มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 1
บทที่ 1
ผมรักคุณ
ครองขวัญชะงักปลายนิ้วที่กำลังรัวบนแป้นพิมพ์ เมื่อความรู้สึกถูกกระทบจากความหมายของประโยคนั้น
ถ้ามีใครสักคนมาพูดสามคำนี้กับเธอ มันจะให้ความรู้สึกยังไงนะ
หญิงสาววัยยี่สิบสามถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วตั้งหน้าตั้งหน้าพิมพ์ต่ออีกพักใหญ่จนถึงคำว่าจบบริบูรณ์ จากนั้นจึงเอามือท้าวคางโดยสายตายังคงจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางครุ่นคิด
ที่ผ่านมาเธอส่งสาว ๆ ไปเจอกับหนุ่มในฝัน ได้ยินคำรักจากหนุ่มหล่อก็หลายคน ส่วนใหญ่ก็ลงเอยด้วยการแต่งงานและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ครองขวัญทำหน้ามุ่ยนิด ๆ เมื่อบอกกับตัวเอง
แล้วเมื่อไรจะถึงคิวของเธอบ้าง
“ไอ้ขวัญ! มานั่งน้ำลายยืดอะไรตรงนี้ รู้หรือเปล่าว่านี่มันกี่โมงแล้ว”
‘ไอ้ขวัญ’ ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงห้าวห้วนที่คุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหันไปมองชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มซึ่งกำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“พี่กอบ! ขวัญพูดหลายครั้งแล้วนะว่าให้เคาะประตูก่อน ไม่ใช่เข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้”
หญิงสาวบอกพลางทำหน้างอง้ำไม่ต่างจากชายหนุ่มที่กำลังผละจากประตูห้องแล้วเดินเข้ามาหา
“เข้ามาเงียบ ๆ ที่ไหน ก็ส่งเสียงเรียกปาว ๆ อยู่นี่”
ครองขวัญทำหน้าคว่ำเมื่อกอบบุญจบคำพูดด้วยการเขกหัวเธอหนึ่งที ก่อนที่เธอจะถูกเขาบ่นแกมต่อว่า
“ทำไมไม่ออกไปกินข้าว โทรศัพท์ก็ไม่รู้จักเปิดจนเดือดร้อนฉันต้องมาตามเพราะถูกคุณนายโทร.จิกใช้ให้เข้ามาดูกลัวว่าคุณหนูครองขวัญจะเป็นลมตายไปแล้ว”
‘คุณหนูครองขวัญ’ เบ้หน้าเมื่อถูกลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตมาด้วยกันพูดแขวะ หากไม่วายแย้งเสียงอ่อย
“ก็ขวัญต้องรีบปิดต้นฉบับนี่ ไม่อยากให้อะไรมากวน”
“แล้วมันต้องรีบจนถึงกับไม่กินข้าวกินปลาเลยหรือไง”
ดูเหมือนกอบบุญยังไม่ค่อยพอใจเมื่อฟังจากน้ำเสียงหงุดหงิดของเขา
“ขอโทษ ขวัญเพลินไปหน่อย”
ครองขวัญนึกน้อยใจเมื่อเห็นกอบบุญส่ายหน้าด้วยสีหน้าบอกความเอือมระอา ที่ผ่านมาถึงลุงกับป้ารวมถึงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่เห็นด้วยนักกับการที่เธอยึดอาชีพนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็อยากได้ความเข้าใจจากคนในครอบครัว
เพราะนี่เป็นทางที่เธอเลือกแล้ว และเธอก็มีความสุข
ความหงุดหงิดจากการถูกใช้ให้เข้ามาตาม ค่อยลดระดับจนกลายเป็นนึกสงสารเมื่อกอบบุญเห็นสีหน้าจ๋อย ๆ ของน้องสาว
ชายหนุ่มหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ หลังจากกวาดตามองจนไปหยุดที่บรรทัดสุดท้าย เจ้าตัวก็ถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าด้วยนิสัยช่างฝันตั้งแต่เด็กหรือเพราะเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูง ทำให้ครองขวัญก้าวเข้าสู่อาชีพนักเขียนนิยายตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย อาจเพราะโชคดีได้การตอบรับอย่างดีจากนักอ่านจนทำให้หญิงสาวตัดสินใจยึดอาชีพนี้ แม้พ่อกับแม่ของเขาไม่ค่อยเห็นด้วยนักแต่พวกท่านก็ไม่อยากขัดใจเพราะความรักและสงสารหลานสาวกำพร้าซึ่งสูญเสียบุพการีไปตั้งแต่อายุห้าขวบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พ่อและแม่พานั่งรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เด็กหญิงครองขวัญรอดมาได้ในขณะที่พ่อกับแม่เสียชีวิต
ด้วยความรักและเป็นห่วงหลานสาวเพียงคนเดียว แม่ของเขาถึงกับยอมขายบ้านกับไร่ผลไม้ที่ต่างจังหวัดและตัดสินใจซื้อบ้านสวนที่มีพื้นที่ราว 500 ตารางวาในกรุงเทพฯ เพื่อไว้เป็นที่พำนัก
“แล้วพี่กอบล่ะ กินข้าวหรือยัง”
กอบบุญหยุดความคิดทั้งปวงเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนแยกเขี้ยวใส่
“ฉันก็ต้องกินแล้วสิ ปาไปจะบ่ายสามแล้วใครเขาจะลืมเวลากินข้าวเที่ยงแบบแกล่ะ ไอ้ขวัญ”
ครองขวัญย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจนักกับคำเรียกขานในตอนท้าย หลายครั้งกอบบุญทำเหมือนเขามีน้องชายมากกว่าน้องสาว ทั้งที่เธอมั่นใจว่าตั้งแต่เด็กตัวเองไม่มีอะไรคล้ายกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย
“ไปเลย! รีบไปกินข้าว แล้วเปิดโทรศัพท์ด้วยนะ เดี๋ยวจะเดือดร้อนฉันอีกถ้าคุณนายบุษรัตน์เกิดอยากรู้ว่าฉันมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้แกแล้วหรือยัง”
แม้ไม่ค่อยชอบใจที่ถูกประชดประชันแต่ครองขวัญก็ยังอดยิ้มไม่ได้เหมือนทุกครั้งเวลาได้ยินกอบบุญเรียกขานแม่ของตัวเองว่า ‘คุณนายบุษรัตน์’ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้อย่างว่าง่ายเพราะรู้ว่าหากยังร่ำไรหูเธอคงชากว่านี้เพราะคำค่อนขอดไม่เลิกของกอบบุญ
ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้นี่ไม่ใช่การแจกลายเซ็นครั้งแรก แต่ครองขวัญยังคงตื่นเต้นเสมอเวลาได้เจอผู้คนที่มาทักทายและขอให้เธอลงนามในหนังสือที่แต่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ความเสียใจเข้ามาแทนที่กับข่าวร้ายที่ได้รับ
“ป้าไรเสียแล้วหรือคะ”
ครองขวัญทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อหลังจากเมื่อครู่หนูนาหรือนางสาวนาวิตา พงศ์ไพศาล ลูกสาวคนเล็กของอุไรทิพย์แจ้งข่าวให้รู้
เมื่อเห็นหญิงสาววัยยี่สิบพยักหน้ายืนยัน ครองขวัญก็นิ่งไปพลางหวนนึกถึงอดีต
อุไรทิพย์ หรือที่เธอเรียกสั้น ๆ ว่าป้าไร เป็นหญิงวัยหกสิบกว่าที่เธอได้รู้จักเมื่อสามปีก่อนตั้งแต่เริ่มแจกลายเซ็นเป็นครั้งแรก ยังจำได้ถึงรอยยิ้มใจดีของอีกฝ่ายเมื่อเข้ามาทักทายและแนะนำตัวว่าเป็นแฟนหนังสือของเธอตั้งแต่เล่มแรก เหนืออื่นใดขนมอร่อยที่อีกฝ่ายหอบหิ้วมาให้ทำให้เธอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความตื้นตันจนตั้งใจว่าจะผลิตผลงานดี ๆ ออกมาเพื่อตอบแทนน้ำใจ และป้าไรยังแนะนำคนที่ชอบเก็บตัวอย่างเธอให้เปิดเพจเพื่อใช้แนะนำหนังสือรวมถึงไว้คอยพูดคุยกับบรรดาแฟนคลับ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีป้าไรรวมอยู่ด้วย
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่มีงานหนังสือป้าไรจะนัดพบเพื่อชวนเธอไปเลือกหาซื้อหนังสือและนั่งกินข้าวด้วยกัน นานวันเข้าเธอก็รู้สึกว่าป้าไรไม่ได้เป็นเพียงแฟนคลับแต่เป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง กระทั่งสองปีที่แล้วเมื่อหญิงสูงวัยพาหญิงสาวหน้าตาน่ารักมาแนะนำให้รู้จักว่าเป็นลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นแฟนคลับของเธออีกคนจากการแนะนำของมารดา ทำให้มิตรภาพดี ๆ ยิ่งแน่นแฟ้น
แต่จากนี้ไม่มีป้าไรอีกแล้ว
ครองขวัญแสบร้อนหัวตา ความสะเทือนใจที่ได้รับสื่อผ่านน้ำเสียงสั่นพร่าเมื่อตั้งคำถาม
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“คุณแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายค่ะ ที่ผ่านมาท่านปิดเอาไว้จนเมื่อหลายเดือนก่อนอาการทรุดหนัก หมอบอกว่าท่านอาจจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน แต่เอาเข้าจริงแค่เดือนเดียวคุณแม่ก็...”
คำพูดที่ขาดหายพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นของนาวิตาทำให้ครองขวัญยิ่งตื้อในอก อดคิดไม่ได้ว่าคงเพราะเหตุนี้ครั้งก่อนป้าไรจึงไม่ได้นัดพบเธอ นอกจากคำชี้แจงผ่านทางข้อความว่าไม่สบายทำให้มาเจอไม่ได้
ตอนนั้นเธอยังคิดว่าป้าไรคงไม่สบายนิดหน่อย ถึงแม้แปลกใจอยู่บ้างที่ช่วงหลังอีกฝ่ายเงียบหาย
ไม่คิดเลย...
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครบอกพี่เลย ถ้ารู้...”
“คุณแม่ไม่อยากทำให้พี่ขวัญไม่สบายใจค่ะ ที่ผ่านมาท่านพูดกับหนูนาเสมอว่ารักและเอ็นดูพี่ขวัญเหมือนลูกสาว ก่อนท่านจะเสียยังสั่งนักสั่งหนาว่ารอให้ทำพิธีศพของท่านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยบอก ท่านเกรงว่าจะทำให้พี่ไม่มีสมาธิไม่มีใจจะทำงาน แล้วยังฝากให้หนูนามาบอกว่า...ขอให้พี่ทำงานที่พี่รักต่อไปอย่างมีความสุข”
ถึงตอนนี้ครองขวัญก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้
“แต่...พี่อยากไปกราบป้าไรเป็นครั้งสุดท้าย”
หญิงสาวบอกก่อนรีบปาดน้ำตาเมื่อเห็นว่าคนอื่นเริ่มพากันมองมา
“พี่ขวัญอย่าคิดมากเลยค่ะ ถ้าคุณแม่รู้ท่านคงไม่สบายใจ แล้วหนูนาก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่วันนี้อยู่นานไม่ได้มีธุระต้องรีบไปจัดการ เอาไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันนะคะ”
หลังจากคุยกันอีกสองสามคำ ลูกสาวของอุไรทิพย์ก็ขอตัวกลับในขณะที่ครองขวัญยังคงยืนซึมด้วยความเศร้าเสียใจ
ความโศกเศร้าจากการสูญเสียยังส่งผลต่อครองขวัญอีกหลายวันจนทำให้กอบบุญออกปากถามเมื่ออดรนทนไม่ไหว
“ช่วงนี้แกมีปัญหาอะไร หลายวันนี้ฉันเห็นแกชอบมานั่งเหม่อตรงนี้ประจำ ว่าไง...สมองตันหรือปั่นนิยายไม่ออก”
ครองขวัญละสายตาจากดอกบัวกลางสระที่อยู่ด้านหลังของบ้าน แล้วหันมามองกอบบุญซึ่งกำลังยืนพิงเสาต้นหนึ่งของศาลาไม้
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขวัญแค่...คิดถึงป้าไร”
หญิงสาวเสียงสั่นเมื่อนึกถึงคนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ หากเมื่อเห็นกอบบุญทำหน้างุนงงเจ้าตัวก็อธิบายเพิ่ม
“ป้าไรเป็นแฟนคลับนิยายของขวัญตั้งแต่เรื่องแรก ขวัญเพิ่งรู้เมื่อวันที่ไปแจกลายเซ็นว่าป้าไรเสียแล้ว”
เมื่อเห็นกอบบุญนิ่วหน้าพลางมองเธอด้วยแววตาอย่างหนึ่ง ครองขวัญก็นึกเดาได้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอคงไม่เข้าใจว่าทำไมแค่แฟนคลับคนหนึ่งตายไป ถึงทำให้เธอมานั่งเศร้าใจราวกับญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต
กอบบุญคงไม่มีวันเข้าใจ สำหรับเธอแล้วป้าไรก็ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
หญิงสาวถอนหายใจแต่ไม่มีแก่ใจชี้แจง ในขณะที่กอบบุญก็เหมือนว่าพอใจแล้วสำหรับคำตอบที่ค้างคาใจจนยอมเดินผละไป
เมื่อวันเวลาผันผ่าน ความเศร้าเสียใจจากการเสียชีวิตของป้าไรก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง กระทั่งเข้าเดือนที่ห้าครองขวัญก็ได้รู้จักกับแฟนคลับคนใหม่ซึ่งใช้ชื่อว่า Rakkun
ครั้งแรก ครองขวัญแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่หลังจากคุยกันผ่านทางข้อความได้พักใหญ่เธอก็เชื่อว่าเขาเป็นแฟนนิยายจริง ๆ เพราะบทสนทนาส่วนใหญ่และการที่เธอทดลองสอบถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็พูดคุยและตอบคำถามของเธอได้อย่างไม่มีอะไรติดขัด อาจด้วยความตื่นเต้นและดีใจทำให้หญิงสาวพูดคุยกับชายหนุ่มนาม Rakkun นานพอสมควร นานวันเข้าจากการพูดคุยผ่านทางข้อความแทบทุกวันครองขวัญก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนอบอุ่นและน่ารักไม่น้อย เมื่อเดาเอาจากการชอบพูดเล่นและมีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้เธอฟังอยู่เสมอ
จวบจนวันหนึ่ง เขาขอนัดเจอเธอ
ผมรักคุณ
ครองขวัญชะงักปลายนิ้วที่กำลังรัวบนแป้นพิมพ์ เมื่อความรู้สึกถูกกระทบจากความหมายของประโยคนั้น
ถ้ามีใครสักคนมาพูดสามคำนี้กับเธอ มันจะให้ความรู้สึกยังไงนะ
หญิงสาววัยยี่สิบสามถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนสลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วตั้งหน้าตั้งหน้าพิมพ์ต่ออีกพักใหญ่จนถึงคำว่าจบบริบูรณ์ จากนั้นจึงเอามือท้าวคางโดยสายตายังคงจับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ พลางครุ่นคิด
ที่ผ่านมาเธอส่งสาว ๆ ไปเจอกับหนุ่มในฝัน ได้ยินคำรักจากหนุ่มหล่อก็หลายคน ส่วนใหญ่ก็ลงเอยด้วยการแต่งงานและการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ครองขวัญทำหน้ามุ่ยนิด ๆ เมื่อบอกกับตัวเอง
แล้วเมื่อไรจะถึงคิวของเธอบ้าง
“ไอ้ขวัญ! มานั่งน้ำลายยืดอะไรตรงนี้ รู้หรือเปล่าว่านี่มันกี่โมงแล้ว”
‘ไอ้ขวัญ’ ถอนหายใจอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงห้าวห้วนที่คุ้นชินมาตั้งแต่เด็ก ก่อนหันไปมองชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มซึ่งกำลังยืนทำหน้าบอกบุญไม่รับ
“พี่กอบ! ขวัญพูดหลายครั้งแล้วนะว่าให้เคาะประตูก่อน ไม่ใช่เข้ามาเงียบ ๆ แบบนี้”
หญิงสาวบอกพลางทำหน้างอง้ำไม่ต่างจากชายหนุ่มที่กำลังผละจากประตูห้องแล้วเดินเข้ามาหา
“เข้ามาเงียบ ๆ ที่ไหน ก็ส่งเสียงเรียกปาว ๆ อยู่นี่”
ครองขวัญทำหน้าคว่ำเมื่อกอบบุญจบคำพูดด้วยการเขกหัวเธอหนึ่งที ก่อนที่เธอจะถูกเขาบ่นแกมต่อว่า
“ทำไมไม่ออกไปกินข้าว โทรศัพท์ก็ไม่รู้จักเปิดจนเดือดร้อนฉันต้องมาตามเพราะถูกคุณนายโทร.จิกใช้ให้เข้ามาดูกลัวว่าคุณหนูครองขวัญจะเป็นลมตายไปแล้ว”
‘คุณหนูครองขวัญ’ เบ้หน้าเมื่อถูกลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตมาด้วยกันพูดแขวะ หากไม่วายแย้งเสียงอ่อย
“ก็ขวัญต้องรีบปิดต้นฉบับนี่ ไม่อยากให้อะไรมากวน”
“แล้วมันต้องรีบจนถึงกับไม่กินข้าวกินปลาเลยหรือไง”
ดูเหมือนกอบบุญยังไม่ค่อยพอใจเมื่อฟังจากน้ำเสียงหงุดหงิดของเขา
“ขอโทษ ขวัญเพลินไปหน่อย”
ครองขวัญนึกน้อยใจเมื่อเห็นกอบบุญส่ายหน้าด้วยสีหน้าบอกความเอือมระอา ที่ผ่านมาถึงลุงกับป้ารวมถึงลูกพี่ลูกน้องคนนี้ไม่เห็นด้วยนักกับการที่เธอยึดอาชีพนี้ แต่อย่างน้อยเธอก็อยากได้ความเข้าใจจากคนในครอบครัว
เพราะนี่เป็นทางที่เธอเลือกแล้ว และเธอก็มีความสุข
ความหงุดหงิดจากการถูกใช้ให้เข้ามาตาม ค่อยลดระดับจนกลายเป็นนึกสงสารเมื่อกอบบุญเห็นสีหน้าจ๋อย ๆ ของน้องสาว
ชายหนุ่มหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ถูกเปิดค้างเอาไว้ หลังจากกวาดตามองจนไปหยุดที่บรรทัดสุดท้าย เจ้าตัวก็ถอนหายใจ
ไม่รู้ว่าด้วยนิสัยช่างฝันตั้งแต่เด็กหรือเพราะเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูง ทำให้ครองขวัญก้าวเข้าสู่อาชีพนักเขียนนิยายตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย อาจเพราะโชคดีได้การตอบรับอย่างดีจากนักอ่านจนทำให้หญิงสาวตัดสินใจยึดอาชีพนี้ แม้พ่อกับแม่ของเขาไม่ค่อยเห็นด้วยนักแต่พวกท่านก็ไม่อยากขัดใจเพราะความรักและสงสารหลานสาวกำพร้าซึ่งสูญเสียบุพการีไปตั้งแต่อายุห้าขวบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่พ่อและแม่พานั่งรถไปเที่ยวต่างจังหวัด เด็กหญิงครองขวัญรอดมาได้ในขณะที่พ่อกับแม่เสียชีวิต
ด้วยความรักและเป็นห่วงหลานสาวเพียงคนเดียว แม่ของเขาถึงกับยอมขายบ้านกับไร่ผลไม้ที่ต่างจังหวัดและตัดสินใจซื้อบ้านสวนที่มีพื้นที่ราว 500 ตารางวาในกรุงเทพฯ เพื่อไว้เป็นที่พำนัก
“แล้วพี่กอบล่ะ กินข้าวหรือยัง”
กอบบุญหยุดความคิดทั้งปวงเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนแยกเขี้ยวใส่
“ฉันก็ต้องกินแล้วสิ ปาไปจะบ่ายสามแล้วใครเขาจะลืมเวลากินข้าวเที่ยงแบบแกล่ะ ไอ้ขวัญ”
ครองขวัญย่นจมูกอย่างไม่ชอบใจนักกับคำเรียกขานในตอนท้าย หลายครั้งกอบบุญทำเหมือนเขามีน้องชายมากกว่าน้องสาว ทั้งที่เธอมั่นใจว่าตั้งแต่เด็กตัวเองไม่มีอะไรคล้ายกับผู้ชายเลยแม้แต่น้อย
“ไปเลย! รีบไปกินข้าว แล้วเปิดโทรศัพท์ด้วยนะ เดี๋ยวจะเดือดร้อนฉันอีกถ้าคุณนายบุษรัตน์เกิดอยากรู้ว่าฉันมาป้อนข้าวป้อนน้ำให้แกแล้วหรือยัง”
แม้ไม่ค่อยชอบใจที่ถูกประชดประชันแต่ครองขวัญก็ยังอดยิ้มไม่ได้เหมือนทุกครั้งเวลาได้ยินกอบบุญเรียกขานแม่ของตัวเองว่า ‘คุณนายบุษรัตน์’ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้อย่างว่าง่ายเพราะรู้ว่าหากยังร่ำไรหูเธอคงชากว่านี้เพราะคำค่อนขอดไม่เลิกของกอบบุญ
ตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้นี่ไม่ใช่การแจกลายเซ็นครั้งแรก แต่ครองขวัญยังคงตื่นเต้นเสมอเวลาได้เจอผู้คนที่มาทักทายและขอให้เธอลงนามในหนังสือที่แต่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ความเสียใจเข้ามาแทนที่กับข่าวร้ายที่ได้รับ
“ป้าไรเสียแล้วหรือคะ”
ครองขวัญทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อหลังจากเมื่อครู่หนูนาหรือนางสาวนาวิตา พงศ์ไพศาล ลูกสาวคนเล็กของอุไรทิพย์แจ้งข่าวให้รู้
เมื่อเห็นหญิงสาววัยยี่สิบพยักหน้ายืนยัน ครองขวัญก็นิ่งไปพลางหวนนึกถึงอดีต
อุไรทิพย์ หรือที่เธอเรียกสั้น ๆ ว่าป้าไร เป็นหญิงวัยหกสิบกว่าที่เธอได้รู้จักเมื่อสามปีก่อนตั้งแต่เริ่มแจกลายเซ็นเป็นครั้งแรก ยังจำได้ถึงรอยยิ้มใจดีของอีกฝ่ายเมื่อเข้ามาทักทายและแนะนำตัวว่าเป็นแฟนหนังสือของเธอตั้งแต่เล่มแรก เหนืออื่นใดขนมอร่อยที่อีกฝ่ายหอบหิ้วมาให้ทำให้เธอแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความตื้นตันจนตั้งใจว่าจะผลิตผลงานดี ๆ ออกมาเพื่อตอบแทนน้ำใจ และป้าไรยังแนะนำคนที่ชอบเก็บตัวอย่างเธอให้เปิดเพจเพื่อใช้แนะนำหนังสือรวมถึงไว้คอยพูดคุยกับบรรดาแฟนคลับ ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นต้องมีป้าไรรวมอยู่ด้วย
หลังจากนั้น ทุกครั้งที่มีงานหนังสือป้าไรจะนัดพบเพื่อชวนเธอไปเลือกหาซื้อหนังสือและนั่งกินข้าวด้วยกัน นานวันเข้าเธอก็รู้สึกว่าป้าไรไม่ได้เป็นเพียงแฟนคลับแต่เป็นเหมือนญาติคนหนึ่ง กระทั่งสองปีที่แล้วเมื่อหญิงสูงวัยพาหญิงสาวหน้าตาน่ารักมาแนะนำให้รู้จักว่าเป็นลูกสาวที่กำลังเรียนอยู่ปีสามในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นแฟนคลับของเธออีกคนจากการแนะนำของมารดา ทำให้มิตรภาพดี ๆ ยิ่งแน่นแฟ้น
แต่จากนี้ไม่มีป้าไรอีกแล้ว
ครองขวัญแสบร้อนหัวตา ความสะเทือนใจที่ได้รับสื่อผ่านน้ำเสียงสั่นพร่าเมื่อตั้งคำถาม
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“คุณแม่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายค่ะ ที่ผ่านมาท่านปิดเอาไว้จนเมื่อหลายเดือนก่อนอาการทรุดหนัก หมอบอกว่าท่านอาจจะอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน แต่เอาเข้าจริงแค่เดือนเดียวคุณแม่ก็...”
คำพูดที่ขาดหายพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นของนาวิตาทำให้ครองขวัญยิ่งตื้อในอก อดคิดไม่ได้ว่าคงเพราะเหตุนี้ครั้งก่อนป้าไรจึงไม่ได้นัดพบเธอ นอกจากคำชี้แจงผ่านทางข้อความว่าไม่สบายทำให้มาเจอไม่ได้
ตอนนั้นเธอยังคิดว่าป้าไรคงไม่สบายนิดหน่อย ถึงแม้แปลกใจอยู่บ้างที่ช่วงหลังอีกฝ่ายเงียบหาย
ไม่คิดเลย...
“ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครบอกพี่เลย ถ้ารู้...”
“คุณแม่ไม่อยากทำให้พี่ขวัญไม่สบายใจค่ะ ที่ผ่านมาท่านพูดกับหนูนาเสมอว่ารักและเอ็นดูพี่ขวัญเหมือนลูกสาว ก่อนท่านจะเสียยังสั่งนักสั่งหนาว่ารอให้ทำพิธีศพของท่านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยบอก ท่านเกรงว่าจะทำให้พี่ไม่มีสมาธิไม่มีใจจะทำงาน แล้วยังฝากให้หนูนามาบอกว่า...ขอให้พี่ทำงานที่พี่รักต่อไปอย่างมีความสุข”
ถึงตอนนี้ครองขวัญก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้
“แต่...พี่อยากไปกราบป้าไรเป็นครั้งสุดท้าย”
หญิงสาวบอกก่อนรีบปาดน้ำตาเมื่อเห็นว่าคนอื่นเริ่มพากันมองมา
“พี่ขวัญอย่าคิดมากเลยค่ะ ถ้าคุณแม่รู้ท่านคงไม่สบายใจ แล้วหนูนาก็ต้องขอโทษด้วยค่ะที่วันนี้อยู่นานไม่ได้มีธุระต้องรีบไปจัดการ เอาไว้วันหลังเราค่อยนัดเจอกันนะคะ”
หลังจากคุยกันอีกสองสามคำ ลูกสาวของอุไรทิพย์ก็ขอตัวกลับในขณะที่ครองขวัญยังคงยืนซึมด้วยความเศร้าเสียใจ
ความโศกเศร้าจากการสูญเสียยังส่งผลต่อครองขวัญอีกหลายวันจนทำให้กอบบุญออกปากถามเมื่ออดรนทนไม่ไหว
“ช่วงนี้แกมีปัญหาอะไร หลายวันนี้ฉันเห็นแกชอบมานั่งเหม่อตรงนี้ประจำ ว่าไง...สมองตันหรือปั่นนิยายไม่ออก”
ครองขวัญละสายตาจากดอกบัวกลางสระที่อยู่ด้านหลังของบ้าน แล้วหันมามองกอบบุญซึ่งกำลังยืนพิงเสาต้นหนึ่งของศาลาไม้
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ขวัญแค่...คิดถึงป้าไร”
หญิงสาวเสียงสั่นเมื่อนึกถึงคนที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ หากเมื่อเห็นกอบบุญทำหน้างุนงงเจ้าตัวก็อธิบายเพิ่ม
“ป้าไรเป็นแฟนคลับนิยายของขวัญตั้งแต่เรื่องแรก ขวัญเพิ่งรู้เมื่อวันที่ไปแจกลายเซ็นว่าป้าไรเสียแล้ว”
เมื่อเห็นกอบบุญนิ่วหน้าพลางมองเธอด้วยแววตาอย่างหนึ่ง ครองขวัญก็นึกเดาได้ว่าลูกพี่ลูกน้องของเธอคงไม่เข้าใจว่าทำไมแค่แฟนคลับคนหนึ่งตายไป ถึงทำให้เธอมานั่งเศร้าใจราวกับญาติผู้ใหญ่เสียชีวิต
กอบบุญคงไม่มีวันเข้าใจ สำหรับเธอแล้วป้าไรก็ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง
หญิงสาวถอนหายใจแต่ไม่มีแก่ใจชี้แจง ในขณะที่กอบบุญก็เหมือนว่าพอใจแล้วสำหรับคำตอบที่ค้างคาใจจนยอมเดินผละไป
เมื่อวันเวลาผันผ่าน ความเศร้าเสียใจจากการเสียชีวิตของป้าไรก็ค่อย ๆ ลดน้อยลง กระทั่งเข้าเดือนที่ห้าครองขวัญก็ได้รู้จักกับแฟนคลับคนใหม่ซึ่งใช้ชื่อว่า Rakkun
ครั้งแรก ครองขวัญแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่หลังจากคุยกันผ่านทางข้อความได้พักใหญ่เธอก็เชื่อว่าเขาเป็นแฟนนิยายจริง ๆ เพราะบทสนทนาส่วนใหญ่และการที่เธอทดลองสอบถาม ซึ่งอีกฝ่ายก็พูดคุยและตอบคำถามของเธอได้อย่างไม่มีอะไรติดขัด อาจด้วยความตื่นเต้นและดีใจทำให้หญิงสาวพูดคุยกับชายหนุ่มนาม Rakkun นานพอสมควร นานวันเข้าจากการพูดคุยผ่านทางข้อความแทบทุกวันครองขวัญก็ได้ข้อสรุปกับตัวเองว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนอบอุ่นและน่ารักไม่น้อย เมื่อเดาเอาจากการชอบพูดเล่นและมีเรื่องสนุก ๆ มาเล่าให้เธอฟังอยู่เสมอ
จวบจนวันหนึ่ง เขาขอนัดเจอเธอ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2559, 13:25:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2559, 13:25:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1112
บทที่ 2 >> |
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 20 ก.พ. 2559, 22:39:13 น.
เนื้อเรื่องน่าสนใจติดตาม ค่ะ
เนื้อเรื่องน่าสนใจติดตาม ค่ะ
Zephyr 22 ก.พ. 2559, 13:25:09 น.
ลุ้นเลยอ่ะ ใครนะ
ลุ้นเลยอ่ะ ใครนะ