ปิ่นแก้วนครา (ในนามปากกา 'พิริตา' )
ด้วยฤทธิ์อำนาจของปิ่นโบราณที่เธอได้มา ทำให้ ‘กังสดาล’ หญิงสาวธรรมดาที่ติดกระโดกกระเดก และง้องแง้งเป็นนิสัย ต้องเดินทางย้อนกลับไปในอดีตของล้านนาเมื่อเก้าร้อยกว่าปีก่อน เพื่อช่วย ‘เจ้าน้อยปิ่นเมือง’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา ยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจา แต่ทว่าที่นั่นเธอกลับต้องสวมรอยเป็นหญิงสาวชาวป่าชื่อ ‘สร้อยแสงดา’ ขณะเดียวกันก็ตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่หมายของเจ้าราชบุตรไปเสียนี่ กังสดาลจะช่วยยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจาได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของหญิงสาวที่มาจากอนาคตและเจ้าราชบุตรผู้แสนน่ารัก และอ่อนโยนในอดีต จะเป็นอย่างไร ติดตามความสนุกสนานและซาบซึ้งได้ใน ‘ปิ่นแก้วนครา’ เร็วๆ นี้ค่ะ!
Tags: ปิ่นแก้วนครา เจ้าน้อย พีเรียด ย้อนยุค ล้านนาโบราณ เสือเย็น

ตอน: สร้อยแสงดา (๑)



พอบ่าวทั้งสองออกไปจากห้องแล้ว เจ้าน้อยปิ่น

เมืองก็สาวเท้าเข้าไปยังเตียงกลางห้อง ทรุดกายนั่งลง

ข้างเตียง ท่ามกลางแสงละมุนของเทียนไขที่จุดไว้บน

เชิงเทียนทรงสูงข้างหัวนอน เขาทอดสายตามองใบหน้า

ใส ที่มาเวลานี้ได้รับการชำระจนสะอาดสะอ้านแล้ว

อย่างสงสัย

แม่ญิงคนนี้เป็นใครกัน? เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสี

ปันจาตั้งคำถามกับตัวเอง ดูผาดๆ นางช่างแตกต่างจาก

ผู้หญิงสีปันจาและผู้หญิงบ้านพี่เมืองน้องที่เขาเคยพบ

เจอยิ่งนัก ผิวพรรณขาวนวลเนียน หน้าตาแม้จะดูแปลก

ตาแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างดงามนัก

ดวงหน้านั้นประดับไปด้วยคิ้วเรียวได้รูป พาด

ผ่านบนดวงตาคู่ที่ปิดสนิท ขนตายาวงอนจนน่าไล้มือ

เล่น หากจมูกเล็กนั้นก็ดูโด่งรั้น รับกับริมฝีปากสีระเรื่อ

ที่มาตอนนี้ตรงมุมปากปรากฏรอยช้ำชัดเจน อีกทั้งแก้ม

เนียนก็ปรากฏรอยแดงเป็นปื้นเช่นกัน

และโดยไม่รู้ตัว มือหนาเอื้อมไปแตะรอยช้ำตรง

มุมปาก ไล้ผ่านมายังแก้มเนียนนุ่มแผ่วเบา ราวกับ

สัมผัสนั้นของเขาจะสามารถทำให้ร่องรอยฟกช้ำ

เหล่านั้นหายไปได้กระนั้น ดวงตาคมกล้าทอประกาย

อ่อนแสงลง ริมฝีปากหยักลึกคลี่ยิ้มบางอย่างเผลอไผล

แต่ทว่า... สัมผัสนั้นกลับทำให้เจ้าของร่างที่กำลัง

หลับใหลสะดุ้งตื่นขึ้นมา ดวงตากลมโตเบิกกว้างขณะ

สบกับดวงตาคู่คมของชายหนุ่ม

“ว้าย!! คุณเป็นใคร จะทำอะไรฉัน อย่านะ ไอ้

บ้า!! ” หญิงสาวกรีดร้องขึ้น พร้อมกับผลักร่างสูงจน

ผงะไปข้างหลัง

“เดี๋ยว... เจ้า!! ” เจ้าน้อยปิ่นเมืองพูดออกมาได้

เพียงแค่นั้น ก็ต้องรีบตวัดเอาร่างบางที่กำลังจะลุกขึ้น

เอาไว้

“ปล่อยฉันนะ! ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต แกจะทำอะไรฉัน

ปล่อยๆๆๆ ” แล้วเสียงโวยวายสูงปรี๊ดก็แปรเปลี่ยนเป็น

อู้อี้ในทันทีที่ปากถูกปิดไว้ด้วยมือใหญ่ ร่างบางยัง

พยายามดิ้นรนอย่างไม่ยอมแพ้

“หยุดตะเบ็งเสียงแสบแก้วหูได้แล้ว แล้วก็เลิกดิ้น

รนเสียที หากเจ้าไม่หยุดเราจะรัดเจ้าให้ขาดใจตายเลย

ทีเดียว” ไม่พูดเปล่า แต่ชายหนุ่มรัดร่างที่ดิ้นขลุกขลัก

แน่นขึ้นเป็นการยืนยันว่าเอาจริง ส่งผลให้คนดิ้นถึงกับ

ชะงักในทันที

“ฉะ...ฉันหยุดก็ได้ ปล่อยก่อนได้ไหม ฉันหายใจ

ไม่ออก” หญิงสาวพยายามอุทธรณ์เสียงหอบ

เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงคลายอ้อมกอดออก แต่ก็เพียง

เล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายหายใจคล่องขึ้นเท่านั้น ภาษาที่

ผู้หญิงคนนี้ใช้เขาพอฟังเข้าใจได้ แต่ที่ไม่ค่อยเข้าใจก็

เห็นจะเป็นบางถ้อยคำที่นางสาดออกมา แต่ก็พอเดาจาก

ท่าทีได้ว่าต้องมิใช่คำสรรเสริญเป็นแน่

ชายหนุ่มทอดถอนใจ ด้วยเห็นเค้าของความ

ยุ่งยากขึ้นมารางๆ ใครจะรู้ว่าได้สติขึ้นมาแล้วฤทธิ์จะ

มากถึงเพียงนี้ ไม่เช่นนั้นเขาแอบเอามืออุดจมูกให้สิ้นใจ

ไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว หรือไม่อีกทีปล่อยให้ชาวบ้านรุม

สกรัมให้สิ้นใจตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เจ้าราชบุตรคิดอย่าง

ใจร้าย

“เอาล่ะ จงบอกมาซิว่าเจ้าเป็นใคร มาจากที่ใด

เหตุใดจึงพูดสำเนียงแปลกแปร่งเช่นนี้” เจ้าน้อยปิ่นเมือง

จ้องดวงตาคู่กลมโตอย่างค้นคว้า ขณะที่เจ้าของร่างบาง

นิ่งอึ้งไป

กังสดาลสบตาคู่คมกล้าของอีกฝ่ายด้วยความ

หวาดหวั่น ไหนจะตระหนักถึงสภาพของตัวเอง

ในตอนนี้ที่กำลังหมดท่าอยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วยัง

จะท่าทางจริงจังนั้นด้วย ที่สำคัญหญิงสาวเริ่มตระหนัก

ได้ว่าตัวเองยังอยู่ในเวียงสีปันจาแน่ๆ

เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเล่นเอาเธอต้องเจ็บตัว

เจ็บใจ ส่งผลให้กังสดาลไม่กล้าพูดความจริงออกไป

ในตอนนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าใครก็ไม่รู้ เธอไม่อยากเสี่ยง

เจ็บตัวอีกแล้ว

“หรือเจ้ามาจากเมืองสิขะปุระจริงๆ ” คงเห็น

เจ้าของร่างบางนิ่งเงียบผิดปกติ เจ้าราชบุตรหนุ่มจึงเอ่ย

ถามอีก พร้อมกับหรี่ตาอย่างจ้องจับผิดเต็มที่ แต่เจ้าของ

ดวงหน้างามกลับส่ายหน้าโดยเร็ว

“ฉันไม่ได้รู้จักเมืองที่คุณ เอ๊ย! ท่านว่าสักนิด ฉัน

ไม่ใช่คนที่นั่น แล้วก็ไม่ใช่คนที่นี่ด้วย” คำตอบของเธอ

สร้างความแปลกใจให้กับเจ้าของดวงหน้าคมคายจนคิ้ว

หนาขมวดมุ่น

“จะพูดยังไงดี คือ... ฉันมาจากที่ๆ ท่านไม่รู้จัก แต่

ไม่ใช่เมืองสิขะอะไรนั่นแน่นอน” หญิงสาวพยายามจะ

อธิบายและปฏิเสธอย่างสุดความสามารถ

ด้วยนึกรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าเมืองชื่อ ‘สิขะ

ปุระ’ นี้เป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อตัวเอง เธอจะไม่มีวัน

เอาตัวไปพัวพันด้วยเป็นแน่

“เช่นนั้นรึ เราได้ยินมาว่าเจ้าต้องการพบเจ้าน้อย

ปิ่นเมืองแห่งเวียงสีปันจาใช่หรือไม่ เจ้ามีกิจอันใดหรือ”

ชายหนุ่มหรี่ตามองคนในอ้อมกอดอย่างค้นคว้าอีกครั้ง

“ฉันจะคุยกับตัวเจ้าน้อยเองเท่านั้น จะไม่คุยกับ

คนอื่นอีกแล้ว” ท้ายประโยคกังสดาลเอ่ยด้วย

น้ำเสียงหวาดหวั่นระคนเหนื่อยหน่าย

“ถ้าเช่นนั้น หากเราบอกว่า เราคือเจ้าน้อยแห่ง

เวียงสีปันจาเล่า เจ้าพอจะเอ่ยธุระของเจ้ามาได้หรือยัง”

ถ้อยคำของเขา ทำให้คราวนี้หญิงสาวต้องเป็นฝ่ายหรี่ตา

มองคนตัวโต ที่ยังตะกองกอดตัวเองอยู่อย่างประเมิน

เต็มที่

แต่ก็พบเพียงดวงตาจริงจัง และรอยยิ้มน้อยๆ ที่

แต้มมุมปากของอีกฝ่าย ดวงหน้าเรียวของเขาไม่ได้ขาว

จัดจนซีด แต่ขาวพอประมาณทำให้ดูคมคาย คิ้วหนา

โก่งรับกับดวงตาคมกล้าเป็นประกาย จมูกโด่งสวย และ

ริมฝีปากบนหยักลึกรับกับริมฝีปากล่างที่ค่อนข้างหนา

แต่พอรวมกันแล้วกลับได้รูปสวยราวกับปากผู้หญิง

แม้รอยแย้มยิ้มเพียงบางๆ ก็ทำให้คนมองถึงกับ

หายใจสะดุดได้ ยิ่งสบตาคู่คมที่จ้องมองมาอย่างไม่ยอม

หลบนั้นเข้าด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้กังสดาลหัวใจเต้นแรง

ขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้

“ว่าอย่างไร เจ้าเชื่อแล้วใช่หรือไม่ว่าเราคือเจ้าราช

บุตรปิ่นเมือง” เสียงของชายหนุ่มทำให้สติของกังสดาล

กลับคืนมา สมองประมวลผลเร็วรี่

จะว่าไปหน้าตา ผิวพรรณและท่าทางของเขาก็

น่าเชื่อถือดีอยู่หรอก อีกทั้งการแต่งกายก็ปฏิเสธไม่ได้

เลยว่าดูต่างจากชาวบ้านธรรมดาที่เธอเคยเห็น ด้วยสวม

เสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเข้ม ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาว

สีขาว โพกศีรษะและคาดเอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม ดูเป็น

กิจจะลักษณะ

แต่ทว่าเหตุการณ์ชุลมุนที่เกิดขึ้นกับเธอจนทำให้

ต้องมาซุกตัวอยู่ที่นี่พร้อมร่างกายฟกช้ำดำเขียว ทำให้

หญิงสาวต้องขับไล่ความคิดคล้อยตามออกไปจากหัว

อย่างรวดเร็ว

“จ้างให้ก็ไม่เชื่อ ถ้าท่านเป็นเจ้าน้อยนะ ฉันก็คง

เป็นเจ้านางแล้วล่ะ” กังสดาลรีบปฏิเสธแกมประชด

คนเราไม่ควรมองหรือตัดสินกันแต่เพียงหน้าตา

ผิวพรรณภายนอก ถ้าไม่อยากตายอยู่ที่เวียงสีปันจานี้

เธอตอกย้ำกับตัวเองอีกครั้ง

“เจ้าว่ากระไรนะ” ใบหน้าหล่อคมคายนั้นฉาย

แววงงงันกับสิ่งที่เธอพูด

“เอาตรงๆ เลยนะ แม้ท่านจะหล่อดูดีมีสง่าราศี

ขนาดไหน แต่ขอโทษ... ฉันโดนจนอ่วมไปทั้งตัวแบบ

นี้ถ้ายอมเชื่อท่านง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ยัยกั้งแล้ว” หญิงสาว

พยายามอธิบาย แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้าพลางถอน

หายใจ

“เจ้านี่พูดจาพิลึกแท้ แต่ถ้าเราเข้าใจไม่ผิด เจ้าคง

ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เราพูดใช่ไหม”

“แหงอยู่แล้ว” กังสดาลเชิดหน้าตอบ แต่พอเห็น

ใบหน้าที่แสดงถึงความฉงนของอีกฝ่ายอีกครั้ง จึงรีบ

อธิบายต่อ

“ฉันหมายความว่าฉันไม่เชื่อที่ท่านพูด และไม่ว่า

ยังไงฉันก็จะหาทางไปเจอเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้ได้ ปล่อย

ฉันได้แล้ว” แล้วสั่งในตอนท้าย

ยิ่งอยู่ในอ้อมกอดนี้นานเท่าไหร่ ความคิดของ

กังสดาลก็คอยแต่จะเตลิดไปถึงไหนต่อไหน ก็ในชีวิต

สาวเคยถูกผู้ชายแตะเนื้อต้องตัวถึงเพียงนี้ที่ไหนกันเล่า

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้า” ว่าแล้วเขาก็ปล่อยร่าง

บางออกจากอ้อมกอด แล้วจึงลุกขึ้นเต็มความสูง

“แต่นี่เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดทำการ

ใดก็รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเถิด ตอนนี้เจ้าจงพักอยู่ที่นี่และ

อย่าได้ออกไปนอกเขตห้องนี้โดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเรา

จะไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้า” เจ้าของร่างสูงสง่า

ทิ้งท้ายไว้เพียงแค่นั้น ราวกับล่วงรู้ถึงความคิดคำนึงของ

เธอ

ก่อนจะดับตะเกียงและเทียนบางส่วน จนเหลือ

เพียงเทียนบนเชิงเทียนสูงข้างหัวนอนเพียงเล่มเดียว

แล้วจึงก้าวออกจากห้องหับไป

กังสดาลถอนหายใจหนักหน่วง มองตามบาน

ประตูที่ปิดลง แน่นอนล่ะ... ว่าเธอไม่เชื่อเขาเลยแม้แต่

น้อย หญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง แม้ร่างกายจะมีความ

เจ็บและปวดเมื่อยอยู่ แต่ความอยากรู้อยากเห็นก็มี

มากกว่า

เจ้าของร่างบางค่อยๆ สาวเท้าไปยังริมหน้าต่างที่

เปิดทิ้งไว้ แต่ก็เห็นเพียงแสงสว่างจากคบไฟซึ่งจุดขับไล่

ความมืดอยู่รายรอบเรือน แถมยังมีชายฉกรรจ์หลายคน

ถือดาบยาวปลายโค้งเดินไปมาเพื่อเฝ้าเวรยามอีก

ต่างหาก

ท่าทางอีตานี่จะไม่ธรรมดาแฮะ แต่ตอนนี้จะทำ

อะไรได้ล่ะ ทั้งมืด ทั้งเวรยามหนาแน่นขนาดนี้ กังสดาล

ได้แต่ยืนคอตก อยากให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็น

เพียงความฝันเหลือเกิน

ท่ามกลางแสงไฟจากเทียนเพียงเล่มเดียวที่ส่อง

สว่าง หญิงสาวมองเห็นชุดนอนตัวโปรดที่ใส่มาวางอยู่

ตรงโต๊ะข้างเตียง กังสดาลรีบไปฉวยมันขึ้นมา ก่อนก้ม

ลงสำรวจสภาพตัวเอง

ตอนนี้เธอสวมเสื้อแขนยาวสีทึม คอป้าย ติด

กระดุมผ้าด้านข้างตรงเอวให้กระชับกับลำตัว และสวม

ผ้าซิ่นทอลายขวางสลับสียาวกรอมเท้า ที่ยึดไว้ด้วยเข็ม

ขัดเงินเส้นเล็กๆ

แล้วปิ่นล่ะ? หญิงสาวรีบค้นกระเป๋าชุดนอนที่ใส่

มา ก็พบว่ามันยังนอนนิ่งอยู่ที่เดิม และยังคงรู้สึกถึงพลัง

เชื่อมโยงของมันอยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น และ

มันคงรอเวลาที่จะกลับไปสู่เจ้าของที่แท้จริงสินะ นั่น

เป็นภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จลุล่วง หญิงสาวคิด

พลางซุกปิ่นทองคำอันนั้นเอาไว้ใต้หมอน

แม้สิ่งที่ปะติดปะต่อกันได้จะตอกย้ำให้รู้ว่าทุกสิ่ง

ที่เธอกำลังเผชิญคือความจริง แต่ถึงกระนั้นคนที่ไม่

อยากยอมรับความจริงก็ยังสะบัดหัว พยายามขับไล่

ความฟุ้งซ่านต่างๆ

ก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง ด้วยความหวัง

ว่าพรุ่งนี้เธอจะตื่นขึ้นมาในห้องนอนสีชมพูของตัวเอง

และเจอพี่ชายกับครอบครัวที่ร้านลายครามตามปกติ

เช่นทุกที



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2559, 21:35:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2559, 21:35:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 947





<< สู่เวียงสีปันจา (๒)   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account