ทัณฑ์รักรานใจ (รูปเล่มเร็วๆนี้)

Tags: บุลินทร

ตอน: บทที่ 1/2 การแก้แค้น

หกเดือนที่แล้ว…

คามินไหว้โกศเก็บกระดูกของแม่ภายในวัดย่านชานเมืองและกล่าวลาท่าน ก่อนหันหลังเดินมุ่งหน้ากลับไปยังลานจอดรถ ระหว่างทางใจยังระลึกถึงช่วงเวลาสั้นๆที่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน เพราะแม่จากไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่เขาอายุได้เพียงเจ็ดขวบ แต่ถึงอย่างนั้นความผูกพันที่เขามีต่อท่านก็มากมายจนไม่อาจประเมินได้

แม้วันนี้คามินจะเติบโตเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบหกย่างยี่สิบเจ็ด แต่เวลาใดที่ใจหดหู่ ร่างกายหมดพลัง เขาก็ยังต้องการที่พึ่งและใครสักคนเป็นแรงใจอยู่ดี คนเราให้กำลังใจตัวเองได้ก็จริง แต่อย่างไรมันคงไม่มีพลังเท่ากำลังใจจากคนที่เรารัก

และช่วงเวลาอย่างนี้ คามินก็นึกถึงแม่เป็นคนแรก แม้ท่านจะพูดคุยกับเขาไม่ได้ แต่การได้มาระบายความอัดอั้นตันใจทำให้เขาดีขึ้นทุกครั้ง สายตาของท่านที่มองจากภาพหน้าโกศราวกับปลอบโยนและบอกให้เขาสู้ชีวิตต่อไปเสมอ

หลังจากแม่เสีย คามินถูกเลี้ยงโดยวีรปรียา ผู้ที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันกับพ่อเขา และนับถือพ่อเป็นพี่ชาย แต่ชายหนุ่มไม่รู้รายละเอียดมากนักว่าพวกท่านร่วมเผชิญอะไรกันมา

วีรปรียามีลูกสาวอีกหนึ่งคนคือกนกนัดดาซึ่งเกิดหลังคามินไม่กี่ปีและเติบโตมาด้วยกัน ในวัยเด็กนั้น แม้กนกนัดดาจะขาดพ่อ แต่ก็ร่าเริงสดใสตามวัย ขณะคามินกลับรู้สึกว่าตัวเองขาดอะไรไป

แม่…ก็จากเขาไป ส่วนพ่อทำงานจนไม่มีเวลาแม้แต่จะฟังตอนเขาเข้าไปอวดผลการเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของห้อง เวลาทุกวินาทีของพ่อทุ่มเทให้กับงาน จนบางครั้งคามินคิดอยากเกิดเป็นเด็กธรรมดาที่ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย เพราะพ่อคงมีเวลาให้เขามากกว่านี้ นานวันความอ้างว้างยิ่งก่อตัวลึกๆในใจ และความรักของวีรปรียาก็ไม่มีวันเติมเต็มหัวใจอันโหยหาได้

‘พ่อครับ วันพ่อปีนี้…พ่อว่างไปโรงเรียนหนึ่งหรือเปล่าครับ’ เด็กชายวัยสิบขวบรวบรวมความกล้าเข้าไปถามท่านในห้องทำงานตอนสามทุ่ม แม้รู้ว่าคำตอบคงไม่ต่างจากปีก่อนๆ แต่ยังแอบหวังว่าปีนี้พ่อจะว่าง

‘อ้าว ยังไม่นอนอีกเหรอ’ ปราบซึ่งก้มหน้าก้มตาทำงานจนไม่รู้ตัวว่าลูกชายเข้ามาถามอย่างประหลาดใจ

‘ยังครับ หนึ่งรอคุยกับคุณพ่อ’ คามินเดินเข้าไปยังโต๊ะทำงานตัวใหญ่และนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามท่าน ดวงตาไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความหวัง

‘เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก สามทุ่มควรจะนอนได้แล้ว’ ท่านบ่นพลางส่ายหน้าระอา

‘คุยกับคุณพ่อเสร็จ หนึ่งจะไปนอนเลยครับ’ เด็กชายรับปากมั่นเหมาะ

‘อืมๆ วันพ่ออาทิตย์หน้าเหรอ’ ปราบหันไปมองปฏิทินตั้งโต๊ะอย่างตัดรำคาญ แล้วหันกลับมามองใบหน้ากลมๆของลูกที่รอคอยคำตอบตาละห้อย ‘เดี๋ยวพ่อดูอีกทีแล้วกันว่าว่างไหม เพราะอาทิตย์หน้าต้องไปดูรีสอร์ตที่เขาใหญ่’ ท่านหมายถึงกิจการใหม่ของครอบครัว นอกเหนือจากบริษัทจำหน่ายเครื่องใช้สำนักงานในกรุงเทพฯ

‘คุณพ่อของคนอื่นเขาไปกันหมดเลยนะครับ หนึ่งก็อยากอวดบ้างว่าพ่อของหนึ่งหล่อและเก่งแค่ไหน’ คามินเอ่ยเอาใจและยิ้มแต้

‘อยากให้พ่อไปเพราะอยากอวดเพื่อนเท่านั้นน่ะรึ’ ปราบหัวเราะอย่างเห็นขัน ‘วันพ่อไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอกน่า แค่พ่อไม่ไป มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย’

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของเด็กชายก็ห่อเหี่ยวลง รู้ดีว่าปีนี้คงได้แต่นั่งมองเพื่อนที่มีพ่อมางานตาปริบๆเช่นเดิม ‘แต่หนึ่งอยากให้พ่อไปจริงๆนะครับ’

‘ให้น้าปรียาไปแล้วกัน’

‘แต่โรงเรียนหนึ่งจัดงานวันพ่อนะครับ น้าปรียาเป็นน้า ให้คุณพ่อไปดีแล้ว คุณพ่อไปนะครับ ไม่งั้นหนึ่งต้องอายเพื่อนแน่ที่ไม่ว่าปีไหนก็ไม่มีพ่อมางานกับเขา คุณแม่คงเสียใจด้วยที่คุณพ่อไม่ยอมไป นะครับคุณพ่อ ปีนี้ปีเดียว หนึ่งขอร้อง’ คามินพยายามหาเหตุผลมารบเร้าบิดาเต็มที่ แต่นานเข้า ปราบก็เริ่มหมดความอดทนตามประสาคนอารมณ์ร้อนง่าย

‘ไม่มีพ่อไปสักคนแกไม่ตายหรอกน่า! อย่าทำตัวมีปัญหานักได้ไหมไอ้หนึ่ง ไปนอนได้แล้วไป เสียเวลาทำงานฉัน แล้วนั่นจะร้องไห้ทำไม!’ ปราบชี้หน้าและเอ่ยเสียงเข้มดุเมื่อเห็นดวงตาใสๆมีน้ำตาคลอคลอง ริมฝีปากเริ่มเบะ แต่เจ้าตัวยังพยายามสะกดกลั้นเอาไว้ข้างใน เพราะไม่เช่นนั้นจะถูกทำโทษ

‘เปล่าครับ หนึ่งไม่ได้ร้องไห้’ คามินส่ายหน้าทั้งที่ตาแดงเต็มที

‘อย่าให้ฉันเห็นน้ำตาแกหยดลงมาแม้แต่หยดเดียวนะ! แกเป็นลูกผู้ชาย ต้องเข้มแข็ง แล้วที่ฉันทำงานหนักก็เพื่ออนาคตของแก เมื่อก่อนเราเคยลำบากมาก แกก็เห็นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ถึงเราจะสบายเพราะมีเงิน แต่ถ้าไม่ทำงาน สักวันเงินก็จะหมด ฉันไม่อยากให้แกใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบแบบฉัน เลยต้องทำงานงกๆอยู่นี่ไง เดี๋ยวแกโตขึ้นก็เข้าใจฉันเอง ไปนอนไป!’ ปราบโบกมือไล่

‘ครับพ่อ’ เด็กชายพยักหน้ารับคำ แม้จะออกมาจากห้องทำงานของบิดาแล้ว แต่น้ำตาก็ไม่ไหลลงมาแม้แต่น้อย คามินเงยหน้าขึ้นให้น้ำตาแห่งความเสียใจไหลย้อนกลับ เขาต้องไม่ร้องไห้อย่างที่พ่อบอก ต้องเก็บกักอารมณ์เอาไว้ให้ได้!

หลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มก็เดินมาถึงลานจอดรถของวัดโดยไม่รู้ตัว รถซีดานสีขาวติดฟิล์มมืดปกปิดสายตาคนภายนอกของเขาจอดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ไม่ไกล ถัดไปคือกระบะสีดำและรถอีกคันซึ่งยี่ห้อและสีเดียวกันกับรถเขา ติดฟิล์มสีเข้มน้อยกว่ากันนิดเดียว ท่าทางจะเข้ามาจอดทีหลัง เพราะตอนเข้ามายังไม่เห็น

คามินกดปุ่มปลดล็อกรถ ก่อนเปิดประตูขึ้นไปนั่งยังฝั่งคนขับ แม้อยากจะหยุดคิดเรื่องที่ทำให้ตะกอนขุ่นๆภายในใจลอยวนขึ้นมาอีก แต่ดูเหมือนความคิดของเขายังดำเนินต่อไปอย่างห้ามไม่ได้

คามินปวดแปลบในใจทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเขากับพ่อในวัยเด็ก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รักพ่อมาก และหวังว่าสักวันท่านจะปล่อยวางเรื่องงานบ้าง แต่ปีแล้วปีเล่า เขาก็เห็นภาพพ่อเอาแต่ทำงานเช่นเดิม จนเมื่อคามินเข้าเรียนมัธยม โลกที่กว้างใหญ่ขึ้นทำให้คิดถึงครอบครัวน้อยลง เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับเพื่อนตามประสาวัยรุ่น ยิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตของคามินยิ่งห่างไกลจากคนในบ้าน แต่ถึงจะมีความสุขกับเพื่อนฝูงเพียงใด ความโหยหาก็ยังเกาะกุมอยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่จางหาย

ด้วยความหน้าตาดีและร่ำรวยทำให้สาวๆเข้ามาติดพันมากมาย และชายหนุ่มก็ยินดีจะอ้าแขนรับไมตรีเหล่านั้น แม้รู้ว่าบางครั้งมันคือไมตรีปลอมๆ ทุกคนต่างหวังกอบโกยจากเขา เพราะหากไปกินไปเที่ยว คามินจ่ายไม่อั้น แต่ก็นั่นละ ถ้ามันทำให้เขารู้สึกดีกับการมีคนมารักและเอาอกเอาใจได้ ทำไมต้องปฏิเสธด้วยล่ะ

แต่อีกทางเขาก็สามารถบอกเลิกทุกคนได้ทันทีหากไม่พอใจหรือเบื่อขึ้นมา หรือบางทีอาจเรียกพวกเธอกลับมาเมื่อคิดถึง และผู้หญิงพวกนั้นก็ไม่ได้มีปัญหา ตราบใดที่เขามีเงิน!

ตอนนั้นเขาคิดว่าเงินเท่ากับความสุข ถ้ามีคนแย้งว่าไม่ใช่ ชายหนุ่มจะแย้งกลับทันที เพราะตั้งแต่ใช้เงินเป็น มันก็ทำให้เขาได้สิ่งที่ต้องการตลอด แล้วความคิดของเขาจะไม่ถูกต้องได้อย่างไรกัน

ระหว่างเรียนในรั้วมหาวิทยาลัย ชายหนุ่มใช้ชีวิตอย่างโชกโชน จนเมื่อขึ้นปีสี่ได้มาเจอหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเรียนอยู่คนละคณะ ผู้หญิงคนนี้ต่างจากคนอื่นที่เขาคบมา เพราะนอกจากจะคอยห้ามไม่ให้เขาใช้เงินฟุ่มเฟือยแล้ว เธอยังออกค่าอาหารและค่าเที่ยวคนละครึ่งโดยให้เหตุผลว่า ไม่อยากให้ใครมองว่าเธอเกาะคามินกิน นั่นทำให้เขาประทับใจเธออย่างมาก

ทว่าคามินก็ไม่คิดจะเปลี่ยนนิสัย เขาใช้เงินทำให้หญิงสาวที่เขารักมีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชายหนุ่มคบหาเธอนานกว่าใคร เพราะเธอยอมเขาทุกเรื่องจนคามินตั้งใจว่าจะขอเธอแต่งงานในอนาคต แต่แล้วหลังเรียนจบเพียงหนึ่งเดือน หญิงสาวกลับบอกเลิกและไปแต่งงานกับผู้ชายอายุคราวพ่อ

‘เพราะไอ้นั่นมันรวยกว่าผมใช่ไหม คุณถึงแต่งงานกับมัน’

‘เปล่าเลยหนึ่ง มันไม่ใช่เรื่องเงิน’ รสิตาแค่นหัวเราะ

‘แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ไอ้นั่นแก่ก็แก่ ถ้าไม่ใช่เพราะเงินแล้วเพราะอะไร!” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเกรี้ยวกราดคาดคั้น

‘นั่นสิ เขาแก่ แล้วก็ไม่ได้หล่อรวยเหมือนหนึ่งด้วย แล้วทำไมเราถึงเลือกเขา หนึ่งยังไม่รู้อีกเหรอ’ รสิตาทำเสียงฮึในลำคอ

‘ผมจะไปรู้ได้ยังไง ผมไม่ใช่คุณนี่ หัวใจคุณซับซ้อนจนผมไม่มีปัญญาหาคำตอบได้หรอก’ คามินประชดด้วยแววตาเจ็บปวดผิดหวัง

‘ง่ายๆเลยหนึ่ง ก็เพราะหนึ่งนิสัยไม่ดีน่ะสิ ที่ผ่านมาหนึ่งปี ไม่ใช่ว่าเราเข้ากันได้ดีหรอกนะ แต่เป็นเพราะเรายอมหนึ่ง ยอมทุกอย่าง และหวังว่าจะเปลี่ยนนิสัยหนึ่งได้ แต่สุดท้ายก็เปล่าเลย หนึ่งต้องการให้เราเป็นในแบบที่หนึ่งอยากให้เป็น หนึ่งเอาแต่ใจ เอาตัวเองเป็นใหญ่ เราอึดอัด ทนไม่ไหวแล้ว’

‘ข้ออ้าง’ คามินหัวเราะอย่างสมเพช

‘มันคือความจริงต่างหาก เราไม่ได้มองคนที่หน้าตาและฐานะ คนที่จะใช้ชีวิตคู่ด้วยกันได้คือคนที่ยอมรับตัวตนของกันและกัน และยอมปรับตัวเข้าหากันคนละครึ่งทาง บางครั้งอาจต้องเปลี่ยนในสิ่งที่ฝืนใจ แต่ก็ทำได้เพื่อคนที่เรารัก ซึ่งเราก็ยอมเปลี่ยนนิสัยบางอย่างเพราะรักหนึ่ง แต่หนึ่งสิ ไม่เคยปรับปรุงตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว แล้วก็กลายเป็นเรายอมมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็รู้ว่าเรากับหนึ่งคงไปกันไม่ได้แน่ เราอยากเดินเคียงข้างหนึ่ง ไม่ใช่อยู่ภายใต้แทบเท้าหนึ่ง!’

‘ผมไม่เข้าใจว่าผมนิสัยไม่ดียังไง ในเมื่อผมให้ความสุขคุณทุกอย่าง ยังไม่พอใจอีกเหรอ’

‘เราพูดไปหมดแล้วและขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเป็นว่าจบกันแค่นี้นะหนึ่ง ขอให้โชคดีแล้วกัน’ ภาพที่เธอเดินจากไปยังฝังลึกอยู่ในมุมมืดของความทรงจำตลอดมา

ผู้หญิงที่เขาคบมาทั้งหมดไม่มีใครเหมือนรสิตา ด้วยเธอมองข้ามหน้าตาและความร่ำรวยของเขา และคามินก็สัมผัสได้ว่าเธอรักเขาอย่างจริงใจ

เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต คงโทษใครไม่ได้นอกจากเขาที่ผิดเอง การกระทำแต่ละอย่างของเขาไม่มีวุฒิภาวะและไม่น่าจะเป็นที่พึ่งพิงของใครได้เลย เพราะฉะนั้นสมควรแล้วที่หญิงสาวจะทิ้งเขา แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในเวลานั้นถึงมองไม่เห็นว่าตัวเองแย่อย่างไร นี่สินะถึงว่ากันว่า เมื่อเวลาเปลี่ยน มุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆย่อมเปลี่ยนไปด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นได้เรียนรู้และเติบโตมากขึ้นแค่ไหน

คามินคิดว่าคงไม่มีวันเจอผู้หญิงเหมือนรสิตาอีกแล้ว เพราะแต่ละคนที่ผ่านเข้ามาหลังจากนั้นล้วนมองเขาแค่เปลือกนอก ต้องการเงินทองของเขาเพื่อปรนเปรอความสุขของตัวเองเท่านั้น

แม้ปัจจุบันเขาจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ไม่มีใครก้าวเข้ามาสัมผัสเนื้อแท้หัวใจอย่างลึกซึ้ง จากวันนั้นเขาจึงไม่เคยมอบรักแท้ให้ผู้หญิงคนไหนอีกเลย นอกจากสนุกสนานข้ามคืนกับพวกเธอเมื่อต่างฝ่ายต่างใคร่ปรารถนา

เมื่อคิดถึงตรงนั้น ประตูรถของเขาก็เปิดออกพร้อมกับเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “อืมๆ กำลังจะไปแล้ว”

คามินหลุดจากภวังค์ของอดีต เงยหน้าขึ้นสบตาคนที่เอาโทรศัพท์แนบหู อีกฝ่ายเบิกตาโตอย่างตกใจ แต่ด้วยความที่ตั้งท่าจะหย่อนตัวนั่งแล้ว จึงทำให้ยั้งไม่ทันแม้พยายามฝืนตัวเองไว้ สุดท้ายหญิงสาวก็เสียหลักนั่งลงบนตักเขาเต็มๆ

“เฮ้ยคุณ!”

“ว้าย!”

มือหนาโอบร่างเพรียวไว้โดยอัตโนมัติ ทุกอย่างรอบตัวนิ่งงันไปเกือบสิบวินาทีเมื่อดวงตาสองคู่สบประสานกันในระยะประชิด

มีผู้หญิงไม่กี่คนที่ทำให้คามินตกตะลึงได้ตั้งแต่แรกเจอ และเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น ใบหน้ารูปไข่ล้อมรอบด้วยเรือนผมสีดำขลับดัดลอนอ่อนๆ ดวงตาเรียวยาวสีน้ำตาลวาวสวย จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดง ใบหน้าของเธอสวยจัดเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาด

ขณะที่คามินมองเธอด้วยสายตาราวกับต้องมนตร์ หญิงสาวก็ขืนตัวออกจากอ้อมแขนแกร่ง และลุกขึ้นยืนพร้อมก้มศีรษะเล็กน้อย

“ขอโทษนะคะ ฉันขึ้นรถผิดคันน่ะค่ะ” ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยกระแสความมาดมั่น ฉะฉาน เข้ากับการแต่งตัวของเธอที่เป็นชุดเสื้อสูทลำลองสีดำสวมทับเกาะอกสีน้ำเงินและกระโปรงผ้าเอวสูงสีขาวเข้ารูปยาวคลุมเข่าทันสมัยปราดเปรียว

เมื่อหญิงสาวเอ่ยจบก็หมุนตัวเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดถัดจากกระบะสีดำพร้อมบ่นพึมพำระหว่างทาง “บ้าจริงเรา มัวคุยโทรศัพท์จนไม่ดูตาม้าตาเรือจะไปขึ้นรถใครก็ไม่รู้” แม้รถคันนั้นจะยี่ห้อและสีเดียวกับรถเธอ แต่ถ้าเธอไม่คุยเพลินจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็คงไม่ทะเล่อทะล่าทำเรื่องน่าอับอายแบบนั้น

“ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มดังตามหลังมา

หญิงสาวหยุดเดินและหันกลับไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “คะ?” คิ้วเรียวที่เขียนไว้คมกริบเลิกขึ้น “มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าเมื่อกี้รถคุณเสียหาย”

“เปล่าครับ” ชายหนุ่มทอดเสียงนุ่มนวล

“แล้ว…มีอะไรคะ”

เขายิ้มเป็นมิตรและเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น “ผมคามินนะครับ เรียกหนึ่งก็ได้”

“อืม…ค่ะ” เธอเริ่มเข้าใจเหตุผลที่อีกฝ่ายตามมา

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คามินยื่นมือออกมาเบื้องหน้าอย่างมีอัธยาศัย

“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” หญิงสาวไม่สัมผัสมือตอบ แต่เดินไปขึ้นรถของตัวเอง และขับออกจากวัดทันที ทิ้งให้คนร่างสูงมองตามอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าสาวเจ้าจะขับรถหนีเสียดื้อๆโดยไม่ยอมแนะนำตัวกลับ ครั้นขับรถตามออกไปก็ไม่เห็นท้ายรถซีดานสีขาวแล้ว

ผู้หญิงอะไรไวจริงๆ!

คามินพ่นลมหายใจอย่างเจ็บใจตัวเองที่เมื่อครู่รั้งเธอไว้ไม่ทัน แต่สวยแถมหยิ่งแบบนี้ เขาไม่มีวันปล่อยให้เดินผ่านไปง่ายๆหรอก ยังไงก็จะต้องตามหาให้เจอ เพราะเธอขโมยหัวใจคนใจง่ายอย่างเขาไปแล้วครึ่งดวง!



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2559, 13:10:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2559, 13:10:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1088





<< บทที่ 1/1 การแก้แค้น   บทที่ 2 ทฤษฎีโลกกลม >>
บุลินทร 30 ม.ค. 2559, 13:11:46 น.
คุณ ปิ่นนลิน
คนละขั้วกับเจ้าบ่าวจอมเถื่อนเลยครับ ฮ่าๆๆ ฝากติดตามด้วยนะครับ

คุณ Zephyr
เฟอร์ไม่เข้าข้างนางเอกเลยนะ ฮ่าๆๆ


Zephyr 30 ม.ค. 2559, 13:56:40 น.
เหมือนใครไม่รุ เอิงเนี่ย
มาไว(มั้ยนะ แถมน้อยอีก) ไปไว(รึป่าวหนอ แต่ละตอนรอนานมั่ก)
รออ่านน้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา


ดังปัณณ์ 30 ม.ค. 2559, 20:45:00 น.
วั้ยยยยยยยยยยยยย คามี่กลับมาอีกรอบแล้วเหรอ ตามๆๆๆๆ แหม่ เปิดมาแบบบ หืมมมมมมมมม ไก่แจ้นะเราน่ะคามี่ ฮี่ๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account