ปิ่นแก้วนครา (ในนามปากกา 'พิริตา' )
ด้วยฤทธิ์อำนาจของปิ่นโบราณที่เธอได้มา ทำให้ ‘กังสดาล’ หญิงสาวธรรมดาที่ติดกระโดกกระเดก และง้องแง้งเป็นนิสัย ต้องเดินทางย้อนกลับไปในอดีตของล้านนาเมื่อเก้าร้อยกว่าปีก่อน เพื่อช่วย ‘เจ้าน้อยปิ่นเมือง’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา ยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจา แต่ทว่าที่นั่นเธอกลับต้องสวมรอยเป็นหญิงสาวชาวป่าชื่อ ‘สร้อยแสงดา’ ขณะเดียวกันก็ตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่หมายของเจ้าราชบุตรไปเสียนี่ กังสดาลจะช่วยยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจาได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของหญิงสาวที่มาจากอนาคตและเจ้าราชบุตรผู้แสนน่ารัก และอ่อนโยนในอดีต จะเป็นอย่างไร ติดตามความสนุกสนานและซาบซึ้งได้ใน ‘ปิ่นแก้วนครา’ เร็วๆ นี้ค่ะ!
Tags: ปิ่นแก้วนครา เจ้าน้อย พีเรียด ย้อนยุค ล้านนาโบราณ เสือเย็น

ตอน: สู่เวียงสีปันจา (๒)



หมู่เรือนกาแลยกพื้นสูง สร้างด้วยไม้สักทองสิบ

กว่าหลังคาเรือน มีเรือนแฝดหลังใหญ่เป็นประธานอยู่

ด้านหน้าสุด ส่วนเรือนที่มีขนาดย่อมกว่าอยู่ทาง

ด้านหลัง

ทั้งหมดเป็นหมู่เรือนซึ่งแยกส่วนต่างๆ ออกจาก

กันอย่างชัดเจน แต่ตัวเรือนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้

จากบริเวณส่วนที่เป็นชาน ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานที่

เชื่อมต่อทุกเรือนเข้าด้วยกัน จากเรือนหนึ่งไปยังเรือน

หนึ่งและอีกเรือนต่อๆ กันไป

ทุกหลังคาเรือนมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ตรงยอดจั่ว

ประดับกาแลไม้แกะสลักอ่อนโค้งงดงาม เชิงชายเองก็

แกะสลักลวดลายฉลุรายรอบ

ตัวเรือนบางด้านประดับด้วยรูปแกะสลักสัตว์

ชั้นสูงอย่างช้าง ราชสีห์ฯ เพื่อบ่งบอกยศถาบรรดาศักดิ์

เจ้าของหมู่เรือนนี้ ตามแบบช่างฝีมือประณีตของเวียงสี

ปันจา

ร่างสูงสง่าของเจ้าราชบุตรก้าวมาถึงข่วงบ้าน บ่าว

ไพร่ที่กำลังเดินผ่านไปมายอบตัวแสดงความเคารพ

จนกระทั่งเขาก้าวขึ้นบันไดของเรือนแฝดหลังใหญ่

ชานหน้าเรือนที่เปิดโล่งมี *3ฮ้านน้ำ อยู่ด้านข้าง

ส่วนของเติ๋นหรือโถงเรือนที่เปิดโล่งเช่นกันแต่อยู่

ภายใต้ชายคา พื้นไม้ยังคงวาววับเพราะได้รับการดูแล

เป็นอย่างดีจากบ่าวไพร่

สิ่งที่ปรากฏในสายตาของชายหนุ่มยังคงงดงาม

ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่หัวใจหวั่นไหวร้อนรุ่ม

ของเขาในวันนี้ต่างหาก ที่มันทำให้ทุกอย่างดูแปลกตา

ไป

“เจ้าราชบุตรมาถึงแล้วหรือเจ้า” หมอหลวงที่พึ่ง

ออกมาจากห้องบรรทมของเจ้าหลวง ซึ่งอยู่ด้านในรีบ

ยอบตัวลงขณะเอ่ย

“เจ้าพ่อเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอหลวง” เจ้าของ

ร่างสูงสง่าถามขณะชะลอเท้า

“เอ่อ... ข้าน้อยว่าเจ้าน้อยเข้าไปดูเองจะดีกว่าเจ้า”

หมอหลวงตอบอย่างกริ่งเกรง พลางก้มหน้าหลบสายตา

คมกล้า เพียงเท่านั้นเจ้าน้อยปิ่นเมืองก็เร่งสาวเท้าก้าวเข้า

ไปยังห้องที่ เจ้าหลวงแสนเมืองจายไจยวงษ์สา ทรง

พำนักอยู่ในทันที

ในห้องบรรทมขนาดใหญ่ มีหน้าต่างรายรอบเปิด

ไว้เพื่อถ่ายเทอากาศ แท่นบรรทมขนาดใหญ่ตั้งอยู่

กึ่งกลางห้อง ผ้าม่านบางเบาทิ้งตัวลงมาจากบนเพดาน

คลุมแท่นใหญ่นั้นเอาไว้ กั้นกลางระหว่างผู้ซึ่งนอนสงบ

นิ่งอยู่บนแท่นกับผู้คนที่คอยเฝ้าไข้อยู่รายรอบข้าง

ตรงโต๊ะข้างแท่นบรรทมมีสตรีร่างค่อนข้างอวบ

วัยประมาณหกสิบกว่าปีต้นๆ สวมเสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน

สาบเสื้อป้ายไปทางด้านขวาปักด้วยไหมทองเป็นรูป

ดอกไม้ นุ่งผ้าซิ่นไหมลายดอกยาวกรอมเท้า

ห่มสไบปักลวดลายงดงามไม่แพ้กัน ผมเกล้ามวย

ไว้ตรงท้ายทอยประดับด้วยปิ่นทอง อีกทั้งเครื่องประดับ

บนลำคอ หู ข้อมือ และนิ้วก็ดูมีราคาไม่ต่างกัน บ่งบอก

ถึงสถานะที่เป็นอยู่กับผู้ที่พึ่งพบเห็นได้เป็นอย่างดี

“เจ้าแม่” เจ้าราชบุตรเรียก

เจ้าของร่างที่ง่วนอยู่กับการจัดข้าวของบนโต๊ะ

หันมามองทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคย บ่าวไพร่ซึ่ง

นั่งอยู่บนพื้นต่างแสดงความเคารพผู้มาใหม่

ก่อนที่เจ้าราชบุตรจะยกมือเป็นสัญญาณให้กับคน

สนิททั้งสอง ช่วยพาบ่าวไพร่เหล่านั้นออกไปจากห้อง

จนหมด เพราะต้องการอยู่เพียงลำพังกับมารดานั่นเอง

“เจ้าน้อย... เจ้าน้อยลูกแม่” ร่างค่อนข้างอวบของ

เจ้านางหลวง หรือ เทวีเจ้าแว่นทิพย์ ตรงมาต้อนรับเจ้า

ราชบุตรของตนด้วยความดีใจเป็นยิ่งนัก

เจ้าน้อยปิ่นเมืองเองก็รีบรุดสาวเท้าเข้าไปหา

มารดา ทรุดตัวลงกราบแทบเท้า เจ้านางหลวงแว่นทิพย์

รั้งร่างของบุตรชายให้ลุกขึ้น แล้วทั้งคู่ก็โอบกอดกัน

“แม่ดีใจเหลือเกินที่เจ้าน้อยกลับมาเสียที” ผู้เป็น

มารดาเอ่ยเสียงเครือ

“ลูกก็ดีใจนักที่ได้กลับมาบ้านเรา แล้วนี่เจ้าพ่อ

เป็นอย่างไรบ้างเจ้าแม่” เจ้าน้อยปิ่นเมืองถามถึงอาการผู้

เป็นบิดาในตอนท้าย

“ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยเจ้าน้อย แม่เองใจไม่ดีเลย” เจ้า

นางหลวงที่คอยเฝ้าอาการพระสวามีอย่างใกล้ชิดมาโดย

ตลอดเอ่ยขึ้น

ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือด้วย

ความรู้สึกหวาดหวั่น นับแต่เจ้าหลวงแสนเมืองจายล้ม

ป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุเป็นเวลาเกือบสองเดือน

แล้ว ภายในคุ้มหลวงจึงมีแต่กระไอความวิตกทุกข์ร้อน

ครอบคลุมไปทั่ว

เจ้าน้อยปิ่นเมืองผละจากอกมารดา ค่อยๆ สาวเท้า

เข้าไปยังแท่นบรรทมที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขาแหวกผ้าม่าน

ออกอย่างเบามือ ภาพตรงหน้าทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่ม

ถึงกับนิ่งงัน เจ้าพ่อ ของเขานอนหลับตานิ่งไม่รับรู้สิ่ง

ใดๆ อยู่บนนั้น

ปกติเจ้าหลวงแสนเมืองจายมีรูปร่างค่อนข้างสูง

ใหญ่ มาบัดนี้กลับผอมกะหร่องจนเห็นกระดูก ใบหน้า

ที่เคยเต็มอิ่มสมบูรณ์ ดังคนกินดีอยู่ดีทั่วไป กลับซูบ

ตอบไม่มีเค้าโครงเดิมเหลืออยู่เลย ผมยาวสีดอกเลานั้นก็

แห้งดังซังหญ้าในฤดูแล้ง

“เจ้าพ่อ ลูกกลับมาแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาสั่น

ไหวตามแรงอารมณ์สั่นสะเทือนข้างในอก เจ้าราชบุตร

หนุ่มพนมมือกราบลงบนอกของเจ้าพ่อ ก่อนเอื้อมไปจับ

มือผอมเกร็งที่ไม่ไหวติงแล้วบีบเบาๆ

“เจ้าพ่ออย่าพึ่งเป็นอะไรไปนะ ลูกจะหาหนทาง

มาบำบัดรักษาเจ้าพ่อให้จงได้ เจ้าพ่อต้องอยู่ต่อไป ได้

โปรดอย่าทิ้งลูก อย่าทิ้งเจ้าแม่ อย่าทิ้งชาวเมืองสีปันจา

ไป แข็งใจเอาไว้นะเจ้าพ่อ” พร้อมรำพัน น้ำตาของ

ลูกผู้ชายรินไหลลงมาอย่างไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้

“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้วเจ้าน้อย แม่กลัวนัก

กลัวเหลือเกินว่าเจ้าพ่อจะจากเราไป... ” เจ้านางหลวง

แว่นทิพย์เอ่ยขึ้นผสมเสียงสะอื้นไห้

ทำให้เจ้าน้อยปิ่นเมืองต้องรีบปาดน้ำตาทิ้ง และ

บอกกับตัวเองว่า เขาจะต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด เพราะ

ตอนนี้เขาเท่านั้นที่เป็นความพึ่งพิงของทุกคน ก่อนจะ

หันมาทางมารดาและโอบกอดร่างสั่นเทานั้นเอาไว้อีก

ครั้ง

“เจ้าแม่ทำใจดีๆ เอาไว้เถิด ลูกเข้าใจดีว่าที่ผ่านมา

เจ้าแม่ต้องแบกรับสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมายเพียงใด ลูก

กราบขอสูมาอภัยที่มิอาจแบ่งเบาเจ้าแม่ได้” เขาปลอบ

พร้อมขออภัยอยู่ในที ด้วยเข้าใจดีว่ามารดาต้องเผชิญกับ

สิ่งใดบ้างตลอดเวลานับจากบิดาล้มป่วยลง

“อย่าโทษตัวเองเลยเจ้าน้อย แม่ต่างหากที่ผิด ไม่

ยอมให้คนส่งข่าวไปบอกเจ้าน้อยตั้งแต่แรก แม่ไม่คิดว่า

เรื่องมันจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้” เจ้านาง

หลวงใช้ผ้าสไบเช็ดน้ำตาที่รินไหล

“ลูกเข้าใจการตัดสินใจของเจ้าแม่และทุกคนดี

ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการหาหนทางบำบัดรักษาเจ้าพ่อ ลูก

จะพยายามหาหนทางให้ได้ในเร็ววันนี้ เจ้าแม่อย่าได้

กังวล” เจ้านางหลวงแว่นทิพย์พยักหน้า

ดวงตาคู่นั้นของเจ้านางหลวงมีประกายแห่ง

ความหวังขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งที่บุตรชายกล่าวมาจะเป็นไป

ได้หรือไม่ แต่หัวใจก็อุ่นขึ้นมากนัก เพราะมีคนร่วมแบ่ง

เบาความทุกข์กังวลเพิ่มขึ้นมาอีกคนนั่นเอง

“แล้วนี่เจ้าย่ากับเจ้านางน้อยไปไหนเสียเล่า” เจ้า

น้อยปิ่นเมืองถามถึงคนสำคัญในครอบครัวอีกสองคน

ที่เขายังไม่เห็นหน้าเลยตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในคุ้ม

หลวง และมันก็เป็นเรื่องผิดปกติยิ่งนัก

“ไปทำบุญที่อารามหลวงกัน เห็นว่าคืนนี้จะค้างที่

นั่นด้วย คงจะกลับมาตอนสายๆ พรุ่งนี้ ที่พึ่งทางใจของ

เราก็มีเพียงเท่านั้นแหล่ะลูกเอ๋ย”

“ลูกเข้าใจ วันหน้าเราหาเวลาไปทำบุญร่วมกันที่

อารามหลวง หรือไม่ก็นิมนต์พระมาเทศน์ที่คุ้มหลวง

ด้วยดีกว่า จะได้ต่อบุญกุศลให้กับเจ้าพ่อไปด้วย” เจ้า

นางหลวงยิ้มน้อยๆ ให้เจ้าราชบุตรอย่างเห็นด้วย เพียง

แค่เห็นรอยยิ้มบางของมารดาก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่ม

รู้สึกเบาใจขึ้นมาได้บ้าง

จากนั้นทั้งสองแม่ลูกก็เรียกหมอหลวง และคน

สนิทเจ้าราชบุตรเข้ามา ร่วมพูดคุยกันถึงเรื่องราวการล้ม

ป่วยของเจ้าหลวง ผู้เป็นเจ้าฟ้ามหาชีวิตของเวียงสีปันจา

พร้อมทั้งปรึกษาหารือเรื่องแนวทางการรักษาต่างๆ

*-*-*-*-*-*

เดิมทีนั้นเจ้าราชบุตรแห่งสีปันจา ได้เดินทางไกล

ไปศึกษาวิชาต่างๆ ตามหลักสูตรของลูกกษัตริย์ทั่วไป

ยังต่างเมืองตั้งแต่ยังเด็ก

จากเมืองหนึ่ง ไปยังอีกเมืองหนึ่ง จนกระทั่งเติบ

ใหญ่ได้ปักหลักร่ำเรียนวิชาการต่างๆ อยู่ที่บ้านพี่เมือง

น้องอย่าง เหราดิถี แล้วจึงกลับมาช่วยงานเจ้าหลวงอยู่

ระยะหนึ่ง

แต่เพราะตำแหน่ง ‘เจ้าราชบุตร’ ผู้ที่จะ

สืบราชสมบัติและราชบัลลังก์ของสีปันจาองค์ต่อไป ทำ

ให้เขาต้องถูกส่งตัวไปยังเมืองเหราดิถีอีกครั้ง เพื่อศึกษา

วิชาทางด้านการปกครองต่างๆ เมื่อสองปีที่ผ่านมา กับ

ครูบาอาจารย์ซึ่งเก่งกาจที่สุดในเมืองนี้ก็ว่าได้

ก่อนจะถูกเรียกตัวกลับมาในครั้งนี้ เพราะเจ้า

หลวงแสนเมืองจายได้ล้มป่วยลงเมื่อเกือบสองเดือนที่

แล้ว ด้วยอาการหมดแรง เบื่ออาหาร และประคองตัวเอง

แทบไม่ไหว ร่างกายก็ซูบโทรมไปจนแทบไม่เหลือเค้า

โครงเดิม

ทางเจ้านางหลวงแว่นทิพย์ไม่ยอมส่งข่าวให้

บุตรชายตั้งแต่แรกเพราะคิดว่าคงไม่ร้ายแรง อีกทั้งเจ้า

หลวงเองตอนที่ยังมีสติก็ได้ห้ามเอาไว้ เพราะกลัว

บุตรชายจะเป็นห่วงจนเรียนไม่สำเร็จ

แต่พอเจ้าหลวงสิ้นสติไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ทุกคน

จึงเห็นพ้องต้องกันว่าต้องรีบส่งข่าวไปถึงเจ้าราชบุตร

เพื่อให้ชายหนุ่มรีบกลับมาในวาระสุดท้ายของเจ้าพ่อ

ซึ่งอาจจะมาถึงในวินาทีใดวินาทีหนึ่งก็ได้ เจ้าน้อยปิ่น

เมืองจึงรีบเดินทางกลับมาในที่สุด

แม้สภาพของบิดาจะทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มใจ

หาย เพราะอาการของเจ้าพ่อแปลกประหลาดเกินกว่า

หมอใดๆ จะวินิจฉัยได้ ต่างได้แต่เพียงนั่งเฝ้ากันไป

จนกว่าจะถึงวันสุดท้าย

แต่ทว่าในความมืดมนเจ้าราชบุตรหนุ่มยังจุดไฟ

ให้กับความหวังของตัวเอง เขาจะไม่ยอมแพ้ เนื่องจาก

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มได้เสวนากับ พ่อครูสิงห์แก้ว

อาจารย์ผู้เก่งกาจ

ซึ่งเคยประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้กับเจ้า

หลวงแสนเมืองจาย บิดาของเขา และตัวเจ้าราชบุตรปิ่น

เมืองเองที่เมืองเหราดิถี พ่อครูสิงห์แก้วบอกว่าเจ้าพ่อ

ไม่ได้เป็นโรคร้าย แต่ถูกบดบังด้วยอาคมร้ายแรงจากผู้

ไม่หวังดี

แต่หากแก้ไม่ทันจะทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าน้อย

ปิ่นเมืองได้ร้องขอพ่อครูที่เคารพรัก ซึ่งมีความหยั่งรู้

และมีบางอย่างที่พิเศษกว่าคนอื่นให้ช่วยหาหนทาง

รักษา แต่พ่อครูของเขาได้แต่ถอนหายใจพลางบอกว่า

‘ข้าเองก็กำลังพยายามอยู่ เรื่องนี้มันซับซ้อนเกิน

กว่าที่จะอธิบายได้ในตอนนี้ เอาเป็นว่าข้าจะพยายามทำ

ให้ดีที่สุดในส่วนของข้า เจ้ากลับไปดูแลเจ้าพ่อของเจ้า

ก่อนเถิด หากหนทางใดสามารถรักษาเจ้าพ่อของเจ้าได้

มันจะปรากฏตรงหน้าเจ้า

‘จงมองให้เห็นแล้วเปิดใจรับ มันจะยิ่งใหญ่กว่า

มนตราใดๆ อย่างที่เจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน มันคือความรัก

จิตวิญญาณของบรรพบุรุษของเจ้านั่นเอง ที่จะปกป้อง

คุ้มครองตัวเจ้า ครอบครัวเจ้า ประชาชน บ้านเมืองของ

เจ้า จงจำเอาไว้’

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งที่พ่อครูสิงห์แก้วพูดถึงคือ

อะไร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ถ้อยคำ

เหล่านั้นก็ทำให้เจ้าราชบุตรหนุ่มมีความหวัง

ซึ่งเขาก็จะหวังไปจนถึงวินาทีสุดท้าย หากที่สุด

ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ แล้วเจ้าพ่อของเขาจากไปจริงๆ

เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงจะยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

*-*-*-*-*-*

ดึกแล้ว... เจ้าของร่างสูงสง่าผ่าเผย ก้าวไปตาม

ทางเดินเท้าปูด้วยก้อนศิลาแลง มายังเรือนส่วนตัวซึ่งอยู่

ด้านหลังพร้อมกับคนสนิท ท่ามกลางแสงสว่างจากคบ

ไฟที่ตามไว้เป็นจุดๆ ตรงริมทางเดิน

กลิ่นดอกไม้กลางคืนกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ เสียง

แมลงกลางคืนกำลังร้องแข่งกัน แต่พอคนเดินผ่านมันก็

เงียบเสียง ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตากรีดเสียงต่อเมื่อคนเดิน

ผ่านไปแล้ว พอถึงบันไดเรือนยกพื้นสูงเพียงแค่ระดับ

เอว บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรี่เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ล้างเท้าให้

แต่ชายหนุ่มยกมือห้าม

“ไม่ต้อง เราทำเองได้ เจ้าไปพักผ่อนเสียเถิด

นันตา เตวิน คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องคอยเฝ้าเวรยามหรอก

มอบหมายให้พวกทหารคนอื่นทำแทนเสีย วันนี้เหนื่อย

กันมานักแล้ว แยกย้ายกันไปพักเถิด” ตอนท้ายหันมา

ทางคนสนิทที่รอรับใช้ใกล้ชิด ซึ่งพำนักพักพิงอยู่ใน

เรือนบริวารของตนนั่นเอง ทั้งสองจึงรับคำ จากนั้นเจ้า

น้อยปิ่นเมืองจึงจัดการตักน้ำจากตุ่มข้างบันไดมาล้างเท้า

แล้วก้าวขึ้นบันไดไป

ร่างสูงสง่าก้าวผ่านชานเรือนที่เปิดโล่ง ไปยังโถง

เรือนด้านใน เรือนพักของเจ้าราชบุตรหนุ่มค่อนข้าง

เงียบ เพราะเขาไม่อยู่เรือนเสียนาน จึงมีแต่พวกบ่าวไพร่

ผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าอยู่อีกด้าน

จนกระทั่งถึงห้องนอนซึ่งอยู่ด้านในสุด ในห้อง

นั้นจุดเทียนเล่มใหญ่ และตะเกียงน้ำมันมะพร้าวให้แสง

สว่างอยู่หลายจุด บ่าวหญิงทั้งสองยังคงนั่งเฝ้าร่างที่อยู่

บนเตียงตามคำสั่ง

“นางฟื้นขึ้นมาหรือยัง” เจ้าราชบุตรหนุ่มถาม

“เจ้า นางฟื้นเมื่อหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา แต่ก็มิได้

พูดคุยอันใด ข้าเจ้าได้แต่ป้อนน้ำให้ แล้วนางก็หลับลง

ไปอีกครั้งเจ้า”

“เช่นนั้นรึ ดึกแล้วพวกเจ้าไปนอนเสียเถิด เดี๋ยว

ทางนี้เราจัดการเอง คืนนี้นางคงไม่ฟื้นขึ้นมาอีกหรอก

อ้อ... แล้วอย่าได้แพร่งพรายเรื่องแม่ญิงคนนี้กับผู้ใดเป็น

อันขาด” ชายหนุ่มสั่ง

หมายเหตุ:
*3 ฮ้านน้ำ (หรือร้านน้ำ) คือ หิ้งสำหรับวางหม้อน้ำดื่ม ส่วนมากมักมีที่แขวนกระบวยไว้พร้อม สูงประมาณ 80-100 เซนติเมตร หากหิ้งน้ำอยู่ที่ชานโล่งแจ้งเจ้าของบ้านจะทำหลังคาคลุมลักษณะคล้ายเรือนเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้แสงแดดส่องลงมาที่หม้อน้ำ



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ม.ค. 2559, 20:26:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ม.ค. 2559, 20:26:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1236





<< สู่เวียงสีปันจา (๑)    สร้อยแสงดา (๑) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account