คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,

ตอน: ตอน ๑

----------------------------------------------------------------------------------------------->>>>>>>... ตอน ๑
“คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง ลูกพ่ออายุครบสิบแปดปีเต็ม กลายเป็นหนุ่มน้อยสง่างามเรือนร่างสูงใหญ่ ผิวขาวสะอาดอมชมพู ใบหน้าหล่อเหลาช่างเย้ายวนดึงดูดใจให้นึกอยากรัก ...อยากใคร่”

หน้าต่างกระจกบานคู่ ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดผ่านเข้ามา บนเตียงนอนนั้นลูกชายนั่งพิงอ้อมอกพ่อ หันหน้าชมจันทร์เพลิดเพลินใจ

“อืม...” เสียงครางอย่างสบายอารมณ์ เพียงปลายนิ้วชี้ของพ่อสัมผัสไล้เรียวปากอิ่มของลูกชาย ซึ่งจูบรับกับปลายนิ้วนั้น พ่อพูดกระซิบแนบชิดข้างใบหู

“ถึงเวลาแล้วพ่อจะทำให้ลูกเป็นเช่นเดียวกับพ่อ หล่ออมตะ... ความงามนี้จะไม่มีวันตาย หลับตาสิ เลวิส...” สิ้นเสียงสั่ง คมเขี้ยวได้ฝังลงซอกคอของลูกชาย

“อึ๊ก... เจ็บ” เลวิสต้องสะกดกลั้นอาการนั้น กัดริมฝีปากตัวเองข่มไว้ ค่อย ๆ อ่อนแรงล้า... นาทีนั้นแวมไพร์หนุ่มรูปงามรีบงอกเล็บตัวเองให้ยาวคมราวใบมีด กรีดข้อมือตนเพื่อปล่อยเลือดแวมไพร์ให้ไหลหยดลงตรงปากของลูกชาย

“ดูดกลืนทุกหยาดหยดของพ่อเข้าไปสิ เลวิสลูกรักของพ่อ...”

ผู้เป็นลูกทำตาม แล้วความรู้สึกสุดท้ายของเลวิสกลับดับวูบไป...

“หลับให้สบาย นี่คือคืนสุดท้ายของมนุษย์ ตื่นมาลูกจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ...ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป” พ่อกล่าวราตรีสวัสดิ์กับเรือนร่างที่นอนนิ่งไม่ได้สติ เขี้ยวของเขาค่อย ๆ ถอยกลับเข้าเป็นฟันปกติ



..........เลวิสลืมตาขึ้นมาบนเตียงนอนที่เดิม หลังหลับสนิทนานเป็นเวลาสามวัน!

“ตื่นเถิดเลวิสลูกรัก” แวมไพร์หนุ่มรูปงามเข้ามาปลุกลูกชายสุดที่รักให้ตื่น ด้วยการจุมพิตลงบนหน้าผากตามความเคยชินเก่าก่อนมาตั้งแต่ลูกชายยังเป็นเด็กเล็ก จนบัดนี้ลูกชายโตเป็นหนุ่มน้อย

“หือ? ผู้หญิง... เธอมานอนข้างผมตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ผู้หญิงคนนี้ถูกมนต์สะกด เธอเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับลูก ขอให้มีความสุขกับของขวัญที่พ่อมอบให้” พ่อพูด น้ำเสียงนั้นพึงพอใจในลูกชาย บัดนี้กลายเป็นทายาทแวมไพร์อย่างสมบูรณ์ เชยคางลูกชายเชิดขึ้นให้ลูกได้มองพระจันทร์คืนแรม ซึ่งยังคงสว่างเรืองรองดวงกลมโต พ่อดึงเสื้อเชิ้ตของลูกลงพ้นไหล่ เผยให้เห็นไหล่ที่เปล่าเปลือย หน้าอกกว้างและผิวขาวอมชมพูสะท้อนรับกับแสงจันทร์ช่วงต้นคืนแรม มือพ่อลูบไล้ไปถึงต้นคอลูก บัดนี้ไร้ร่องรอยคมเขี้ยวที่เคยถูกฝังอยู่

“ทำไมผมถึงหิวมากอย่างนี้ หิวจนจับขั้วหัวใจ...”

“ไม่ใช่แค่หิวอย่างเดียว ต่อไปลูกจะกระหาย... ต้องการเสพสุข มันเป็นสัญชาตญาณของพวกเรา ผู้ล่า...”

พ่อบอกเช่นนั้น... ทำให้เขาหันมองเรือนร่างของหญิงสาวข้างกาย เธอนอนเปล่าเปลือยอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขา มองมาที่เขาอย่างเลื่อนลอย ภายในจิตใจกระสันเกิดความเสน่หาถึงกับต้องรำพึงออกมา

“ใช่... ผมต้องการ...” น้ำเสียงที่พร่าเลือนเหมือนละเมอ บ่งบอกถึงกิเลสตัณหามากมายล้นพ้นเกินกว่ามนุษย์ธรรมดา

“อย่างนั้นพ่อไม่รบกวนลูกละ สุขสันต์วันเกิดเลวิสลูกรัก” ผู้เป็นพ่อออกจากห้องนอนไป เลวิสเริ่มสัมผัสที่ซอกคอหญิงสาวด้วยจูบเบา ๆ ไม่แม้แต่จะเอ่ยถามชื่อหญิงสาว เพราะอีกไม่นาน... เธอผู้นี้จะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป!



..........ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย

ปีต่อมาในเวลากลางคืน บริเวณหอพักข้างโบสถ์คริสต์เล็ก ๆ เลวิสได้โทรนัดบาทหลวงไว้ก่อนล่วงหน้า แล้วมายืนรออยู่หน้าตึกที่พัก

“หลวงพ่อ ผมอยากสารภาพบาป... ฮึก...” เลวิสร้องไห้ออกมาและพยายามกลั้นสะอื้น เขารู้จักกับบาทหลวงผู้นี้ และเลื่อมใสศรัทธาตั้งแต่ปีก่อน... ทุกอาทิตย์เคยมาสวดมนต์ที่โบสถ์เป็นต้องได้เจอกับท่านเสมอ

“ทำไมไม่ไปที่โบสถ์ในตอนกลางวันล่ะลูก”

“ผมไปไม่ได้ ผมต้องการความช่วยเหลือ” เลวิสก้มหน้าคอตก ท่าทางอย่างคนสิ้นหวัง

บาทหลวงแตะที่ไหล่ อยากปลอบโยน และท่านมีสัมผัสที่หกคือมีจิตหยั่งรู้ กระนั้นยังถึงกับสะดุ้งเมื่อได้สัมผัสร่างเด็กหนุ่ม

“แวมไพร์! ลูกกลายสภาพเป็นอย่างนี้ได้ยังไง เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นมนุษย์ปกติดีอยู่”

“ผมบอกไม่ได้ แต่ผมไม่อยากเป็นเลย ทำยังไงผมจะกลับกลายเป็นมนุษย์ได้เหมือนเดิม” เลวิสรำพันถาม

บาทหลวงใช้ความคิด แล้วสงบลงด้วยสมาธิ เพ่งกระแสจิตหยั่งรู้ หลับตาลงครู่หนึ่ง...

“มีหญิงสาวคนหนึ่งช่วยลูกได้ แต่เธอไม่ใช่คนอเมริกัน ไม่ได้อาศัยอยู่ที่ประเทศเรา”

“เธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน”

“สาวไทย เป็นสาวพรหมจรรย์ ผู้มีพลังจิตบริสุทธิ์ และเกิดในเวลาที่เรียกว่า ‘ฤกษ์เพชฌฆาต’”

“แม่ของผมเป็นคนไทย ผมจะไปถามแม่ เพื่อตามหาสาวคนนั้น”

“เลวิส ลูกเป็นแวมไพร์เกิดใหม่ ยังไม่เป็นเลือดแวมไพร์เต็มตัว มีโอกาสกลับไปเป็นมนุษย์สูง”

“ผมต้องตามหาเธอให้พบ ในเร็ววันให้ได้”

“อย่างช้าอย่าให้เกินสองปี พ่อเชื่อว่าเลวิสจะต้องได้พบ... เลือดของเธอผู้นั้นผสมพลังจิตบริสุทธิ์ จะล้างเลือดแวมไพร์ได้ ต้องดื่มกินเข้าไปขณะเธอยังมีชีวิต แต่ถ้าเธอตายพลังนั้นจะสูญสิ้นไปตามไปด้วย และห้ามกัด... เพราะคมเขี้ยวจะทำให้เลือดของเธอผสมเลือดแวมไพร์ กลายเป็นเลือดไม่บริสุทธิ์”

“ถ้าหากหาเธอคนนั้นพบเกินเวลาสองปีไปแล้ว ผมคงหมดโอกาสกลับคืนเป็นมนุษย์ใช่ไหมครับ”

“โอกาสกลับคืนเป็นมนุษย์จะยากขึ้น และต้องหาสาวพรหมจรรย์ที่มีพลังจิตบริสุทธิ์ขั้นสูงมาก ซึ่งมนุษย์เช่นนั้นหายากมากที่สุดในโลก”



..........แวมไพร์หนุ่มรูปงามผู้หลงใหลในความหล่อเป็นเลิศของตัวเอง ยืนชื่นชมโฉมสะอางผ่านทางหน้ากระจกสะท้อนเต็มตัว ชื่นชอบพลังวิเศษเฉพาะตัวของแวมไพร์ ที่ผ่านมาจึงพยายามหมั่นฝึกฝนการใช้อิทธิฤทธิ์ แน่นอนว่าเขาไม่อยากกลับไปเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์หนีไม่พ้นการแก่ชราร่วงโรยป่วยไข้แล้วตายไป และด้วยความรักหวังดีต่อเลวิส บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา จึงเป็นเหตุผลให้เขาถ่ายทอดเลือดแวมไพร์ให้ในฐานะทายาท

เขามีพลังวิเศษในการอ่านใจ และรู้ความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่ตนต้องการรู้ เมื่อได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของเลวิสที่ไม่อยากเป็นแวมไพร์ นั่นทำให้เขานึกเสียดายที่อุตส่าห์ถ่ายทอดพลังให้ ไม่อยากให้ลูกชายคิดจะกลับไปเป็นมนุษย์

“เลวิส... ไม่น่าคิดละทิ้งความปรารถนาดีที่พ่อตั้งใจให้ลูก”

“ผมรู้ครับว่าพ่อหวังดี อยากให้ผมมีพลังวิเศษและคงความงดงามไปตลอดกาล แต่ผมไม่อยากเป็นฆาตกรฆ่ามนุษย์เพื่อดื่มเลือด มันเป็นบาป...”

“ที่ลูกคิดเช่นนั้นเพราะลูกไม่เห็นคุณค่าสิ่งสวยงามที่พ่อมอบให้ ประชากรมนุษย์มีมากมายจนล้นโลก เกิดและตายเป็นธรรมดา ฆ่าแค่ครั้งละคน เป็นอาหารทำให้เราอิ่มไปนาน ทำไมลูกจะต้องสำนึกบาป”

“ผมทำใจอย่างพ่อบอกไม่ได้ ทุกครั้งที่ได้เสพสุขกับผู้หญิงที่น่ารัก แล้วต้องดื่มเลือดเธอเป็นอาหาร มันทรมานใจผม ผู้หญิงมีไว้ให้รัก ผมไม่อยากฆ่า ไม่กินอาหารก็โหยหิวทรมานแทบขาดใจ ทรมานกว่าตอนเป็นมนุษย์หลายเท่า ต้องดำรงชีวิตตัวเองด้วยการฆ่าผู้อื่น ...นี่หรือความสุขใจ? ต้องฆ่าเรื่อยไปไม่สิ้นสุด เป็นอมนุษย์ที่มีชีวิตอมตะอย่างนี้ผมไม่ต้องการ”

“แต่มนุษย์มีร่างกายเปื่อยเน่า เหี่ยวเฉาเหมือนดอกไม้โรย แก่ชราสะสมเชื้อโรคแล้วป่วยตายง่าย เวียนว่ายตายเกิดชั่วเวลาไม่ถึงร้อยปี ไม่ดีเลยชีวิตมนุษย์สุดแสนจะสั้น มันยุ่งยากลำบากหากอยากมีชีวิตเป็นมนุษย์” ยูชิยะพยายามพูดให้ลูกเห็นสัจจะธรรมแห่งความเป็นมนุษย์อันน่าเบื่อหน่าย ซึ่งยูชิยะไม่ปรารถนาอยากเป็นเลย

“ไม่ว่าอย่างไรผมก็อยากกลับเป็นมนุษย์ ผมจะไปอยู่กับแม่มิลินที่เมืองไทย” เลวิสยืนกรานในเจตนาของตน

“พ่อเข้าใจแล้วเลวิสมีจิตใจที่แน่วแน่ ถ้าต้องการอย่างนั้นจริงพ่อคงเหนี่ยวรั้งลูกไว้ไม่ได้ แต่ขอให้จำไว้ว่าพ่อรักลูกเสมอ หากต้องการพบพ่อเมื่อไหร่ จงส่งกระแสจิต... เรียกชื่อพ่อ ‘ยูชิยะ’ พ่อจะไปหาลูก ...ไม่ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลมุมไหนของโลก”



..........ประเทศไทย ในเขตปริมณฑล

‘บ้านโองาว่า’ ตึกเล็ก... เป็นบ้านทรงไทยสองชั้นครึ่งตึกครึ่งไม้ ตึกใหญ่... เป็นตึกร้าง! ก่อสร้างโดยทำฐานรากสูงเพื่อป้องกันน้ำท่วมถึง เป็นตึกสองชั้นสไตล์โมเดิร์นสีเขียวอ่อนออกขาว ภายในมีห้องขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบห้อง แม้สร้างแล้วเสร็จมาเป็นแรมปี แต่ไม่มีผู้ใดกล้าอยู่อาศัย!

นอกจากนั้นยังมีบ้านเรือนไม้ใช้เป็นที่พักอาศัยสำหรับคนงาน เนื้อที่ทั้งหมดกว้างถึงห้าไร่เศษ

“เรามีห้องแถวให้เช่าอยู่ข้างกำแพงวัด ยายเพียรมาเช่าอยู่กับหลานสาวสองคน ตอนหลังลูกชายตกงานทั้งสองคนผัวเมีย เลยย้ายจากกรุงเทพฯ มาอาศัยเช่าห้องข้าง ๆ อีกห้อง หลวงพี่ที่วัดสงสารครอบครัวนี้ คอยช่วยเหลืออยู่ ทุกวันพระมีกับข้าวเหลือมาก เลยให้ลูกชายยายเพียรไปเอามากิน แม่เองยังเคยให้ข้าวสารถังหนึ่งเลย” คุณนายจินตนาเล่าให้ลูกสาว ลูกเขย หลานชายและเพื่อนของหลานชายฟัง ขณะรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน

“ลูกชายยายเพียร ชื่อ... พลอยใช่ไหมคะ หนูชักจะจำชื่อคนบ้านเดียวกันไม่ได้”

“ใช่... นั่นแหละ ส่วนหลานสาวยายเพียรชื่อ กาฬวาร เป็นเด็กดีว่าง่ายไม่ดื้อเลย นิสัยผิดกับเด็กแถวนี้ เรียนเก่งสอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนทุกปี แถมยังเป็นนักเรียนมารยาทดีเด่นของโรงเรียนด้วย ตอนเอ็นฯ ติดมหาวิทยาลัยของรัฐได้ แต่ไม่มีเงินเรียน เพราะพ่อแม่เพิ่งตกงาน น่าเห็นใจ... พ่อเลยให้กู้ยืมเงินเพื่อเรียนต่อ ทำสัญญาเงินกู้แบบไม่คิดดอกเบี้ย ถ้าเรียนจบมีงานทำ มีเงินเดือนเมื่อไหร่ค่อยเอามาใช้คืน และส่งเรียนพิเศษภาษาอังกฤษให้คล่องด้วย ต่อไปจะได้ใช้เป็นภาษากลางคุยกับพวกเราได้ดียิ่งขึ้น” คุณ ฮิงาชิ โองาว่า เป็นผู้เล่าให้ฟังบ้าง

“คุณพ่อใจดีจังครับ ช่วยเหลือคนยากคนจน ผมว่าเป็นเรื่องดีที่เราช่วยเหลือเด็กเรียนดีมีมารยาทงาม” ทาคามิ มัตสึโมริ กล่าวยกย่องผู้เป็นพ่อตา

“เหนือ... หลานชายของคุณพ่อก็เรียนเก่งนะคะ สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเอกชน นี่เหลือเรียนเทอมหน้าอีกเทอมเดียวจะจบไฮสคูล หนูว่าจะส่งเหนือไปเรียนต่อที่อเมริกาค่ะ” มิลิน มัตสึโมริ กล่าวถึงลูกชายของตนขึ้นบ้าง

คุณนายจินตนากับคุณฮิงาชิจึงชิงกันถาม...

“จะส่งไปอยู่กับพ่อของเลวิสที่อเมริกาใช่ไหม”

“จริงสิ เลวิส... หลานชายพ่ออีกคนเป็นไงบ้าง”

“เลวิสเรียนจบไฮสคูลแล้ว เขียนจดหมายมาบอก ไม่อยากเรียนต่อมหาวิทยาลัย จะเป็นนักร้องตามผับแบบเดียวกับพ่อเขา แต่หนูไม่ให้เหนือไปอยู่กับพวกเขาหรอกค่ะ จะให้อยู่หอพักต่างหาก”

“แต่แม่ว่าแบบนั้นเหนือคงเหงาแย่น่าเสียดาย ...น่าจะให้พี่น้องได้อยู่ด้วยกัน”

“ยูชิยะรักลูกมาก ชอบเอาใจลูกทุกอย่าง หนูกลัวลูกจะกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ หนูอยากให้เหนือเข้มแข็งและเก่ง อยู่ได้ด้วยตัวเอง พึ่งตัวเองได้” คุณมิลินอธิบายเหตุผลเท่าที่พอบอกเล่าได้ ยังมีความจริงบางสิ่งที่ไม่อาจบอกใคร

“แล้วเรื่องจะให้เหนือโอนสัญชาติเป็นคนไทย ...เมื่อไหร่ล่ะ” ผู้เป็นยายถามถึงหลานชาย

“พรุ่งนี้จะไปยื่นเรื่องค่ะ ขอใช้นามสกุลเก่าของคุณแม่นะคะ เรืองอารยะ ส่วนชื่อภาษาญี่ปุ่น โฮคุโตะ จะเปลี่ยนเป็นภาษาไทยชื่อ ลมเหนือ คุณแม่จะว่ายังไงคะ”

“อืม... แม่ให้ใช้นามสกุลเก่าของแม่ได้ ส่วนใช้ชื่อไทยว่าลมเหนือแทนโฮคุโตะ แม่เห็นด้วยจ้า” คุณนายจินตนาสนับสนุนลูกสาวให้ไปดำเนินการตามนั้น

เมื่อเสียงคุยของผู้ใหญ่เงียบลง สบโอกาส... ลมเหนือจึงไม่รอช้าที่จะพูดกับแม่ของตน

“ริวจิ เขาตามผมมาเมืองไทยเพราะอยากเจอเพื่อน และอยากมาไหว้พระไทยที่จังหวัดนนท์ ผมขออนุญาตไปกับเพื่อนสักสองสามวันได้ไหมครับแม่”

“เหนือกับเพื่อนยังไม่เคยมาเมืองไทยเลย รู้เส้นทางเหรอ? จะไปกันยังไง”

“ให้เพื่อนคนไทยขับรถมารับได้ครับ”

“ลูกเพิ่งสิบแปด อย่าเพิ่งเที่ยวผจญภัยให้มากนัก แม่เป็นห่วง...”

“แหมแม่... ผมเป็นผู้ชายนะครับ แข็งแรงด้วย แถมตัวโตกว่าผู้ชายไทยส่วนใหญ่ ใครจะกล้าทำอะไรผมได้ ไม่ใช่เด็กผู้หญิงเสียหน่อย” ลมเหนือยังอ่อนประสบการณ์ชีวิต จึงคิดภาคภูมิใจในความแข็งแรง อีกทั้งร่างกายใหญ่โตของตน คงไม่มีใครกล้ามาทำร้ายได้

“ถึงจะอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ต้องปล่อยลูกชายให้ได้ไปเรียนรู้โลกภายนอกครอบครัวบ้าง เพื่อเติบโตต่อไปในวันข้างหน้า พ่ออนุญาต ฮคคุ” คุณทาคามิเข้าใจลูกชายวัยรุ่นของเขา คงอยากไปเที่ยวเล่นตามประสา จึงออกปากอนุญาต

“ขอบคุณมากครับพ่อ” ลมเหนือรีบกล่าวขอบคุณ เกรงผู้เป็นแม่จะคัดค้าน ซึ่งมิลินต้องยอมรับในเหตุผลของสามี

“แม่อนุญาตจ้า แต่ห้ามขาดการติดต่อกับแม่นะ ต้องโทรรายงานตลอด เอ้า... แม่ให้เหนือยืมมือถือ” คุณมิลินยื่นให้ เพราะลูกชายมาพักอยู่เมืองไทยช่วงปิดเทอมแค่เดือนเดียว จึงไม่คิดซื้อมือถือให้ลูกชายใช้

“ขอบคุณครับผม” ลมเหนือทำท่าเคารพเลียนแบบทหาร ดีใจเมื่อแม่อนุญาต ยามอารมณ์ดีอย่างนี้เขาดูร่าเริงน่ารัก เหมือนเด็กวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง



..........เวลาตีสามดึกสงัด... ห้องแถวข้างกำแพงวัดที่มีกอไผ่เก่าแก่กอใหญ่ และต้นกระถินยืนแถวเรียงรายตามแนวกำแพง ความเงียบในห้องนอนทำให้ได้ยินแม้แต่เสียงดิ้นรนของคนบนที่นอนปิกนิกภายใต้ผ้าห่มขนหนู

“อื้อ... อื๊อ... โอ๊ย...” เสียงร้องละเมอ... ยังไม่รู้สึกตัวของกาฬวาร

“เป็นไรไปลูก... กาฬ กาฬ...” ผู้เป็นย่าต้องรีบเรียกปลุกให้ตื่น สงสัยว่าหลานสาวอาจฝันร้าย ถ้าปล่อยไว้นานเกิดขวัญเสียจะไม่ดีต่อสุขภาพจิต

“ย่า... กาฬฝันร้าย” กาฬวารตื่นลืมตามาด้วยความตกใจ ส่งเสียงตอบท่ามกลางความมืด และลุกขึ้นเปิดไฟฟ้าภายในห้อง

“ฝันร้ายจะกลายเป็นดี สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าที่เจ้าทาง เจ้ากรรมนายเวร รวมทั้งผู้ที่มาทำให้เราฝันร้าย และแผ่เมตตาให้ตัวเองด้วย เผื่อร่างกายเรามีอาการทำพิษขึ้นมาเอง เลยทำให้ฝันร้าย”

“จ้าย่า ได้เวลาสวดมนต์นั่งสมาธิพอดี ย่านอนต่อเถอะจ้า กาฬไม่เป็นอะไรแล้ว” กาฬวารบอกกับยายเพียร จากนั้นเธอปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน

พอถึงเวลาตีสี่กว่าจึงหุงข้าวประสาจน จากเตาฟืนใช้สารพัดกิ่งไม้เศษไม้มาก่อไฟ ก่อนหน้านั้นสองคนยายหลานช่วยกันไปเดินหามาแถวละแวกบ้านซึ่งอุดมไปด้วยต้นกระถิน อีกทั้งกิ่งไผ่กิ่งไม้ต่าง ๆ ทุกอย่างฟรีไม่มีใครหวงเสียด้วย ทำกับข้าวอย่างง่ายประเภทไข่ต้ม ผักต้ม ตำน้ำพริกกะปิ ทอดปลาทู สำหรับครอบครัวสี่คนมีพ่อกับแม่อาศัยอยู่ข้างห้อง หลังทานข้าวเช้าแล้วจึงห่อข้าวกล่องกับไข่ต้ม นำไปเป็นมื้อกลางวันทานที่มหาวิทยาลัย...

หลังกลับจากมหาวิทยาลัยกาฬวารยกมือไหว้ยายเพียร เป็นมารยาทประจำทำสม่ำเสมอจนติดเป็นนิสัย

“กลับบ้านแต่วันนะดีแล้ว... ย่าจะทำข้าวเหนียวนึ่งกล้วย กาฬไปซื้อข้าวเหนียวร้านเจ๊เกียวให้ย่าหน่อย พอดีคุณมิลินเอากล้วยน้ำว้ามาให้ตั้งสามหวี”

“เอ๊ะ! ไม่เคยได้ยินชื่อ คุณมิลินไหนเหรอจ๊ะย่า”

“ลูกสาวคุณนายจินตนา ไปอยู่ประเทศญี่ปุ่นยี่สิบกว่าปีแต่งงานอยู่กินกับคนญี่ปุ่น เพิ่งพาผัวกลับมาอยู่เมืองไทยด้วย ผัวเขาป่วยเป็นโรคหัวใจ ผ่าตัดแล้วเลยมาพักฟื้นที่บ้านเรือนไทย”



..........ร้านขายข้าวสารฝั่งตรงข้ามวัดดอน เป็นเหมือนสมาคมนิยมเล่นหวย

“กาฬฝันอะไรเล่าให้ฟังบ้างนะ เผื่อจะตีเป็นหวย” เจ๊เกียวเจ้าของร้านชอบเอ่ยถาม

“ฉันฝัน... โดนงูรัด” คนที่ฝันตอบไปตามตรง ทั้งที่รู้ความหมายความฝัน แต่ไม่ค่อยปักใจเชื่ออะไรนัก

“หา! ฝันอย่างนี้มันเป็นลางบอกเหตุ เอ็งจะเจอเนื้อคู่” เจ๊เกียวหันมาสนใจพินิจพิจารณาใบหน้ามีน้ำมีนวลของเด็กสาววัยรุ่น ดวงตาคู่สวยด้วยเปลือกตาสองชั้นขนตายาวมากและงอนงาม คิ้วดกเข้มโค้งเข้ารูป จมูกนิดปากหน่อย เรียวปากอิ่มเคลือบลิปมันสีชมพูบาง ๆ ใบหน้าหมดจดสดใส แม้ไม่แต่งแต้มเครื่องสำอางยังงามโดดเด่นโดยธรรมชาติ เจ๊เกียวเชื่อว่าคงถึงคราวที่เด็กสาววัยรุ่นคนนี้ต้องมีหนุ่มมาหมายปองข้องเกี่ยวด้วยแน่นอน

“แต่คราวนี้มันไม่น่าใช่ เพราะไอ้งูที่มารัดมันไม่ใช่ตัวเล็กจิ๊บจ๊อยสิเจ๊ เป็นงูเหลือมตัวใหญ่สีทอง ...ขนาดโตกว่าต้นขานี่ได้ เข้ามารัดแค่ตัวเดียวฉันยังดิ้นไม่หลุดเลย หนำซ้ำยังดันมีอีกตัวสีขาวอมชมพูอ่อน แต่ตัวใหญ่กว่าตัวแรกเข้ามารัดด้วยอีกตัว โอ๊ย... จะตายให้ได้ หายใจไม่ออก ฉันเลยตกใจตื่น” กาฬวารทำท่าทางประกอบ ขณะเล่าให้เจ๊เกียวฟังเรื่องความฝันที่ทำให้ตกใจตื่นตอนตีสาม

“เอ๊ะ! รึว่าเอ็งอาจมีเนื้อคู่ถึงสองคน เฮอะ? กาฬ งูเหลือมสีทองคงเป็นคนร่ำรวยมีเงินทอง ส่วนงูเหลือมสีขาวอมชมพูคงเป็นผู้ชายตัวใหญ่รูปหล่อ ...เจ๊เดาเอานะ แต่ถ้ามันไม่ใช่เจอเนื้อคู่ ฝันอย่างนี้ต้องเป็นหวยแน่ยิ่งกว่าแช่แป้ง งูเหลือมตัวใหญ่สองตัวใช่ไหม งวดนี้ต้องมีสองมาแน่นอน” เจ๊เกียวให้ความเห็นอย่างไม่แน่ใจ แล้ววกเข้าเรื่องหวยจนได้

“อืม... ลักษณะการรัดพันบิดเกลียวนี่มันเหมือนเลขแปด สงสัยมีแปดอีกตัว” กาฬวารทำท่าคิดคาดเดาเอากับเขาด้วย

“กินอะไรงวดนี้กาฬบอกเจ๊มา มะรืนหวยจะออก... ถ้าถูกหวยล่ะเจ๊จะจัดให้เต็มที่” เจ๊เกียวบอก ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง เพราะแกเป็นคนพูดจริงทำจริง

พูดถึงเรื่องกิน... สำหรับกาฬวารแล้วล่ะหูผึ่งคิดถึงแต่ของที่ชอบ จึงตอบไป...

“เอากระเพาะปลาหม้อเดียว ใส่ยอดมะพร้าวอ่อน แถมใส่ไข่นกกะทาจะอร่อยมาก อ้อ... เอาเส้นบะหมี่แยกต่างหากด้วย”

“แค่นี้เอง ...ได้สบายมากถ้าถูกหวยงวดนี้ เจ๊ยกให้กระเพาะปลาเต็มหม้อ เอาหม้อเบอร์สามสิบสองเป็นไง ใหญ่เท่าหม้อข้าวหม้อแกงของวัดเลยล่ะ”

“ฉันเดาไปอย่างนั้นเองนะ เจ๊อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังระวังจะเสีย การพนันมันมีความเสี่ยง คิดให้ดีก่อนจะทุ่มทุน ถ้าหวยออกเมื่อไหร่คงไม่กล้ามาซื้อของร้านเจ๊ ถ้าเจ๊ไม่ถูกหวย ฉันคงถูกตีหัวแน่ ฮะ ฮะ ฮะ...” กาฬวารหัวเราะ พูดติดตลก



..........สามวันผ่านไป กลับกลายไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับกาฬวาร

“เครียดหลาย... เดาหวยไปแค่สองตัว แต่เจ๊เกียวดันถูกเลขท้ายสามตัว ป่าวประกาศไปทั่วทั้งตำบลแล้วมั้ง เฮ้อ... กลุ้ม” กาฬวารบ่นเบา ๆ

เพราะมีชาวบ้านมาที่บ้านพลุกพล่าน ล้วนแต่เอาของมาให้เป็นการตอบแทน พวกเขาถูกล็อตเตอรี่ บางคนถูกหวยใต้ดิน แต่ที่แน่นอน... เจ๊เกียวร้านข้าวสารถูกเลขท้ายสามตัว ล็อตเตอรี่ชุดสิบใบใหญ่ได้รางวัลไม่น้อย จึงใช้ลูกจ้างยกกระเพาะปลาทั้งหม้อมาให้ ตามที่ได้เคยสัญญาไว้

“เจ๊ถูกหวยชุด ได้เงินตั้งสี่หมื่น เห็นไหมล่ะกาฬมันให้หวยแม่นมาก งวดนี้ออกสองสองแปดอย่างที่เจ๊บอก ใครเล่นตามเจ๊ถูกหวยทั้งนั้น ต่อไปนี้เจ๊จะเรียกสรรพนามแทนมันซะใหม่ ยกย่องหน่อยเรียกคุณกาฬดีกว่า เจ๊เอากระเพาะปลาหม้อใหญ่มาให้แล้ว ต้องกินเยอะ ๆ นะ”

นั่นล่ะปัญหา... กาฬวารรูปร่างผอมบางจะกินเข้าไปหมดได้อย่างไรต่อให้กินจนท้องแตก งานนี้คงต้องแจกคนในละแวกบ้าน

“ขอบใจมากเจ๊เกียว ถูกหวยอุตส่าห์เอาของกินมาให้ ขอให้มีความสุขความเจริญนะจ๊ะ” ยายเพียรกล่าวอวยชัยให้พร

“ยายเพียร... ฉันเอาขนมเปี๊ยะมาให้จ้า เล่นหวยตามเจ๊เกียวแหละถูกล็อตเตอรี่ใบเดียว ขึ้นเงินได้สี่พัน”

“คุณมิลินถูกหวยกับเขาด้วย เห็นไหมล่ะคุณกาฬให้หวยแม่น ไม่รู้ไปทำอะไรมา? หมู่นี้ดูมีสง่าราศีอย่างกับมีองค์ทรงเจ้าอะไรอย่างนั้นใช่ไหมยายเพียร” เจ๊เกียวถาม

“กาฬไม่มีองค์อะไรหรอก มันทำบุญใส่บาตร ถือศีล กินเจทุกวันพระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม แล้วแผ่เมตตาทุกคืน ตอนปิดเทอมใหญ่ทุกปีชอบไปถือศีลแปด สิบห้าวันที่วัดในกรุงเทพฯ ได้เจอแม่ชีที่สอนสมาธิ ปฏิบัติมานานแล้ว คงทำให้เกิดเหตุอัศจรรย์ได้ ยายเชื่ออย่างนั้นนะ”
----------------------------------------------------------------------------------------------->>>>>>>
.
.
สวัสดีค่ะ เพื่อนนักอ่านทุกท่าน
ฉันเพิ่งนำนิยายมาลง กะอัพสลับกันทั้งสองเรื่อง
เรื่อง เปลวไฟในกระแสลม และเรื่อง คืนค่ำร่ำพิศวาส
ฝากเนื้อฝากตัวด้วย แล้วติดตามอ่านผลงานของฉันบ้างนะคะ
นามปากกาโดย...
ไตรติมา
.



ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.พ. 2559, 10:55:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ก.พ. 2559, 00:11:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1506





   ตอน ๒ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account