เล่ห์บุพเพ
พันธนาการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องการอิสรภาพคืน ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อการพบกันอีกครั้งระหว่างเธอและเขามีกฏเกณฑ์ทางหน้าที่กำหนดไว้ว่าระหว่างคอนซัลและวิศวกรห้ามมีความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานธรรมดา มนต์พระจันทร์จึงไม่อาจทวงถามถึงอิสรภาพที่รอคอยได้เสียที ในขณะที่วิณรุจน์เองก็ทำราวกับไม่รู้จักเธอ..ซ้ำยังกลายมาเป็นชู้ เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น

ตัวอย่างจ้า

"อยากหย่านักใช่มั้ย" วิณรุจน์เอ่ยถามหลังจากมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง

"ค่ะ ทะเบียนสมรสมันทำให้พระจันทร์ลำบาก"เธอเอ่ยราบเรียบ

Tags: มนต์พระจันทร์/วิณรุจน์/คอนซัล/โปรเจ็คแมนเนเจอร์

ตอน: บทที่ 2



บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบกริบทันทีที่มนต์พระจันทร์แจ้งต่อภาวินีประมุขของบ้านและทำหน้าที่เป็นแม่คนที่สองตั้งแต่เธออายุสิบสี่หลังจากที่บิดามารดาแท้ๆเสียชีวิต ผลการสอบสัมภาษณ์สรุปออกมาแล้วว่าเธอผ่านและได้ร่วมงานกับทีมคอนซัลของรัฐบาล อีกอาทิตย์เดียวเธอก็ต้องเดินทางไปเชียงรายแล้ว และหนนี้ดูเหมือนจะยาวนานร่วมปี เพราะเป็นโครงการซ่อมแซมปรังปรุงและสร้างสะพานมิตรภาพระหว่างไทย-ลาวและพม่า ประเทศเพื่อนบ้านก่อนจะเปิดประตูสู่อาเซียน

มนต์พระจันทร์มองอากัปกิริยาของผู้มีพระคุณอย่างประเมิน ท่านยังคงตักอาหารเข้าปากเงียบๆโดยไม่เอ่ยอะไร แต่แน่ล่ะอาการและท่าทางแบบนี้แปลว่าระเบิดกำลังถูกจุดชนวน

“นึกอยู่แล้วเชียว เอาเลย..อยากจะไปไหนก็ไป โตๆกันแล้วนี่ แม่พูดไปก็ไม่มีใครฟัง เบื่อจริงๆพวกมีอุดมการณ์” ภาวินีบ่นเชิงตัดพ้อก่อนจะวางซ้อมลงแล้วสะบัดค้อนส่งให้หลานสาว มนต์พระจันทร์จึงต้องรีบลุกไปกอดประจบเอาใจ

“อย่างอนเลยนะคะคุณป้า พระจันทร์แค่อยากทำงานที่พระจันทร์รักก็เท่านั้น”

ภาวินีเหลือบตามองใบหน้าอ่อนใสเพียงนิดด้วยความขุ่นเคืองใจ

“บริษัทเราก็มี ทำที่บริษัทเราก็ได้นี่ลูก ไม่เห็นต้องออกไปตากแดดตากลมให้เหนื่อย ความจริงไม่ทำก็ยังได้ ผลกำไรของหนูก็มากโข อยู่เฉยๆก็มีกินมีใช้ไปตลอดชาติ”

“พระจันทร์เข้าใจค่ะ แต่คุณป้าเป็นคนสอนพระจันทร์เองไม่ใช่หรือคะ ว่าค่าของคนอยู่ที่ทำตนให้มีคุณค่า”

“เฮ้อ!ฉันอีกแล้วเหรอ แต่เอาเถอะ..ป้ายอมก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ” ภาวินีต่อรอง

มนต์พระจันทร์คลายวงแขนออกมองประเมินหญิงสูงวัยอีกครั้งด้วยความไม่ไว้ใจ ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก คุณป้าของเธอคนนี้ไม่ใช่คนแก่ธรรมดาที่ไม่มีพิษสง จ้าวแผนการอย่างกับอะไร

“จะไปเชียงรายใช่มั้ย โครงการเดียวกับตารุจน์รึเปล่า” ภาวินียิ้มนิด

“ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบ เพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองว่าวิณรุจน์ก็อยู่ที่เชียงรายด้วย ก่อนหน้านั้นว่าจะถาม มัวแต่ยุ่งๆก็เลยลืมไป

“หนูต้องรับปากกับป้าก่อนว่าจะแวะไปเยี่ยมตารุจน์” ภาวินีจ้องหลานสาวอย่างรอคอยคำตอบพร้อมทั้งแผนการแรกในใจที่กำลังจะสำเร็จ

มนต์พระจันทร์ชักสีหน้างุนงงนิด นึกแปลกใจว่าเหตุใดข้อแม้ของป้าทำไมถึงง่ายดายนัก เรื่องแค่นี้เองไม่เห็นต้องขอสัญญาเลย ถ้าอยู่ในจังหวัดเดียวกันจริง ยังไงเธอก็ต้องหาโอกาสไปพบเขาแน่ๆเพราะอยากเคลียร์เรื่องทะเบียนสมรสให้จบๆไปซะที

“ตกลงค่ะ” มนต์พระจันทร์ตกปากรับคำโดยไม่ลังเล ในขณะที่ผู้เป็นป้านั่งยิ้มด้วยความพึงพอใจ
---------------------------------------------------------------*---------------------------------------------------------------------------

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ มนต์พระจันทร์ก็ออกไปข้างนอกเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่จะนำไปแพ็คใส่กระเป๋าติดตัวไปเชียงรายด้วย เผื่อไปถึงที่โน้นแล้วงานยุ่งจนไม่มีเวลาเข้าเมืองจะได้ไม่ติดขัดอะไร ขณะที่ภาวินีนั่งจิบชาร้อนอมยิ้มด้วยความสุขใจอยู่ในมุมโปรดลำพัง

“ขออภัยเถิด อิฉันเห็นคุณนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตั้งแต่ทานอาหารเสร็จ มีเรื่องอะไรดีๆหรือคะ” นมแจ่มอดไม่ได้ที่จะอยากรู้ เท่าที่นึกย้อนเหตุการณ์บนโต๊ะอาหารเมื่อเช้าก็ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ

“แม่แจ่มไม่ได้ยินเหรอว่ามนต์พระจันทร์รับปากกับฉันว่าจะไปพบตารุจน์” ภาวินีพูดไปยิ้มไป

“ได้ยินค่ะ แต่อิฉันยังมองไม่ออกว่ามันดียังไง”

ตั้งแต่เล็กจนโตคุณหนูของบ้านนี้เป็นคนที่รักษาคำพูดดีเยี่ยมทุกคน ถ้าตกปากรับคำแล้วก็จะต้องทำให้ได้อย่างที่พูดไว้ แต่ตนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงแม้ทั้งสองคนจะได้พบหน้ากันแต่ความสัมพันธ์จะเดินต่อยังไงถ้าอยู่กันคนละที่แบบนั้น

“แม่แจ่มเลี้ยงตารุจน์มาตั้งแต่อ้อนแต่ออก ไม่รู้หรือว่าลูกชายฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร ผู้หญิงแบบไหนที่จะดึงความสนใจของตารุจน์ได้ ฮึ!.” ภาวินีเริ่มอธิบายให้แม่แจ่มกระจ่างแก่ใจขึ้น

“จริงด้วยค่ะ อิฉันลืมเสียสนิท แต่จะเป็นไปได้หรือคะคุณ คุณรุจน์เธอช่างพูดเสียเมื่อไหร่กัน ตอนเด็กๆสองคนก็ไม่ค่อยกินเส้นกันนัก” นมแจ่มแสดงความคิดเห็นต่อ

“ฉันก็หวั่นอยู่ แต่ก็พอมีวิธีให้เขาสองคนได้ใกล้ชิดกัน แม่แจ่มอย่าลืมสิว่ามนต์พระจันทร์ต้องการหย่ามากแค่ไหน ทำไมฉันจะดูไม่ออก เพราะฉะนั้นเรื่องหย่านี่แหละที่จะดึงให้เขาสองคนใกล้กันมากขึ้น”

“แล้วถ้ามันไม่เป็นอย่างที่คุณคิดล่ะ ถ้าสองคนตกลงกันได้ แอบไปหย่าตามลำพัง คุณจะทำยังไง”

“เรื่องนั้น ฉันเตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้วล่ะ” ภาวินียกแก้วชาขึ้นจิบอีกครั้งก่อนจะวางลงแล้วพูดต่อ

“ก่อนที่ตารุจน์จะกลับเชียงราย ฉันได้คุยกับเขาเรื่องนี้ และทำสัญญากันเอาไว้ว่าถ้าภายในสองปีนับจากนี้ตารุจน์หย่าขาดกับมนต์พระจันทร์ เขาจะต้องกลับมาดูแลธุรกิจของอัครกานต์ แต่ถ้าครบกำหนดแล้ว สองคนนั้นไม่ได้รักกันจริงๆ ฉันก็จะยอมให้ทั้งคู่จดทะเบียนหย่าขาดจากกันโดยไม่มีข้อแม้ แม่แจ่มก็รู้ว่าตารุจน์รักงานของเขาอย่างกับอะไรดี เขาจะไม่มีวันยอมกลับมาดูแลอัครกานต์ภายในสองปีแน่ๆ” พูดจบเจ้าแม่อสังหาริมทรัพย์ก็นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับแผนการตัวเอง

“คุณนี่ร้ายไม่ใช่เล่นนะคะ กับลูกกับเชื้อยังจะร่างสัญญามาต่อรอง พิลึกจริง” นมแจ่มเอ่ยเหน็บไม่จริงจัง ความที่เป็นคนสนิทร่วมคิดร่วมทำด้วยกันมามากจึงกล้าที่จะแสดงความเห็นบ้าง อีกทั้งภาวินีเองก็รักตนราวกับพี่สาวคนหนึ่ง ไม่ถือเนื้อถือตัวแบ่งชนชั้นกับตน

“ฉันเป็นนักธุรกิจ จะทำอะไรก็ต้องมีการวางแผนและทำสัญญาจะได้ไม่พลาดไม่เว้นแม้แต่ลูกชายหัวแข็งอย่างตารุจน์”

“คุณว่าจะได้ผลมั้ยคะ อยู่กันคนละที่แบบนั้น จะเอาเวลาไหนมาเจอกันได้”

“ไม่ต้องห่วง ฉันให้คนไปสืบมาแล้ว งานใหม่ที่มนต์พระจันทร์กำลังจะไปทำเป็นที่เดียวกับตารุจน์”

“มิน่าล่ะ คุณถึงยอมให้คุณพระจันทร์ไปง่ายๆ ร้ายจริงๆ” นมแจ่มเอ่ย ภาวินีถึงกับยิ้มขัน ถ้าไม่ใช่เพราะไปทำงานที่เดียวกันหัวเด็ดตีนขาดยังไงตนก็ไม่มีทางยอมให้มนต์พระจันทร์ออกจากบ้านอัครกานต์เด็ดขาด

“ฉันจะไม่ยอมให้ผู้หญิงหรือหนุ่มๆที่ไหนมาถือหุ้นส่วนของอัครกานต์ อัครกานต์จะต้องเป็นเนื้อเดียวกันโดยสมบูรณ์ ฉันทำผิดต่อคุณพสุและมนต์ดาวมามาก จึงอยากจะไถ่บาปด้วยการให้ตารุจน์เป็นตัวแทนคุณพสุและมนต์พระจันทร์เป็นตัวแทนมนต์ดาวได้ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างที่คุณพสุและมนต์ดาววาดฝันไว้”

“น้ำใจของคุณประเสริฐนัก นี่ถ้าคุณพสุและคุณมนต์ดาวรับรู้ได้ ทั้งสองต้องดีใจแน่ๆค่ะ” แม่แจ่มให้กำลังใจ ภาวินีคลี่ยิ้มบางเบา

สามีเธอเป็นคนดี มนต์ดาวก็เป็นคนดีคงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปแล้วถ้าเธอไม่สร้างเรื่องสร้างราวเพราะความสนุกอยากเอาชนะผู้ชายที่ไม่ยอมก้มหัวให้เธออย่างพสุ อัครกานต์ นักเรียนนอกจอมอวดดีคนนั้น จนทำให้มนต์ดาวเข้าใจผิดแล้วหนีไปแต่งงานกับนักธุรกิจที่พ่อแม่เลือกให้ก็คือมานพ และในขณะนั้นบิดาของเขาก็เป็นหุ้นส่วนสำคัญของอัครกานต์ ก่อนที่ทั้งคู่จะได้พบกันอีกครั้งเพราะมานพต้องเข้ามานั่งแท่นผู้บริหารในฐานะหุ้นส่วนคนสำคัญเมื่อผู้เป็นพ่อเสียชีวิตลง

ทว่ามนต์ดาวโชคไม่ดีนักเพราะมานพเป็นเสือผู้หญิงเจ้าชู้ขึ้นลาย ทำให้มนต์ดาวได้รับแต่ความทุกข์ตรม กว่าเธอจะรู้ความจริงก็มีลูกชายด้วยกันแล้วหนึ่งคนคือวิณรุจน์ ขณะที่มนต์ดาวกำลังตั้งท้องอ่อนๆ เธอซึ้งน้ำใจสามี แม้จะไม่ได้รักเธอมากแต่ก็ให้เกียรติและยกย่องเธอเสมอ เธอจึงอยากสานความฝันของทั้งสองให้สำเร็จก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไปอีกคน
--------------------------------------------------------------------*-------------------------------------------------------------------------

ใกล้ถึงวันที่จะต้องเดินทางแล้ว สัมภาระที่ต้องใช้ระหว่างอยู่ที่นั่นร่วมปีก็เก็บเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรมากนัก เสื้อผ้าส่วนใหญ่ก็เป็นชุดทำงาน ขาดเหลือค่อยซื้อเอาที่โน่นก็ได้ มือบางเก็บจดหมายส่งตัวลงกระเป๋าถือ ก่อนจะหันมามองที่ประตูเมื่อเสียงเคาะจากด้านนอกดังขึ้นรบกวน

เธอผละไปเปิดประตู ช่อรดานั่นเอง

“ไหนว่ายุ่งไง” มนต์พระจันทร์ตีหน้ายุ่งเข้าใส่ทันทีขณะที่ก้าวถอยหลังปล่อยให้เพื่อนสนิทเดินเข้ามาข้างใน

“ยุ่ง..แต่ดันเดินเรื่องต่อไม่ได้ ฉันก็เลยออกมาหาแกดีกว่า นั่งจมแป้นก็ไม่มีประโยชน์” ช่อรดาบ่นอุบ

มนต์พระจันทร์ส่ายหน้าขันๆ คงช่วยอะไรไม่ได้เพราะเธอไม่มีความรู้ด้านงานเขียนเท่าไหร่ หนังสือจับเพียงน้อยนิดนอกจากตำราวิชาการเกี่ยวงานตัวเองแล้ว นอกนั้นก็มองผ่านๆตา

“เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ” ช่อรดาถามหลังจากเหลือบสายตาไปเห็นกระเป๋าเดินทางใบย่อมวางอยู่บนเตียง

“อืม” มนต์พระจันทร์ตอบสั้นๆ

“ไปรอบนี้ตั้งเป็นปี เมื่อไหร่จะได้เจอกันล่ะ” ช่อรดาเอ่ยเสียงเศร้า

“อย่ามาดราม่า แกต่างหากที่ไม่มีเวลาให้ฉัน”

“จริง” ช่อรดายิ้มแหยๆยอมรับ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “เอ้อ!พระจันทร์ วันก่อนฉันเจอคุณกริชด้วย สีหน้าเขาดูเศร้าๆชอบกล น้ำเสียงที่ถามถึงแกก็เศร้า มีปัญหากันเหรอ”

เธอได้เจอเพื่อนร่วมงานของมนต์พระจันทร์โดยบังเอิญ เคยพบกันอยู่สองสามหนตอนที่มนต์พระจันทร์เข้าไปทำงานใหม่ๆ แววตาเจือรอยเศร้าในวันนั้นทำให้เธอนึกสงสารแต่ก็ไม่กล้าปริปากถาม กระนั้นก็คิดว่าคงเดาได้ไม่ยาก

มือบางของมนต์พระจันทร์ชะงักไปนิด ก่อนที่เธอจะกลับกรุงเทพฯเขาเพิ่งสารภาพความรู้สึกพิเศษที่มีต่อเธอ ทว่าเธอก็ต้องปฏิเสธเหมือนเช่นทุกครั้งเพราะเหตุผลที่ตัวเองรู้ดี ตั้งแต่มีทะเบียนสมรสเธอก็ไม่เคยกล้าที่จะเปิดใจรับใครหรือให้ใครเข้ามา แค่เรื่องทะเบียนสมรสก็ยังแก้ไม่ตก จึงไม่คิดหาเหาใส่หัวเพิ่มเด็ดขาด

“เงียบแบบนี้แปลว่าแจกแห้วอีกแล้ว..งั้นสิ”
มนต์พระจันทร์หันมาตีหน้ายุ่งใส่เพื่อน เธอเองก็นึกสงสารเขาไม่น้อย

“ถามจริง..ที่แกทำตัวเป็นชีรักใครไม่เป็นเพราะอะไร หรือว่ายังไม่โดน” ช่อรดาเว้นจังหวะให้เพื่อนตอบทว่ามนต์พระจันทร์ก็เอาแต่เงียบท่าเดียว เธอจึงพูดต่อ

“คุณกริชก็เป็นคนดีนะ เอาใจใส่แกดี เป็นสุภาพบุรุษแถมหล่อด้วย แกจะเอาอะไรอีกวะพระจันทร์” ช่อรดาอดไม่ไหว กี่ครั้งกี่หนกี่คนกันแล้วที่คนดีๆผ่านเข้ามา ทว่ามนต์พระจันทร์ก็ปล่อยให้ผ่านเลยไปทุกครั้ง “ไม่ให้โอกาสคนอื่นยังพอเข้าใจว่าไม่รักไม่ชอบ แต่ปิดโอกาสตัวเองแบบล็อคกุญแจตายเนี่ย ทำไปทำไมวะ”

“แกอยากรู้นักใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงต้องปิดโอกาสตัวเอง” มนต์พระจันทร์นึกโมโหที่เพื่อนต่อว่าเรื่องนี้ไม่เลิก แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของช่อรดา เธอเองก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง

มนต์พระจันทร์ลุกจากเก้าอี้กลับไปที่กระเป๋าเดินทางข้างกายช่อรดา เปิดซิปข้างแล้วหยิบซองสีน้ำตาลออกมาก่อนจะล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งยื่นให้ช่อรดา เธอทนเก็บความอึดอัดนี้ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน

“อะไร” ช่อรดาถามด้วยความงุนงง

“ดูซะ!แกจะได้เลิกว่าฉันซะทีช่อ”
ช่อรดาหยิบกระดาษซึ่งเป็นเอกสารทางราชการมาดูแล้วก็ต้องร้องอุทานเสียงดังลั่นห้อง

“เฮ้ย!ทะเบียนสมรส” เธอกวาดสายตาไล่อ่านตามตัวอักษรซึ่งมีไม่กี่บรรทัดด้วยความรวดเร็ว“ของจริงปะเนี่ย”

“แกคิดว่าฉันตลกมั้ยล่ะ” มนต์พระจันทร์สวนกลับทันควัน สีหน้าเครียดตึงด้วยความกลัดกลุ้มไม่น้อยกับกระดาษแผ่นนี้ ช่อรดาถึงกับหน้าเจื่อนลง

“วิณรุจน์ อัครกานต์ พี่รุจน์น่ะหรือ” ช่อรดายังคงไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือเธอคือทะเบียนสมรสระหว่างเพื่อนกับพี่ชายต่างสายเลือดที่อยู่บ้านเดียวกันจริงๆ

“อืม..” มนต์พระจันทร์ขานรับในลำคอสั้นๆ

“ทำไมไม่บอกวะ ปล่อยให้ฉันว่าอยู่ได้” ช่อรดาเริ่มสลด นึกย้อนที่ผ่านมา ต่อว่ามนต์พระจันทร์เสียมากมาย

“จะให้บอกว่าฉันมีสามีตอนอายุสิบแปด แล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนบนแผ่นดินไทย ยังมีตัวตนอยู่รึเปล่าฉันก็ไม่รู้เนี่ยนะ มันน่าภาคภูมิใจนักหรือไง” มนต์พระจันทร์ระบายออกมายืดยาว

“ฉันขอโทษ แล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะที่ว่าแกซะเยอะเลย” ช่อรดาเอ่ยเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไรหรอก ก็แกไม่รู้นี่หว่า” น้ำเสียงของมนต์พระจันทร์อ่อนลงตาม

“มันเกิดขึ้นได้ไง” ช่อรดาอดสงสัยไม่ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้วถามให้หายข้องใจไปเลย

“คุณป้าขอร้อง ตอนนั้นฉันอายุแค่สิบแปด คิดว่าไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็เลยตกลง ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะกลายมาเป็นบ่วงเส้นโตที่คอยมัดฉันเอาไว้แบบนี้” เธอตอบข้อสงสัย

ช่อรดาพยักหน้าหงึกหงักทั้งที่ยังมึนไม่หาย เธอเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดมนต์พระจันทร์ถึงต้องล็อคกุญแจปิดตายหัวใจตัวเองอย่างแน่นหนา ขืนลองไปเผลอใจรักใครเข้าสิ..คงยุ่งตายชัก

“ว่าแต่..ติดต่อกันอยู่รึเปล่า”

“อย่าถามว่าเคยคุยกันมั้ย แม้แต่จะถามว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ฉันยังตอบไม่ได้เลยช่อ” พอระบายเสร็จเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหนักอก

“แกหอบทะเบียนสมรสไปไหนมาไหนด้วยตลอดเลยเหรอ” ช่อรดายังคงสงสัยไม่เลิก

“เปล่าหรอก ฉันเพิ่งจะพกไปด้วยก็ตอนที่กลับมาเมืองไทยนี่แหละ กะว่าถ้าเจอเขาเมื่อไหร่ ฉันก็จะขอหย่าทันที”

“โห!น่าปวดหัวเนอะ เหมือนในละครเลย แล้วจะจบยังไงล่ะเนี่ย”

“ก็หย่าไง” มนต์พระจันทร์สรุปสั้นๆ ทั้งที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบเขา


--------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------------------------



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ก.พ. 2559, 16:39:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ก.พ. 2559, 16:39:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1055





<< บทที่ 1   บทที่ 3 ---เล่ห์บุพเพ ---100% >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account