ตามหลังลงมาเป็นเด็กหญิงผิวขาวจนเกือบซีด สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่สีซีดเก่ายิ่งกว่าผ้าขี้ริ้ว

ใบหน้าเรียวหวานทว่าดวงตากลับอมโศกได้แต่ก้มหน้ามองพื้นจับแขนพี่ชายแน่น ขณะเดินตามหลังหญิงสาวคนหนึ่งไปตามทางที่รายล้อมด้วยสวนเขียวขจี...ทั้งสองไม่มีน้ำตาแห่งความทุกข์อาบบนใบหน้าสักหยดทั้งที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เศร้าสลดที่สุดในชีวิต

“ พี่ใหญ่...เล็กกลัว ” ศศิวิมลเอ่ยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือทันทีที่เดินพ้นจากสวนและเห็นคฤหาสน์หลังงามตระหง่านอยู่ตรงหน้า ความไม่คุ้นชินกับอัครสถานใหญ่โต ความแปลกที่แปลกถิ่นและหวาดระแวงในตัวบุคคลที่กำลังจะกลายเป็นผู้ปกครองของทุกคู่หลังสูญเสียทั้งบิดามารดาทำให้ทุกอย่างน่ากลัวไปหมด

ศิระเหลือบมองน้องสาวพลางยิ้มกว้าง หยิบรูปมารดามาหนีบไว้ใต้แขนก่อนจะบีบมือน้องน้อยไว้

“ อย่ากลัวเลยเล็ก...ถ้าคนที่นี่ทำอะไรเล็ก พี่นี้แหละจะปกป้องเล็กเอง ” เขาปลอบขวัญน้องรัก...นัยน์ตาคมมีแววน่ากลัวที่บ่งความเป็นผู้ใหญ่เกินตัว

รอยยิ้มปรากฏบนดวงหน้าไร้เดียงสา เพียงริมฝีปากขยายกว้างทุกอย่างก็สว่างไสวเหมือนมีแสงจากตะวันสาดมาให้เขาต้องลุกขึ้นสู้และคุ้มครองสิ่งที่สำคัญที่เหลืออยู่ในชีวิต

อากาศโดยรอบเย็นชื้นจากฝนที่เพิ่งหยุดตก หากเด็กทั้งสองกลับอบอุ่นขึ้นเพียงแค่มีกันและกัน

คนนำทางเร่งสองพี่น้องให้รีบก่อนจะมีฝนอีก...สองพี่น้องเริ่มมองเห็นคฤหาสน์หลังงามตั้งตระหง่านสวยงาม ก่อนจะถูกพาผ่านสวนไม้สวยนานาพันธุ์ยังเรือนไม้ชั้นเดียว บอกทั้งสองให้ถอดรองเท้าเรียงไว้เป็นระเบียบเสียก่อนจะเลื่อนประตูบานกระจกให้เปิดออก

ภายในบ้านหลังนั้นถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีขาวกับผ้าลายดอกไม้เป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็นสัดส่วนด้วยฉากกั้นไม้แกะลายยที่เคลื่อนย้ายได้แทนการกั้นห้องถาวร กลิ่นหอมจากดอกมะลิอวลให้รู้สึกชื่นใจ

ตรงมุมรับแขกมีร่างของสตรีนางหนึ่งนั่งรออยู่บนเก้าอี้บุนวมลายดอกไม้...ดวงตาคมกริบหลังแว่นมองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ ทันทีที่เด็กทั้งสองก้าวเข้ามาใกล้ สายตาก็หันกลับมาประสานเข้ากับร่างน้อยในสภาพมอมแมมเหลือทน คนที่สูงใหญ่กว่ากอดรูปถ่ายของใครคนหนึ่งที่นางคุ้นเคยไว้แนบอก

มือไม้สั่นเทาแทบในทันที นางลุกพรวดจากเก้าอี้แล้วย่อตัวลง เชยหน้าเด็กทั้งสองขึ้นแล้วยิ้มให้ทั้งที่ในอกแทบระเบิดออกเป็นเสี่ยงจากความเจ็บปวด

...ความทรมานของพี่ที่สูญเสียน้องสาวอย่างไม่มีวันกลับ ความเจ็บช้ำของพี่ที่หยิบยื่นชะตากรรมเลวร้ายที่สุดให้น้องไป ชีวิตของน้องและหลานทั้งสองต้องตกนรกทั้งเป็นเพียงเพราะอารมณ์ของนางเท่านั้น
หากวันนั้นพี่รู้…หากมีสติสักนิด พี่จะไม่ทำร้ายเธอหนักหนาเช่นนี้ และเมื่อมีสิ่งใดที่พี่จะชดเชยได้ พี่พร้อมจะทำทุกอย่างคืนให้

สองพี่น้องมองจ้องตาของผู้ใหญ่ที่ประชิดเข้ามาหา...คนเป็นพี่ใช้สายตากร้าวแข็งสบ คนน้องใช้สายตาหม่นมองอย่างสงสัยมากกว่าจะตื่นกลัว ก่อนที่แขนอุ่นจะยื่นออกไปโอบทั้งสองไว้แน่นพลางสบหน้าลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วน้ำตาอุ่นก็รินลงสองแก้ม

“ ต่อไปนี้ป้าจะเป็นแม่ของพวกหนู...จะเป็นคุ้มครองพวกหนูเอง...ไม่ว่าใครจะเอาตัวหนูไปไม่ได้ จะไม่มีใครพรากพวกหนูไปจากอกของป้าได้ ป้าสัญญา ” คำมั่นจากริมฝีปากของสตรีผู้เป็นเจ้าของบ้านทั้งอ่อนโยนและหนักแน่น ทำให้เด็กชายที่แสร้งเข้มแข็งมาตลอดทางร้องไห้ออกมาอย่างหมดท่า

ถ้อยคำที่ประกาศแทนสัญญาใจอันยิ่งใหญ่...สัญญาที่จะนำพาสองพี่น้องให้มีชีวิตดุจเดียวกับลูกแท้ๆของนางเอง สัญญาที่จะให้นักธุรกิจม่ายอย่างนางได้มีลูกเพื่อเติมให้ครอบครัวเต็มเสียที

****************************

คฤหาสน์หลังงามออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมกรีกผสมโรมันเป็นผลงานจากสถาปนิกชื่อดังจากต่างประเทศตั้งเป็นสง่าอยู่กลางอาณาเขตกว้างของตระกูลวิสุทธิ์สุนทร เพียบพร้อมด้วยสระว่ายน้ำ มีบ้านสองชั้นหลังหนึ่งอยู่ด้านหลังคฤหาสน์ซึ่งสร้างขึ้นสำหรับให้ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลใช้เรียนพิเศษ

หากมองผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของตัวบ้านเข้าไปจะพบกับเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายผิวขาวจัดยืนกอดอกอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือจากต่างประเทศ รอบผนังมีตารางตัวอักษรหลากหลายภาษาแม้แต่สูตรทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ติดให้จดจำ

หญิงสูงวัยสวมเสื้อลูกไม้สีขาวนุ่งผ้าซิ่นสีม่วงเปิดประตูเข้ามาในห้องที่เงียบสงัดราวกับไม่มีคนอยู่ ค่อยๆวางถาดอาหารกลางวันลงบนโต๊ะตัวใหญ่ก่อนจะร้องเรียกคุณหนูของตน

“ คุณหนูทานข้าวค่ะ ”

“ ผมไม่หิว ” เสียงที่ตอบกลับคล้ายคำรามมาจากในลำคอ

“ ไม่หิวก็ต้องทานค่ะ...ถึงชั่วโมงต่อไปครูสอนภาษาฝรั่งเศสจะลาป่วย แต่คุณหนูก็มีการบ้านที่คุณครูฝากให้ทำไว้นะคะ ทานอะไรสักหน่อยสมองจะได้แล่น ”

ทายาทคนเดียวของวิสุทธิ์สุนทร ผละจากหน้าต่างหันกลับมามองร่างของแม่นมที่ยืนห่างจากตนไปไม่ไกล เท้ายื่นออกไปเตะลูกโลกที่วางใกล้ตัวจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง

“ เรียน เรียน เรียน จะบ้าตาย...ทำไมผมต้องมาเรียนพิเศษห่าเหวอะไรเยอะแยะขนาดนี้ด้วย ขนาดปิดเทอมแทนที่จะได้ไปเที่ยว ยังต้องมาเรียนอีกเหรอวะ ” เขาตะโกนออกมาอย่างเจ้าอารมณ์ ใบหน้าเรียวบูดบึ้งเสียจนหมดความหล่อไป

“ คุณท่านห่วงคุณหนูนะคะ ต่อไปคุณหนูต้องเป็นคนสืบทอดกิจการทั้งหมดของคุณท่าน ถ้าคุณหนูไม่เก่งทุกด้านจะทำงานลำบากนะคะ ”

“ พ่อกับแม่ไม่ได้ห่วงผมหรอกครับ จริงๆก็ห่วงแค่บริษัทเท่านั้นแหละ ทุกวันนี้หน้าผมยังแทบไม่เห็นด้วยซ้ำ ” เขาพูดพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

นับแต่จำความได้ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นจนเข้านอนคนที่อยู่กับเขามากที่สุดกลับไม่ใช่พ่อแม่แต่เป็นยายช้อย แม่นมของเขา ตลอดเวลาในการมีชีวิตแทบทุกวันผ่านพ้นไปด้วยการเรียนทุกอย่างเท่าที่เวลาในหนึ่งวันจะเรียนได้

ความรักความอบอุ่นที่เขาต้องการแทบไม่เคยได้ เวลาสักเสี้ยวนาทีที่จะได้ใกล้ชิดกันไม่เคยมี...ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวรุนแรง และมักเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นเสมอ จนมีปัญหากับคนในครอบครัว ขณะที่ในรั้วโรงเรียนเขามีผลการเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยม ผิดกับอุปนิสัยที่มักตั้งตัวเป็นหัวโจกจนอาจารย์หลายคนเอือมระอา

“ คุณหนูขา ทุกอย่างที่คุณท่านทำก็เพื่อคุณหนูทั้งนั้นนะคะ...คุณพันธ์พยายามขยายกิจการเพื่อให้คุณหนูมีความเป็นอยู่ที่ดีนะคะ ส่วนคุณพิณเองเธอก็มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่น คุณหนูควรจะดีใจและตั้งใจเรียนสิคะถึงจะถูก ”

“ มัวแต่สงเคราะห์คนข้างนอก...คนในบ้านไม่เห็นจะหาเวลามาสงเคราะห์บ้างเลย ” น้ำเสียงจากทายาทคนเดียวของวิสุทธิ์สุนทรเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาเตะกระดานล้อเลื่อนที่ขวางหน้าอยู่ก่อนจะจ้ำเท้าตรงไปยังประตู

“ ผมอยากอยู่คนเดียว ไม่ต้องตามผมมานะ ”

เขาทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็เปิดประตูออกไปจากห้อง...ยายช้อยได้แต่มองแผ่นหลังที่จากไปแล้วถอนหายใจ รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มจับใจหากก็อะไรมากไปกว่าเห็นใจไม่ได้

ภาควัฒน์กระแทกประตูบ้านปิดอย่างแรง ริมฝีปากเม้มแน่นจากอารมณ์ที่พุ่งพล่าน มัดทั้งสองกำแน่น ความรู้สึกชั่วเวลานั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง...เขาเกลียดทุกอย่างที่นี่ เกลียดทุกคนที่นี่ เกลียดแม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเองที่ไม่เคยสนใจใครนอกจากคนที่มีผลประโยชน์กับตัวเองเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มย่ำเท้าแรงไปบนแผ่นหินที่เรียงไว้บนสนามหญ้า...เดินเลียบไปตามแนวกำแพงรั้วที่กั้นระหว่างสองตระกูลใหญ่ออกจากกัน เขาเดินเด็ดทึ้งดอกไม้ใบหญ้าไปตลอดทางเพื่อระบายความโกรธแค้นในใจ ทำไมยิ่งไขว่คว้าหาความรักกลับยิ่งไกลเกินไขว่คว้า

ลมพัดเป็นสายเข้ามาแกว่งไกวให้ไม้ใหญ่ไหวเอน พาเอาผมปัดไปมาไร้รูปทรง พลันก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีไทยแว่วหวานดังจากหลังรั้วอันเป็นเขตของบ้านอังคพิมานซึ่งผู้เป็นเจ้าของนั้นรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวของเขาเป็นอย่างดี เมื่อมีเสียงเครื่องสายไทยดังแว่วมาย่อมผิดปกติ

เพื่อคลายความสงสัยจึงตัดสินใจปีนไปตามกำแพงอิฐจนโผล่ไปนั่งห้อยเท้าอยู่ตรงด้านบนของรั้ว ทอดสายตายังบ้านหลังเล็กสีขาวที่ล้อมรอบด้วยแมกไม้หลากพันธุ์ อันเป็นเรือนที่ป้ามลใช้เป็นสถานที่พบปะหรือให้เพื่อนมาค้างอ้างแรมจึงเห็นเด็กหญิงผมเปียสวมชุดกระโปรงสีน้ำตาลนั่งพับเพียบสีซออยู่บนเฉลียงเพียงลำพัง

ทุกท่วงทำนองเพลงไทยเดิมที่บรรเลงผ่านซอช่างแว่วหวานลึกซึ้ง หัวใจสัมผัสได้ถึงความอ่อนละมุนตรึงให้คนฟังเพลินเสียจนลืมสิ้นความโกรธเกรี้ยว จับจ้องผู้บรรเลงไว้นิ่งแทบไม่กระพริบตากระทั่งจบเพลง เธอก็ทำอะไรบางอย่างก่อนจะเก็บคันซอเข้าที่พลางถอนหายใจยาวราวกับมีเรื่องให้คิดกังวล

“ ไม่เล่นต่อแล้วเหรอ ” เอ่ยถามออกไป เด็กหญิงผู้นั้นเงยหน้าจากพื้นกระดาน เผยให้เห็นดวงหน้าขาวกระจ่าง นัยน์ตาอมโศกประสานกับแววตาคมกล้าของเด็กหนุ่มบนขอบรั้วสูงตรงหน้า

เธอยังปิดปากเงียบขณะจ้องคนแปลกหน้าไว้ สีหน้าที่แสดงออกเต็มไปด้วยความฉงนมากกว่าจะตื่นกลัว

“ เพลงที่เธอเล่นเมื่อกี้ชื่อเพลงอะไรเหรอ ” เขาถามอีก แต่อีกฝ่ายกลับนั่งมองเขานิ่งงันเลยพยายามพูดปลอบ “ เธอกลัวฉันเหรอ ขอโทษที ฉันอยู่ข้างบ้านนี้เอง พอดีฉันได้ยินเสียงเพลงก็เลยข้ามมาดู ไม่ได้คิดร้ายหรอกนะ ”

“ พี่อยู่บ้านป้าพิณเหรอคะ ” น้ำเสียงหวานนุ่มเปล่งจากริมฝีปาก เรียกอีกฝ่ายที่โตกว่าว่าพี่ทันที

“ อ้าว รู้จักแม่พี่ด้วยเหรอ...แล้วเธอเป็นใคร ทำไมถึงมาอยู่บ้านป้ามลได้ ”

“ เล็กเป็นหลานนะคะ แม่ใหญ่เพิ่งรับมาอยู่ด้วยไม่กี่วันนี้เอง ” ตอบพลางวางซออู้ไว้บนหน้าตัก “ ว่าแต่พี่ปีนขึ้นไปบนนั้นได้ยังไง ไม่กลัวตกเหรอคะ ”

“ กลัวทำไมก็ปีนข้ามมาออกจะบ่อย ” ไม่พูดเปล่าแสดงให้ดูวิธีการลงโดยโหนต้นไม้ใหญ่แล้วกระโดดลงมา ทำเอาคนที่จับตาอยู่หวีดร้องด้วยอารามตกใจ

ภาควัฒน์ลงถึงพื้นได้ก็เดินขึ้นไปบนเฉลียง มองคู่สนทนาที่หน้าซีดจากอาการตื่นตระหนกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิห่างออกไปเล็กน้อย

“ ถ้าแม่ใหญ่กับพี่ใหญ่เห็นพี่เล่นอะไรอันตรายแบบนี้ พี่ต้องโดนดุแน่ ขนาดเล็กปีนต้นไม้เท้ายังไม่พ้นพื้นหญ้ายังโดนว่าเป็นชุดเลย ” เธอร้องบอกออกมา

“ ขนาดพ่อแม่ยังไม่สนใจ...นับประสาอะไรกับคนอื่นจะกล้ามาดุกัน ” พ่นลมร้อนออกจากปาก ” เออ เธอยังไม่ตอบฉันเลย ว่าเพลงที่เล่นเมื่อกี้ชื่อเพลงอะไร ”

“ เพลงชื่อ คำหวานค่ะ...เล็กต้องซ้อมไว้เพราะจะสอบอาทิตย์หน้านะคะ ”

“ เล่นได้ขนาดนี้สอบผ่านอยู่แล้ว นี่ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเพลงไทยเดิมเพราะขนาดนี้ มีโน้ตเพลงบ้างไหม เผื่อฉันจะเอาไปเล่นกับเปียโนที่บ้านบ้าง ”

“ พี่เล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอคะ ” สายตาที่ทอดมาฉายแววไม่เชื่อน้ำคำเขาเลยแม้แต่น้อย

เด็กหนุ่มยักไหล่แล้วจึงลุกจากพื้น ถือวิสาสะเดินผ่านประตูบานเฟี้ยมเข้าไปในตัวบ้าน ปล่อยให้คนตัวเล็กตกใจกับการทำอะไรตามใจตัวเองเหลือเกินของเขา คว้าผ้าคลุมกับซออู้รีบวิ่งตามเขาไป

ภายในบ้านเงียบเชียบราวกับไร้คนอาศัย...ผู้บุกรุกเดินเข้าไปอย่างชำนิชำนาญจนมาถึงหน้าเปียโนสีดำ จึงปลดผ้าคลุมลูกไม้ออก ยกฝา สอดตัวเข้าไปนั่งพร้อมกับหันมาหาคนตัวเล็กที่ยืนหอบหายใจอยู่ตรงโซฟาหวายสีขาวบุนวมด้วยผ้าลายดอกไม้สีเหลืองสลับส้ม

“ เอาโน้ตเพลงนั้นมาเดี๋ยวเล่นให้ฟัง ”

เด็กหญิงหยิบโน้ตเพลงในกระเป๋ากระโปรงส่งให้แล้วจึงเห็นเขานั่งตัวตรง พรมนิ้วลงบนแป้นบรรเลงเพลงเดียวกันกับที่เธอเพิ่งซ้อมเสร็จไป

ท่าทางพลิ้วไหวขณะเล่นเปียโนของเขาดูอบอุ่นประกอบกับทำนองดนตรีอันนุ่มนวลงดงามทำให้เขาแตกต่างจากภาพลักษณ์แรกเห็นโดยสิ้นเชิง

ศศิวิมลมองแผ่นหลังกว้าง ขาทั้งสองค่อยๆย่อลงนั่งพับเพียบแล้วหยิบซออู้ของตนออกมาร่วมเล่นประสานไปกับเสียงดนตรีของเขา...บ้านแสนสวยทว่าเงียบเหงามีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยพลัน เสียงเพลงเชื่อมโยงเด็กทั้งสองให้รู้จักกันและกันทีละเล็กละน้อยดังกับมีเส้นใยบางเบาพันผูกไว้ด้วยกัน

เพลงกล่อมโลกแห่งความสุขของทั้งคู่ให้เคลื่อนหมุนไปอย่างเชื่องช้า...แดดทอทาบผ่านผ้าม่านโปร่งส่งให้ทั้งห้องและคนถูกโอบรอบด้วยแสงนวลตาสะกดใจให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องหยุดนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด

จวบจนทุกอย่างยุติ ภาควัฒน์หันกลับมาสบสายตากับเด็กหญิงคนเดิมที่เงยหน้ามาพอดี ต่างฝ่ายต่างมีรอยยิ้มอิ่มเอิบระบายทั่วหน้าก่อนจะได้ยินเสียงปรบมือเมื่อหันไปจึงพบกับมลธิกากับสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่

“ ถ้ามีประกวดเล่นดนตรีคู่ น่าจะส่งคุณภาคกับคุณเล็กไปแข่งดูนะคะคุณมล ”

มลธิกายิ้มละไมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำชื่นชมแล้วจึงเดินเข้าไปหาหลานสาวกับลูกชายของเพื่อนที่มาปรากฏตัวภายในบ้านได้อย่างไรก็ไม่รู้

“ แม่บอกเล็กแล้วไม่ใช่หรือลูก ว่าอย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ” นางทวงถามถึงคำสั่งของตนเองหากแววน้ำเสียงปราณีเกินกว่าจะเคืองขุ่น

“ ยัยตัวเล็กไม่เกี่ยวครับป้ามล...ผมเดินเข้ามาเอง ผมแค่อยากเล่นเปียโนให้เขาฟังเฉยๆ อย่าดุเขานะครับ ”

เจ้าของบ้านกระพริบตาด้วยประหลาดใจที่เห็นเด็กหนุ่มข้างบ้านออกโรงปกป้องคนอื่นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ ภาครู้จักกับเล็กเขาแล้วเหรอ ”

“ ผมรู้แค่ว่าน้องเขาคงจะชื่อเล็ก เป็นหลานสาวป้ามล ”

“ แล้วกัน...เห็นทำท่าซะก็นึกว่ารู้จักกันดีแล้วเสียอีก ” นางว่าพลางหัวเราะ แต่ภาควัฒน์กับศศิวิมลกลับรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที

ศิระแบกหน้าตำราเรียนพิเศษของตัวเองกับหนังสืออ่านเล่นที่ซื้อมาฝากน้องกลับเข้ามาในบ้าน พอยกมือไหว้ผู้เป็นป้าเสร็จจึงเห็นน้องสาวของตัวเองอยู่กับเด็กหนุ่มแปลกหน้าวัยไล่เลี่ยกับเขาอยู่ตรงส่วนที่จัดไว้รับแขก

แว่บแรกที่เห็นหน้าก็รู้สึกไม่ถูกชะตาขึ้นมาเสียแล้ว

“ ใหญ่กลับมาพอดีเลย อย่างนี้ก็ดีจะได้แนะนำให้รู้จักกันทีเดียว นี่ตาใหญ่จ๊ะ ส่วนคนที่เล่นซอกับภาคนะชื่อ เล็ก เป็นหลานของป้าเอง ” แนะนำแล้วผายมือไปอีกทาง “ ส่วนคนนี้ชื่อภาควัฒน์ เป็นลูกชายของลุงพันธ์กับป้าพิณเพื่อนของแม่ที่อยู่บ้านติดกับเราไง ภาคเขาอายุเท่ากับใหญ่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ”

ภาควัฒน์มองศิระตั้งแต่หัวจรดเท้าก็สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่อีกฝ่ายแสดงออกผ่านดวงตาคมคู่นั้น

สาวใช้อีกคนเดินเข้ามาในบ้านเพื่อรายงานให้มลธิกาทราบว่า แม่นมของภาควัฒน์มาตามตัวให้กลับไปเรียนพิเศษประวัติศาสตร์ต่อได้แล้ว

“ สงสัยผมคงต้องกลับบ้านแล้ว ” เขาบอกออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ วันไหนว่างก็แวะมาที่นี่ก็ได้นะภาค เล็กกับใหญ่เขาจะได้มีเพื่อน เราเองจะได้ไม่เบื่อแล้วไปพาลกับใครด้วย” เจ้าของบ้านเอ่ยปากชวน

“ ฉันมาที่นี่อีกได้ไหม ” น้ำเสียงอ่อนถาม...เด็กหญิงแย้มริมฝีปากกว้างพยักหน้าตอบรับไปโดยไม่ต้องคิด ทำเอาศิระหน้าตึงมือไม้แข็งเย็นไปหมด

“ งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะตัวเล็ก ” เขาเอื้อมมือออกไปลูบผมคนตรงหน้าเบาๆ ก้มหัวให้มลธิกาเล็กน้อยก็เดินกลับออกไปทางเก่า

ศศิวิมลยืนมองร่างที่พ้นประตูบานเฟี้ยมไปนิ่งแล้วยกมือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหน้าอก

...หัวใจเต้นระรัวแรงในความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นผ่านบทเพลงไทยเดิมเพียงเพลงเดียว...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2554, 02:35:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2554, 02:35:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2940





   บทที่ 2 >>
ปูสีน้ำเงิน 29 ก.ค. 2554, 13:48:44 น.
ยังงี้เรียกรักแรกพบได้ไหม๊เนี่ย


silverraindrop 11 ม.ค. 2555, 10:24:30 น.
ว้าว ท่าจะรักแรกพบ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account