จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน
ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น
" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 2
*** ขอบคุณมากนะคะที่เข้ามาอ่าน
เรื่องนี้จะออกแนว โรแมนติดดราม่า เตรียมทิชชู่ำไว้บ้างก็ดีนะคะ TT_TT
ตอนอ่านอยากให้ฟังเพลงไปด้วยนะคะ
เลยจะเอาลิ้งก์เพลงมาลงให้
อ่านแล้วเป็นยังไงติชมกันได้นะคะ ***
-------http://youtu.be/VKymrawSuDQ-------
บทที่ ๒
ปากกาจรดปลายแหลมลงบนหน้ากระดาษปล่อยน้ำหมึกสีน้ำเงินให้กลายเป็นเส้นตามการเคลื่อนไหวของข้อมือและค่อยๆปรากฏตัวอักษรที่บรรจงเขียนทีละตัวจนเป็นประโยค แล้วในท้ายที่สุดก็กลายเป็นเรียงความหนึ่งหน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในหัวข้อ อนาคตที่คาดหวัง
นิ้วเรียวแข็งดึงเรียงความแผ่นนั้นจากเจ้าของมาอย่างรวดเร็ว ไล้สายตาอ่านข้อความทั้งหมดที่คนเขียนต้องการสื่อสารก่อนหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา
“ นี่เล็กเอาจริงหรือเปล่า อยากเป็นนักดนตรีไทยเนี่ยนะ ” เสียงทุ้มต่ำแหย่เด็กสาวผมยาวสวมชุดกระโปรงสีหวานที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยหลังโต๊ะไม้เตี้ยที่กองเต็มไปด้วยอุปกรณ์การเรียนทั้งหลาย
“ เป็นนักดนตรีไทยมันตลกตรงไหนเหรอคะ ”
“ อยากเป็นนะได้นะ แต่เอาเป็นอาชีพเดี๋ยวอดตายพอดี ” ภาควัฒน์ตอบทั้งที่ยังหัวร่องอหายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับร่างผอมบางที่นั่งอยู่ก่อนหน้า “ ถ้าอยากเป็นจริงๆ เล็กต้องรู้จักคนเยอะกว่านี้ ต้องพยายามหาคนส่งเสริม เล็กมีโลกแค่บ้านกับโรงเรียน จะเป็นนักดนตรีไทยมันจะรอดไหม ”
ศศิวิมลเหลือบมองดวงหน้าคมแล้วถอนหายใจให้กับความเป็นจริงทุกประการที่อีกฝ่ายกล่าวมา...ชีวิตของเธอในแต่ละวันดำเนินไปอย่างเงียบเหงา การออกไปข้างนอกบ้านกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคนในบ้านจนกลายเป็นเธอต้องยอมจำนนให้โลกตัวเองมีเพียงบ้านกับโรงเรียน ต่างจากพี่ชายที่ผู้เป็นป้ามักพาติดสอยห้อยตามไปทุกที่ด้วยเสมอ
อาจเป็นความทุกข์บ้างในบางครา แต่การมีภาควัฒน์เข้ามาในชีวิต ได้ใช้เวลาร่วมกันแม้จะบางวันอาจจะน้อยนิดก็ช่วยเติมเต็มความสุขจนลืมสิ้นความเปล่าเปลี่ยว ไม่ว่าเขาจะปากร้ายและเจ้าอารมณ์กับใครอื่นทว่ายามอยู่ด้วยกัน เขากลับแตกต่างและมีความหมายยิ่งสำหรับเธอ
“ เล็กแค่เขียนความฝันตัวเองลงไปเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นจริงๆหรอกค่ะ ”
เด็กหนุ่มอมยิ้มให้กับใบหน้าหวานหากฉายแววเศร้า ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะ สัมผัสผมนุ่มสลวยนั้นอย่างนุ่มนวลพลางปลอบ
“ แต่ถ้าโตกว่านี้แล้วความฝันนี้ยังไม่เปลี่ยน ถึงตอนนั้นพี่จะช่วยให้เล็กสมหวังเอง ”
เสียงทุ้มอบอุ่นกับแววตาละมุนของเด็กหนุ่มไม่เหลือภาพลักษณ์ก้าวกระด้างอย่างที่เห็นจนเจนตาแทบหมดสิ้น ยามใดที่ทายาทวิสุทธิ์สุนทรอยู่ใกล้หลานสาวของบ้านอังคพิมานจะกลายเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ นี่ก็จะหกโมงเย็นแล้ว พี่ภาคไม่ต้องกลับไปช่วยลุงพันธ์กับป้าพิณจัดงานเลี้ยงเหรอคะ ” เอ่ยถามเพราะจำได้ว่าวันนี้ที่คฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรจะมีงานเลี้ยงครบรอบการก่อตั้งบริษัทจัดขึ้นในสวน
แปลกที่เด็กหนุ่มกลับถอนหายใจแทนที่จะเย้ยหยันคนในบ้านอย่างที่เคย หากจะว่าไปแล้ว ตลอดวันที่เขามาเล่นที่นี่ เด็กหญิงก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติคล้ายกับเขามีเรื่องราวอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
“ พี่ไม่อยากกลับบ้าน ถ้าพี่ทำได้นะ พี่ก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ” เขารำพึง ความห่วงอาทรในกันและกันอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยิ่งผูกหัวใจคนโตไว้ที่คนตัวเล็กจนไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงการพรากจากกันที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
เด็กหญิงทอดสายตามองรอยยิ้มของเขา อาจจะไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ แต่การฝืนยิ้มแสร้งไม่รู้สึกอะไรทั้งที่หัวใจเจ็บปวดเป็นสิ่งที่คนเฝ้าสังเกตใกล้ชิดสัมผัสได้
หากจะเปรียบปูซึ่งมีกระดองแข็งแต่ภายในนั้นไซร้อ่อนนิ่มกับคนตรงหน้าก็ไม่ผิด เพราะใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้าง หัวใจของภาควัฒน์เต็มไปด้วยความอ่อนไหว...การขาดความรักและถูกกดดันจากครอบครัวอย่างหนักหนาเป็นเหตุผลให้สร้างปราการปกป้องตัวเอง และคงมีเพียงศศิวิมลที่ใช้หัวใจสร้างมิตรภาพกับเขาเท่านั้นที่รู้จักตัวตนแท้จริงนี้
“ พี่ภาคเป็นอะไรคะ ท่าทางแปลกๆมาตั้งแต่เช้าแล้ว ” เอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปสัมผัสแขนเขาเบาๆ
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากลูบมือเล็กตรงแขนของตัวเองไปมาก่อนตัดสินใจสารภาพเรื่องที่เก็บมาตลอดวัน
“ พี่ต้องไปอเมริกาวันจันทร์นี้ ” โพล่งออกไปในที่สุด
ถ้อยประโยคของเขาทำเอาคนฟังเผลอปล่อยปากกาที่ถือไว้หล่นลงพื้น... ดวงตาอมโศกจับนิ่งยังผู้พูด หัวใจภายในหายวาบไปพร้อมกับอาการชาทั้งร่างกาย
“ ที่วันนี้พี่มาหาได้ตั้งแต่เช้าแล้วทำท่าทางแปลกๆ เพราะพี่อยากบอกเรื่องนี้ให้เล็กรู้ แต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆจะพูดให้ฟังสักที ”
“ ทำไมถึงเร็วนัก ” คำที่ลอดจากริมฝีปากแผ่วเบาราวกระซิบ สติสัมปชัญญะในเวลานั้นคล้ายหลุดหาย
“ ไม่เร็วหรอก...พ่อพี่เขาจัดการเรื่องนี้ล่วงหน้าตั้งหลายเดือนแล้ว พอเอกสารต่าง สถานที่พักกับที่เรียนพร้อมพอถึงเวลาคิดจะส่งไปเมื่อไหร่ก็มาบอกไว้ก่อนวันสองวัน ก็อย่างที่รู้ พี่มันก็แค่คนที่เขาเห็นเป็นทายาททางธุรกิจเท่านั้นแหละ ไม่เคยคิดไม่เคยตัดสินใจอะไรได้เองหรอก ” เขาหัวเราะในลำคออย่างสมเพชตัวเอง หันไปทางรั้วสูงเพื่อมองข้ามไปยังหลังคาคฤหาสน์ นัยน์ตาฉายแววโกรธขึ้ง...สำหรับพ่อแม่คงไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าการรักษาชื่อเสียงและธุรกิจ
“ ไปนานแค่ไหนหรือคะ ”
“ ตอบไม่ได้เหมือนกัน พี่รู้แค่ว่า เราสองคนคงไม่ได้เจอกันอีกนาน ” ถ้อยความสุดท้ายหลุดออกมาอย่างยากเย็น วินาทีต่อจากนั้นคล้ายมีบางสิ่งกระตุกหัวใจให้ปวดแปลบ
“ ถ้าพี่ภาคไม่อยู่เล็กคงเหงา...เหงามาก ” ประโยคสุดท้ายลอดออกมาพร้อมกับลมหายใจขาดห้วง...ใบหน้าหวานก้มลงมองพื้นเพื่อซ่อนน้ำตาอุ่นที่เอ่อคลอหน่วย
บ่อยครั้งที่ความสุขมักถูกพรากไปในช่วงเวลาอันรวดเร็ว...ศศิวิมลเข้าใจความรู้สึกทรมานนั้นเป็นอย่างดี แม้คราวนี้ความทุกข์จะเล็กน้อยกว่าการสูญเสียแม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหัวใจจะไม่บาดเจ็บ
“ ไม่หรอก เดี๋ยวพอขึ้นมัธยมก็มีเพื่อนใหม่เยอะแยะ ถึงตอนนั้นเล็กอาจจะลืมพี่ไปแล้วก็ได้” เขาเย้าพยายามให้อีกฝ่ายไม่รู้ถึงความเศร้าที่เข้าเกาะกุม
“ เล็กไม่มีวันลืมพี่ภาคหรอกค่ะ ไม่ว่าพี่ภาคจะอยู่ที่ไหน เล็กก็คิดถึงพี่เสมอ” เสียงสั่นระริกเอ่ยคำมั่น น้ำใสหยดลงกระโปรงตัวสวยก่อนที่นิ้วเรียวจะยื่นมาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ อย่าร้องไห้เลย...พี่ไปเรียนไม่ได้ไปรบนะ วันไหนคิดถึงก็โทรมาหาหรือส่งอีเมล์มาก็ได้ พี่จะรีบตอบให้เร็วที่สุดเลย พี่สัญญา ” นิ้วก้อยยกขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วเล็กไว้แน่นแต่น้ำตาของเด็กหญิงกลับท่วมล้นทำนบดวงตา “ คนดีอย่าร้องเลย พี่มีของอะไรจะให้เล็กด้วยนะ ”
ลูบมือลงไปในกระเป๋าเสื้อกลับไม่พบของที่เตรียมจะมอบให้ จึงบอกให้เด็กหญิงรอก่อนจะวิ่งลงจากเรือนเล็กใช้วิธีปีนต้นไม้ข้ามไปอีกฟากอย่างรีบร้อน
เด็กหญิงปล่อยหยาดน้ำตาลงอาบสองแก้มพลางสะอื้นฮักทันทีที่ร่างเขาหายไปหลังกำแพง โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งวางตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ลงข้างๆเธอ
“ พี่กลับมาแล้ว...ซื้อตุ๊กตามาฝากด้วยนะ เล็กชอบไหม ” ศิระบอกน้องสาว ค่อยๆทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เหมือนที่เคยทำเวลาอยู่ลำพังเพียงสองคนพี่น้อง
ทว่าภาพที่เห็นทำเอาผู้เป็นพี่ถึงกับหยุดหายใจไปหลายวินาที รอยยิ้มเหยียดกว้างกลับเม้มแน่น หน้าผกายับย่นจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“ เล็กร้องไห้ทำไม ” เสียงที่ถามนั้นแข็งผิดทุกครา...คนเป็นน้องรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนหน้าพยายามไม่ให้พี่ชายเห็น แต่ไม่ทันเพราะมือใหญ่รีบคว้าแขนแล้วดึงให้ร่างที่นั่งอยู่หันมาเผชิญหน้ากัน
“ ใครทำอะไรเล็ก ” ย้ำอีกครั้งหากน้องยังเงียบมีเพียงไหล่ที่ไหวไปตามแรงสะอื้น
ศิระสูดลมหายใจกดความทรมาน เขาเคยปฏิญาณต่อหน้าศพแม่ว่าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายน้องเป็นอันขาด...แขนทั้งสองยกขึ้นโอบรอบร่างเล็กเพื่อปลอบประโลม แล้วทำนบน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กลั้นไว้ก็ทลายลง ศศิวิมลซบหน้าลงกับอกของพี่อย่างหมดท่า
“ เล็กเป็นอะไร บอกพี่สิ ” เขากระซิบ ใช้ปลายนิ้วปัดผมของน้องแผ่วเบาผิดกับนัยน์ตาที่มองทุกอย่างรอบตัวดุดันประหนึ่งกับเกลียดชังโลก ยิ่งเหลือบเห็นแก้วน้ำสองใบวางอยู่บนโต๊ะก็นึกรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นต้นเหตุหมัดทั้งสองก็กำแน่นด้วยความแค้น
มลธิกาที่เพิ่งเดินออกมาสมทบตรงเฉลียงบ้านชะงักเท้าทันทีที่เห็นหลานสาวร้องไห้หนัก รีบวิ่งเข้าไปหาจากนั้นก็ดึงศศิวิมลให้พ้นจากอ้อมแขนของศิระมาสู่ตนเอง
“ เล็กเป็นอะไรลูก...ร้องไห้ทำไม...หนูเจ็บตรงไหนบอกแม่สิ ” นางถามไถ่ก่อนจะเห็นศิระลุกพรวดพราดปีนต้นไม้ข้ามไปบ้านใกล้กันโดยไม่ฟังกระทั่งเสียงร้องห้าม
เท่านั้นเด็กหญิงที่ถูกกอดอย่างทะนุถนอมได้สติกลับคืน ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง รีบบอกผู้เป็นป้าถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะดำเนินขึ้น มลธิกายกมือทาบอกรีบลุกฉุดหลานสาวให้ตามตัวเองไปในทันที
-----------------------------------------------------------------------------------
แสงไฟจำนวนมากประดับประดาโดยรอบยิ่งทำให้บริเวณของตระกูลวิสุทธิ์สุนทรสวยงามตระการตา ภายในสวนกว้างที่ทุกวันมักเงียบเหงาบัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ มีทั้งคนรับใช้ที่ถูกเกณฑ์ให้ออกมาช่วยจัดงาน ทั้งพนักงานจากบริษัทออแกไนซ์ที่เจ้าของบ้านจ้างมาให้คิดคอนเซ็ปต์และตรวจตราความเรียบร้อยของงาน
ในของส่วนอาหารและเครื่องดื่มที่ไว้บริการแขกเป็นฝีมือการปรุงโดยเชฟประจำโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาว บนเวทีในสวนมีนักดนตรีคอยบรรเลงเพลงแจ๊ซขับกล่อมตลอดงาน
ทุกอย่างจัดเตรียมเพียบพร้อมสำหรับแขกพิเศษที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบการก่อตั้งบริษัท ‘โชเนน ฟราว’ บริษัทผลิตเครื่องสำอาง ส่วนผสมเครื่องสำอางค์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากธรรมชาติที่เน้นทำการตลาดกับกลุ่มผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะ และถึงแม้ว่าสินค้าภายใต้แบรนด์นี้จะไม่เป็นที่รู้จักของลูกค้าในประเทศมากนัก แต่ในต่างประเทศกลับมียอดการส่งออกที่สร้างผลกำไรต่อปีเป็นที่น่าพอใจ
ภาควัฒน์เหยียดมุมปากให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น...มีเพียงการจัดงานครบรอบบริษัทปีละครั้งเท่านั้นที่บ้านอันเงียบเหงาไร้เงาเจ้าของจะกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวา
...ก็แค่อยากอวดอ้างชื่อเสียง...เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างสังเวชใจก่อนจะวิ่งผ่านซุ้มประตูหินอ่อนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรางดงามประหนึ่งเป็นที่พักในราชวังยุโรป
“ แกหายไปไหนมา...ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้เตรียมตัวรับแขกในงาน ”
ภาคพันธ์กอดอกจ้องคนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านด้วยสายตาดุดัน...ไม่พอใจการกระทำของลูกชาย
“ คนก็มีเต็มบ้าน...ทำไมต้องให้ผมมารับแขกด้วย ”
“ แต่แกเป็นลูกฉัน แกจำเป็นต้องทำความรู้จักกับแขกในงาน แขกที่พ่อเชิญมามีแต่คนใหญ่คนโตที่จะช่วยธุรกิจเราได้ในอนาคต ” พูดพลางถอนลมหายใจ “ ทำไมแกไม่หัดทำตัวเหมือนใหญ่เขาบ้าง พ่อไม่เห็นใหญ่มีปัญหาเวลาต้องต้อนรับแขกของป้าเขาเลย ”
“ ก็ผมปั้นหน้าไม่เก่งเท่าไอ้ใหญ่...ถ้าพ่อชอบมันนัก ทำไมไม่ให้มารับแขกแทนผมล่ะ ” เขาประชดแล้วเบะปาก ออกอาการเกลียดขี้หน้าคนที่เอ่ยถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่รู้จักกับหลานชายของมลธิกามา ไม่มีเรื่องใดเลยที่พ่อจะไม่ยกเขาไปเปรียบเทียบ
“ แกอย่าย้อนฉันนะ...ฉันให้เวลาแกแต่งตัวสิบนาที ถ้าฉันกลับมาแล้วไม่เห็นแกอยู่ตรงนี้ แกกับฉันเห็นดีกันแน่ ” สั่งลูกได้ก็หุนหันออกจากบ้านปล่อยให้ลูกชาย กำหมัดแน่นอย่างใกล้หมดความอดทนเต็มที
...ต้องเอาของไปให้ยัยตัวเล็ก...เขาห้ามความโกรธด้วยการคิดถึงคนที่รออยู่ พรวดพราดขึ้นบันไดหายเข้าไปในห้องนอนอยู่นานสองนานก็วิ่งกลับลงมาทางเก่าอย่างรีบร้อน ผ่านสวนและกลุ่มคนมากมายหายเข้าไปทางด้านหลังของคฤหาสน์
ลมกรรโชกแรงพัดกิ่งไม้ไหวเอน ท้องฟ้าโรยความมืดครอบคลุมพื้นโลกตามเวลา ทว่าแสงไฟสว่างเจิดจ้ากลับทำให้มองเห็นโดยรอบอย่างชัดเจน และทำให้คนที่กำลังรีบเห็นเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันยืนรออยู่ด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“ อ้าวนึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้สองหน้านี่เอง ” ภาควัฒน์ล้อเลียน...หากดวงตาคมที่ประสานกับคนตรงหน้าไม่มีแววสนุกดังน้ำเสียง
เด็กหนุ่มทั้งสองเป็นศัตรูกันตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกและเมื่อศิระมีโอกาสย้ายจากโรงเรียนวัดสู่โรงเรียนนานาชาติ นับวันความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งก็รุนแรงเท่าทวี ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดทั้งสองก็หามาพิพาทกันได้เสมอ ต่างฝ่ายต่างเอาชนะคะคานกันด้วยอารมณ์ ทว่าในท้ายที่สุดทุกอย่างจะลงเอยที่ภาควัฒน์เป็นฝ่ายถูกตำหนิและลงโทษเพียงคนเดียว ด้วยไม่มีใครเชื่อว่า เด็กเรียนผู้อ่อนน้อมอย่างศิระจะมีพฤติกรรมหาเรื่องใครได้
ศิระยังนิ่ง ยกมือขึ้นกอดอกพินิจอีกฝ่ายหยามเหยียดเสียจนคนอารมณ์ร้อนดังไฟเสมอเหมือนตะกอนใต้อ่างน้ำที่ถูกกวนจนขุ่นหมองเริ่มชักสีหน้า
“ กูล่ะเบื่อไอ้นิสัยชอบมองคนอื่นต่ำกว่าของมึงจริงๆ ถ้าไม่พอใจอะไรมาชกกับกูเลยไหม อย่ามัวแต่ปอดแหกทำเป็นสุภาพชนอยู่... ”ไม่รอให้จบคำ หมัดของศิระเหวี่ยงตรงเข้าแก้มซ้ายของอีกฝ่ายถนัดถนี่ ความแรงนั้นทำเอาใบหน้าคนพูดสะบัดเซถลาไป
ภาควัฒน์ส่ายศีรษะไปมาเพราะอาการมึน ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปากจึงเห็นเลือดติดปลายนิ้ว พอเห็นอีกฝ่ายปรี่เข้ามาจะซ้ำเลยสวนหมัดตรงชกเข้าอย่างจังที่จมูก
เวลาต่อมาการวิวาทก็ลุกลามใหญ่โต เด็กหนุ่มทั้งสองกอดรัดฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ความแค้นในใจที่สุมกันมาเนิ่นนานถูกงัดออกมาเป็นพลังในการระบายออก...กว่าจะมีคนช่วยยุติศึกก็ได้ทั้งคู่ก็มีสภาพสะบักสะบอมเต็มที
มลธิการพาศศิวิมลวิ่งมาพบเข้ากับภาคพันธ์ที่จูงมืออรพิณมาดูต้นเหตุแห่งเสียงอึกทึก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคนอาบไปด้วยเลือดและอาการบวมปูด
“ เกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา ถึงฟัดกันเหมือนหมาแบบนี้ ” เจ้าของบ้านร้องถามอย่างหัวเสีย
“ ตายแล้วตาใหญ่ ทำไมทำแบบนี้ ”
ศิระยกมือเช็ดเลือดที่เปื้อนมุมปาก ดวงตาเคืองแค้นยังฉายอยู่ชัดเจน ขณะที่ภาควัฒน์พ่นเลือดในปากลงพื้นหญ้า ความอาฆาตอาบบนดวงตาไม่แผกกัน
“ ทำไมไม่ถามไอ้ใหญ่ว่าเป็นห่าอะไรถึงมาต่อยผมก่อนนะ ” ก่นด่าพลางชี้หน้าคู่กรณี
ตัวมลธิกาเองก็มิได้แปลกใจอะไรหากครั้งนี้หลานชายจะเป็นฝ่ายผิด เพราะบ่อยครั้งที่นางสังเกตเห็นว่า การทะเลาะเบาะแว้งของเด็กหนุ่มทั้งสองมักเริ่มต้นขึ้นจากความหวงน้องเกินไปของศิระ ซึ่งนางก็เข้าใจว่าเพราะอะไรหลานชายจึงเป็นเช่นนั้นและพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหานี้
“ ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างใหญ่จะหาเรื่องใคร ถ้าไม่ถูกทำร้ายก่อน...แกตอบฉันมาดีกว่าไอ้ภาค แกไปทำอะไรใหญ่เขา เขาถึงกล้าต่อยแก ” ภาคพันธ์ถามเอาเรื่อง ทุกคนหันมามองทายาทวิสุทธิ์สุนทรเป็นตาเดียวกัน
ภาพลักษณ์ดีงามตลอดมาของศิระเมื่อเทียบกับพฤติกรรมน่าเอือมระอาของลูกชายทำให้คำพูดไร้น้ำหนัก อีกฝ่ายมีหรือจะกล้าหาเรื่องใคร อย่างมากก็สู้เพื่อปกป้องตัวเอง
ภาควัฒน์เงยหน้ามองพ่อนิ่งนาน ริมฝีปากที่แตกสั่นระริกด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ...ความบอบช้ำนอกกายร้ายแรงน้อยกว่าในหัวใจมากนัก
“ คุณอย่าเพิ่งโทษลูกสิคะ ทำไมไม่ฟังที่ลูกพูดบ้างล่ะคะ ” อรพิณปรามสามี ก้มลงไปดูอาการลูกชายแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยกลัวชุดราคาแพงใช้ต้อนรับแขกจะเปื้อน
“ จริงอย่างที่พิณว่า ถ้าคุณพันธ์จะโทษ อย่าโทษแต่ตาภาคเลยค่ะ หลานชายมลเองบางทีเขาอาจเข้าใจอะไรผิดเลยมีเรื่องกันขึ้นมาก็ได้ ”
“ ลูกชายผม ผมรู้ดีว่ามันเป็นคนยังไง ถนัดนักทำแต่เรื่องชั่วๆให้คนอื่นเดือดร้อน เทียบกับตาใหญ่ที่ไม่เคยทำอะไรเสียหายเลยสักอย่าง จะให้ผมเชื่อเหรอว่า ตาใหญ่หาเรื่องลูกผมก่อน ” คนเป็นพ่อยังไม่หยุดกล่าวหา คนเป็นลูกกัดฟันแน่น
“ ถ้าพ่อเห็นผมมันเลวชาติมากขนาดนั้น ก็ไม่เป็นไร ผมยอมรับเลยแล้วกันว่าเป็นคนต่อยไอ้ใหญ่มันก่อน รู้แล้วเป็นไง พอใจกันไหม "
“ นั่นไง แกยอมรับจนได้ว่าเริ่มก่อน ในเมื่อเป็นแบบนี้ แกก็ขอโทษใหญ่เขาซะ ”
“ ผมไม่ขอโทษ ” แรงทิฐิทำให้ยอมงัดข้อกับผู้เป็นพ่อ
ภาคพันธ์ตาแข็งจ้องความยะโสของลูกชายขึ้งเคียด กระชากแขนลูกให้ลุกจากพื้นมาเผชิญหน้ากัน
“ แกอย่าอวดดีกับฉันนะไอ้ภาค...ทำผิดอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ แกต้องขอโทษใหญ่เขาเดี๋ยวนี้ ” ออกคำสั่งเสียงเข้มจริงจังประกาศให้รู้ว่าวาจานี้เป็นประกาศิตห้ามคิดต่อต้าน แต่คนตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการเป็นนานกัดริมฝีปากแรงจนเลือดไหลซึมยืนกรานดังเดิม
“ ผมไม่ขอโทษ ”
ความอดทนทั้งหมดของภาคพันธ์พังครืนเมื่อเห็นลูกชายยังไม่สำเหนียก ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มอย่างแรงจนร่างที่บอบช้ำอยู่แล้วล้มลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องตกใจ
“ ถ้าแกไม่อยากถูกฉันกระทืบ ขอโทษใหญ่เขาซะ ”
ความสัมพันธ์ที่นับวันจะเหลือเพียงเส้นบางเบาซึ่งลูกใช้เป็นหลักยึดมั่นว่าในเสี้ยวหัวใจของพ่อแม่ยังมีเขาอยู่ขาดสะบั้น เสี้ยวเวลานั้นเหมือนทุกอย่างล่มสลายดังปราสาททรายที่ถูกน้ำซัดสาด
“ ถึงกระทืบจนตาย ผมก็ไม่ขอโทษ ” เค้นเสียงแต่ละคำชัด กระตุ้นอารมณ์ของผู้เป็นพ่อให้อยากกระทำให้สมใจความอวดดีของลูก
ศศิวิมลน้ำตาร่วง ทนไม่ไหววิ่งเข้าไปเกาะแขนภาคพันธ์แน่นพลางยกมือไหว้ขอร้อง
“ เรื่องนี้เล็กผิดเองค่ะคุณลุง เล็กต่างหากที่คุณลุงควรตี ไม่ใช่พี่ภาค ตีเล็กเถอะ อย่าทำพี่ภาคอีกเลย ” วิงวอนทั้งน้ำตา ศิระหุบยิ้มทันทีที่เห็นน้องสาวเอาตัวเองปกป้องศัตรูก็รู้สึกรวดร้าวราวกับถูกไม้แหลมทิ่มทะลุกลางอก
“ คุณพันธ์จะเอาคุณภาคให้ถึงตายเลยหรือคะ คุณภาคเป็นลูกนะคะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ที่พอโมโหก็ทำเหมือนหมูเหมือนหมา ” ยายช้อยร้องรีบเข้าไปประคองคุณหนูที่เจ็บปางตายทั้งน้ำตา อรพิณมองกายปวกเปียกของลูกได้แต่ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นจากความสงสารลูก
ภาคพันธ์ออกอาการฮึดฮัดที่ทุกคนประสานเสียงให้หยุดแต่ก็ยอมจำนน
“ ผมจะยอมปล่อยมันไปสักวัน...แต่แกจำไว้นะไอ้ภาค ถ้าคราวหน้าแกทำผิดแล้วไม่สำนึกอีก แกโดนหนักกว่านี้แน่ ”
ผู้เป็นพ่อจากไปทิ้งไว้เพียงรอยร้าวในใจ...ภาควัฒน์ปล่อยให้ยายช้อยช่วยพยุงตัวเองที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกไปอย่างช้าๆ อรพิณหน้าซีดเซียวยื่นมือออกไปจับแต่ลูกกลับเบี่ยงหลบ
“ อย่าจับ เดี๋ยวติดเลือดชั่ว ” เอ่ยมาอย่างเย็นชา แสดงออกชัดเจนว่าแม่สูงส่งเกินกว่าจะเข้าใกล้...อรพิณชะงัก นัยน์ตาพร่างพราวด้วยน้ำทำให้มองเห็นลูกไม่ชัดแต่รู้สึกได้ถึงความทุกข์
เด็กหญิงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างห่วงใย กลั้นสะอื้นยามเห็นร่องรอยฟกช้ำใกล้ๆ อยากจะเข้าช่วยพยุงเขาไปส่งถึงหน้าห้อง แต่พอมือสัมผัสถูกตัวก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนเขา
“ วันนี้พี่สัญญากับตัวเองว่า ถึงอเมริกาเมื่อไหร่ พี่จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก ” เว้นจังหวะข่มความขมขื่น “ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่จะคิดถึงเล็ก...ต่อแต่นี้ไปเล็กเองก็ลืมพี่เถอะนะ ลืมซะให้หมดจากใจ เพราะมันเป็นทางเดียวที่เล็กจะไม่เสียใจเมื่อพี่ต้องจากเล็กไปตลอดกาล ”
ลมหายใจขาดเป็นห้วงทุกครั้งที่ใช้แรงพูด สายสร้อยเงินห้อยจี้เปียโนจิ๋วร่วงจากปลายนิ้วสู่พื้นแล้วจึงปลดแขนทั้งสองจากการกอดสอดเข้าไปหาแม่นมให้ช่วยพาตัวเองไปให้พ้นเพราะกลัวเด็กหญิงที่เขาผูกพันจะเห็นน้ำตาลูกผู้ชายเอ่อท้นจากหัวใจที่แตกสลายจนมิอาจประสานคืน
ศศิวิมลมองเขาอย่างอาลัย ริมฝีปากอิ่มสั่นเทาพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสายธาร ดวงใจถูกความระทมเศร้าทำลายกลายเป็นเสี่ยง เข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบทรุดลงพื้นตรงหน้าสายสร้อย มือทั้งสองคว้ามันมาไว้แนบอกก่อนที่ภาพทุกอย่างในโลกจะดับมืดลง
เรื่องนี้จะออกแนว โรแมนติดดราม่า เตรียมทิชชู่ำไว้บ้างก็ดีนะคะ TT_TT
ตอนอ่านอยากให้ฟังเพลงไปด้วยนะคะ
เลยจะเอาลิ้งก์เพลงมาลงให้
อ่านแล้วเป็นยังไงติชมกันได้นะคะ ***
-------http://youtu.be/VKymrawSuDQ-------
บทที่ ๒
ปากกาจรดปลายแหลมลงบนหน้ากระดาษปล่อยน้ำหมึกสีน้ำเงินให้กลายเป็นเส้นตามการเคลื่อนไหวของข้อมือและค่อยๆปรากฏตัวอักษรที่บรรจงเขียนทีละตัวจนเป็นประโยค แล้วในท้ายที่สุดก็กลายเป็นเรียงความหนึ่งหน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในหัวข้อ อนาคตที่คาดหวัง
นิ้วเรียวแข็งดึงเรียงความแผ่นนั้นจากเจ้าของมาอย่างรวดเร็ว ไล้สายตาอ่านข้อความทั้งหมดที่คนเขียนต้องการสื่อสารก่อนหลุดหัวเราะเสียงดังออกมา
“ นี่เล็กเอาจริงหรือเปล่า อยากเป็นนักดนตรีไทยเนี่ยนะ ” เสียงทุ้มต่ำแหย่เด็กสาวผมยาวสวมชุดกระโปรงสีหวานที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยหลังโต๊ะไม้เตี้ยที่กองเต็มไปด้วยอุปกรณ์การเรียนทั้งหลาย
“ เป็นนักดนตรีไทยมันตลกตรงไหนเหรอคะ ”
“ อยากเป็นนะได้นะ แต่เอาเป็นอาชีพเดี๋ยวอดตายพอดี ” ภาควัฒน์ตอบทั้งที่ยังหัวร่องอหายก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับร่างผอมบางที่นั่งอยู่ก่อนหน้า “ ถ้าอยากเป็นจริงๆ เล็กต้องรู้จักคนเยอะกว่านี้ ต้องพยายามหาคนส่งเสริม เล็กมีโลกแค่บ้านกับโรงเรียน จะเป็นนักดนตรีไทยมันจะรอดไหม ”
ศศิวิมลเหลือบมองดวงหน้าคมแล้วถอนหายใจให้กับความเป็นจริงทุกประการที่อีกฝ่ายกล่าวมา...ชีวิตของเธอในแต่ละวันดำเนินไปอย่างเงียบเหงา การออกไปข้างนอกบ้านกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคนในบ้านจนกลายเป็นเธอต้องยอมจำนนให้โลกตัวเองมีเพียงบ้านกับโรงเรียน ต่างจากพี่ชายที่ผู้เป็นป้ามักพาติดสอยห้อยตามไปทุกที่ด้วยเสมอ
อาจเป็นความทุกข์บ้างในบางครา แต่การมีภาควัฒน์เข้ามาในชีวิต ได้ใช้เวลาร่วมกันแม้จะบางวันอาจจะน้อยนิดก็ช่วยเติมเต็มความสุขจนลืมสิ้นความเปล่าเปลี่ยว ไม่ว่าเขาจะปากร้ายและเจ้าอารมณ์กับใครอื่นทว่ายามอยู่ด้วยกัน เขากลับแตกต่างและมีความหมายยิ่งสำหรับเธอ
“ เล็กแค่เขียนความฝันตัวเองลงไปเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่าจะได้เป็นจริงๆหรอกค่ะ ”
เด็กหนุ่มอมยิ้มให้กับใบหน้าหวานหากฉายแววเศร้า ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบศีรษะ สัมผัสผมนุ่มสลวยนั้นอย่างนุ่มนวลพลางปลอบ
“ แต่ถ้าโตกว่านี้แล้วความฝันนี้ยังไม่เปลี่ยน ถึงตอนนั้นพี่จะช่วยให้เล็กสมหวังเอง ”
เสียงทุ้มอบอุ่นกับแววตาละมุนของเด็กหนุ่มไม่เหลือภาพลักษณ์ก้าวกระด้างอย่างที่เห็นจนเจนตาแทบหมดสิ้น ยามใดที่ทายาทวิสุทธิ์สุนทรอยู่ใกล้หลานสาวของบ้านอังคพิมานจะกลายเป็นคนนุ่มนวลอ่อนโยนได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ นี่ก็จะหกโมงเย็นแล้ว พี่ภาคไม่ต้องกลับไปช่วยลุงพันธ์กับป้าพิณจัดงานเลี้ยงเหรอคะ ” เอ่ยถามเพราะจำได้ว่าวันนี้ที่คฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรจะมีงานเลี้ยงครบรอบการก่อตั้งบริษัทจัดขึ้นในสวน
แปลกที่เด็กหนุ่มกลับถอนหายใจแทนที่จะเย้ยหยันคนในบ้านอย่างที่เคย หากจะว่าไปแล้ว ตลอดวันที่เขามาเล่นที่นี่ เด็กหญิงก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติคล้ายกับเขามีเรื่องราวอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่ในใจ
“ พี่ไม่อยากกลับบ้าน ถ้าพี่ทำได้นะ พี่ก็อยากอยู่ที่นี่ตลอดไป ” เขารำพึง ความห่วงอาทรในกันและกันอาจเป็นสิ่งหนึ่งที่ยิ่งผูกหัวใจคนโตไว้ที่คนตัวเล็กจนไม่อยากแม้แต่จะคิดถึงการพรากจากกันที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
เด็กหญิงทอดสายตามองรอยยิ้มของเขา อาจจะไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ แต่การฝืนยิ้มแสร้งไม่รู้สึกอะไรทั้งที่หัวใจเจ็บปวดเป็นสิ่งที่คนเฝ้าสังเกตใกล้ชิดสัมผัสได้
หากจะเปรียบปูซึ่งมีกระดองแข็งแต่ภายในนั้นไซร้อ่อนนิ่มกับคนตรงหน้าก็ไม่ผิด เพราะใต้เปลือกนอกอันแข็งกระด้าง หัวใจของภาควัฒน์เต็มไปด้วยความอ่อนไหว...การขาดความรักและถูกกดดันจากครอบครัวอย่างหนักหนาเป็นเหตุผลให้สร้างปราการปกป้องตัวเอง และคงมีเพียงศศิวิมลที่ใช้หัวใจสร้างมิตรภาพกับเขาเท่านั้นที่รู้จักตัวตนแท้จริงนี้
“ พี่ภาคเป็นอะไรคะ ท่าทางแปลกๆมาตั้งแต่เช้าแล้ว ” เอ่ยถามพลางเอื้อมมือไปสัมผัสแขนเขาเบาๆ
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากลูบมือเล็กตรงแขนของตัวเองไปมาก่อนตัดสินใจสารภาพเรื่องที่เก็บมาตลอดวัน
“ พี่ต้องไปอเมริกาวันจันทร์นี้ ” โพล่งออกไปในที่สุด
ถ้อยประโยคของเขาทำเอาคนฟังเผลอปล่อยปากกาที่ถือไว้หล่นลงพื้น... ดวงตาอมโศกจับนิ่งยังผู้พูด หัวใจภายในหายวาบไปพร้อมกับอาการชาทั้งร่างกาย
“ ที่วันนี้พี่มาหาได้ตั้งแต่เช้าแล้วทำท่าทางแปลกๆ เพราะพี่อยากบอกเรื่องนี้ให้เล็กรู้ แต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆจะพูดให้ฟังสักที ”
“ ทำไมถึงเร็วนัก ” คำที่ลอดจากริมฝีปากแผ่วเบาราวกระซิบ สติสัมปชัญญะในเวลานั้นคล้ายหลุดหาย
“ ไม่เร็วหรอก...พ่อพี่เขาจัดการเรื่องนี้ล่วงหน้าตั้งหลายเดือนแล้ว พอเอกสารต่าง สถานที่พักกับที่เรียนพร้อมพอถึงเวลาคิดจะส่งไปเมื่อไหร่ก็มาบอกไว้ก่อนวันสองวัน ก็อย่างที่รู้ พี่มันก็แค่คนที่เขาเห็นเป็นทายาททางธุรกิจเท่านั้นแหละ ไม่เคยคิดไม่เคยตัดสินใจอะไรได้เองหรอก ” เขาหัวเราะในลำคออย่างสมเพชตัวเอง หันไปทางรั้วสูงเพื่อมองข้ามไปยังหลังคาคฤหาสน์ นัยน์ตาฉายแววโกรธขึ้ง...สำหรับพ่อแม่คงไม่มีอะไรสำคัญเกินกว่าการรักษาชื่อเสียงและธุรกิจ
“ ไปนานแค่ไหนหรือคะ ”
“ ตอบไม่ได้เหมือนกัน พี่รู้แค่ว่า เราสองคนคงไม่ได้เจอกันอีกนาน ” ถ้อยความสุดท้ายหลุดออกมาอย่างยากเย็น วินาทีต่อจากนั้นคล้ายมีบางสิ่งกระตุกหัวใจให้ปวดแปลบ
“ ถ้าพี่ภาคไม่อยู่เล็กคงเหงา...เหงามาก ” ประโยคสุดท้ายลอดออกมาพร้อมกับลมหายใจขาดห้วง...ใบหน้าหวานก้มลงมองพื้นเพื่อซ่อนน้ำตาอุ่นที่เอ่อคลอหน่วย
บ่อยครั้งที่ความสุขมักถูกพรากไปในช่วงเวลาอันรวดเร็ว...ศศิวิมลเข้าใจความรู้สึกทรมานนั้นเป็นอย่างดี แม้คราวนี้ความทุกข์จะเล็กน้อยกว่าการสูญเสียแม่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหัวใจจะไม่บาดเจ็บ
“ ไม่หรอก เดี๋ยวพอขึ้นมัธยมก็มีเพื่อนใหม่เยอะแยะ ถึงตอนนั้นเล็กอาจจะลืมพี่ไปแล้วก็ได้” เขาเย้าพยายามให้อีกฝ่ายไม่รู้ถึงความเศร้าที่เข้าเกาะกุม
“ เล็กไม่มีวันลืมพี่ภาคหรอกค่ะ ไม่ว่าพี่ภาคจะอยู่ที่ไหน เล็กก็คิดถึงพี่เสมอ” เสียงสั่นระริกเอ่ยคำมั่น น้ำใสหยดลงกระโปรงตัวสวยก่อนที่นิ้วเรียวจะยื่นมาเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
“ อย่าร้องไห้เลย...พี่ไปเรียนไม่ได้ไปรบนะ วันไหนคิดถึงก็โทรมาหาหรือส่งอีเมล์มาก็ได้ พี่จะรีบตอบให้เร็วที่สุดเลย พี่สัญญา ” นิ้วก้อยยกขึ้นมาเกี่ยวกับนิ้วเล็กไว้แน่นแต่น้ำตาของเด็กหญิงกลับท่วมล้นทำนบดวงตา “ คนดีอย่าร้องเลย พี่มีของอะไรจะให้เล็กด้วยนะ ”
ลูบมือลงไปในกระเป๋าเสื้อกลับไม่พบของที่เตรียมจะมอบให้ จึงบอกให้เด็กหญิงรอก่อนจะวิ่งลงจากเรือนเล็กใช้วิธีปีนต้นไม้ข้ามไปอีกฟากอย่างรีบร้อน
เด็กหญิงปล่อยหยาดน้ำตาลงอาบสองแก้มพลางสะอื้นฮักทันทีที่ร่างเขาหายไปหลังกำแพง โดยไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีใครคนหนึ่งวางตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่ลงข้างๆเธอ
“ พี่กลับมาแล้ว...ซื้อตุ๊กตามาฝากด้วยนะ เล็กชอบไหม ” ศิระบอกน้องสาว ค่อยๆทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้เหมือนที่เคยทำเวลาอยู่ลำพังเพียงสองคนพี่น้อง
ทว่าภาพที่เห็นทำเอาผู้เป็นพี่ถึงกับหยุดหายใจไปหลายวินาที รอยยิ้มเหยียดกว้างกลับเม้มแน่น หน้าผกายับย่นจากคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน
“ เล็กร้องไห้ทำไม ” เสียงที่ถามนั้นแข็งผิดทุกครา...คนเป็นน้องรีบยกหลังมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เปื้อนหน้าพยายามไม่ให้พี่ชายเห็น แต่ไม่ทันเพราะมือใหญ่รีบคว้าแขนแล้วดึงให้ร่างที่นั่งอยู่หันมาเผชิญหน้ากัน
“ ใครทำอะไรเล็ก ” ย้ำอีกครั้งหากน้องยังเงียบมีเพียงไหล่ที่ไหวไปตามแรงสะอื้น
ศิระสูดลมหายใจกดความทรมาน เขาเคยปฏิญาณต่อหน้าศพแม่ว่าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายน้องเป็นอันขาด...แขนทั้งสองยกขึ้นโอบรอบร่างเล็กเพื่อปลอบประโลม แล้วทำนบน้ำตาที่สู้อุตส่าห์กลั้นไว้ก็ทลายลง ศศิวิมลซบหน้าลงกับอกของพี่อย่างหมดท่า
“ เล็กเป็นอะไร บอกพี่สิ ” เขากระซิบ ใช้ปลายนิ้วปัดผมของน้องแผ่วเบาผิดกับนัยน์ตาที่มองทุกอย่างรอบตัวดุดันประหนึ่งกับเกลียดชังโลก ยิ่งเหลือบเห็นแก้วน้ำสองใบวางอยู่บนโต๊ะก็นึกรู้ได้ทันทีว่าใครเป็นต้นเหตุหมัดทั้งสองก็กำแน่นด้วยความแค้น
มลธิกาที่เพิ่งเดินออกมาสมทบตรงเฉลียงบ้านชะงักเท้าทันทีที่เห็นหลานสาวร้องไห้หนัก รีบวิ่งเข้าไปหาจากนั้นก็ดึงศศิวิมลให้พ้นจากอ้อมแขนของศิระมาสู่ตนเอง
“ เล็กเป็นอะไรลูก...ร้องไห้ทำไม...หนูเจ็บตรงไหนบอกแม่สิ ” นางถามไถ่ก่อนจะเห็นศิระลุกพรวดพราดปีนต้นไม้ข้ามไปบ้านใกล้กันโดยไม่ฟังกระทั่งเสียงร้องห้าม
เท่านั้นเด็กหญิงที่ถูกกอดอย่างทะนุถนอมได้สติกลับคืน ดวงตาแดงก่ำเบิกกว้าง รีบบอกผู้เป็นป้าถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะดำเนินขึ้น มลธิกายกมือทาบอกรีบลุกฉุดหลานสาวให้ตามตัวเองไปในทันที
-----------------------------------------------------------------------------------
แสงไฟจำนวนมากประดับประดาโดยรอบยิ่งทำให้บริเวณของตระกูลวิสุทธิ์สุนทรสวยงามตระการตา ภายในสวนกว้างที่ทุกวันมักเงียบเหงาบัดนี้เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากเดินกันขวักไขว่ มีทั้งคนรับใช้ที่ถูกเกณฑ์ให้ออกมาช่วยจัดงาน ทั้งพนักงานจากบริษัทออแกไนซ์ที่เจ้าของบ้านจ้างมาให้คิดคอนเซ็ปต์และตรวจตราความเรียบร้อยของงาน
ในของส่วนอาหารและเครื่องดื่มที่ไว้บริการแขกเป็นฝีมือการปรุงโดยเชฟประจำโรงแรมชื่อดังระดับห้าดาว บนเวทีในสวนมีนักดนตรีคอยบรรเลงเพลงแจ๊ซขับกล่อมตลอดงาน
ทุกอย่างจัดเตรียมเพียบพร้อมสำหรับแขกพิเศษที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองครบรอบการก่อตั้งบริษัท ‘โชเนน ฟราว’ บริษัทผลิตเครื่องสำอาง ส่วนผสมเครื่องสำอางค์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากธรรมชาติที่เน้นทำการตลาดกับกลุ่มผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะ และถึงแม้ว่าสินค้าภายใต้แบรนด์นี้จะไม่เป็นที่รู้จักของลูกค้าในประเทศมากนัก แต่ในต่างประเทศกลับมียอดการส่งออกที่สร้างผลกำไรต่อปีเป็นที่น่าพอใจ
ภาควัฒน์เหยียดมุมปากให้กับความวุ่นวายที่เกิดขึ้น...มีเพียงการจัดงานครบรอบบริษัทปีละครั้งเท่านั้นที่บ้านอันเงียบเหงาไร้เงาเจ้าของจะกลับมาคึกคักมีชีวิตชีวา
...ก็แค่อยากอวดอ้างชื่อเสียง...เด็กหนุ่มส่ายหน้าอย่างสังเวชใจก่อนจะวิ่งผ่านซุ้มประตูหินอ่อนเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรางดงามประหนึ่งเป็นที่พักในราชวังยุโรป
“ แกหายไปไหนมา...ฉันบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้เตรียมตัวรับแขกในงาน ”
ภาคพันธ์กอดอกจ้องคนที่เพิ่งกลับเข้าบ้านด้วยสายตาดุดัน...ไม่พอใจการกระทำของลูกชาย
“ คนก็มีเต็มบ้าน...ทำไมต้องให้ผมมารับแขกด้วย ”
“ แต่แกเป็นลูกฉัน แกจำเป็นต้องทำความรู้จักกับแขกในงาน แขกที่พ่อเชิญมามีแต่คนใหญ่คนโตที่จะช่วยธุรกิจเราได้ในอนาคต ” พูดพลางถอนลมหายใจ “ ทำไมแกไม่หัดทำตัวเหมือนใหญ่เขาบ้าง พ่อไม่เห็นใหญ่มีปัญหาเวลาต้องต้อนรับแขกของป้าเขาเลย ”
“ ก็ผมปั้นหน้าไม่เก่งเท่าไอ้ใหญ่...ถ้าพ่อชอบมันนัก ทำไมไม่ให้มารับแขกแทนผมล่ะ ” เขาประชดแล้วเบะปาก ออกอาการเกลียดขี้หน้าคนที่เอ่ยถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่รู้จักกับหลานชายของมลธิกามา ไม่มีเรื่องใดเลยที่พ่อจะไม่ยกเขาไปเปรียบเทียบ
“ แกอย่าย้อนฉันนะ...ฉันให้เวลาแกแต่งตัวสิบนาที ถ้าฉันกลับมาแล้วไม่เห็นแกอยู่ตรงนี้ แกกับฉันเห็นดีกันแน่ ” สั่งลูกได้ก็หุนหันออกจากบ้านปล่อยให้ลูกชาย กำหมัดแน่นอย่างใกล้หมดความอดทนเต็มที
...ต้องเอาของไปให้ยัยตัวเล็ก...เขาห้ามความโกรธด้วยการคิดถึงคนที่รออยู่ พรวดพราดขึ้นบันไดหายเข้าไปในห้องนอนอยู่นานสองนานก็วิ่งกลับลงมาทางเก่าอย่างรีบร้อน ผ่านสวนและกลุ่มคนมากมายหายเข้าไปทางด้านหลังของคฤหาสน์
ลมกรรโชกแรงพัดกิ่งไม้ไหวเอน ท้องฟ้าโรยความมืดครอบคลุมพื้นโลกตามเวลา ทว่าแสงไฟสว่างเจิดจ้ากลับทำให้มองเห็นโดยรอบอย่างชัดเจน และทำให้คนที่กำลังรีบเห็นเด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันยืนรออยู่ด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“ อ้าวนึกว่าใคร ที่แท้ก็ไอ้สองหน้านี่เอง ” ภาควัฒน์ล้อเลียน...หากดวงตาคมที่ประสานกับคนตรงหน้าไม่มีแววสนุกดังน้ำเสียง
เด็กหนุ่มทั้งสองเป็นศัตรูกันตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรกและเมื่อศิระมีโอกาสย้ายจากโรงเรียนวัดสู่โรงเรียนนานาชาติ นับวันความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งก็รุนแรงเท่าทวี ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเพียงใดทั้งสองก็หามาพิพาทกันได้เสมอ ต่างฝ่ายต่างเอาชนะคะคานกันด้วยอารมณ์ ทว่าในท้ายที่สุดทุกอย่างจะลงเอยที่ภาควัฒน์เป็นฝ่ายถูกตำหนิและลงโทษเพียงคนเดียว ด้วยไม่มีใครเชื่อว่า เด็กเรียนผู้อ่อนน้อมอย่างศิระจะมีพฤติกรรมหาเรื่องใครได้
ศิระยังนิ่ง ยกมือขึ้นกอดอกพินิจอีกฝ่ายหยามเหยียดเสียจนคนอารมณ์ร้อนดังไฟเสมอเหมือนตะกอนใต้อ่างน้ำที่ถูกกวนจนขุ่นหมองเริ่มชักสีหน้า
“ กูล่ะเบื่อไอ้นิสัยชอบมองคนอื่นต่ำกว่าของมึงจริงๆ ถ้าไม่พอใจอะไรมาชกกับกูเลยไหม อย่ามัวแต่ปอดแหกทำเป็นสุภาพชนอยู่... ”ไม่รอให้จบคำ หมัดของศิระเหวี่ยงตรงเข้าแก้มซ้ายของอีกฝ่ายถนัดถนี่ ความแรงนั้นทำเอาใบหน้าคนพูดสะบัดเซถลาไป
ภาควัฒน์ส่ายศีรษะไปมาเพราะอาการมึน ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปากจึงเห็นเลือดติดปลายนิ้ว พอเห็นอีกฝ่ายปรี่เข้ามาจะซ้ำเลยสวนหมัดตรงชกเข้าอย่างจังที่จมูก
เวลาต่อมาการวิวาทก็ลุกลามใหญ่โต เด็กหนุ่มทั้งสองกอดรัดฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ความแค้นในใจที่สุมกันมาเนิ่นนานถูกงัดออกมาเป็นพลังในการระบายออก...กว่าจะมีคนช่วยยุติศึกก็ได้ทั้งคู่ก็มีสภาพสะบักสะบอมเต็มที
มลธิการพาศศิวิมลวิ่งมาพบเข้ากับภาคพันธ์ที่จูงมืออรพิณมาดูต้นเหตุแห่งเสียงอึกทึก ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มหน้าตาดีสองคนอาบไปด้วยเลือดและอาการบวมปูด
“ เกิดบ้าอะไรกันขึ้นมา ถึงฟัดกันเหมือนหมาแบบนี้ ” เจ้าของบ้านร้องถามอย่างหัวเสีย
“ ตายแล้วตาใหญ่ ทำไมทำแบบนี้ ”
ศิระยกมือเช็ดเลือดที่เปื้อนมุมปาก ดวงตาเคืองแค้นยังฉายอยู่ชัดเจน ขณะที่ภาควัฒน์พ่นเลือดในปากลงพื้นหญ้า ความอาฆาตอาบบนดวงตาไม่แผกกัน
“ ทำไมไม่ถามไอ้ใหญ่ว่าเป็นห่าอะไรถึงมาต่อยผมก่อนนะ ” ก่นด่าพลางชี้หน้าคู่กรณี
ตัวมลธิกาเองก็มิได้แปลกใจอะไรหากครั้งนี้หลานชายจะเป็นฝ่ายผิด เพราะบ่อยครั้งที่นางสังเกตเห็นว่า การทะเลาะเบาะแว้งของเด็กหนุ่มทั้งสองมักเริ่มต้นขึ้นจากความหวงน้องเกินไปของศิระ ซึ่งนางก็เข้าใจว่าเพราะอะไรหลานชายจึงเป็นเช่นนั้นและพยายามอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหานี้
“ ฉันไม่เชื่อว่าคนอย่างใหญ่จะหาเรื่องใคร ถ้าไม่ถูกทำร้ายก่อน...แกตอบฉันมาดีกว่าไอ้ภาค แกไปทำอะไรใหญ่เขา เขาถึงกล้าต่อยแก ” ภาคพันธ์ถามเอาเรื่อง ทุกคนหันมามองทายาทวิสุทธิ์สุนทรเป็นตาเดียวกัน
ภาพลักษณ์ดีงามตลอดมาของศิระเมื่อเทียบกับพฤติกรรมน่าเอือมระอาของลูกชายทำให้คำพูดไร้น้ำหนัก อีกฝ่ายมีหรือจะกล้าหาเรื่องใคร อย่างมากก็สู้เพื่อปกป้องตัวเอง
ภาควัฒน์เงยหน้ามองพ่อนิ่งนาน ริมฝีปากที่แตกสั่นระริกด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ...ความบอบช้ำนอกกายร้ายแรงน้อยกว่าในหัวใจมากนัก
“ คุณอย่าเพิ่งโทษลูกสิคะ ทำไมไม่ฟังที่ลูกพูดบ้างล่ะคะ ” อรพิณปรามสามี ก้มลงไปดูอาการลูกชายแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยกลัวชุดราคาแพงใช้ต้อนรับแขกจะเปื้อน
“ จริงอย่างที่พิณว่า ถ้าคุณพันธ์จะโทษ อย่าโทษแต่ตาภาคเลยค่ะ หลานชายมลเองบางทีเขาอาจเข้าใจอะไรผิดเลยมีเรื่องกันขึ้นมาก็ได้ ”
“ ลูกชายผม ผมรู้ดีว่ามันเป็นคนยังไง ถนัดนักทำแต่เรื่องชั่วๆให้คนอื่นเดือดร้อน เทียบกับตาใหญ่ที่ไม่เคยทำอะไรเสียหายเลยสักอย่าง จะให้ผมเชื่อเหรอว่า ตาใหญ่หาเรื่องลูกผมก่อน ” คนเป็นพ่อยังไม่หยุดกล่าวหา คนเป็นลูกกัดฟันแน่น
“ ถ้าพ่อเห็นผมมันเลวชาติมากขนาดนั้น ก็ไม่เป็นไร ผมยอมรับเลยแล้วกันว่าเป็นคนต่อยไอ้ใหญ่มันก่อน รู้แล้วเป็นไง พอใจกันไหม "
“ นั่นไง แกยอมรับจนได้ว่าเริ่มก่อน ในเมื่อเป็นแบบนี้ แกก็ขอโทษใหญ่เขาซะ ”
“ ผมไม่ขอโทษ ” แรงทิฐิทำให้ยอมงัดข้อกับผู้เป็นพ่อ
ภาคพันธ์ตาแข็งจ้องความยะโสของลูกชายขึ้งเคียด กระชากแขนลูกให้ลุกจากพื้นมาเผชิญหน้ากัน
“ แกอย่าอวดดีกับฉันนะไอ้ภาค...ทำผิดอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบ แกต้องขอโทษใหญ่เขาเดี๋ยวนี้ ” ออกคำสั่งเสียงเข้มจริงจังประกาศให้รู้ว่าวาจานี้เป็นประกาศิตห้ามคิดต่อต้าน แต่คนตกอยู่ใต้อำนาจเผด็จการเป็นนานกัดริมฝีปากแรงจนเลือดไหลซึมยืนกรานดังเดิม
“ ผมไม่ขอโทษ ”
ความอดทนทั้งหมดของภาคพันธ์พังครืนเมื่อเห็นลูกชายยังไม่สำเหนียก ฝ่ามือหนาฟาดเข้าที่แก้มอย่างแรงจนร่างที่บอบช้ำอยู่แล้วล้มลงไปนอนกองกับพื้นท่ามกลางเสียงหวีดร้องตกใจ
“ ถ้าแกไม่อยากถูกฉันกระทืบ ขอโทษใหญ่เขาซะ ”
ความสัมพันธ์ที่นับวันจะเหลือเพียงเส้นบางเบาซึ่งลูกใช้เป็นหลักยึดมั่นว่าในเสี้ยวหัวใจของพ่อแม่ยังมีเขาอยู่ขาดสะบั้น เสี้ยวเวลานั้นเหมือนทุกอย่างล่มสลายดังปราสาททรายที่ถูกน้ำซัดสาด
“ ถึงกระทืบจนตาย ผมก็ไม่ขอโทษ ” เค้นเสียงแต่ละคำชัด กระตุ้นอารมณ์ของผู้เป็นพ่อให้อยากกระทำให้สมใจความอวดดีของลูก
ศศิวิมลน้ำตาร่วง ทนไม่ไหววิ่งเข้าไปเกาะแขนภาคพันธ์แน่นพลางยกมือไหว้ขอร้อง
“ เรื่องนี้เล็กผิดเองค่ะคุณลุง เล็กต่างหากที่คุณลุงควรตี ไม่ใช่พี่ภาค ตีเล็กเถอะ อย่าทำพี่ภาคอีกเลย ” วิงวอนทั้งน้ำตา ศิระหุบยิ้มทันทีที่เห็นน้องสาวเอาตัวเองปกป้องศัตรูก็รู้สึกรวดร้าวราวกับถูกไม้แหลมทิ่มทะลุกลางอก
“ คุณพันธ์จะเอาคุณภาคให้ถึงตายเลยหรือคะ คุณภาคเป็นลูกนะคะไม่ใช่สัตว์เลี้ยง ที่พอโมโหก็ทำเหมือนหมูเหมือนหมา ” ยายช้อยร้องรีบเข้าไปประคองคุณหนูที่เจ็บปางตายทั้งน้ำตา อรพิณมองกายปวกเปียกของลูกได้แต่ยกมือปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นจากความสงสารลูก
ภาคพันธ์ออกอาการฮึดฮัดที่ทุกคนประสานเสียงให้หยุดแต่ก็ยอมจำนน
“ ผมจะยอมปล่อยมันไปสักวัน...แต่แกจำไว้นะไอ้ภาค ถ้าคราวหน้าแกทำผิดแล้วไม่สำนึกอีก แกโดนหนักกว่านี้แน่ ”
ผู้เป็นพ่อจากไปทิ้งไว้เพียงรอยร้าวในใจ...ภาควัฒน์ปล่อยให้ยายช้อยช่วยพยุงตัวเองที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกไปอย่างช้าๆ อรพิณหน้าซีดเซียวยื่นมือออกไปจับแต่ลูกกลับเบี่ยงหลบ
“ อย่าจับ เดี๋ยวติดเลือดชั่ว ” เอ่ยมาอย่างเย็นชา แสดงออกชัดเจนว่าแม่สูงส่งเกินกว่าจะเข้าใกล้...อรพิณชะงัก นัยน์ตาพร่างพราวด้วยน้ำทำให้มองเห็นลูกไม่ชัดแต่รู้สึกได้ถึงความทุกข์
เด็กหญิงเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างห่วงใย กลั้นสะอื้นยามเห็นร่องรอยฟกช้ำใกล้ๆ อยากจะเข้าช่วยพยุงเขาไปส่งถึงหน้าห้อง แต่พอมือสัมผัสถูกตัวก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนเขา
“ วันนี้พี่สัญญากับตัวเองว่า ถึงอเมริกาเมื่อไหร่ พี่จะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก ” เว้นจังหวะข่มความขมขื่น “ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่พี่จะคิดถึงเล็ก...ต่อแต่นี้ไปเล็กเองก็ลืมพี่เถอะนะ ลืมซะให้หมดจากใจ เพราะมันเป็นทางเดียวที่เล็กจะไม่เสียใจเมื่อพี่ต้องจากเล็กไปตลอดกาล ”
ลมหายใจขาดเป็นห้วงทุกครั้งที่ใช้แรงพูด สายสร้อยเงินห้อยจี้เปียโนจิ๋วร่วงจากปลายนิ้วสู่พื้นแล้วจึงปลดแขนทั้งสองจากการกอดสอดเข้าไปหาแม่นมให้ช่วยพาตัวเองไปให้พ้นเพราะกลัวเด็กหญิงที่เขาผูกพันจะเห็นน้ำตาลูกผู้ชายเอ่อท้นจากหัวใจที่แตกสลายจนมิอาจประสานคืน
ศศิวิมลมองเขาอย่างอาลัย ริมฝีปากอิ่มสั่นเทาพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งรินเป็นสายธาร ดวงใจถูกความระทมเศร้าทำลายกลายเป็นเสี่ยง เข่าทั้งสองข้างอ่อนยวบทรุดลงพื้นตรงหน้าสายสร้อย มือทั้งสองคว้ามันมาไว้แนบอกก่อนที่ภาพทุกอย่างในโลกจะดับมืดลง
ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2554, 20:26:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2554, 20:28:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 2250
<< บทที่ 1 | บทที่ 3 >> |
nako 30 ก.ค. 2554, 07:56:26 น.
รอตอนต่อไปค่ะ
รอตอนต่อไปค่ะ
anOO 30 ก.ค. 2554, 20:12:32 น.
ทำไมนายใหญ่ร้ายจัง เดี๋ยวโตขึ้นจะเป็นไงเนี้ย
ทำไมนายใหญ่ร้ายจัง เดี๋ยวโตขึ้นจะเป็นไงเนี้ย
ปูสีน้ำเงิน 30 ก.ค. 2554, 21:37:25 น.
น่าสงสารนายภาค
น่าสงสารนายภาค