พิภพนิรันกาล
เมื่อวาระสุดท้ายของเธอมาถึง
แทนที่ชีวิตเธอจะสิ้นสุดลงด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เธอ กลับถูกพลังอำนาจลึกลับดึงร่างสู่มิติอื่น
ณ มิติแห่งความมืดมิดและกาลเวลาที่ไร้ความหมาย
ด้วยคำสัญญาอันเป็นนิรันดร์
สู่เขา... ผู้เฝ้าคอย
Tags: โรแมนติก แฟนตาซี

ตอน: การเดินทาง (สู่ความตาย) จบตอน

ออกจากห้องอาหารมาก็เป็นส่วนของทางเดินโล่งๆที่เชื่อมไปยังตัวอาคารที่เป็นที่พัก
ด้วยยามนี้เป็นช่วงเที่ยงวันแสงแดดจัดจ้าจึงแยงตาทำให้วิลาสินีต้องเอาแว่นกันแดดจากกระเป๋าสะพายมาใส่
แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติกับภาพที่เห็นตรงหน้า

เธอตาฝาดไปหรืออย่างไรที่เห็นเนตินี ไม่มีเงาหัว

.........................................


วิลาสินียืนหน้าซีด

รู้สึกตัวชาไปตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อเห็นเพื่อนสาวที่ยืนอยู่ไกลๆ....ไม่มีหัว

“แก.. ยัยวิ เป็นอะไรยืนงงอยู่ได้ มีอะไรเหรอ
นี่แกถ้าไม่อยากไปเขาตะเกียบแกก็นอนอยู่ที่โรงแรมก็ได้นะยะ
ชั้นน่ะจะได้ไปสวีตกับพ่อมิคของชั้นสองคนบนที่นั่งเบาะหลังกว้างๆ อะๆ
อย่าคิดอะไรไปไกล คนอยู่ตั้งเยอะแยะ
ชั้นแค่จะนั่งกอดกับเจ้าบ่าวของชั้นให้มันโรแมนติกเล่นๆเท่านั้นแหละ...
แกฟังชั้นอยู่รึเปล่าเนี่ย”

เสียงของเนตินีปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์เธอมองเพื่อนให้ชัดๆอีกครั้ง

เนตินีก็ยังคงมีสภาพปรกติดี มีหัวมีตัวครบ
ที่เห็นเนตินีไม่มีเงาหัวเมื่อครู่คงเพราะเธอตาฝาดไปเองแน่ๆ

วิลาสินีรีบเดินไปสมทบกับเพื่อนอย่างรวดเร็ว
และทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้เพื่อนฟัง
แล้วเพื่อนจะรู้สึกอย่างไร

...........


“ครืน...ครืน...น “

เสียงฟ้าร้องครืนครางและเมฆดำที่ครอบคลุมท้องฟ้าจนมิด
ทำเอาหลายๆคนในคณะหนักใจ

คุณจักรชัยผู้จัดการบริษัทวัยห้าสิบกว่าปียืนมองฟ้าทำหน้ายุ่งอยู่หน้าโรงแรม

“ไปเที่ยวตอนนี้มันจะดีหรือคุณสุภา ถึงฝนยังไม่ตกแต่มันก็น่าห่วงอยู่นา
ผมว่าให้เด็กๆเล่นน้ำทะเลอยู่ที่ชายหาดของโรงแรมดีกว่ามั้ง”

“แต่เรายกเลิกโปรแกรมไปหลายอย่างแล้วนะคะบอส
อย่างน้ำตกป่าละอุก็ยกเลิกไปเพราะว่าฝนตกกลัวน้ำป่าที่จะไปวัดห้วยมงคลก็เลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้เพราะอยู่ไกลและเราก็มาถึงที่หัวหินช้า
แล้วถึงลงเล่นน้ำทะเลก็ไม่รู้ว่าจะมีใครกล้าลงกันรึเปล่า
เมื่อครู่พนักงานโรงแรมบอกภาว่าช่วงนี้หัวหินฝนตกแทบทุกวันแมงกะพรุนจึงลอยเต็มทะเลไปหมด
เฮ้อ... ถ้าจะให้ทริปนี้พาพนักงานมานั่งมองทะเลเฉยๆคงไม่ดีแน่
ภาว่ารีบขึ้นไปเที่ยวเขาตะเกียบก่อนที่ฝนจะตกลงมาดีกว่าค่ะอยู่ไม่ไกลแค่สิบห้านาทีก็ถึง
เด็กๆได้มีกำลังใจนะคะ”

“งั้นก็ตามใจ แล้วรีบกลับมาก่อนฝนตกแล้วกัน
ผมกับพนักงานบางส่วนจะนั่งดื่มกันที่โรงแรมนะแล้วก็จะดูแลเรื่องจัดปาร์ตี้ริมสระว่ายน้ำคืนนี้ด้วยเผื่อมีอะไรขาดเหลือจะได้จัดเตรียมทันนะ”

“ได้ค่ะบอส”

สุภาหัวหน้าแผนกรับคำก่อนไปรวมกับพนักงานจำนวนหนึ่งที่รออยู่หน้าล็อบบี้

“เอ้า พวกเรา เดี๋ยวไปรถตู้แค่สองคันนะ
ผู้จัดการจะอยู่ที่โรงแรมพี่จะทิ้งรถไว้ให้ท่านใช้คันหนึ่ง
แล้วใครไม่อยากไปก็อยู่ที่โรงแรมกับผู้จัดการก็ได้นะ”

“แหมๆ คุณภาขา... พวกเราก็อยากไปกันทั้งนั้นล่ะค่ะ
โดยเฉพาะนีกับพ่อมิคของนี คือได้ยินมาว่าเจ้าแม่กวนอิม
องค์ใหญ่ที่เขาตะเกียบศักดิ์สิทธิ์นัก
นีกับมิคก็ว่าจะไปขอพรก่อนแต่งงานอยู่เหมือนกันจะได้มีลูกหัวปีท้ายปี
ฮิ ฮิ”

ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ทำท่าเขินไปเขินมาในขณะที่คนอื่นๆส่งเสียงโห่ล้อเลียนกันระงม
ส่วนนายโซ้ยตี๋มิคได้แต่ยืนหน้าแดงเมื่อว่าที่เมียพูดออกไปอย่างนั้น

“เอาล่ะๆ ถ้างั้นก็ไปขึ้นรถตู้กันไปได้แล้ว
ถ้าจะไปกันหมดนี่ก็เบียดๆกันไปหน่อยนะสิบหน้านาทีก็ถึง”

“งั้นนีจองนั่งตักมิคนะคะ... ไปจ๊ะที่รัก”

ว่าแล้วเจ้าหล่อนก็ลากว่าที่เจ้าบ่าวขึ้นรถหน้าตาเฉย
เพื่อนๆได้แต่ยืนขำ

“อ้าว น้องวิทำไมมายืนเงียบอยู่ตรงนี้ล่ะจ๊ะหรือว่าจะอยู่โรงแรม”

ความจริงวิลาสินีก็ไม่อยากไปเที่ยวเขาตะเกียบเท่าไหร่
มีแต่วัดกับจุดชมวิว แต่ภาพที่เห็นเมื่อครู่มันยังติดตาไม่หาย

ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คงทิ้งเพื่อนไม่ได้

“ไปค่ะพี่ภา วิขอนั่งคันเดียวกับนีเหมือนเดิมนะคะ”

หญิงสาวปีนขึ้นรถตู้ไป นั่งเบียดกับเพื่อน

ยอมถูกเพื่อนด่าว่าเป็นก้างขวางคอก็แล้วกัน


..........


รถตู้สองคันขับเลยห้างสรรพสินค้าและย่านคอนโดหรูกลางเมืองหัวหินไปได้ไม่นานก็ถึงทางขึ้นเขา
แคบๆที่พอแค่ให้รถสวนกันได้

กระทั่งถึงยอดเขาซึ่งเป็นบริเวณลานวัดมีศาลา และร้านขายของที่ระลึกหลายร้าน
ซึ่งเนตินีก็อ้อนให้นายมิคซื้อของที่ระลึกระทึกใจให้อีกตามเคย

ขณะที่นายมิคเลือกซื้อของฝากประเภทเปลือกหอยอยู่นั้น วิลาสินีก็บ่นอุบ

“ขึ้นมาสูงเหมือนกันนะเนี่ยชั้นหูอื้อเลย”

“คุณนายวิลาสินีเจ้าขา จะบ่นอะไรกันนักหนาเนี่ย
ต๊ายนั่นไงทางลงไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ชั้นว่า ไปด้วยกันนะแกนะ
แกจะได้ขอพรไงเผื่อจะเจอเนื้อคู่เหมือนชั้นซักทีไง”

“อ้าวแล้วมิคล่ะ”

“ว่าที่สามีขา...ซื้อของเสร็จแล้วเดี๋ยวตามไปนะคะ”

“คร๊าบ...”

มิค รับคำก่อนจดจ่อกับการต่อราคากับแม่ค้าหน้าตาเคร่งเครียด

“ไปกันเถอะนังวิ”

เนตินีทำท่าตื่นเต้นเมื่อเห็นบันไดปูนทอดยาวลงไปบริเวณหน้าผาริมทะเล
มีป้ายบอกทางเขียนว่าทางไปสักการะพระโพธิสัตว์กวนอิม

“ต๊าย...แกดูสินังวิ... มีลิงเต็มไปหมดเลยอ่ะ ตูดแด้งแดง”

วิลาสินีฟังเสียงกรี๊ดกร๊าดของเพื่อนแล้วอายแทน
ยัยชะนีถึกเสียงแปดหลอดแหกปากซะนักท่องเที่ยวคนอื่นๆหันมามองกันเป็นแถว

แล้วท่าเดินแสนลั่นล้านั่นอีกกระโดดไปบันไดขั้นโน้นทีขั้นนี้ทีมันน่าตกน่าผาจริงๆยัยคนนี้

“นี นี่มันเขตวัดนะสำรวมหน่อยไม่เป็นรึไง”

“ชั้นเป็นพวกทำอะไรเปิดเผยย่ะ
แล้วน่ะแกเป็นอะไรวันนี้ดูหงอยๆนะไม่ค่อยพูดค่อยจาผิดวิสัยแกหว่ะ”

“ช่างชั้นเถอะน่า... แล้วนั่นแกเดินดีๆได้ไหมเดี๋ยวเกิดตกบันไดตาย...
เอ้ย เป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

“แกก็..วันนี้เป็นอะไรวะทำเป็นห่วงชั้นออกนอกหน้าชั้นยังไม่ได้ท้องกะมิคซะหน่อย
ไม่ต้องกลัวว่าชั้นกลิ้งตกเขาแล้วลูกทะเล็ดออกมาหรอกย่ะ”

“พูดจาน่าเกลียดจริงๆแกเนี่ย ชั้นไม่คุยด้วยแล้ว”

ว่าแล้ววิลาสินีก็ออกเดินดุ่ยๆจากไปทิ้งให้เพื่อนมองตาม

“อ้าวแก.... รอด้วยสิ”


........


วิลาสินีปักธูปที่กระถางธูปในใหญ่ก่อนมานั่งกราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเคารพที่พื้นปูนเบื้องหน้า
ก่อนจะเดินเลื่องออกมายืนอยู่ข้างๆเพื่อเปิดทางให้คนอื่นๆเข้ามากราบพระแทน

ขณะที่หญิงสาวกำลังยืนมองทะเลเพลินๆอยู่นั้น
ลมทะเลที่พัดแรงจัดก็พัดผงธูปในกระถางกระจายฟุ้ง

เสียงเนตินีร้องกรี๊ดกร๊าดใหญ่โต

"ลมอะไรเนี่ยพัดวนยังกับลมบ้าหมูแหนะ"

"ครืน.... ครื...น "

เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะ ระยะ ไม่หยุด พร้อมด้วยกระแสลมที่แรงขึ้น
ทำให้บรรยากาศท้องฟ้าที่ปิดด้วยเมฆมืดครึ้มดูน่ากลัวขึ้นมาก

และแล้วขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวกำลังไหว้พระกันอยู่ดีๆฝนตกก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

บรรดาคนที่กำลังเดินเที่ยวอยู่ก็วิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่นแต่ไม่รู้จะหลบที่ไหนเพราะในศาลาก็เปียกฝนอยู่ดีเนื่องจากลมจากทะเลพัดแรงมาก มันพัดเอาฝนเม็ดใหญ่เข้ามาไม่หยุด
เสียงฟ้าร้องดังลั่น สายฟ้าผ่าเป็นแนวยาวอยู่หลายครั้งทำให้คนฟังใจเสีย

“เอาไงดีวิ”

"นีรีบพาคนอื่นๆขึ้นรถตู้กันก่อนเถอะ ปลอดภัยสุด"

ระหว่างที่หญิงสาวไล่ต้อนเพื่อนร่วมงานไปจากศาลาอยู่นั้น
จากปลายหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นใครคนหนึ่งยืนโดดเดี่ยวกลางสายฝนยืนอยู่ไกลๆ

เขาแต่งกายด้วยชุดดำทั้งชุดและกำลังมองตรงมายังเธอ

และเธอก็รู้สึกคุ้นตากับลักษณะของเขาพิกล
แม้จะมองเห็นหน้ากันไม่ชัดก็ตาม

หญิงสาวรู้ว่าเขาคงไม่ใช่คนในคณะ แต่ด้วยความเอื้อเฟื้อ
จึงมีน้ำใจตะโกนเรียก

“คุณ ไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไมน่ะ รีบไปหลบฝนบนรถชั้นก็ได้
เร็วๆเข้าเปียก... หมดแล้ว”

ประโยคสุดท้ายสะดุดลงเมื่อเธอสังเกตได้ว่าต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ๆ

ชายร่างใหญ่คนนั้นยืนอยู่กลางสายฝนแต่เขากลับไม่เปียกแม้แต่น้อย

มันอะไรกัน

แต่แล้วหญิงสาวก็สะดุ้งเมื่อมีคนมาจับแขน
เธอหันขวับไปมองก็พบเนตินีจ้องหน้าเธออยู่

“ทำไมยังไม่ไปอีก แล้วนั่นแกคุยกับใครน่ะ”

“ก็...คนนั้น.......”

หญิงสาวชี้ไปยังทิศทางที่เขาคนนั้นยืนอยู่แต่... ว่างเปล่า
ไม่มีแม้แต่ลิงซักตัว

“ไหนใครกัน เมื่อกี้ชั้นก็เห็นแกตะโกนอะไรอยู่คนเดียวเลยเดินมาดู
ไปเถอะแก เปียกเป็นลูกหมากันหมดแล้ว”


........................................
นั่นรอฝนหยุดบนรถเป็นชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าฝนจะหยุดตก
บรรดาคนที่นั่งเบียดเสียกันอยู่ในรถประมาณ 12
คนนั่งอึดอัดและหนาวสั่นเพราะตัวเปียกซ่กกันทุกคน

ในที่สุดคนขับรถก็ทนไม่ไหว

"ผมว่าเราลงจากเขากันเถอะครับ
สภาพแบบนี้รออีกสองชั่วโมงฝนก็ไม่หยุดตกหรอกพวกคุณจะปอดบวมตายกันเปล่าๆ
ฝนตกแค่นี้ผมขับได้ครับ สบาย"

ทุกคนในรถเห็นด้วยทันที ดังนั้นคนขับรถจึงโทรศัพท์ไปบอกสุภาซึ่งยังติดฝนอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งพร้อมกับคนในคณะอีกหลายคน

เมื่อได้รับการอนุญาติพร้อมกำชับให้ระมัดระวัง
จึงได้ออกรถเพื่อล่วงหน้าลงเขาไปก่อน

สายฝนที่ตกกระหน่ำไม่หยุดทำให้รถเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า
ทำให้รถเก๋งที่ลงเขาตามลงมารู้สึกรำคาญบีบแตรไล่อยู่หลายครั้ง

"มันจะรีบไปตายที่ไหนมันวะ"

คนขับรถตู้บ่นอุบ พร้อมกับเพิ่มความเร็วขึ้น

แต่คงยังไม่ทันใจรถคันหลังจึงได้บีบแตรไล่อีกครั้ง

"โว้ย... มันจะเอายังไงของมันวะ"

แม้จะเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งแต่รถคันหลังก็ยังไม่พอใจอยู่ดีจึงได้ตัดสินใจแซงขึ้นมาทั้งที่เป็นทางลงเขาที่แคบมากและขับลงมาด้วยความเร็วไม่น้อย

เกือบจะแซงพ้นอยู่แล้วแต่ขณะนั้นเอง

เกิดมีรถอีกคันขับสวนขึ้นเขามาในระยะกระชั้นชิด

รถที่แซงจากข้างหลังทำท่าจะหลบรถที่สวนขึ้นมาไม่พ้นจึงเอาตัวรอดโดยการหักวงเลี้ยวปาดหน้ารถตู้ที่บรรทุกคนมาเต็มคัน

“เอ้ย...”
เสียงคนขับรถอุทานก่อนเหยียบเบรกตัวโก่ง

วิลาสินีมองเหตุการณ์ตรงหน้าใจหายวาบ

ด้วยความเร็วจากการลงเขา และการบรรทุกคนมาเกินกำลัง
และถนนที่ลื่นจากสายฝนที่ตกไม่หยุดทำให้หน้ารถปัดและเสียหลักออกนอกเส้นทางแคบๆ
พุ่งสู่ความเวิ้งวางเบื้องล่าง

เสียงกรีดร้องของคนในรถดังระงม

วินาทีที่หลังคารถตกลงมากระแทกพื้นดินมีแต่ความเงียบงัน

.................................


วิลาสินีรู้สึกชาไปทั้งตัว...
รู้สึกว่าโลกมันหมุนกลับหรืออย่างไรเธอจึงเห็นสภาพตัวเองนั่งห้อยหัวอยู่ในรถที่บุบไม่เป็นสภาพอย่างนี้

เธอเหลือบตาไปมองเพื่อนรักที่เวลานี้คอหักพับซบอยู่กับใหล่ของว่าที่เจ้าบ่าวที่เจ้าตัวรักมาก
เลือดสีแดงข้นย้อมร่างคนทั้งคู่จนจำสภาพเดิมไม่ได้

วิลาสินีไม่อยากนึกด้วยซ้ำว่าตนเองอยู่ในสภาพไหน

“น...นี...”

หญิงสาวเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก

แม้จะพยายามพูดให้ดังที่สุดแต่งในความเป็นจริงมันช่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ

น้ำตาไหลพรากราวเขื่อนพังเมื่อสมองรับรู้ความเป็นจริงว่าเพื่อนที่อยู่ตรงหน้าและคนอื่นๆคงกลายเป็นร่างไร้วิญญาณกันไปหมด

แล้วทำไมเธอไม่ตายไปพร้อมคนอื่นๆเล่า

เธอได้กลิ่นน้ำมัน แม้จะรู้ว่าจะต้องหนีออกจากรถให้ได้ในนาทีนี้

แต่เธอไม่มีแรงแม้จะขยับตัวด้วยซ้ำ
แม้จะร้องขอความช่วยเหลือยังพูดไม่ออก

กลิ่นไหม้เครื่องยนต์ที่ยังทำงานทำให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ารถคงระเบิดและตัวเธอคงถูกย่างสดอยู่ในนี้

หญิงสาวหลับตานับนาทีตายอย่างทรมาน
ก่อนความเจ็บปวดทางร่างกายจะพาสติดับวูบไป

ก่อนที่เสียงระเบิดจะดังสนั่น ลูกไฟใหญ่ลอยวูบฝ่าสายฝนขึ้นมา


"ตูม...ตูม..."

สิ่งที่เหลืออยู่เป็นเพียงเศษซากรถที่ไหม้ไฟไม่หยุดแม้ฝนจะเทกระหน่ำและกลิ่นเนื้อย่างที่ลอยไปทั่วบริเวณ


.............................................
ขอตัวไปทำงานก่อน ต้องส่งดุษฏีนิพนธ์อีก เครียดมั่กๆ

แล้วจะมาต่อให้ใหม่เมื่อชาติต้องการนะค้า...

ช่วยเป็นกำลังใจให้ด้วยค่า...



ด็อกเตอร์mod
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ก.ค. 2554, 00:17:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ก.ค. 2554, 00:17:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1351





<< การเดินทางสู่ (ความตาย) 1   
silverraindrop 29 ก.ค. 2554, 17:13:24 น.
รีบมาต่อนะคะ...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account