เล่ห์บุพเพ
พันธนาการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องการอิสรภาพคืน ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อการพบกันอีกครั้งระหว่างเธอและเขามีกฏเกณฑ์ทางหน้าที่กำหนดไว้ว่าระหว่างคอนซัลและวิศวกรห้ามมีความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานธรรมดา มนต์พระจันทร์จึงไม่อาจทวงถามถึงอิสรภาพที่รอคอยได้เสียที ในขณะที่วิณรุจน์เองก็ทำราวกับไม่รู้จักเธอ..ซ้ำยังกลายมาเป็นชู้ เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น

ตัวอย่างจ้า

"อยากหย่านักใช่มั้ย" วิณรุจน์เอ่ยถามหลังจากมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง

"ค่ะ ทะเบียนสมรสมันทำให้พระจันทร์ลำบาก"เธอเอ่ยราบเรียบ

Tags: มนต์พระจันทร์/วิณรุจน์/คอนซัล/โปรเจ็คแมนเนเจอร์

ตอน: บทที่ 1

พระเอก: วิณรุจน์

นางเอก: มนต์พระจันทร์

--------------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------


บรรยากาศร่มรื่นเงียบสงบในรอบรั้วเขตอภัยทานวัดแห่งหนึ่งย่านภาษีเจริญ หญิงกลางวัยนิ่งมองภาพถ่ายของผู้เป็นสามีที่บรรจุอัฐิไว้ด้านหลังรูปด้วยความหนักใจ เธอมักมาที่นี่เพื่อระบายสิ่งต่างๆที่สุมอยู่ในอกให้ผู้เป็นสามีซึ่งล่วงลับไปนานร่วมสิบปีได้รับรู้เมื่อไม่สามารถหาทางออกได้

พสุ อัครกานต์ สามีที่จากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่ลูกชายคนเดียวเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยปีแรก ทิ้งธุรกิจอสังหาฯให้เธอกับลูกชายเป็นผู้ดูแลต่อ แต่นั่น..ไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้เธอต้องมายืนตรงจุดนี้ ธุรกิจเติบโตมั่นคงและดำเนินกิจการไปได้ด้วยดีภายใต้การบริหารงานของเธอ โดยที่ลูกชายเพียงคนเดียวของอัครกานต์ไม่เคยมาดูดำดูดีเพราะรักในอาชีพที่ตนร่ำเรียนมา และนั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอแก้ไม่ตก

ถัดไปอีกสองช่อง เป็นภาพถ่ายของผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ ใบหน้าแฉล้มงดงามตามแบบฉบับสาวชาวเหนือทำให้นึกถึงหลานสาวซึ่งมีใบหน้างดงามไม่ต่างจากผู้เป็นแม่นัก หากแต่บุตรสาวกลับชวนมองยิ่งกว่า ช่องติดกันคืออัฐิสามีของมนต์ดาวซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเดียวกันกับสามีเธอและมานพก็ยังเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจในบริษัทเธออีกด้วย

ผู้เป็นสามีของมนต์ดาวเสียชีวิตทันทีที่ประสบอุบัติเหตุ ขณะที่สามีเธอและมนต์ดาวเสียชีวิตที่โรงพยาบาล มนต์ดาวฝากฝังให้เธอดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งแทนตนก่อนสิ้นลมและเธอก็รับปากเพราะนั่นหมายถึงหุ้นของบริษัทจะได้ไม่ต้องตกไปเป็นของใครเพื่อให้ลุกขึ้นมาคานอำนาจเธอ

นานมาแล้วเธอเคยชิงชังผู้หญิงคนนี้เพราะสามีเธอปฏิบัติต่อมนต์ดาวอ่อนโยนไม่ต่างจากเธอซึ่งเป็นภรรยา แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองเป็นสาเหตุให้ทั้งคู่ต้องเจ็บปวดใจและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสมานานปีเพราะหน้าที่ ซึ่งมาวันนี้เธอเองก็ทุกข์หนักเพราะหน้าที่เฉกเช่นเดียวกัน

ภาระหน้าที่ที่สามีร้องขอสัญญาต่อเธอก่อนสิ้นใจนั้นยากลำบากไม่น้อย ทว่าก็สำเร็จไปก้าวหนึ่ง กระนั้นก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่เธอตั้งใจจะทำให้ทั้งสองเพื่อเป็นการไถ่บาปที่เธอได้ก่อ เธอเองก็ไม่ได้มีจิตใจคับแคบมืดบอดจนมองไม่เห็นความรักความผูกพันที่สามีเธอและมนต์ดาวมีต่อกันมา ก่อนที่เธอจะแย่งพสุมาครอบครองด้วยความอยากเอาชนะชายหนุ่มผู้ไม่เคยแยแสเธอ และพสุก็วางตัวเป็นสามีที่ดีมาเสมอมา ไม่เคยทำให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจเลยแม้จะรู้ว่าสามีไม่ได้รักใคร่ในตัวเธอมากมายเท่าใดนัก แต่ก็ยังครองคู่กันมาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตสามี

ภาวินีเพ่งพิศทั้งคู่ด้วยสายตาตำหนิสลับกับการถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นานโดยที่มีแม่แจ่มคนสนิทและนายเหมือนคนขับรถมองดูด้วยความเห็นใจอยู่ไม่ห่าง

“คุณพสุ..คุณไม่คิดจะช่วยฉันบ้างหรือไง อยู่ข้างบนมีฤทธิ์มีเดชอะไรก็สำแดงบ้างสิ! ฉันกลุ้มจะแย่อยู่แล้ว อีกคนอยู่ทางเหนือ ส่วนอีกคนพอกลับจากอเมริกาก็ลงใต้ แล้วเมื่อไหร่สิ่งที่คุณขอจะสำเร็จเสียที” เธอโพล่งด้วยความอัดอั้นบวกกับตัดพ้อผู้เป็นสามีอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร นึกพาลผู้วายชนที่ทิ้งภาระหน้าที่อันหนักอึ้งไว้ให้เธอ

“เธอก็ด้วย..แม่มนต์ดาว ไม่คิดจะยกโทษให้ฉันหรือไงนะ ถึงได้คอยกีดกันไม่ให้ลูกสาวลงเอยกับตารุจน์เสียที นี่ก็ถือทะเบียนสมรสมาเจ็ดแปดปีแล้วนะ ไม่อายคนบ้างรึไง” เธอหันไปเอาเรื่องกับอัฐิของมนต์ดาวที่มองตอบมาด้วยสายตาอบอุ่นอมยิ้มละมุนราวกับเมื่อครั้งยังมีชีวิต

แม่แจ่ม คนสนิทของภาวินีหันไปยิ้มกับนายเหมือนนิด แม้ภายนอกภาวินีจะดูเป็นคนร้ายๆเอาแต่ใจ แต่เธอก็จะร้ายเฉพาะบทเฉพาะตอนเท่านั้น ทว่าความเอาแต่ใจนั้นไม่น้อยไปกว่าลูกคนหนูที่โดนตามใจมาตั้งแต่เด็กด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวแต่ก็อยู่ภายใต้เหตุผลเสมอ ตนอยู่กับภาวินีมานาน นานจนผมจากสีดำเริ่มมีสีขาวแซม รู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคุณนายไม่ใช่คนใจคับแคบอะไร

ทุกครั้งที่กลุ้มใจเรื่องของลูกชายและหลานสาว ภาวินีก็มักจะมาระบายความรู้สึกที่นี่พร้อมทั้งต่อว่าอัฐิของทั้งสองไปตามประสา แรกๆแม่แจ่มก็นึกหวั่นอยู่บ้าง เกรงว่าคุณนายอัครกานต์จะมีภาวะทางสมองผิดปกติไปหรือเปล่า แต่พอทราบต้นสายปลายเหตุทั้งหมดก็เริ่มเข้าใจ บ่อยๆเข้าก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ยามที่ลูกชายหรือหลานสาวไม่ได้ดั่งใจ เธอก็มักจะมาลงที่อัฐิของสามีเสมอ ครั้นสุดท้ายก็จะอ้อนวอนขอร้องให้คุณพสุ คุณมนต์ดาวและคุณมานพช่วยดลใจให้ภารกิจของเธอสำเร็จเสียที

“ฉันขอร้องนะคะคุณพสุ มนต์ดาวช่วยดลบันดาลให้สองคนได้พบกันเสียที จากนั้นฉันจะไม่ขออะไรอีก ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันเหนื่อยเต็มทีแล้ว” เธอพนมมือไหว้อ้อนวอนจนแม่แจ่มนึกขันเพราะมันเป็นภาพที่เห็นอยู่เป็นประจำเมื่อมาที่นี่

“ถ้าครั้งนี้ยังเฉยอยู่อีกล่ะก็..ฉันจะแช่งให้ตกสวรรค์ทั้งคู่ ไม่เชื่อก็ลองดู” เธอเอ่ยจริงจังราวกับบุคคลทั้งสามที่ลาลับจากโลกนี้ไปแล้วจะได้ยิน แม่แจ่มและนายเหมือนถึงกับสะดุ้งเพราะทุกครั้งคุณนายก็แค่บ่นไปตามประสาแต่หนนี้เล่นแรงกว่าทุกคราไป

“ครานี้ถึงจะกับแช่งให้ตกสวรรค์เลยหรือคะคุณ” แม่แจ่มท้วงขึ้นมาทันที

“ใช่..บุญฉันก็จะไม่ทำไปให้ด้วยนะแม่แจ่ม” เธอพูดน้ำเสียงจริงจังก่อนจะสะบัดค้อนแล้วเดินออกจากวัดทันที
----------------------------------------------------------------------*-------------------------------------------------------------------

ครั้นพอเหยียบเท้าเข้าบ้านก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบร่างบางคุ้นตานั่งยิ้มแป้นรออยู่ในห้องโถง ภาวินีจึงหันมากระซิบกับคนสนิทด้วยความยินดี

“แหม..คำขู่ของฉันนี่มันแรงจริงๆเลยนะแม่แจ่ม รู้อย่างนี้ฉันทำไปนานแล้ว”

“สวัสดีค่ะคุณป้า” หญิงสาวรีบปรี่เข้าไปสวมกอดผู้มีพระคุณประดุจมารดาแท้ๆด้วยความคิดถึง

“พระจันทร์..มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” ภาวินีกอดตอบด้วยความคิดถึงเช่นเดียวกันเพราะรักไม่ต่างจากลูกในไส้ก่อนจะผละออกแล้วสำรวจร่างบาง “คล้ำไปหน่อยนะ” เธอยิ้มรับก่อนจะหันไปไหว้ทักทายนมแจ่มนิด

“ถึงเมื่อเช้าค่ะ คุณป้าไปวัดมาหรือคะไปอ้อนวอนขออะไรจากคุณลุงอีกล่ะคราวนี้” เธอเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่อย่างรู้ทัน ภาวินีถึงกับส่งค้อนให้หลานสาววงใหญ่

“ก็มันน่ามั้ยล่ะ พออีกคนกลับ อีกคนก็มา ผัวไปทาง เมียไปทางจะให้ป้าอยู่เฉยได้ไงกัน” ภาวินีถือโอกาสบ่นไปในตัวก่อนจะพบกับสายตาท้วงติงของหลานสาวที่พ่วงท้ายด้วยตำแหน่งลูกสะใภ้ ซึ่งมักจะไม่ชอบใจยามที่เธอพูดอะไรทำนองนี้

“คุณป้าคะ” มนต์พระจันทร์ตีหน้ายู่เข้าใส่

“ทำไมล่ะ ป้าพูดความจริง เราเองก็เถอะยอมรับเสียที เมื่อก่อนที่ป้าระวังคำพูดเพราะหนูยังเด็ก แต่ตอนนี้พระจันทร์โตแล้ว พูดบ่อยๆจะได้ไม่ลืม เอ๊ะ!หรือว่าแอบไปปิ๊งกับหนุ่มที่ไหน” ภาวินีบ่นยาวเป็นหางว่าวพร้อมทั้งมองเธอด้วยสายตาจับผิด มนต์พระจันทร์ยิ้มขัน

“ไม่มีหรอกค่ะ วันๆทำแต่งานจะเอาเวลาไหนไปมองหนุ่มๆล่ะคะ”

“ก็ดี เพราะหนุ่มที่พระจันทร์มองได้มีแค่ตารุจน์คนเดียวเท่านั้น ว่าแต่ตารุจน์ติดต่อหนูบ้างรึเปล่าลูก” ภาวินีถามด้วยความอยากรู้เพราะก่อนกลับเชียงรายตนได้สั่งนักสั่งหนาให้โทร.หาภรรยา
มนต์พระจันทร์ส่ายหน้าดิกจากนั้นท่านก็ยิงคำถามต่อ

“แล้วเราล่ะ เคยติดต่อพี่เค้าบ้างรึเปล่า” เธอยิ้มนิดก่อนจะส่ายหน้าช้าๆเป็นหนที่สอง “เฮ้อ!ไม่ได้ดั่งใจทั้งผัวทั้งเมีย จะต้องให้ป้าตายไปอีกคนหรือยังไงถึงจะคุยกันได้”

“คุณป้าอย่าพูดแบบนี้สิคะ พระจันทร์ขอโทษที่เป็นสาเหตุให้คุณป้าทุกข์ใจ แต่คุณป้าก็ทราบดีนี่คะว่าทะเบียนสมรสมันมาได้ยังไง” มนต์พระจันทร์เอ่ยกลับเสียงอ่อย

จะให้เธอโทร.หาเขาได้ไงกัน แม้แต่วันแรกที่เธอกลับจากอเมริกาเมื่อแปดเดือนก่อน เขายังรีบหนีไปอีสานในวันเดียวกันราวกับเกรงว่าเธอจะควักทะเบียนสมรสออกมาทวงสิทธิ์ภรรยา อีกอย่างพันธะสัญญาที่เกิดขึ้นก็เพราะเห็นแก่ผู้เป็นป้าที่ยืนอยู่ตรงนี้ ทั้งเธอและเขาไม่ได้แต่งงานกันและก็ไม่ได้มีความรักต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้ดีเด่นัก ที่สำคัญไปกว่านั้นที่เธอต้องไปเรียนต่อไกลถึงอเมริกาหลังจากจบมัธยมปลายก็เพราะเขา คิดว่าเขายังอยากจะคุยกับเธออยู่อีกหรือเปล่าล่ะ

“เอาเถอะ จะเป็นเพราะสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ป้าจะไม่ยอมให้เราสองคนหย่ากันเด็ดขาด..เข้าใจมั้ยลูก” ภาวินียิ้มกริ่มหมายมาดกับแผนการในใจ สาธุ!ขอให้สำเร็จทีเถอะ แล้วก็ผละลุกจากไป

มนต์พระจันทร์ได้แต่มองตามแผ่นหลังของผู้มีพระคุณด้วยความหนักใจไม่เบา เธอมองไม่เห็นหนทางอย่างที่ป้าพูดแม้แต่น้อย แต่ทางที่ต้องการจะหย่ายังมีความเป็นไปได้มากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เชียวล่ะ

------------------------------------------------------------------------*-----------------------------------------------------------------------

ร่างบางลงมานั่งเล่นที่ซุ้มไม้เลื้อยริมสระน้ำในช่วงบ่ายแก่หลังจากขึ้นไปงีบมาแล้วหนึ่งตื่น เมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับเพราะความกังวลกับงานใหม่ที่ฟังรายละเอียดจากพี่เอื้องแล้วหินน่าดู แม้ทางต้นสังกัดจะยืนยันมาว่าเธอมีความสามารถมากพอที่จะรับงานนี้ ทว่าประสบการณ์สองปีเศษที่ร่วมงานกับบริษัทต่างชาติที่อเมริกายังน้อยนักเมื่อเทียบกับโปรเจ็คใหญ่ระดับประเทศ

เธอเรียนจบปริญญาตรีสถาปัตฯก่อนจะเรียนต่อโทด้านบริหารจากบอสตันและมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทแห่งหนึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการบริหารให้กับองค์กรต่างๆ จนกระทั่งจบโปรเจ็คสุดท้ายถึงได้ลาออกเพื่อกลับเมืองไทยเพราะทางบ้านแจ้งว่าคุณป้าป่วยหนัก ครั้นพอมาถึงกลับเห็นว่าคุณป้ายังแข็งแรงดี ถึงได้รู้ว่าโดนหลอก ท่านโกหกว่าป่วยหนักเพื่อให้เธอกลับเมืองไทยนั่นเอง

อีกสาเหตุหนึ่งที่คิดว่าเธอต้องกลับเมืองไทยเสียทีก็เพราะอยากจัดการเรื่องทะเบียนสมรสที่คาราคาซังมานานให้เรียบร้อยด้วย ในเมื่อรู้จุดจบของเรื่องนี้ดีอยู่แล้วว่ายังไงซะก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอกับเขาไม่อาจใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากันได้ก็ควรหย่ากันซะให้เรียบร้อย แต่พอรับรู้ว่าคุณป้าคาดหวังในตัวเธอมากแค่ไหน มนต์พระจันทร์จึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกเรื่องนี้กับท่านตามที่ตั้งใจไว้

ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวที่ทำให้กลุ้มใจ แต่เรื่องที่จะต้องเรียนต่อท่านว่าเธอต้องไปเริ่มงานใหม่ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านี้แล้วก็ทำให้เธอกังวลไม่น้อย นึกเห็นใจคนแก่ที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง ลูกชายก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน เธอก็กำลังจะไปอีกคน ท่านคงเหงาแย่ ไม่รู้รอบนี้จะได้เห็นน้ำตาอีกรึเปล่า

อีกสองวันเธอต้องเข้าไปที่บริษัทของพี่เอื้องเพื่อสอบสัมภาษณ์ก่อนจะเริ่มงานใหม่ แม้พี่เอื้องจะรับรองว่าเธอได้เข้าทีมคอลซัลติ้งแน่นอนแต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี พี่เอื้องบอกกับเธอว่าแม้จะเชื่อมั่นในตัวเธอ แต่ก็ต้องทำตามขั้นตอนของบริษัทและครั้งนี้บอสของพี่เอื้องจะขอสัมภาษณ์เองเพราะเธอต้องไปทำงานในฐานะตัวแทนที่ปรึกษาวิศวกรประจำโครงการจากรัฐบาลเพื่อตรวจสอบการทำงานของทีมวิศวกรโยธาอีกที ที่เธอเป็นกังวลก็เพราะประสบการณ์การทำงานด้านนี้ที่เมืองไทยมีเพียงหกเดือนเท่านั้น
มือบางกดโทรศัพท์มือถือเล่นเช็คอีเมลล์และไอจีตามปกติก่อนจะมีเสียงข้อความตอบมาและตามมาด้วยเสียงริงโทนมือถือ

“ว่าไงช่อ..โคตรคิดถึงแกเลยว่ะแต่ไม่กล้าโทร.หา กลัวจะรบกวนเวลาปั่นต้นฉบับน่ะ” มนต์พระจันทร์ตอบรับเสียงใส

“เออ..ฉันปิดต้นฉบับเสร็จพอดีถึงได้โทร.หาแกไง แกอยู่ไหนเนี่ย” ช่อรดาถามกลับ

“กรุงเทพฯนี่แหละ” เธอตอบกลับ

“ดีๆ มีเรื่องจะเม้าท์เยอะเลย เจอกันที่ร้านเดิมเป็นไง”

ช่อรดาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในเมืองไทยที่หลงเหลืออยู่ เพราะเคยคบกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมและช่อรดาก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่บอสตันด้วยกัน แต่พอเรียนจบเพื่อนก็บินกลับไทย ขณะที่เธอทำงานต่อที่โน้น แต่ก็ยังติดต่อกันเป็นประจำไม่ได้ขาด ช่อรดาหันไปเอาดีกับการเป็นนักเขียนอิสระไม่ได้ทำงานตามสายที่จบมาแต่อย่างใดเพราะไม่ชอบ ที่ไปเรียนก็เพราะตามใจพ่อแม่ที่อยากจะได้ใบประกาศณียบัตรมาประดับฝาบ้านไว้อวดใครๆเท่านั้น

“ตามนั้น” มนต์พระจันทร์ตอบรับโดยไม่ลังเลก่อนจะย้อนกลับเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบกุญแจรถและกระเป๋าถือไปตามที่ได้นัดหมายกันไว้

เธอไม่ได้พบเพื่อนรักร่วมหกเดือน อีกทั้งไม่ค่อยได้คุยกันนักเพราะช่อรดาเป็นนักเขียนจึงมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง เวลาทำงานก็มักจะปิดมือถือเพราะไม่อยากให้ใครรบกวน จะได้ยินเสียงก็ตอนที่เพื่อนว่างและเป็นฝ่ายติดต่อมาเท่านั้น

------------------------------------------------------------------------------**--------------------------------------------------------------------

ร้านเบเกอรี่เจ้าประจำ สมัยที่เรียนมัธยมเธอกับช่อรดาชอบแวะมาทานเค้กตอนขากลับจากโรงเรียนเสมอ พอน้ำหนักเริ่มขึ้นก็แข่งกันออกกำลังกาย พอลดได้ก็กินใหม่ นึกแล้วก็ขำ

ที่นี่เป็นร้านเล็กๆไม่ได้เริดหรูอะไร แต่ที่เข้ามากินก็เพราะเพื่อนของเธอแอบชอบรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของร้าน หลังจากเลิกเรียนรุ่นพี่คนนั้นก็มักจะกลับมาช่วยเสริฟเครื่องดื่มและขนมเสมอ มนต์พระจันทร์ผลักประตูร้านเข้าไปเบามือ มองเห็นแต่ไกลแล้วว่าเพื่อนนั่งรออยู่ข้างใน

“รอนานมั้ย” เธอถามขณะที่หย่อนก้นนั่งลงฝั่งตรงข้าม

“เพิ่งมาเหมือนกัน ฉันสั่งของโปรดแกให้แล้วนะพระจันทร์” ช่อรดาบอก มนต์พระจันทร์เอ่ยขอบใจ รอไม่นานนักเครื่องดื่มและขนมก็วางลงบนโต๊ะ

“คล้ำไปรึเปล่าว่ะ” ช่อรดาทัก

“อืม..ทั้งแดดทั้งลม ไม่ดำสิแปลก” มนต์พระจันทร์ตอบกลับติดตลก
“แล้วนี่แกกลับมาอยู่กรุงเทพฯเลยหรือจะไปต่อ” ช่อรดาถามด้วยความอยากรู้

“ไปต่อ” มนต์พระจันทร์ตอบสั้นๆ

“คุณป้าแกยอมเหรอ” ช่อรดานึกสงสัย เพราะตลอดระยะเวลาที่คบกันมา เธอรู้ว่าป้าภาวินีรักและห่วงใยมนต์พระจันทร์มากแค่ไหน สมัยที่เรียนอยู่บอสตัน ท่านก็เทียวบินไปหาราวกับระยะทางเป็นกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

“ยังไม่ได้บอก” มนต์พระจันทร์ตีหน้ายุ่งนิด ทำให้ช่อรดาเดาได้ไม่ยากนักว่าเพื่อนรักคงกลุ้มใจเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

“แล้วแกจะไปเมื่อไหร่ ไปไหนล่ะคราวนี้” ช่อรดาถามด้วยความตื่นเต้น

“เชียงราย ยังไม่แน่ใจนะว่าจะสอบสัมภาษณ์ผ่านรึเปล่า เออ..มะรืนนี้แกว่างมั้ย ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ เมื่อกี้พี่เอื้องเพิ่งโทร.บอกว่าเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลจะเข้ามาสอบสัมภาษณ์ด้วย ฉันเกร็งยังไงไม่รู้ว่ะ”

“แหม..ทำเป็นตื่นสนามสอบไปได้ แกเก่งจะตายไปขนาดบริษัทต่างชาติยังยอมรับเลย กลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้ แต่เอาเถอะฉันว่างพอดีไปเป็นเพื่อนก็ได้”

“ดีเลย ขอบใจนะช่อ” มนต์พระจันทร์ยิ้มกว้าง จากนั้นทั้งสองก็ยกเรื่องนั้นเรื่องนี้สลับผลัดเปลี่ยนกันเล่าไม่จบไม่สิ้น ราวสี่โมงครึ่งก็ต้องแยกย้ายกันไปก่อนเพราะช่อรดาต้องกลับไปตรวจทานต้นฉบับส่วนที่เหลือเพื่อส่งงานในวันรุ่งขึ้น



------------------------------------------------------------------***------------------------------------------------------------------------

ฝากค้วยนะค้า สำหรับนักอ่านท่านใดที่คิดถึงพิมพ์ลภัสก็ทวงถามกันได้นะคะ

เพราะครั้งที่แล้วลงไม่จบด้วยปัญหาสุขภาพ

สุดท้าย ขอเอ่ยคำว่าสวัสดีปีใหม่

เพิ่งจะเดือนกุมภา คงไม่ช้าไปใช่มั้ย(อิอิ)

ยังคิดถึงนักอ่านอยู่นะคะ

By...รจนาไฉน



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2559, 16:22:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2559, 16:24:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1166





   บทที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account