ดั่งบุหลันดั้นเมฆ
แพทย์หญิงสิตางศุ์จะตัดสินใจเช่นไรเมื่อในปัจจุบันเธอกำลังเผชิญมรสุมเลวร้ายของชีวิตสมรสอย่างหนักกับนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ชื่อเมฆินทร์ แล้วจู่ๆ ก็มีโอกาสพบเรื่องมหัศจรรย์ เธอถูกพาย้อนอดีตไปอยู่ในร่างพราวบุหลันดาราสาวสวย ได้พบภากร...ผู้ชายแสนดีซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะมีในโลก ทั้งสองร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เธอเองก็แก้ไขเรื่องร้ายที่เกิดในอนาคตได้หลายเรื่องรวมทั้งการช่วยชีวิตภากรไว้ด้วย ความรักงดงามเบ่งบานกลางใจ ทว่าเธอสมควรเลือกเส้นทางใดกันแน่...เป็นสิตางศุ์ แพทย์สาวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งทำประโยชน์ให้คนส่วนรวมได้มากมาย หรือเป็นดาราสาวชื่อพราวบุหลัน ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มที่รักเธอสุดหัวใจ ในปี ๒๕๒๙ ตลอดไป


Tags: ข้ามเวลา แพทย์หญิง รักหวานซึ้ง

ตอน: บทที่ ๑

สวัสดีค่ะ นักอ่านที่รักทุกท่าน

ดาริยาขออนุญาตนำเสนอนิยายเรื่องใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกมาเป็นรูปเล่ม โดยขอแจ้งล่วงหน้าว่าจะลงเป็นบางส่วน มิได้ลงจนจบ ทั้งนี้เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการจับจองเป็นเจ้าของค่ะ ^____^

ขอบคุณค่ะ

________________________


ดั่งบุหลันดั้นเมฆ

โดย ดาริยา


บทที่ ๑


เปลือกหอยสีขาวกระจ่างบนผืนทรายชื้นน้ำทะเลนั้นโดดเด่นสวยสะดุดตา ราวกับมีมนตร์สะกดให้หญิงสาวร่างบอบบางก้าวเท้าเข้าไปหา นัยน์ตาคมจ้องมองวัตถุนั้นไม่วางตา แม้จะเห็นสงบนิ่งอยู่บนทรายละเอียดแต่กลับมีพลังดึงดูดมหาศาลให้เธอเดินตรงไปหาอย่างไม่ลังเล ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความชอบฝังใจส่วนตัวหรือเปล่าที่กระตุ้นจนเธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นราวกับเกรงว่าหากช้ากว่านี้อีกนิดจะมีใครมาแย่งชิงเปลือกหอยแสนสวยตัดหน้าไป

สิตางศุ์เดินกึ่งวิ่งมาจนถึงเปลือกหอยขนาดใหญ่ เธอจำไม่ผิดแน่ นี่เป็นเปลือกหอยสังข์หนามซึ่งรูปร่างของมันดึงดูดใจเธอได้เสมอ ไม่ว่าจะพบเจอตอนอยู่ในภาพหรือเมื่อเห็นของจริง เธอเป็นต้องนิ่งมองราวถูกสะกดทุกครั้ง

‘ห้ามเอาเปลือกหอยชนิดนี้เข้าบ้านเด็ดขาดนะตอง แม่ไม่ชอบชื่อเลย... ‘หอยสังข์หนาม’ มันดูอันตรายต่อชีวิตสมรสยังไงก็ไม่รู้’ เสียงปรามดุๆ ของแม่ในวันนั้นยังตามมาเตือนเธอถึงวันนี้

สิตางศุ์จำได้ว่าเธอหัวเราะลั่น ตอนนั้นเธอเพิ่งแต่งงานกับเมฆินทร์ได้อาทิตย์กว่า และไปฮันนีมูนที่ภูเก็ตโดยมีศศิธรผู้เป็นมารดาติดสอยห้อยตามไปด้วย หญิงสาวจ้องเขม็งไปยังเปลือกหอยสีขาวบนผืนทราย มือข้างหนึ่งของเธอถูกมือแม่ฉุดรั้งไว้แน่นหนา

‘แม่คะ ตองไม่เคยได้ยินตำราที่ไหนบอกไว้แบบนั้นเลย อีกอย่างนึง แม่ก็ทำเป็นลืมๆ ชื่อหอยสังข์หนามไปบ้างสิคะ อีกชื่อของเขาออกจะน่ารัก...หอยสังข์มะระ’

เสียงอธิบายของสิตางศุ์ผสานกับเสียงคลื่นจากทะเล เธอส่งยิ้มให้ศศิธรพร้อมแววตาอ้อนวอน แต่อีกฝ่ายยังทำหน้านิ่ง

‘ไม่เอาละ แม่ไม่อนุญาต ห้ามเก็บไปเด็ดขาด ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ เรากลับบังกะโลกันเถอะ ป่านนี้คุณคินรอแย่แล้ว’

หญิงสาวยังเหลียวกลับไปมองเปลือกหอยสีขาวอันใหญ่แสนสวยนั้นจนลับตาด้วยความผิดหวัง จำต้องทิ้งของสะสมที่เธอชอบมากไว้บนผืนทรายชายทะเลภูเก็ต และไม่อยากเชื่อว่าวันนี้เธอจะได้มาพบเปลือกหอยทรงเสน่ห์ชนิดเดียวกันอีกครั้งที่ชายทะเลฝั่งตะวันออก แถมคราวนี้แม่ไม่ได้มาเสียด้วย รับรองว่าเธอไม่มีทางพลาดแน่

สิตางศุ์นั่งคุกเข่าลงบนผืนทรายนุ่ม ไม่สนว่าท่อนขาเรียวจะเปรอะเปื้อนทรายหรือไม่ ผมบ๊อบประบ่าที่ปลิวกระเซิงเพราะแรงลมก็ไม่ทำให้เธอใส่ใจ ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่เปลือกหอยสังข์หนามสีขาวสภาพดีเยี่ยม สวยอย่างชนิดไม่เคยเห็นที่ไหนสวยขนาดนี้ มือเรียวค่อยๆ หยิบมันขึ้นมาจากผืนทรายนุ่มชื้นไปด้วยน้ำทะเล ความรู้สึกเย็นวาบเมื่อสัมผัสลงบนพื้นผิวทำเอาเธอชุ่มชื่นไปถึงหัวใจ

เมื่อพินิจพิเคราะห์ดีๆ แล้วสิตางศุ์ก็ต้องอมยิ้ม เปลือกหอยในมือสภาพสมบูรณ์แทบไม่มีที่ติ สวยกว่าที่เธอเคยเห็นตามพิพิธภัณฑ์เสียอีก ไม่อยากเชื่อว่าจะงดงามราวกับถูกขัดสีฉวีวรรณไว้จนผุดผ่องขนาดนี้ เธอเห็นกระทั่งประกายวาววับส่องมาเข้าตาเลยด้วยซ้ำ

“กลับบ้านไปกับฉันนะ ไปอยู่ด้วยกัน”

รำพึงเบาๆ แล้วหญิงสาวจึงหยัดยืนอย่างระมัดระวัง ประคับประคองเปลือกหอยขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือด้วยความทะนุถนอมขณะก้าวเท้าช้าๆ ไปบนผืนทราย มุ่งตรงสู่บ้านพักตากอากาศชั้นเดียวสีขาวสะอาดตาซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก

เสียงโทรศัพท์มือถือที่คล้องคออยู่ดังขึ้น สิตางศุ์ติดเป็นนิสัยเสียแล้วกับการพกพาเจ้าเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา ทั้งที่เป็นช่วงลาพักร้อนเธอก็ยังเผลอคิดว่าอาจเป็นโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ตามตัวให้ไปดูอาการคนไข้ในความดูแล แต่พอได้ยินเสียงปลายสายก็ต้องยิ้มกว้าง

“ตอง แกสบายใจขึ้นบ้างหรือยัง” เสียงณิวราที่ทักทายมายังคงสดใสตามแบบฉบับของเธอ

“จะบ้าเหรอนิว แค่คืนเดียวเนี่ยนะ จะช่วยปัดเป่าความเศร้าไปจากชีวิตฉันได้ คงต้องขอเวลาอีกนิดแหละ”

หญิงสาวหยุดยืนตรงชายหาด ปลายเท้าเขี่ยไปมาบนทรายขาวเนื้อละเอียดนุ่มเท้า

“ไม่เอาน่าตอง นี่แกยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ คิดจะมีสามีเนื้อหอมก็ต้องอดทนหน่อย อีกอย่างพี่คินก็ดีกับแกมากๆ เลยนี่นา กะอีแค่เขาเจ้าชู้ไปนิด ให้อภัยเขาบ้างก็ได้นะ เพื่อความสบายใจของแกด้วย อยากแก่ไวนักหรือไง ยายหมอหน้าเด็ก”

ณิวราเอาสมญานามที่ตนเป็นคนตั้งให้มาหยอกเย้า แต่แพทย์สาวกลับยิ้มไม่ออกเมื่อนึกถึงชีวิตสมรสของตน

สิตางศุ์คร้านจะอธิบาย มันช่างยากเหลือเกินที่จะให้ใครมาเข้าใจความรู้สึกของเธอในการใช้ชีวิตคู่กับเมฆินทร์ยาวนานถึงสามปี ว่าเป็นช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัสแค่ไหน คนภายนอกมองเห็นแค่ว่าชีวิตคุณหมอสาวอย่างเธอช่างสมบูรณ์แบบหาใครเปรียบได้ยาก เธอแต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มใหญ่เนื้อหอมผู้ร่ำรวยติดอันดับหนึ่งในสิบของประเทศ เขาเอาอกเอาใจ ตามใจเธอทุกอย่าง...นั่นสินะ ดูเหมือนไม่มีปัญหา ดูเหมือนทุกอย่างราบรื่นลงตัวไร้ที่ติ

“อย่าพูดเรื่องนั้นอีกเลยนะนิว ฉันอยากหลุดโลกไปสักพัก แกก็รู้ นี่ที่จริงฉันไม่ควรเปิดมือถือไว้ด้วยซ้ำ แต่ก็อดห่วงแม่ไม่ได้ เผื่อมีธุระจำเป็น”

“จะบอกว่าฉันไม่ควรโทร. มารบกวนใช่มั้ย” น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจของเพื่อนทำเอาสิตางศุ์ต้องรีบปลอบ

“ไม่เอาน่า ฉันจะคิดอย่างนั้นกับแกได้ไง รักซะขนาดนี้” ถ้าอยู่ใกล้ๆ แพทย์สาวจะต้องดึงตัวณิวรามากอดแน่ๆ

“ที่โทร. มาก็แค่อยากรู้ว่าบ้านโบราณริมทะเลของญาติฉันโอเคสำหรับแกมั้ย ฉันเคยไปหนเดียวเองนะ ตอนยังเด็กน่ะ แต่เห็นแกอยากหลบหนีผู้คนก็เลยนึกถึงบ้านนั้นขึ้นมา”

“ดีจ้ะ ดีมากๆ เลยละ ขอบใจแกจริงๆ ที่ช่วยหาที่พักเป็นส่วนตัวให้ ว่าแต่แกแน่ใจรึเปล่า ว่าไม่เป็นการรบกวนคุณอาของแกเกินไป”

“อย่าห่วงน่า คุณอาฉันไม่ได้ไปพักในช่วงนี้หรอก อันที่จริงไม่รู้ท่านซื้อบ้านขนมปังขิงนั่นไว้ทำไม ไม่เห็นค่อยไปพักสักเท่าไหร่ ก็เพราะแบบนี้ละมั้ง ถึงคิดจะขาย แกโชคดีรู้มั้ย คุณอาเพิ่งให้คนไปทำความสะอาดครั้งใหญ่เสร็จไปไม่นานนี่เอง เห็นบอกว่าต่อไปจะหาโอกาสจ้างช่างไปทาสีใหม่คงดูดีกว่านั้นอีก ท่านเตรียมจะขายต่อน่ะ”

สิตางศุ์อดใจหายไม่ได้ แม้จะเพิ่งมาพักได้คืนเดียวแต่เธอกลับรู้สึกผูกพันกับบ้านริมทะเลหลังนี้เหลือเกิน น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานพอเดินทางมาถึงในช่วงบ่าย เธอก็เดินสำรวจเสียทั่ว นึกสงสัยว่าบ้านนี่ปลูกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เจ็ดจริงหรือ ทำไมสภาพยังดีอย่างเหลือเชื่อ หลังคาทรงปั้นหยาทำให้บ้านหลังนี้ไม่มีจั่ว มองดูคลาสสิกดี แถมด้วยระเบียงด้านหน้าซึ่งหันไปสู่ทะเล ความโดดเด่นอยู่ตรงรอบชายคาบ้านถูกตกแต่งด้วยไม้ฉลุลายละเอียดงดงาม สมแล้วกับชื่อ ‘บ้านขนมปังขิง’ ที่ณิวราแอบตั้งให้

“น่าเสียดายเนอะ ถ้ามีตังค์ ฉันคงขอซื้อไว้ ฉันชอบมากนะนิว สวยจริงๆ นอกจากอยู่ริมทะเลแล้วยังมีต้นลีลาวดีปลูกไว้เพียบ ฉันชอบกลิ่นหอมที่ลอยมาตามลม มีความสุขที่สุดเลยเวลานั่งอยู่ริมระเบียงหน้าบ้าน”

“ท่าทางจะติดใจเข้าแล้วละสิ”

“ที่สุดละ เออ! นิว แกได้แวะไปหาแม่บ้างมั้ย” หญิงสาวเปลี่ยนไปยังเรื่องที่เธอห่วงอยู่

“ฉันเพิ่งออกมาจากบ้านแม่แก ซื้อข้าวต้มปลาเข้าไปให้กินเป็นมื้อเย็น เห็นว่าแม่ชอบไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องห่วงน่าตอง ฉันจะดูแลแม่อย่างดี เผลอๆ จะทำคะแนนจนแม่แกรักฉันมากกว่าลูกสาวแท้ๆ เลยละ” นักเขียนสาวหัวเราะเสียงใส

“ขอบใจนะ บางทีก็เหมือนว่าตั้งแต่แต่งงานฉันทอดทิ้งแม่ยังไงก็ไม่รู้ ความจริงคือแม่ดื้อมาก ฉันขอร้องให้ไปอยู่บ้านพี่คินด้วยกัน แม่ก็ไม่ยอมไป บอกว่าอยากให้มีความเป็นส่วนตัวระหว่างสามีภรรยา แม่คงลืมไปแล้วว่าฉันติดแม่แค่ไหน”

“เอาละ แกพักผ่อนตามสบายเหอะตอง ฉันต้องวางสายแล้ว กำลังจะลงจากแท็กซี่ ถึงบ้านพอดี” ณิวราตัดบท

“จ้ะนิว แล้วค่อยคุยกันใหม่”

สิตางศุ์ได้ยินเสียงรถรา เสียงแตรผ่านมาทางโทรศัพท์ก็รับรู้ได้ถึงความวุ่นวายของเมืองหลวงซึ่งเธอเบื่อหน่ายจนแทบถึงขีดสุด ดีแค่ไหนที่มีโอกาสปลีกตัวออกมาบ้าง แม้จะชั่วคราวก็เถอะ

หญิงสาวไขประตูเข้าไปในบ้าน แล้วมุ่งตรงไปยังห้องนอน วางเปลือกหอยลงบนโต๊ะใกล้หัวเตียงอย่างทะนุถนอม ก่อนจะตัดใจยังไม่นั่งชื่นชม เพราะท้องที่ร้องประท้วงว่าหิวเต็มทนเนื่องจากมื้อกลางวันเธอก็กินแค่สลัดผักง่ายๆ ซื้อสำเร็จมาจากห้างเล็กในตัวเมือง

สิตางศุ์เข้าครัว ตรงไปยังตู้เย็นแล้วหยิบปลาแซลมอนที่หั่นชิ้นสวยเตรียมไว้เพื่อทำสเต็ก ซึ่งจะว่าไปชื่ออาหารนั้นดูจะโก้หรูเกินไปหน่อย จริงๆ เธอก็แค่โรยเกลือกับพริกไทยดำลงบนชิ้นปลาสีชมพูอมส้มแล้วเอาไปนาบในกระทะเท่านั้นเอง คนทำกับข้าวไม่เก่ง ทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว

เมื่อจัดการอาหารทั้งจานจนหมดเกลี้ยงในพริบตาแล้วมองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอกก็เห็นแสงแดดยามเย็นเพิ่งลาลับจากฟากฟ้า ทะเลพลบค่ำสร้างความรู้สึกเหงาหงอยจับใจ

แต่เธอก็ต้องการสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเมฆินทร์ เธออยากอยู่อย่างเงียบๆ เป็นอิสระจากเขาสักพัก ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อไม่ต้องเผชิญหน้ากับเขา นั่นทำให้ระยะหลังสิตางศุ์มักจะไปพักที่หอพักแพทย์ในโรงพยาบาล อ้างกับสามีว่างานยุ่ง และมีเคสหนักๆ อยู่ในความรับผิดชอบเยอะ มันก็มีส่วนจริงบ้าง แต่ไม่ทั้งหมด

หญิงสาวนั่งทอดอารมณ์อยู่ตรงโต๊ะอาหารเล็กๆ ได้พักเดียวก็ตัดสินใจกลับเข้าไปในห้องนอนซึ่งอยู่ด้านหน้าติดกับส่วนของระเบียง อาบน้ำอาบท่า ตั้งใจว่าจะนั่งอ่านหนังสือนวนิยายฝีมือการแต่งของณิวราเพื่อนรักสักพักแล้วคงนอนเลย เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกง่วงจับใจขึ้นมา

ก่อนนอนสิตางศุ์ไม่ลืมที่จะนั่งชื่นชมเปลือกหอยอันใหญ่สีขาวแสนสวยบนโต๊ะหัวเตียงอีกครั้ง แล้ววางกลับลงไป อดนึกสงสัยไม่ได้ว่าในเมื่อเปลือกหอยสวยสมบูรณ์แบบขนาดนี้ทำไมไม่มีใครเห็นและชิงเก็บตัดหน้าเธอไปเสียก่อน แต่ก็นั่นแหละนะ ของบางอย่างก็เจาะจงจะเป็นของใครบางคนราวกับถูกกำหนดมาแล้ว หญิงสาวอมยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองแล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเอาเปลือกหอยไปล้างทำความสะอาดให้เอี่ยมกว่านี้อีกสักหน่อย คงยิ่งสวยพริ้งทีเดียว

ทันทีที่เอนกายลงบนเตียงนุ่ม เปลือกตาของเธอก็หนักอึ้ง พร้อมค่อยๆ ปิดลง ความง่วงงุนประดังเข้ามาจนนึกสงสัยว่าเธอไปอ่อนเพลียอะไรนักหนา ในเมื่อเดินทางมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน และวันนี้ก็ว่าง นั่งๆ นอนๆ มองทะเลทั้งวัน...ว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตนี้ก็ว่าได้
เพียงครู่เดียวสิตางศุ์ก็เข้าสู่ภวังค์ ขณะค่อยๆ หลับลงอย่างแสนสบายก็ได้ยินเสียงเรียกดังแว่วมาจากที่ไกลๆ

“พราวบุหลัน! ลูกฟื้นแล้ว! ฟื้นจริงๆ ด้วย”

สิตางศุ์ตั้งใจจะหันไปมองเปลือกหอยต้นกำเนิดเสียงที่หัวเตียงแต่ก็ไม่อาจฝืนลืมตา เสียงเรียกยังดังขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นไม่พอ หญิงสาวรู้สึกเหมือนจู่ๆ ร่างของเธอก็หมุนติ้วราวกับลูกข่าง ความตกใจทำให้เธอกรีดร้อง พยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจต้านแรงดึงดูดบางอย่างซึ่งพัดพาเธอเข้าไปหมุนวนอยู่ในเปลือกหอย พอฝืนลืมตาขึ้นมาแสงสีขาวจัดจ้าก็สาดส่องจากทุกทิศทางจนแสบตาไปหมด ต้องรีบหลับตาลงในทันใด แขนเรียวถูกฉุดกระชากอย่างรุนแรงจนไม่อาจต้านไว้ได้ ร่างบางหลุดลอยเข้าไปยังอีกสถานที่อันเย็นยะเยือกพร้อมกับค่อยๆ หยุดหมุนแต่ยังมีแรงบางอย่างฉุดพาเธอลอยต่อไป

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เห็นม่านหมอกหนาทึบปกคลุมไปทั่วบริเวณ สิตางศุ์ก้มลงมองเท้าของตัวเองแล้วก็ต้องตกใจ เธอไม่ได้อยู่บนพื้น! ร่างของเธอลอยอยู่สูงลิบลิ่วบนท้องฟ้า ถ้าเช่นนั้นกระไอสีขาวเย็นฉ่ำหนาทึบที่เห็นนี่ก็ไม่ใช่หมอก แต่เป็นเมฆ เธอกำลังถูกฉุดกระชากผ่านม่านเมฆลอยละลิ่วไม่รู้จุดหมาย แต่แล้วเพียงครู่แรงฉุดนั้นก็ค่อยๆ ลดลงจนสงบนิ่งในที่สุด

หญิงสาวพยายามตั้งสติจึงรู้สึกว่าเธอกลับมาอยู่ในท่านอนเหมือนเดิมแถมยังอยู่บนเตียงเดิมอีกด้วย หากเมื่อเหลียวไปมองรอบกายแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง นี่เป็นห้องนอนในบ้านพักตากอากาศโบราณหลังเก่าก็จริง แต่สภาพดูเปลี่ยนไปไม่น้อย ที่สำคัญ...มีหญิงกลางคนแปลกหน้ามานั่งอยู่ข้างเตียง มืออวบอูมกุมมือเธอไว้แน่น ปากก็บอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ สีหน้าดีใจสุดขีด

“พราว! เป็นไงบ้างลูกแม่ นี่ลูกฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย เดี๋ยวแม่จะโทร. ตามหมอก่อนนะ โอ๊ย! ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว” คนพูดผุดลุกขึ้น เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลนลาน

สิตางศุ์ตกตะลึงจนพูดไม่ออก นี่มันอะไรกัน เธอกำลังเผชิญกับเรื่องประหลาดมหัศจรรย์เช่นนั้นหรือ เพียงแค่หลับไปพักเดียวก็ถูกฉุดกระชากเข้าไปในเปลือกหอยผ่านม่านเมฆมาโผล่อีกที่...ไม่ใช่สิ! ที่เดิม แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

ไม่นะ! เธอคงไม่ได้ย้อนเวลาได้เหมือนในละครหรือนิยายที่เคยอ่านมาหลายต่อหลายเรื่อง แต่สภาพห้องนอนที่เห็นตอนนี้ก็ชวนให้นึกว่าอาจเป็นไปได้ เพราะห้องดูใหม่เอี่ยมลออตาราวกับว่าสีขาวอมฟ้าของผนังห้องเพิ่งทาเสร็จใหม่ๆ เลยทีเดียว ม่านลูกไม้สีขาวถักด้วยมือถูกแขวนอยู่ตรงบานหน้าต่างทุกบาน ของตกแต่งห้องก็ดูย้อนยุคพิกล สิตางศุ์พยายามมองหาปฏิทินตั้งโต๊ะ นาฬิกา หรืออะไรก็ได้ที่พอจะบอกวันเวลา แต่ยังไม่พบ จึงหันไปจ้องหน้าคนที่เรียกตัวเองว่า ‘แม่’ อีกครั้งให้แน่ใจว่าไม่ใช่ศศิธรแม่ของเธอ และที่สำคัญ เธอไม่ได้ชื่อ ‘พราวบุหลัน’ นะ!

ฝันไป! นี่เธอกำลังฝันอยู่แน่ๆ

สิตางศุ์รีบกระถดตัวขึ้นนั่ง หญิงวัยกลางคนท่าทางตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกก็รีบบอก

“ใจเย็นๆ นะลูก ให้คุณหมอตรวจดูก่อน อย่าเพิ่งรีบลุก” ว่าแล้วก็หันไปตะโกนผ่านประตูที่แง้มอยู่ “นังแต๋ว มีนี่ซิ ด่วนด้วย”

เพียงไม่ถึงนาที เด็กสาวผิวสีน้ำผึ้งสวมกางเกงขาสั้นเก่าๆ กับเสื้อยืดสีเหลืองสดก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา

“มีอะไรคะคุณนาย ว้าย! คุณหนูพราวบุหลันฟื้นแล้ว”

“ใช่ รีบเลยนะ รีบไปโทร. แจ้งให้คุณภากรทราบว่าลูกฉันฟื้นแล้ว โชคดีจริงๆ เห็นเขาบอกว่าจะแวะหาเพื่อนในตัวจังหวัดก่อน แถมยังรอบคอบให้เบอร์บ้านเพื่อนเอาไว้แล้วด้วย อ้อ! แกอย่าลืมบอกให้พาคุณหมอกลับมาด้วยล่ะ เข้าใจมั้ยนังแต๋ว”

“เข้าใจค่ะ ว่าแต่เบอร์โทร. คุณนายจดไว้ที่ไหนคะ”

“ในสมุดจดเบอร์โทรศัพท์นี่ไง รายชื่อล่างสุดน่ะ รีบไปโทร. เลย” สาวใช้ร่างผอมบางรับสมุดเล่มจิ๋วแล้วเผ่นแน่บออกไปจากห้อง
สิตางศุ์เห็นความวุ่นวายในการจะติดต่อสื่อสารแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่ยื่นโทรศัพท์มือถือที่บันทึกเบอร์ไว้แล้วให้คนรับใช้ไปกดโทร. หาคนที่ต้องการติดต่อเสียเลย ยิ่งกว่านั้น เด็กสาวยังเปิดประตูทิ้งไว้ ทำให้เห็นว่าร่างผอมถลาไปยังโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็ก แล้วจัดการหมุนแป้นทีละตัวเลขอย่างทุลักทุเล

ทุกสิ่งที่เห็นกับตานั่นมันย้อนยุคไปหรือเปล่าสำหรับสมัยที่ใครๆ แม้กระทั่งสาวใช้เองก็น่าจะมีโทรศัพท์มือถือ แถมโทรศัพท์บ้านก็แทบจะตายไปจากโลกนี้แล้ว

จันทราประคองให้ลูกสาวเอนนอนลงบนเตียงอีกครั้ง ปลอบประโลมด้วยการลูบหลังลูบไหล่ แล้วบอก

“ลูกนอนไม่ได้สติเป็นเดือน คงยังงงๆ อยู่ แม่ว่านอนพักก่อนนะลูก อย่าเพิ่งรีบลุก เดี๋ยวจะหน้ามืดเป็นลมไปละวุ่นแย่ รอให้คุณหมอตรวจจนแน่ใจก่อน ว่าไม่มีอันตรายอะไรจริงๆ โชคดีว่าคุณภากรกับคุณหมอเพิ่งออกไปไม่นาน คงยังอยู่ในตัวจังหวัดนั่นแหละ”

ฝันไป! นี่เธอกำลังฝันอยู่แน่ๆ

สิตางศุ์ตอกย้ำด้วยประโยคเก่า พยายามบอกตัวเองว่าอีกแป๊บเดียวเธอก็จะตื่น แล้วพบว่าตัวเองยังนอนอยู่ในบ้านพักตากอากาศแสนน่ารักหลังเดิม ในเวลาเดิม

แต่เปล่าเลย เธอก็ยังคงนอนอยู่ตรงหน้าหญิงกลางคนซึ่งส่งสายตาทั้งรักและห่วงใยมาให้ สิตางศุ์อึ้งจนไม่อาจสื่อสารใดๆ ออกไปได้ เธอต้องคิดให้ดีว่าควรทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ การโวยวายกระโตกกระตากไม่ใช่ทางออกที่ดีแน่

หญิงสาวตัดสินใจหลับตาลง ตั้งสมาธิ คาดหวังเต็มเปี่ยมว่าถ้าได้สงบสติอารมณ์สักพัก เธอต้องเป็นปกติ เลิกฝันว่าไปอยู่ในที่ประหลาดกับคนแปลกหน้า แต่เมื่อแกล้งทำเป็นอ่อนเพลียหลับตาได้ครู่ใหญ่ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งกลับพบคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกสอง คราวนี้เป็นชายหนุ่มทั้งคู่

คนแรกที่เดินเข้ามาสวมเสื้อกาวน์ขาวกับกางเกงสแล็กส์สีเทา ผมถูกหวีเรียบแปล้ ดวงตาเรียวเล็กบ่งบอกถึงเชื้อสายจีนซึ่งคงปะปนอยู่มาก ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกับเธอ สิตางศุ์จึงพยายามเขม้นมองตัวอักษรสีเขียวที่ปักอยู่บนอกเสื้อของเขา อ่านชื่อ นามสกุลแล้วก็ยังไม่คุ้นอยู่ดี ชายคนนี้เข้ามาจับชีพจร ใช้สเต็ทโธสโคป จ้ำลงบนหน้าอกเพื่อฟังเสียงหัวใจ ท่าทางคล่องแคล่วทำให้รู้ว่าเขามีประสบการณ์พอตัว

“ฉันสบายดี ฟังไปก็ไม่เจออะไรแน่ๆ อีกอย่าง สเต็ทฯ ของคุณเจ๋งมาก ดูวินเทจดีจัง”

หญิงสาวบอกตามประสาคนช่างคุย อีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจเมื่อเธอออกความเห็นพร้อมวิจารณ์เครื่องมือแพทย์รุ่นโบราณของเขา ทำให้สิตางศุ์ได้สติ เธอยังไม่ควรพูดอะไรทั้งสิ้นในเวลานี้ จึงส่งยิ้มแหยๆ ให้คุณหมอหนุ่ม ก่อนปิดท้ายเบาๆ

“ฉันพูดเล่นน่ะ”

ชายหนุ่มอีกคนเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียงหลังจากคุณหมอตรวจคร่าวๆ เสร็จสิ้นไปแล้ว เขาเข้ามากุมมือเธออย่างอ่อนโยนทำเอาสิตางศุ์ตั้งตัวไม่ติด รีบชักมือกลับแทบไม่ทัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา

“ธันว์!!”

เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม ธันว์จากไปเรียนต่อต่างประเทศแบบไม่มีกำหนดกลับ แต่ผู้ชายคนนี้ก็ช่างละม้ายคล้ายเขาเหลือเกินจนสิตางศุ์เผลอพูดชื่อออกไปอย่างนั้น แต่เมื่อมาสังเกตดีๆ แล้ว ชายหนุ่มแค่หน้าคล้ายธันว์เท่านั้น ไม่เหมือนเสียทีเดียว น่าประหลาดใจว่าเขาคล้ายแม้กระทั่งรูปร่างซึ่งสูงโปร่งงามสง่า รอยยิ้มก็เป็นรอยยิ้มกว้างทรงเสน่ห์แบบเดียวกัน

“จำไม่ได้รึไงยายพราว นี่คุณภากร คู่หมั้นของลูกไง”

“คู่หมั้น! ไม่นะ!” หญิงสาวตะโกนลั่นห้องทั้งที่ตั้งใจไว้เป็นดิบดีว่าจะพูดให้น้อยที่สุด

“เอาละครับคุณป้าจันทรา ผมว่าอย่าเพิ่งไปรื้อฟื้นความจำของคุณพราวตอนนี้เลย เธอเพิ่งฟื้นใหม่ๆ สภาพสมองและทุกอย่างยังไม่เข้าที่ ต้องให้เวลาเธออีกสักนิด” คุณหมอวิฑูรย์เอ่ยแทรก

นั่นสิ ชายสวมเสื้อกาวน์พูดถูกแล้ว สิตางศุ์กำลังต้องการเวลาทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เธอต้องรู้ให้ได้ว่านี่คือความฝัน และต้องกำลังจะรู้ในอีกไม่ช้านี้แหละ

ว่าแล้วหญิงสาวก็ลองใช้เล็บจิกลงบนแขนของตัวเอง เมื่อพบว่ายังรู้สึกเจ็บก็ใจหายจนบอกไม่ถูกจึงเปลี่ยนมาใช้วิธีใหม่ คราวนี้ลองหลับตาลงอีกครั้ง พยายามสงบสติอารมณ์ ไม่รับฟังเสียงของคนแปลกหน้ารอบกาย ไม่รับรู้สิ่งใด จนในที่สุดก็หลับผล็อยไปอย่างง่ายดายโดยไม่รู้ตัว

___________________________________________________________________________________



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านค่ะ ^___^



ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มี.ค. 2559, 06:47:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2559, 05:09:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1139





   บทที่ ๒ >>
Zephyr 8 มี.ค. 2559, 19:05:40 น.
น่ะ ตื่นมาก็มีคู่หมั้ยเลยน้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account