ดั่งบุหลันดั้นเมฆ
แพทย์หญิงสิตางศุ์จะตัดสินใจเช่นไรเมื่อในปัจจุบันเธอกำลังเผชิญมรสุมเลวร้ายของชีวิตสมรสอย่างหนักกับนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ชื่อเมฆินทร์ แล้วจู่ๆ ก็มีโอกาสพบเรื่องมหัศจรรย์ เธอถูกพาย้อนอดีตไปอยู่ในร่างพราวบุหลันดาราสาวสวย ได้พบภากร...ผู้ชายแสนดีซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะมีในโลก ทั้งสองร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เธอเองก็แก้ไขเรื่องร้ายที่เกิดในอนาคตได้หลายเรื่องรวมทั้งการช่วยชีวิตภากรไว้ด้วย ความรักงดงามเบ่งบานกลางใจ ทว่าเธอสมควรเลือกเส้นทางใดกันแน่...เป็นสิตางศุ์ แพทย์สาวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งทำประโยชน์ให้คนส่วนรวมได้มากมาย หรือเป็นดาราสาวชื่อพราวบุหลัน ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มที่รักเธอสุดหัวใจ ในปี ๒๕๒๙ ตลอดไป


Tags: ข้ามเวลา แพทย์หญิง รักหวานซึ้ง

ตอน: บทที่ ๒

บทที่ ๒


เปลือกตาซึ่งปิดสนิทหนักอึ้งค่อยๆ เปิดขึ้น สิตางศุ์หวังว่าภาพที่ได้รับหลังหลับไปตื่นใหญ่จะกลับมาเป็นภาพเธอนอนอยู่ในห้องของบ้านพักตากอากาศอันแสนสงบเพียงลำพัง ไม่วุ่นวายสับสนเหมือนในความฝัน

แต่แล้วเมื่อพบว่ายังมีดวงตาคมของชายหนุ่มที่อ้างว่าเป็นคู่หมั้นจดจ้องมายังเธออย่างห่วงใย หญิงสาวก็ลอบถอนหายใจ นี่เธอควรทำตัวอย่างไรดี ป่าวประกาศไปเลยดีไหมว่าเธอไม่ใช่ ‘พราวบุหลัน’ อย่างที่ทุกคนพากันเข้าใจ แต่จะมีใครกี่คนกันที่เชื่อ และแล้วสิตางศุ์ก็ค้นพบทางออก

“ขอเข้าห้องน้ำหน่อย”

เธอบอกเสียงห้วนไม่สนใจสีหน้าตื่นๆ ของภากรซึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงทันทีเมื่อเธอร้องขอ

“ได้จ้ะ เดี๋ยวผมพาไปเองนะ”

แม้จะอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่คำว่า ‘จ้ะ’ ที่ออกจากปากชายหนุ่มก็ทำให้สิตางศุ์รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เธอชอบผู้ชายอ่อนโยน แต่น่าขันที่กลับต้องแต่งงานกับผู้ชายซึ่งแข็งกร้าวที่สุดคนหนึ่ง

“ไม่ต้องเลย แค่บอกฉันว่าห้องน้ำยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า” เธอเอ่ยเสียงแข็ง

ชายหนุ่มในชุดซึ่งดูเชยนิดๆ ในความรู้สึกของเธอ...เสื้อยืดคอโปโลสีครีมนั้นปกใหญ่เกินปกติ ส่วนกางเกงผ้าหนาสีน้ำตาลไหม้นั่นก็ทรงหลวมดูย้อนยุคพิกล เขาหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ก่อนตอบ

“ที่เดิมสิจ๊ะ ผมประคองพราวไปดีกว่านะ เพิ่งฟื้นใหม่ๆ เผื่อจะเวียนหัว”

“ไม่เวียน อย่ามายุ่ง” เธอเกรียนใส่เขาเต็มที่ กะว่าจะให้ล่าถอย ถอนหมั้นไปในทันที ... ถ้าเป็นคู่หมั้นจริงน่ะนะ

สิตางศุ์ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ทำให้เธอเกิดอาการหน้ามืด ร่างบอบบางเซจนเกือบล้ม ดีที่มือใหญ่ของภากรคว้าแขนไว้ได้ทันก่อนจะรั้งร่างเธอเข้าหาตัวเพื่อไม่ให้ร่วงไปกองบนพื้น อันที่จริงเธอไม่ควรอ่อนแอปวกเปียกขนาดนี้เลย นอกจากเสียหลักแล้วแข้งขายังรับแรงไม่ไหว มือไม้ก็อ่อนจนถึงขนาดเข้าไปอยู่ในวงแขนของเขาโดยไม่มีแรงกระทั่งจะผละจากมา

อ้อมกอดอุ่นนั้นพาให้คิดถึงกอดเดียวจากธันว์ คนรักเก่าซึ่งเขาให้กับเธอก่อนจะขึ้นเครื่องจากไปเรียนต่อที่อเมริกา ไม่ว่าน้ำหนักการโอบหรือลักษณะท่อนแขน แม้กระทั่งลมหายใจอุ่นๆ ที่เป่ารดกระหม่อมบอกจังหวะการหายใจก็ยังคล้ายกันจนน่าตกใจ

หญิงสาวเผลอซบลงบนอกกว้างอยู่ครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็ค่อยๆ ขืนตัวห่างออกมาอย่างยากเย็น

“อย่าดื้อสิจ๊ะ ให้ผมประคองเดินไปที่ห้องน้ำดีกว่า มาเถอะ”

คราวนี้สิตางศุ์ยอมให้เขาพาเดินไปจนถึงห้องน้ำแล้วรีบบอก

“คุณจะไปไหนก็ไป ฉันไม่ชอบให้ใครมาเฝ้า แค่อาบน้ำล้างหน้าล้างตา แล้วเดี๋ยวจะออกไปหาที่ห้องรับแขก” ...ถ้ายังมีห้องรับแขกอยู่ที่เดิม หญิงสาวต่อท้ายในใจด้วยความรู้สึกหวั่นๆ หวังว่า ณ ตอนนี้ทุกอย่างในบ้านจะไม่แปลกไปมากนัก

“งั้นก็ตามใจจ้ะ หมอวิฑูรย์บอกว่าให้พราวทำโน่นทำนี่ได้ตามปกติ ถ้าเดินไหวก็ให้ผมพาเดินเล่นชายทะเลเลยด้วยซ้ำ เพื่อเป็นการออกกำลังและยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ไปด้วย”

หญิงสาวคร้านจะเถียงว่าเธอก็เพิ่งกลับจากเดินเล่นชายทะเลเมื่อช่วงเย็นนี้เอง เอ๊ะ! จริงสิ แล้วทำไมตอนนี้ไม่ใช่กลางคืน แต่กลับเป็นตอนกลางวัน แสงแดดยามสายสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทิศตะวันออก นี่เธอกำลังงุนงงสับสนไปหมดแล้ว

แต่ช่างเถอะ สิ่งแรกที่สิตางศุ์อยากทำอย่างยิ่งยวดกำลังรอเธออยู่ หญิงสาวเข้าไปในห้องน้ำ ปิดประตูแล้วแทบพุ่งตัวไปยังกระจกบานใหญ่รูปวงรีเหนืออ่างล้างหน้า ทันทีที่เห็นเงาของตัวเอง เธอก็เผลอร้องลั่น

“ไม่นะ! ไม่จริง!”

ความกลัวแล่นขึ้นมาจนรู้สึกแน่นหน้าอกเลยทีเดียว นอกจากขนลุกซู่แล้ว เธอยังใจสั่น หัวใจเต้นรัวแบบนับจังหวะแทบไม่ทันขณะยกมือขึ้นแตะลงบนข้างแก้มของตัวเอง

แก้มที่เคยค่อนข้างตอบกลายเป็นมีเนื้อมีหนังขึ้นมาอีกนิด แม้ใบหน้าจะดูไม่สดชื่นนัก แต่ผู้หญิงในกระจกก็ยังดูอ่อนวัยกว่าเธอ สังเกตจากผิวนวลเต่งตึงอ่อนเยาว์ เหนืออื่นใดผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่สิตางศุ์! ไม่ใช่แน่ๆ นี่เธอกำลังโดนเล่นตลกอะไรหรือ หากเป็นความฝันเธอก็ควรตื่นเสียที

หญิงสาวสงบสติอารมณ์แล้วพินิจพิจารณาภาพในกระจกอย่างถ้วนถี่อีกครั้งก็พบว่าใบหน้าที่เห็นจัดว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่ง นัยน์ตาของคนในกระจกประดับไปด้วยแพขนตายาวจนน่าอิจฉา ดวงตามีลักษณะกลมโตกว่าเธอ จมูกโด่งปลายเชิดเล็กน้อยบ่งบอกถึงความดื้อรั้น ริมฝีปากแม้จะไม่บางเท่าสิตางศุ์แต่ก็ดูอวบอิ่มชวนมอง อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือผู้หญิงคนนี้ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง ในขณะที่เกิดมาสิตางศุ์ไม่เคยไว้ผมยาว อย่างมากก็แค่บ๊อบประบ่าเท่านั้น

เมื่อความตื่นตระหนกลดลงมาบ้างแล้วหญิงสาวจึงตัดสินใจใช้มือหยิกตัวเองแรงๆ หวังให้รู้กันไปเลยว่านี่เป็นความฝัน แต่ความรู้สึกเจ็บปวดตามปกติก็ยังมี สิตางศุ์พยายามใช้เหตุผลตามประสาแพทย์หญิงผู้ละเอียดถี่ถ้วนในการวิเคราะห์ทั้งอาการของคนไข้รวมไปถึงสิ่งรอบตัวแล้วก็เริ่มยอมรับความจริง...ขณะนี้เธอกำลังอยู่ในร่างของผู้หญิงอีกคนซึ่งใครๆ ก็เรียกว่า พราวบุหลัน แล้วผู้หญิงคนนี้ก็ไม่มีอะไรเหมือนเธอเลย นอกจากอย่างเดียวคือ...ชื่อคล้ายกัน

‘ตองรู้มั้ย ตอนลูกเกิดมา แม่เกือบเลือกชื่อ ‘บุหลัน’ ให้แล้วนะ เพราะแปลว่าดวงจันทร์ เหมือนชื่อแม่ แต่ใครๆ ก็ท้วงว่าฟังดูเชย แม่เลยไปเปิดพจนานุกรมใหม่ ได้ชื่อ ‘สิตางศุ์’ มีความหมายเดียวกันนั่นละ แม่ตั้งใจมาตั้งแต่ยังสาวแล้ว ว่ามีลูกสาวจะตั้งชื่อให้เกี่ยวกับดวงจันทร์ แม่ชอบมองพระจันทร์ รักแสงนวลกระจ่างฟ้ายามค่ำคืนเป็นที่สุด’

คำพูดของศศิธรผู้เป็นมารดาดังขึ้นมาในสมอง ใครจะเชื่อว่าขนาดพลัดหลงมาอยู่ในร่างคนอื่น สิตางศุ์ยังต้องมาเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์อีกจนได้

เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงเรียกอันตื่นตระหนก

“พราว! เปิดประตูให้แม่หน่อย หนูตะโกนเสียลั่นบ้าน มีอะไรรึเปล่า”

“ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่...ตกใจนิดหน่อย”

โกหกแบบเต็มปากเต็มคำเสร็จแล้วสิตางศุ์ก็รีบอาบน้ำล้างหน้าล้างตา หวังว่าพอสดชื่นขึ้น มาส่องกระจกอีกทีจะพบว่าเธอกลับเป็นคนเดิม แต่เปล่าเลย เธอยังคงเป็นพราวบุหลัน หญิงสาวตาคมสวยหวานคนนั้น แล้วเธอควรทำอย่างไรต่อไป

รีบอธิบายให้ทุกคนรู้ว่าเธอไม่ใช่พราวบุหลัน แต่เป็นแพทย์หญิงสิตางศุ์ซึ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ มาสิงร่างคนอื่น

สิง! หรือว่านี่คือวิญญาณของเธอหลุดออกจากร่าง...สิตางศุ์ตายแล้วงั้นเหรอ!

เมื่อความคิดเริ่มวกวนสับสน หญิงสาวก็ตัดสินใจว่ายังไม่ควรพยายามอธิบายให้ใครฟัง จนกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเอง แล้วค่อยไปเล่าให้คนอื่นเข้าใจอีกที ตอนนี้ดูเหมือนการเล่นตามน้ำไปจะดีกว่า

มือซ้ายเรียวบางซึ่งสวมแหวนเพชรแถวแบบโบราณบนนิ้วนางค่อยๆ หมุนลูกบิดเปิดประตูห้องน้ำออกไปช้าๆ เห็นรอยยิ้มกว้างของหญิงกลางคนที่ยืนรออยู่หน้าห้องแล้วก็จำต้องยิ้มตอบ

“ไม่ต้องห่วงค่ะ หนูแค่...เอ่อ...ตกใจนิดหน่อย” เธอย้ำอีกครั้ง ทั้งที่ตอนเห็นเงาในกระจกนั้นมันมากกว่าคำว่าตกใจไปล้านเท่า

“ตกใจอะไรลูก”

“ตกใจ...หน้าตัวเองค่ะ” หญิงสาวตอบเสียงอ่อย จนปัญญาจะหาเรื่องมาโกหกจึงบอกไปตรงๆ อย่างนั้น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ประหลาดใจ แถมยังยอมรับได้ทุกอย่าง ขอแค่เธอฟื้นขึ้นมา

“ไม่เป็นไรนะ คนดีของแม่ หนูคงสลบไปนานเกิน ทำให้สมองยังปรับอะไรไม่ได้” จันทราบอก มืออวบอูมก็ลูบหลังเธอไปมาเพื่อปลอบขวัญ

“นั่นสิคะ หนูจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ...แม่”

ในที่สุดสิตางศุ์ก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าเธอควรเล่นให้สมบทบาทไปก่อน การตีโพยตีพายไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ เธอต้องดูลาดเลาจนแน่ใจว่าจะบอกความจริงกับใครดี จะเล่าอย่างไรให้คนรอบตัวไม่คิดว่าเธอเป็นบ้า

จันทราประคองเธออย่างทะนุถนอม พากลับไปยังเตียงนุ่มอีกครั้ง

“เห็นคุณกรบอกว่าหนูไล่เขาออกไปจากห้อง อย่าไปใจร้ายกับเขานักเลยลูก แม่เองก็ยอมรับนะ ว่าตอนบังคับให้หนูหมั้นกับเขาน่ะ ไม่เคยรู้หรอกว่าเขาดีขนาดนี้ ทำไปทำมากลายเป็นว่าเขาทำหน้าที่คู่หมั้นอย่างสมบูรณ์แบบ ตอนที่หนูเป็นเจ้าหญิงนิทราไปเดือนเต็มๆ น่ะ ก็มีคุณกรนี่แหละเฝ้าคอยดูแล เทียวไปเทียวมาไม่ขาด ส่วนไอ้ดาราคนรักที่หนูหลงใหลได้ปลื้มน่ะ ไม่รู้หายหัวไปไหน”

สิตางศุ์พยายามจับใจความทุกประโยคที่เพิ่งจบลงแล้วทำความเข้าใจ พร้อมจดจำไว้ให้มากที่สุด พราวบุหลันหมั้นกับภากรทั้งที่มีแฟนแล้ว นั่นคือสิ่งที่เธอควรรู้ และที่สำคัญ เธอต้องยอมรับเสียทีว่าบัดนี้เธอชื่อพราวบุหลัน ร่างบอบบางที่ความสูงน้อยกว่าเธอนิดหน่อยนี้เป็นของพราวบุหลัน เธอไม่ใช่สิตางศุ์อีกต่อไป!

“น้า เอ๊ย! แม่คะ หนูอยากรู้วัน เดือน ปีนิดนึงค่ะ คือ...หนูไม่ได้สติไปนาน เริ่มเลือนๆ ไม่รู้เวลาไปหมดแล้ว แม่มีปฏิทินมั้ยคะ”

“เดี๋ยวแม่ไปหยิบให้ ดีเหมือนกัน คุณหมอวิฑูรย์บอกให้พยายามคุยกับลูก ทบทวนความทรงจำไปเรื่อยๆ แล้วก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องแผลและอื่นๆ คุณหมอยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร ก็เลยขอตัวกลับไปก่อน”

หญิงกลางคนร่างท้วมกุลีกุจอออกไปจากห้องแล้วหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะอันหนึ่งมายื่นให้ พราวบุหลันรับมาพลิกดู อย่างแรกที่ต้องการรู้คือเป็นปฏิทินปีไหนกันแน่

แล้วหญิงสาวก็ใจหายวาบ ตัวเลขบนกระดาษแข็งที่หน้าปกปฏิทินบ่งบอกชัดเจน... พ.ศ. ๒๕๒๙ !!!

พราวบุหลันใจเต้นรัว ถ้าทุกอย่างไม่ใช่ความฝัน วิญญาณของสิตางศุ์เข้ามาอยู่ในร่างนี้โดยย้อนเวลากลับไปยี่สิบเก้าปี!

“วันนี้วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๙ นะลูก เป็นวันดีที่สุดสำหรับแม่ ลูกสาวแม่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากหมอบอกว่าหมดความหวังเพราะตอนโดนรถชนน่ะศีรษะหนูกระทบกระเทือนรุนแรงมาก”

สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันนิ่งฟัง หัวใจยังเต้นโครมครามกับเรื่องประหลาดที่เธอกำลังประสบอยู่ เสียงจันทรายังดังเจื้อยแจ้วต่อไป

“นี่แหละนะ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เนี่ย มีจริง โชคดีที่วันนั้นแม่ไปหาหมอดู ท่านบอกว่าพราวบุหลันของแม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง ยังไงก็ต้องฟื้น ขอแค่หาบ้านโบราณริมทะเลให้เจอ แล้วก็โชคดีมากที่แม่เจอเข้าจริงๆ ลักษณะทุกอย่างเหมือนที่หมอดูนั่งทางในแล้วเห็นเปี๊ยบเลย บ้านหลังนี้เป็นบ้านน้าน้อยเพื่อนแม่ไง หนูคงพอจำน้าน้อยได้”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ทั้งที่ไม่รู้จัก ‘น้าน้อย’ อะไรนั่นเลยสักนิด

“แกให้เรามาพักได้ทันทีเลย ทั้งที่เพิ่งปรับปรุงเสร็จไป เป็นบ้านเก่าแก่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่เจ็ดโน่นแน่ะ น้าน้อยซื้อทิ้งไว้แล้วก็ไม่ค่อยได้มาพัก เห็นอ้างว่าเจอวิญญาณเจ้าของคนเก่าแก่มาหาบ่อย แต่แม่ไม่เห็นเจอเลย ตั้งแต่พาลูกมาพักที่นี่ได้อาทิตย์กว่า ไม่เห็นมีอะไรนี่ สงสัยเป็นเพราะก่อนเข้ามาพักแม่จุดธูปบอกเล่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างดี ขอพรท่าน ขอให้ลูกฟื้นไวๆ แล้วดูสิ ลูกก็ฟื้นจริงๆ แม่ดีใจเหลือเกิน เอาละ ตอนนี้แม่ว่าหนูพักผ่อนสักหน่อย แม่ให้นังแต๋วทำข้าวต้มหมูสับร้อนๆ อยู่ เสร็จแล้วจะเอาเข้ามาให้หนูกินนะ ควบมื้อเช้ากับมื้อกลางวันไปเลยละกัน”

ผู้เป็นมารดาเล่ายาว ราวกับว่าท่านมีเรื่องมากมายอยากบอกพราวบุหลันแต่เธอไม่ได้สติไปเป็นเดือน เรื่องจึงคั่งค้างอยู่มาก

“ค่ะ...แม่”

ในที่สุดสิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันก็ต้องยอมรับความจริง เธอต้องปรับตัวปรับใจให้กลายเป็นผู้หญิงอีกคน ทำตัวให้คุ้นเคยกับทุกสิ่งโดยเร็ว พยายามตอกย้ำกับตนเองซ้ำๆ ว่าบัดนี้เธอคือพราวบุหลัน แล้วจึงค่อยหาทางแก้ไขสถานการณ์ให้ได้ อย่างไรเสียเธอก็ยังอยากกลับไปเป็นสิตางศุ์คนเดิม แม้ชีวิตจะวุ่นวายสับสนกว่านี้ แต่ก็เป็นชีวิตและจิตใจของเธออย่างแท้จริง

______________________________________________________________________________________


ไม่แน่ใจว่าตนหลับไปนานเท่าใดหลังกินข้าวต้มหมูสับลงไป แต่ที่แน่ๆ เมื่อตื่นมาอีกทีพราวบุหลันก็รู้สึกสบายตัว ความอ่อนเพลียมลายหายไปจนแทบหมดสิ้น หญิงสาวกระถดตัวขึ้นนั่ง สิ่งแรกที่ทำคือกวาดสายตาไปรอบห้องนอนแล้วตามด้วยการทอดถอนใจ เมื่อเห็นความใหม่เอี่ยมของผนังรวมทั้งผ้าม่านถักมือสีขาวงดงามปลิวล้อแรงลม...เธอยังคงอยู่ในปี ๒๕๒๙

สิ่งที่ยืนยันได้ดีดูจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง คะเนอายุแล้วน่าจะแก่กว่าพราวบุหลันไม่น้อย เขานั่งเอนกายสบายๆ อยู่บนโซฟาสีฟ้าสดใสซึ่งตั้งอยู่ห่างจากปลายเตียงออกไปสักสามเมตร ภากรลุกขึ้นแทบจะทันทีเมื่อเห็นเธอขยับตัว

“ตื่นแล้วเหรอพราว หน้าตาดูสดชื่นขึ้นเยอะเลยนะ”

เมื่อสังเกตดีๆ สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันก็อดประหลาดใจไม่ได้ มีคนเหมือนธันว์ขนาดนี้เชียวหรือ นี่มันในอดีตนะ เธอต้องคอยเตือนตัวเองว่าขณะนี้ไม่ใช่ปี ๒๕๕๘

คู่หมั้นของพราวบุหลันยืนยิ้มกว้างอยู่ข้างเตียง เอื้อมมือมากุมมือเธอไว้หลวมๆ แต่หญิงสาวก็รีบชักมือกลับ

“ผมรู้ว่าคุณไม่ได้อยากหมั้นกับผม แต่ไม่นึกว่าคุณจะรังเกียจกันขนาดนี้” เขาพ้อเบาๆ ดวงตาคมบ่งบอกความน้อยอกน้อยใจจนพราวบุหลันต้องรีบบอก

“ฉัน...เอ่อ...ไม่ได้รังเกียจคุณหรอกค

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว จ้องหน้าเธอแล้วว่า

“คุณดูแปลกไปมากเลยนะพราว แต่ก่อนคุณเรียกตัวเองว่า ‘พราว’ มาตลอด พอฟื้นขึ้นมากลับใช้สรรพนามว่า ‘ฉัน’ ดูเหินห่างจังนะครับ”

“คือว่า...” สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันตัดสินใจแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องมีใครสักคนที่รู้ความจริงว่าพราวบุหลันคนนี้มีสิตางศุ์อยู่ข้างใน

“ฉันจะบอกกับคุณตรงๆ นะ ว่าฉันไม่ใช่พราวบุหลันหรอก จริงๆ แล้วฉันชื่อสิตางศุ์ ฉันมาจากปีพ.ศ.๒๕๕๘ มาอยู่ในร่างพราวบุหลันน่ะ”

ขนาดคนพูดเองยังรู้สึกเลยว่าเหมือนเป็นเรื่องแต่ง หรือเรื่องไร้สาระของคนลวงโลก หรือไม่ก็เกิดจากสมองผิดปกติ แต่จะทำไงได้ เธออึดอัดจะแย่ถ้าไม่ได้บอกใครสักคน มันช่างยากที่จะอธิบาย ยิ่งวิธีการข้ามเวลามาที่นี่ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ เธอยังไม่กล้าบอกภากรว่าวิญญาณเธอมาโดยผ่านเปลือกหอยสังข์หนามตรงหัวเตียง เล่าไปแบบนี้มีหวังเขาต้องเรียกหมอวิฑูรย์หน้าตี๋กลับมาดูอาการเธออีกรอบแน่ๆ โอย! อึดอัดเหลือเกิน

น่าแปลกนัก แทนที่ภากรจะหัวเราะเยาะกับสิ่งที่เธอพูด เขากลับยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอด้วยอาการอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ เขาคงไม่รู้ว่าสิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันเคยโหยหาการกระทำและความรู้สึกนี้จากสามีของตัวเองแค่ไหน

“ผมว่าคุณนอนพักอีกสักหน่อยดีกว่านะพราว สมองของคุณคงกำลังสับสนน่ะ เดี๋ยวสักครู่ผมจะพาออกไปกินข้าวเย็น แล้วเราไปเดินเล่นชายทะเลกันดีกว่า”

“คุณภากรคะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะเงยหน้าขึ้นสบตาเขา แววตาอ้อนวอนร้องขอความเห็นใจ “ได้โปรดเชื่อฉันเถอะนะคะ จริงๆ ฉันคือแพทย์หญิงสิตางศุ์ ฉันมาอยู่ในร่างของพราวบุหลันค่ะ”

“ไม่เอาน่า อย่าพูดเล่นแบบนี้” ชายหนุ่มปรามด้วยน้ำเสียงเหมือนผู้ใหญ่เตือนเด็กน้อยให้เลิกเล่นแผลงๆ เสียที แต่ก็ยังอุตส่าห์เอาใจด้วยการแกล้งเล่นตามน้ำ “แล้วถ้าคุณเป็นหมอจริง คุณรู้จักไอ้หมอเพื่อนผมมั้ย”

เขาหมายถึงหมอวิฑูรย์ซึ่งเธอจะรู้จักได้อย่างไร ในเมื่ออยู่คนละยุคสมัยกัน ที่สำคัญ ณ เวลานี้สิตางศุ์ยังไม่เกิด!

“เขาคงเป็นรุ่นพ่อฉันน่ะ ไม่ทันกันหรอก”

“เอาเป็นว่าถ้าเจอหมอวิฑูรย์อีก ผมจะลองถามเขาว่าหมอสิตางศุ์น่ะ มีจริงหรือเปล่า” เขาพูดยิ้มๆ เหมือนอยากเอาใจเธอเสียมากกว่า หญิงสาวจึงยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เขาต้องบอกว่าไม่มีแน่ๆ เพราะตอนนี้ฉันยังไม่ได้ลืมตาดูโลกเลย”

“ไปกันใหญ่แล้วพราว ไม่เอานะ คุณทำให้ผมเริ่มกลัว” น้ำเสียงของภากรแฝงความกังวล ดวงตาคมฉายแววว่ารู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

“อย่ากลัวเลยนะคะ ตอง เอ่อ...ฉันไม่ใช่ผี ฉันแค่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงก็ไม่รู้ กำลังพยายามหาทางกลับอยู่”

เมื่อเห็นจันทราเดินเข้ามาในห้องนอนหญิงสาวจึงรีบหยุดพูด ผู้เป็นมารดาตรงเข้ามากอดแขนพราวบุหลันไว้

“ตื่นแล้วเหรอพราว แม่ว่าเราออกไปกินข้าวเย็นกันดีกว่า วันนี้พิเศษนะ แม่ให้นังแต๋วตั้งสำรับที่ระเบียงหน้าบ้านรับลมทะเล หนูจะได้สดชื่น กินข้าวได้เยอะๆ”

“ขอบคุณค่ะ” พราวบุหลันตอบอย่างเป็นการเป็นงาน ฝืนยิ้มเจื่อนๆ

“เชิญคุณกรด้วยนะคะ ถือเป็นการฉลองที่ยายพราวฟื้นด้วย ป้าละดีใจจนบอกไม่ถูก นี่คงต้องไปแก้บนหลายที่เลยละ ตะกี้โทร. ไปบอกคุณชำนาญ เขาดีใจใหญ่เลย เห็นว่าวันเสาร์จะรีบบึ่งรถมาหาลูก”

หญิงกลางคนเดินนำไปยังระเบียง สีหน้าแช่มชื่น กางเกงขาบานสีส้มสดกับเสื้อผ้าชีฟองลายดอกใหญ่ๆ ทรงหลวมกรุยกรายที่เธอสวมอยู่นั้นทำให้สิตางศุ์นึกถึงละครย้อนยุคขึ้นมา

“นั่นสิครับ เป็นเรื่องปาฏิหาริย์จริงๆ ที่พราวฟื้นแล้ว ผมเองก็โทร. บอกพ่อกับแม่ ท่านดีใจกันใหญ่เลย”

“ต้องขอบคุณคุณภิรมย์กับคุณสุคนธ์ที่เอ็นดูยายพราว ฝากขอบคุณด้วยก็แล้วกันจ้ะ”

พราวบุหลันเดินตามผู้เป็นมารดาออกไปนอกห้อง โดยมีภากรตามมาไม่ห่าง เขาแตะข้อศอกเธอเบาๆ เพื่อประคับประคองหากหญิงสาวเกิดหน้ามืดหรือเสียหลักขึ้นมาอีก กลิ่นต้มยำโชยมาจากห้องครัวเรียกน้ำย่อยได้ดีจริงๆ สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมเธอดูจะหิวบ่อย ทั้งที่ปกติจัดเป็นคนกินน้อย แทบไม่ให้ความสำคัญกับอาหารแต่ละมื้อนัก ด้วยหน้าที่การงานรัดตัวจนหมดทางเลือกกิน มีอะไรใส่ปากใส่ท้องก็ต้องเร่งรีบจัดการให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นบางมื้ออาจวุ่นกับคนไข้จนไม่ได้กินเลยด้วยซ้ำ

ระเบียงหน้าบ้านก็ยังคงเป็นระเบียงเดิม เพียงแต่สีขาวอมฟ้าที่ทาผนังไม้ดูใหม่เอี่ยม มองไปทางชายหาดก็ยังคงมีต้นลีลาวดีปลูกเป็นแถวอยู่ห่างๆ กัน แต่ลำต้นยังเล็กจิ๋วไม่แผ่กิ่งก้านเหมือนที่เคยเห็น โต๊ะอาหารปูผ้าสีขาวและเก้าอี้ไม้ถูกนำมาจัดวางอย่างสวยงาม ทำให้บรรยากาศน่านั่ง และคงทำให้เจริญอาหารได้ไม่น้อย

“วันนี้แม่สั่งทำของโปรดพราวหลายอย่างเลยนะ ทั้งต้มยำกุ้งน้ำข้นใส่ยอดมะพร้าว ไข่เจียวปู แล้วก็ยำวุ้นเส้น”

จันทรานำเสนอเมนูซึ่งบอกตามตรงว่าไม่ใช่อาหารที่สิตางศุ์ชอบนัก เธอไม่ถูกกับต้มยำน้ำข้นและไม่ชอบกินยำวุ้นเส้นด้วย แพทย์สาวถนัดกินอาหารจืดหน่อย ดังนั้นไข่เจียวปูดูจะเข้าท่าที่สุด

กระนั้นเธอก็ส่งยิ้มให้หญิงกลางคนร่างท้วมขณะนั่งลงบนเก้าอี้ที่ภากรขยับให้ แล้วยังพยายามทำสีหน้าตื่นเต้น บอกเสียงใส

“โอ้โห! น่าทานจังค่ะ”

สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันคอยย้ำเตือนตัวเองว่าเธอต้องอยู่ในบทบาทของหญิงสาวอายุน้อยกว่าตัวเธออย่างน้อยก็สักห้าหรือหกปี หากไม่อยากให้ทุกคนแตกตื่น เธอควรสวมบทให้แนบเนียน และต้องค่อยๆ ทำให้ภากรเชื่อให้ได้ว่าคำพูดและการกระทำของพราวบุหลันทั้งหมดในตอนนี้ เกิดจากสิตางศุ์ล้วนๆ

________________________________________________________________________________________




ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ


ตอบคอมเมนต์ค่ะ

คุณ Zephyr คะ ... น่าอิจฉานะคะเนี่ย อิอิ ขอบคุณที่เข้ามาคุยกันค่าาา ^___^



ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มี.ค. 2559, 10:21:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2559, 05:02:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1034





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ >>
Zephyr 15 มี.ค. 2559, 09:06:30 น.
เออะ บอกความจริงก็ไม่เชื่อน้า
พอรู้จริงๆจะไม่ช้อคหรา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account