กามเทพล้อมรัก (จบแล้วค่า)
เมื่อกามเทพพาให้เขาและเธอมาเจอกันโดยบังเอิญ

กระเป๋าเธอและเขาสลับกัน ทำให้เธอมาทวงของเธอคืน

ถ้ามันจะผิด ก็ผิดที่เขาดันเป็นทายาทของบริษัทคู่แข่ง ที่ไม่ว่าอย่างไร พ่อของเธอก็ไม่ยอมรับ

และเขาเองก็เช่นกันพ่อของเขาก็ไม่มีวันยอมรับลูกสาวคนที่เป็นคู่แข่งกันหรอก

แต่เรื่องวุ่นวายก็เกิดขึ้น ทุกอย่างมันกลายเป็นกับดักของกามเทพขี้แกล้ง

ล้อมหัวใจคนที่ไม่ควรรักกันให้มาอยู่ใกล้กัน และรักกันในที่สุด
Tags: กามเทพ คู่กัด รักหวานแหวว

ตอน: ตอนที่ 3 - จีบกันอีกแล้ว :P

ตอนที่ 3 (อัพยาว ๆ จบตอน ค่อย ๆ อ่านนะคะ 5555)



“ยินดีต้อนรับครับคุณอนล เชิญทางนี้ ...” ภีมวัชช์ยิ้มให้ผู้มาเยือน แต่พอเขาคุ้น ๆ กับร่างสูงที่ยืนอยู่ปลายหางตา ภีมวัชช์ก็หันไปถลึงตาใส่ พร้อมเดินเข้าไปหา น้ำเสียงหงุดหงิด

"เจ้ารามิล! หยุด! อย่าหนีนะ"

“ผมไม่หนีหรอกพ่อ" รามิลขมวดคิ้ว ตัวเขากลายเป็นหินไปแล้ว นี่ก็แทบไม่รู้สึกตัวเลยว่าตอนนี้เขาบีบมือหญิงสาวแน่นกว่าเดิม

อมลรดาเองก็เช่นกัน ทั้งคู่ทำราวกับมือที่ได้เกาะกุมคือสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่

“ป๊ะป๋า" อมลรดาเสียงอ่อยเมื่ออนลปรายตามองเธอ จุดที่ทำให้ดวงตาของบิดาเธอขยายกว้างก็คือมือที่จับกันอยู่นี่ล่ะ!

“เราไปคุยกันในห้องดีกว่าไหมครับ ตรงนี้ประเจิดประเจ้อไปหน่อย" น่านทิวาเสนอ และไม่มีใครคัดค้าน อนลก็ไม่ต้องการเห็นลูกสาวตัวเองถูกชายคนอื่นจูงมือต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว

“หนูเดียร์ มาหาพ่อ" น้ำเสียงราบเรียบแต่ทรงพลัง ทำให้อมลรดาและรามิลปล่อยมือกันแทบจะทันที

“ค่า" ร่างบางเดินไปหาบิดา ก่อนจะถูกดึงให้เดินตามภีมวัชช์ไปทางลิฟท์ที่เปิดรออยู่

รามิลเป่าลมออกจากปากเพื่อบรรเทาอาการเครียดในร่างกาย ในเมื่อหนีไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องหาทางออกอื่นแทนแล้วล่ะ



ภายในห้องประชุมแสนอึดอัด แบ่งสองฝั่งสองฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

ซ้ายคือฝั่งเจ้าบ้านที่ไม่แน่ใจว่าตั้งรับดีพอหรือยัง แล้วฝั่งขวาที่ตั้งใจบุกมา แถมได้พกพาระเบิดเวลาอย่างท่านประธาน อนล แห่งสินสราญมาด้วย ไม่รู้ว่าวางแผนถล่มเจ้าบ้านหนักแค่ไหน

“คือ ... ให้ผมอธิบายนะครับ" รามิลซึ่งนั่งอยู่เก้าอี้ตัวแรกฝั่งตรงข้ามกับอมลรดาเอ่ยขึ้น ถัดจากสองทายาทก็คือท่านประธาน น่านทิวานั่งปิดท้ายอนลซึ่งหน้าตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

“ผมกับเดียร์" รามิลกลอกตาไปรอบ ๆ เขาต้องใช้พลังและความระมัดระวังอย่างมากที่จะพูดสิ่งที่คิดออกไป

เขาคิดว่าพ่อของเขาและเธอน่าจะเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้น และน่าจะดีถ้าทุกคนช่วยกันแก้ปัญหา

แต่ทว่า ...

“เดียร์กับรามิลเป็นแฟนกันค่ะ!" อมลรดาแย่งพูดขึ้นก่อน

ทุกคนอยู่อาการตกตะลึง มองตามร่างบางในเสื้อสีเหลืองสดใสซึ่งลุกไปคว้าตัวรามิลมายืนหัวโต๊ะ ชายหนุ่มเองก็มัวแต่ตกใจ ลุกเดินตามไปยืนข้างเธอด้วยสีหน้าตื่น ๆ ไม่แพ้คนอื่น

“เราเป็นแฟนกัน ใช่ไหมคะรามิล" หญิงสาวออกแรงบีบมือที่จับแขนหนาอยู่ ให้รามิลรู้สึกตัว หากรามิลกลับยืนทื่อมะลื่อเอาแต่กวาดตามองคนรอบ ๆ

“น้องเดียร์! น้องเดียร์รู้ตัวไหมว่าพูดอะไรออกมา" น่านทิวา มองหน้าอนลที่เส้นเลือดปูดตามขมับแล้วก็กลัวแทน

“เดียร์รู้ตัวสิคะอาทิว” อมลรดาเสียงอ่อนตอบคำถาม

“รามิล! นี่ลูก ... จริงหรือ?” ภีมวัชช์เพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ เขากำลังรับรู้เรื่องที่เขาเคยคิดว่า มันไม่มีทางเกิดขึ้น แต่วันนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว ... วันที่ลูกของเขากับลูกสาวบริษัทคู่แข่งคบหาและรักกัน!

“ครับ พ่อ" รามิลลอบถอนหายใจ อ้อมแอ้มตอบบิดา เขาอยากหายตัวไปจากเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นจริง ๆ

อมลรดาต้องผละจากรามิลเมื่อบิดาเธอพรวดพราดลุกขึ้นมาดึงตัวเธอออกไป

“ป๋าคะ ป๋า ...”

“พ่อไม่ยอมรับ" อนลกำข้อมือลูกสาวแน่น เสียงเฉียบเด็ดขาด "กลับกับพ่อเดี๋ยวนี้ หนูเดียร์"

“ป๋า" อมลรดาสัมผัสได้ว่าพ่อเธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดอะไรด้วยได้

“เดี๋ยวครับ คุณควรฟังพวกเราก่อนนะครับ" รามิลเดินไปขวางเมื่อท่านประธานใหญ่แห่งสินสราญ พรอพเพอร์ตี้จะพาตัวลูกสาวกลับ

“ไม่ใช่วันนี้" แต่ท่านประธานใหญ่ก็ปฏิเสธ รามิลจำต้องเบี่ยงตัวหลบเมื่ออีกฝ่ายดึงดันจะไปเสียให้ได้

“คุณเองก็เคยผ่านเรื่องความรักที่ลำบากมากับภรรยาของคุณ" คำพูดที่รู้เรื่องราวในอดีตของภีมวัชช์สามารถหยุดคนที่อารมณ์ร้อนลงได้ อนลชะงักเท้า หันมองประธานใหญ่แห่งโชควรารัตน์ด้วยแววตาไม่พอใจเต็มเปี่ยม

ภีมวัชช์ไม่เคยกลัวสายตาแบบนี้ของอนลอยู่แล้ว ยิ่งพูดด้วยเหตุผลเขาก็ยิ่งมั่นใจ

“ยังจำตอนที่คุณต้องพลัดกับภรรยาคุณได้ไหมว่าคุณทรมานใจขนาดไหน คุณลืมไปหมดแล้วหรือครับ ... ทำไมไม่ฟังลูก ๆ หน่อยล่ะครับ ไหน ๆ คุณมาที่นี่ก็เพราะอยากรู้ความจริงของข่าวไม่ใช่หรือ จากเดิมเราอาจจะสู้กันในธุรกิจ แต่ในสมาคม ในตรรกะการทำงานเราก็อยู่ข้างเดียวกันมาตลอด เรามาแตกกันแบบนี้ยิ่งตรงตามความต้องการของคนปล่อยข่าวนะครับ"

“นั่นสิคะป๋า เดียร์ว่าคนปล่อยข่าวต้องไม่หวังดีกับเราสองบริษัทแน่เลยนะคะ" หญิงสาวเห็นด้วย ซึ่งพอเธอหันไปสบตากับผู้บริหารใหญ่ของโชควรารัตน์ เขาก็ส่งยิ้มเป็นมิตรให้กำลังใจเธอ

ผู้บริหารใหญ่ของโชควรารัตน์เห็นแววตาของคนฟังเริ่มอ่อนลงแล้วจึงพูดต่ออย่างเข้าใจอีกฝ่าย

“ผมรู้คุณหวงลูกสาว ผมก็มีลูกสาวน่ะคุณอนล แล้วผมก็เข้าใจความรู้สึกแรกที่รู้ว่าลูกสาวเรามีผู้ชายอีกคนอยู่ในใจ แต่ใจเย็น ๆ แล้วคุยกันก่อนเถอะ"

“ผมเห็นด้วยกับคุณภีมวัชช์นะครับคุณใหญ่ คุยด้วยเหตุผลเถอะครับ ... น้องเดียร์พาป๊ะป๋าไปนั่งเร็วเข้า" อาน่านทิวารีบบอกหลานสาว ซึ่งอมลรดาก็ทำตาม ใช้สองมือดึงแขนของบิดาให้นั่งลงบนเก้าอี้ทันที

“ป๋า มานั่งนะคะ"

“มีลูกสาวที่อ้อนได้แบบนี้มันดีนะครับ ผมสิ ลูกสาวแต่งออกไปแล้ว ไม่มีใครมาอ้อนแบบนี้แล้วล่ะ" ภีมวัชช์บอกพร้อมรอยยิ้มกับภาพที่เห็น

“ผมยังไม่พร้อมที่จะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณนะคุณภีมวัชช์" อนลตอบกลับ แววตาและน้ำเสียงไม่สบอารมณ์กับเรื่องช็อคโลกของเขาในวันนี้

อนลไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับรู้ว่าลูกสาวสุดที่รักนั้นมีแฟน แถมยังภาพกอดกันแน่นหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นบนข่าวนั่นอีก หัวใจของอนลเหมือนถูกทุบด้วยค้อนแรง ๆ ยิ่มองหน้าลูกสาวที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด จากเด็กหญิงตัวเล็กตัวน้อย เติบโตมาเป็นสาวสวย เขาก็ยิ่งทำใจไม่ได้

“ห้ามได้หรือครับ คุณห้ามความรู้สึกได้หรือ ใช่เราสองคนจะไม่เคยมีประสบการณ์มานะ ... ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เขาก็แค่รักกัน" ผู้บริหารใหญ่ของโชควรารัตน์ใช่จะไม่ตกใจ เขาแทบล้มทั้งยืน หรือถ้าทำได้อยากเรียกหายาดมมาอัดใส่ปอดเต็ม ๆ ให้หายมึนอยู่เหมือนกัน

เพียงแต่พอเจออีกฝ่ายร้อนจนไม่ยอมฟังอะไร เขาจึงต้องพยายามเกลี้ยกล่อม ... ไม่ใช่เพื่อใคร ก็เพื่อลูกชายที่เขารัก และเพื่อลูก ๆ ที่รักกัน

“เดียร์รักรามิลหรือ"

คำถามของบิดา ทำให้อมลรดาเหมือนน้ำท่วมปาก เธอเหลือบมองรามิลที่ยังยืนอยู่ด้านหลัง ก่อนจะพยักหน้าตามน้ำตามเรื่องไปก่อน

“รามิลเขาเก่งนะคะป๋า แล้วเขาก็หล่อด้วย ... เขาช่วยเดียร์ตั้งเยอะ แต่ถ้าป๋าไม่สบายใจ เดียร์ก็เลือกป๋านะคะ"

ตาสีฟ้าของรามิล โชควรารัตน์ ซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังพนักเก้าอี้ของอมลรดากำลังสะท้อนภาพเธอซบลงบนไหล่ของบิดาเธอนั้นเต็มไปด้วยความหวาดระแวง อึ้งนิด ๆ ระคนทึ่งหน่อย ๆ

เธออ้อนพ่อ เธอแกล้งน้ำตาซึม และเธอก็เริ่มเสียงสั่น!
ถ้ามีรางวัลการแสดงอะไรสักอย่าง เขาจะมอบมันให้เธอเลย อมลรดา สิริสราญ!

“แสดงว่าคุณรามิลรักชอบกับน้องเดียร์จริง ๆ สินะครับ ... ข่าวใหญ่เลยนะครับเนี่ย" น่านทิวา ที่เป็นคนทำงานคนสนิทของอนลรู้สึกถึงความยุ่งยากวุ่นวายที่จะเกิดขึ้น

“เรื่องข่าวไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่กระทบอะไรเราหรอก เราไม่ได้มีสถานการณ์อะไรย่ำแย่ที่จะต้องใช้ลูกเป็นเครื่องมือนี่ ก็ทำงานต่อไปแค่นั้น" ผู้บริหารฝ่ายโชควรารัตน์ออกความเห็น

“เรื่องบริษัทผมไม่กังวลอะไรหรอกครับ ที่ผมห่วงคือลูกมากกว่า ... เดียร์เพิ่งเริ่มเข้าทำงาน เรื่องความรักกับรามิลจะทำให้คนที่ทำงานไม่เชื่อใจหนูเดียร์" อนลกุมขมับ

นั่นคือสิ่งที่รามิลเป็นห่วง อย่างไรเสียความรักนี่ก็จะต้องเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของอมลรดา คนรักกันจะมีความลับต่อกันหรือ ถ้าเป็นรามิล รามิลก็กังวลเหมือนกันว่าความลับบริษัทจะหลุดรั่วไหลหรือไม่

ผิดกับอมลรดา เธอลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย! เธอพลาดอีกแล้วสิเนี่ย!!

คงเพราะสีหน้าลูกสาวสลดจนเห็นได้ชัด คนเป็นพ่อมองก็สงสาร มือของพ่อลูบผมเบา ๆ แม้จะยิ้มยากเขาก็ต้องพยายามยิ้มให้ออก

“แต่ไม่เป็นไรหรอก พ่อจัดการได้ หนูอย่าคิดมากเลยนะ พ่ออยากให้เดียร์มีความสุขนะลูก"

“ป๋า เดียร์ขอโทษนะคะ เดียร์สัญญานะคะเดียร์จะพยายามทำให้ทุกคนยอมรับเดียร์" อมลรดาไม่เล่นละครร้องไห้นะตอนนี้ น้ำตาไหลจากดวงตาไม่หยุดก็เพราะเธอสำนึกได้ว่าเธอสร้างเรื่องใหญ่โตมากจริง ๆ

แค่กระเป๋าใบเดียว ทำให้เรื่องราวลุกลามขนาดนี้ ... บ้าชะมัดเลย!

ขณะนั้นเองที่ประตูห้องประชุมถูกเคาะดังสามครั้ง จังหวะหลังมือกระทบประตูนั้นฟังดูก็รู้ว่าคนเคาะน่าจะรีบร้อนมาก

“ผมไปเปิดให้นะครับ" น่านทิวาขันอาสา และคนที่โผล่มาหลังประตูก็คือ เขมทัต เลขาคนสนิทของรามิล

“คุณรามิล ... ท่านประธานครับ ตำรวจมาครับ" เขมทัตน้ำเสียงร้อนรน

“ตำรวจ? มาทำไม" รามิลขมวดคิ้วถาม ก่อนที่เขาจะก้มมองดวงตากลมเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของอมลรดาซึ่งรอการสบตาจากเขาอยู่

ภวินท์เดินเข้ามาในห้องประชุมพร้อมกับตำรวจสามนายที่รามิลจำได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคดีการตายของลุงวสันต์อยู่

“วิน ... นายเอาตำรวจมาทำไม" รามิลรีบร้อนเดินไปหาน้องชาย

"ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่สงสัยว่าทำร้ายลุงวสันต์นี่ครับ" ภวินท์บอกกับรามิล

“ว่ายังไงนะ!” อนลลุกจากโต๊ะ ถามกลับอย่างตกใจ น้ำเสียงดังเกรี้ยวกราดเพราะลูกสาวถูกกล่าวหา

“ผมรู้ว่าพี่รามิลพาผู้หญิงที่สงสัยว่าฆ่าลุงวสันต์มา ที่พี่พามาก็เพื่อให้ตำรวจพาตัวเธอไปไม่ใช่หรือครับ" ภวินท์มองหน้ารามิลที่ยืนตาโตอยู่ เพราะเขาไม่คิดว่าภวินท์จะพาตำรวจแห่มาอย่างนี้

“ไม่ใช่นะ เดียร์ไม่ได้ทำ!” อมลรดาแย้งเสียงดังฟังชัด

“เดี๋ยวก่อนนะครับ คุณจะกล่าวหากันลอย ๆ ไม่ได้นะครับ ผมแจ้งความกลับได้นะ" น่านทิวาแทรกขึ้นอย่างคนเจนจัดในเรื่องกฏหมาย อีกอย่างเขาจะยอมให้ใครมาแตะต้องลูกสาวเจ้านายเขาไม่ได้เป็นอันขาด

“หลักฐานหรือ มีสิครับ ... ในวัน และเวลาที่ลุงวสันต์ถูกทำร้าย ผู้หญิงคนนี้แอบเข้ามาที่ตึกนี่ เธอเป็นคนเดียวที่ดูน่าสงสัยที่สุด หรือว่าจะปฏิเสธว่าผู้หญิงในภาพนี้ไม่ใช่คุณครับ คุณอมลรดา สิริสราญ!”

ภาพที่ภวินท์โชว์ขึ้นให้ทุกคนเห็น คือภาพจากกล้องวงจรปิดที่เห็นใบหน้าของอมลรดาชัดเจนจนไม่สามารถปฏิเสธได้!

“นี่มันอะไรกัน หนูเดียร์ หนูมาทำไมที่นี่" อนลหันไปถามลูกสาวที่ยืนตาโตอยู่ แม้จะรู้จากรามิลอยู่แล้วว่ามีภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเธอเข้ามาเพ่นพ่านในนี้

“เดียร์ ... เดียร์มา ...” อมลรดาอ้ำอึ้ง ทั้งตกใจ ทั้งหวาดกลัวตัวสั่น

“เดียร์มาหาผมครับ" รามิลแย่งตอบ ก่อนจะเดินมาใกล้หญิงสาว ดวงตาสีฟ้าไม่มีความหวั่นไหวใด ๆ ทั้งนั้น "เดียร์เพิ่งกลับมาจากอเมริกา เราพบกันที่สนามบินช่วงสั้น ๆ และเราก็สลับกระเป๋ากัน ทำให้เดียร์มารับของเธอคืนแค่นั้นครับ"

“พี่รามิล!” ภวินท์เรียกชื่อญาติผู้พี่อย่างตกใจ

“นายคงเพิ่งรู้เรื่องนี้เลยเข้าใจผิด ... คุณตำรวจครับ ผมกับผู้หญิงคนนี้เราคบกันอยู่ เธอแค่มาหาผมแค่นั้น ถ้าต้องการพยานเพิ่ม ลองถามเลขาผมดูก็ได้นะครับ" รามิลมองไปทางเขมทัตที่อยู่ ๆ ก็กลายมาเป็นพยานเสียอย่างนั้น "ตอนที่นายเปิดประตูเข้ามาในห้องฉัน นายจำได้ไหมว่านายเห็นฉันอยู่กับผู้หญิง"

“จริงหรือคุณเขม" ภวินท์ตวัดสายตาไปคาดคั้นหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขา และเขมทัตก็พยักหน้าตอบ

“ครับ ผมตั้งใจเอาเอกสารไปวางที่โต๊ะให้คุณรามิลเซ็น ผมจำได้ว่าคุณรามิลบอกผมว่าจะออกไปดูงานข้างนอก ผมเลยไม่คิดว่าคุณรามิลจะยังอยู่ในห้อง ทำให้ผมเปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ แล้วคุณรามิลก็กำลัง เอ่อ ...” เขมทัตอึกอัก แก้มสีเข้มซับสีเลือดขึ้นเล็กน้อย

“เอ่ออะไร เขมพูดมา" ภีมวัชช์เร่งเร้า

“คุณรามิลกำลังทำอะไรบางอย่างกับคุณอมลรดาบนโซฟาครับ"

“รามิล!” ภีมวัชช์มองลูกชายอย่างผิดหวัง และเสียงเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้นจากอีกฝั่งของห้อง

“ว่าไงนะ! คุณทำอะไรลูกสาวผม"

อนลกำลังเลือดขึ้นหน้า ถ้าไม่ถูกน่านทิวารั้งแขนไว้ กำปั้นคงได้ไปประทับรอยบนหน้าของรามิลแล้ว!

“คุณใหญ่ ใจเย็นครับ ใจเย็น! สงบก่อนครับ เรื่องน้องเดียร์สำคัญกว่านะครับ ผมจัดการให้” ทนายหนุ่มพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจ้านายเขาสงบลง ทั้งที่รู้ว่ายากมาก! รวมถึงขอปฎิเสธกับทางตำรวจแทนอมลรดาที่จะตอบอะไรตอนนี้ ถ้ามีหลักฐานมากพอก็ไปสู้กันในชั้นศาลเอา

เพราะน่านทิวาก็ต้องรีบพาตัวอนลพร้อมอมลรดาออกไปจากตึกโชควรารัตน์ก่อนที่จะเกิดคดีทำร้ายร่างกายกันขึ้น

“หนูเดียร์! หนูทำอะไรลงไป ทำไมต้องมาหาถึงที่นี่ด้วย" อนลหันมาถามทันทีที่ออกมาหน้าตึกโชควรารัตน์

“เดียร์ก็แค่มาหารามิล เดียร์ไม่รู้นี่คะว่าจะมีคนทำร้ายกัน เดียร์กลายเป็นคนน่าสงสัยไปเลย" ลูกสาวหน้าเสีย ใจเสีย ตอบคำถามบิดาเสียงสั่น

คนเป็นพ่อได้แต่หลับตา กุมขมับ ถอนหายใจ ก่อนจะดึงตัวลูกสาวมากอดปลอบ อนลใจอ่อนทุกทีที่เห็นน้ำตาลูกสาว!

“ไม่เป็นไร ลูกไม่ได้ทำอะไรผิด พ่อต้องช่วยลูกให้ได้อยู่แล้ว"

“จริงครับ ไม่ต้องห่วงนะครับคุณเดียร์ ทั้งผมและพ่อจะช่วยคุณเดียร์เอง" น่านทิวาบอกให้ลูกสาวเจ้านายสบายใจ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าอมลรดาดีขึ้นเลย

รามิลซึ่งเดินตามมาด้านหลังซึ่งเขาก็ไม่หลุบตา หรือหลบเมื่อถูกบิดาหญิงสาวตวัดสายตาดุดันใส่ ซ้ำยังใจกล้าพูดโดยไม่กลัวหมัดลอยอีกว่า

“ผมรู้ว่าผมทำผิด แต่ตอนนี้เราต้องหาทางช่วยเดียร์ก่อนนะครับ"

หมัดไม่ลอยจากผู้ใหญ่ไปหาคนเด็กกว่าหรอก แต่อนลก็กำหมัดแน่นเชียวล่ะ ซึ่งโชคดีที่รถยนต์มาจอดตรงหน้าพอดีทำให้ชะตาชีวิตของรามิลรอดไปได้อีก

“ไป กลับหนูเดียร์ ขึ้นรถ" อนลกดดันให้ลูกสาวขึ้นรถไปก่อน ส่วนเขาค่อยขึ้นไปนั่งข้าง ๆ ตามด้วยทนายประจำครอบครัวสิริสราญที่ขึ้นปิดท้าย ก่อนรถจะแล่นจากไป

รามิลรู้ว่าปัญหายังไม่จบ เมื่อเขาหันกลับมาเจอสายตาถมึงทึงของบิดา คาดว่าเขาจะต้องเจอการซักถามยาวจนถึงดึกถึงดื่นอย่างแน่นอน!




ฟ้ามืดแล้ว รามิลนั่งอยู่ในรถยนต์ที่จอดอยู่ตรงข้ามกำแพงบ้านหลังใหญ่ เขาขับรถมาเอง และกำลังชะเง้อคอมองไปยังบ้านสีขาวทรงยุโรปที่อยู่หลังกำแพงยาวเหยียดเบื้องหน้าเขา

“รามิล! คุณมาทำอะไรตอนนี้ คุณอยากตายหรือไง" อมลรดากระซิบถามผ่านโทรศัพท์มือถือ หลังจากได้รับสายของชายหนุ่มว่าเขาจอดรถอยู่หน้าบ้านเธอ

“คุณโอเคไหม โดนอะไรจากพ่อคุณไหม คือ ผมมาคิดแล้วผมไม่สบายใจ" รามิลขมวดคิ้วตอบกลับไป

“เดียร์น่ะโอเค ถ้าคุณไม่รีบไปแล้วพ่อมาเห็น คุณจะโนเคนะ บางทีหัวอาจจะโนด้วย ... รามิล เดียร์ไม่ถูกพ่อฆ่าหรอก แต่เรื่องโดนดุก็สมควรแล้วล่ะ"

อมลรดาถอนหายใจ ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง "คุณอย่าคิดมากเลย ค่อย ๆ หาทางออกไปดีกว่านะ"

“พูดเหมือนพ่อผมเลย พ่อผมชอบพูดว่าต่อให้เจอปัญหาหนักแค่ไหน จะต้องมีทางออกแน่ ๆ ขอแค่ให้มีสติเท่านั้น"

“คุณล่ะ โดนอะไรจากพ่อบ้าง หนักเลยสิถึงมาหาฉันถึงบ้าน ว่าแต่คุณรู้จักบ้านเดียร์ได้ยังไง" อมลรดายื่นคอยาวมองจากระเบียงห้องนอน ถ้าเดาไม่ผิด รถยนต์ยี่ห้อหรูสีดำที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามคงเป็นรามิลแน่นอน

“หาไม่ยากหรอก หาง่ายกว่าเบอร์คุณอีก ... คุณรู้ไหมคุณทำอะไรลงไป โกหกไปทำไมว่าเราเป็นแฟนกัน" รามิลหวนนึกถึงนาทีช็อคโลกเมื่อตอนกลางวัน

“แล้วจะให้ตอบไปยังไง ภาพกอดกันชัดเจนขนาดนั้น" อมลรดาย่อตัวนั่งบนพื้นระเบียง มองรถยนต์สีดำที่จอดด้วยแววตาเครียด หรือว่ารามิลมีแผนอื่น

“คุณมีคำตอบอื่นให้พวกพ่อ ๆ หรือไง" เธอถามเขา

“ก็คิดว่าจะเล่าทุกอย่างให้พวกพ่อ ๆ ฟัง พวกท่านคงรับฟังและเข้าใจเหตุผล แต่คุณก็ดันทะลุปล้องขึ้นมาว่าเราเป็นแฟนกัน คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้คุณมีปัญหากับชีวิตการทำงาน"

“เดียร์ก็แค่คิดว่า ถ้าเดียร์เป็นคนพูด พ่อก็จะไม่โกรธเท่าคุณพูด ... เดียร์คิดถึงตอนอยู่ร้านกาแฟ ก็เลยคิดว่าคุณอาจจะอ้างเรื่องนี้ก็ได้ เดียร์คิดผิดใช่ไหม รามิล"

“ใช่ คุณน่ะคิดผิด คุณเป็น Trouble Maker หรือไง คิดอะไร ทำอะไรก็ดูจะพาลให้แย่ลงกว่าเดิมน่ะ" เสียงทุ้มดังต่อว่ากลับมา

อมลรดาที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าเธอทำผิดพลาด หญิงสาวในชุดนอนเสื้อกางเกงขาสั้นเปลี่ยนท่านั่งเป็นนั่งชันเข่า วางคางลงบนหัวเข่า หน้าหวานหงอเพราะถูกบ่น

“อย่ามาเรียกเดียร์แบบนั้นสิ ฟังดูแย่มากเลยนะ รามิล"

"แต่ ... จริง ๆ ความคิดหนึ่งผมก็จะทำแบบนั้น คิดจะบอกว่าเราเป็นแฟนกัน ... อีกความคิดกลับคัดค้าน คิดว่าพูดความจริงน่าจะดีกว่า พ่อผมไม่ใช่คนไร้เหตุผลนะ เขาจะต้องเข้าใจและเชื่อเรา พ่อเชื่อใจผมเสมอ"

“จะว่าไปแล้วพ่อคุณใจดีเนอะ" อมลรดาเปลี่ยนน้ำเสียงสดใสนึกถึงสายตาที่ภีมวัชช์มองเธอแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ วงหน้าขาวใสปราศจากเครื่องสำอางยิ้มออกจนได้

“พ่อผมโรแมนติกนะ ถ้าเป็นเรื่องความรัก พ่อผมจะให้กำลังใจเสมอ" รามิลตอบไปก็นึกได้ว่าทำไมเขาถึงมาคุยเรื่องนี้กับหญิงสาวเนี่ย

อมลรดาถึงกับนิ่วหน้ากับเสียงอ่อนโยนที่ได้ยินจากรามิล ปกติเขาพูดห้วนกับเธอจะตายไป พอพูดถึงพ่อนี่เปลี่ยนเสียงเชียวนะ!

“เดียร์" นั่นปะไร เสียงที่เขาเรียกชื่อเธอห้วนอีกแล้ว

“อะไร!" อมลรดาขมวดคิ้ว ระแวงว่าจะโดนบ่นอะไรอีก เจอพ่อบ่นมาหลายยก ยังจะมาเจอรามิล แฟนกำมะลอบ่นอีกหรือนี่!

"เรื่องวินน่ะ ไม่ต้องห่วง ผมจะเคลียร์กับวินให้ ส่วนคุณก็อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องคิดหรือแตะต้องอะไรอีกเลย ผมกลัวมันจะแย่ลงกว่าเดิม เข้าใจไหม Miss Trouble Maker! ... ผมล่ะสงสัยจริง ๆ คุณพ่อคุณ หรือน้องชายคุณก็เป็นคนคิดการอะไรรอบคอบนะ ไปได้เชื้อวุ่นวายนี่มาจากไหนเนี่ย"

“อย่ามาว่าเดียร์นะ ที่เดียร์อ้างว่าเป็นแฟนไปก็เพราะเดียร์รู้ว่าถ้าเดียร์พูด คุณจะไม่ต้องตอบคำถามอะไรเลย"

“เหรอครับ คุณรู้ไหมผมนั่งตอบคำถามพ่อตั้งแต่คุณกลับไปจนเพิ่งหลุดออกมาได้เนี่ย แถมผมยังเกือบโดนพ่อคุณต่อยด้วยซ้ำ" รามิลมั่นใจเลย ถ้าคนในสายนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาได้มีมอบรางวัลเป็นมะเหงกให้สักทีสองที

“แล้วคุณจะตอบยังไงกับสิ่งที่เลขาคุณบอกพ่อเดียร์ล่ะ หา จะบอกยังไง ... นี่! อย่ามาทำให้คิดถึงเรื่องจูบบ้า ๆ นั่นได้ไหม ฉันหงุดหงิดนะ" อมลรดาลุกขึ้นยืน จ้องไปยังรถยนต์สายตาขุ่น เสียงที่พูดก็ฉุนเฉียวขึ้นเรื่อย ๆ

“ตอบไม่ได้ล่ะสิ ถึงเงียบไปเลย ใช่มั้ยล่ะ" อมลรดาเห็นอีกฝ่ายเงียบไป จึงรีบซ้ำใส่ ก่อนจะได้ยินเขาหัวเราะกลับมา

“คุณทำให้ผมกำลังคิดถึงจูบรสลูกอมต่างหากล่ะ หวานดีนะ ทาอะไรล่ะวันนั้น"

“รามิล!” เธอร้อนจนอยู่เฉยไม่ไหว และถ้าเขายังกวนเธออีกนิด เธอคงได้ระเบิดบึ้มใส่แน่นอน

“โอ๊ยหูจะแตก! ไม่เอาละ เสียงมีพลังขนาดนี้ผมคงไม่ต้องห่วงคุณแล้วมั้ง ผมกลับดีกว่า" ชายหนุ่มตาสีฟ้าเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างจากหูเขาแทบไม่ทัน ก่อนจะยอมเป็นฝ่ายยกธงขาวยกทัพกลับไปก่อน

“ดีมาก รีบ ๆ กลับไปเลย" อมลรดาสบโอกาสก็รีบไล่ทันที แต่คนในสายกลับหัวเราะราวกับเป็นเรื่องถูกใจ

“เดียร์" เขาเรียกเธออีกครั้ง

“อะไรอีกเล่า" อมลรดาเริ่มรำคาญ ปนหงุดหงิดเมื่อเขาเพิ่งแกล้งเธอไป ทว่าเธอกลับต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเขาเอ่ยมาว่า

“อย่าคิดมาก นอนให้หลับ พรุ่งนี้ค่อยคิดใหม่ โอเคนะ"

ถึงเธอจะเห็นแค่หลังคารถชายหนุ่ม แต่อมลรดาก็รีบหันหลังใส่ เพราะทำหน้าไม่ถูกขึ้นมาเสียเฉย ๆ นี่เขาเป็นห่วงเธอจริง ๆ หรือ?

แล้วรามิลจะห่วงเธอทำไม กวนโมโหเธอจนอยากมอบโล่ให้ขนาดนี้!

“รู้แล้วล่ะน่า คุณก็ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ" เสียงหวานตอบรับอ้อมแอ้ม ก่อนจะวางสายจากกัน หญิงสาวบนระเบียงบ้านหันไปมองก็เห็นรถยนต์สีดำเคลื่อนไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังอดบ่นตามไปไม่ได้

“คนบ้า!”


บ่ายวันถัดมา รามิลมาหาภวินท์ถึงส่วนที่ทำงาน ภวินท์ซึ่งเป็นวิศวกรก่อสร้างควบคุมดูแลการก่อสร้างโครงการต่าง ๆ นั้นไม่มีห้องทำงานเป็นส่วนตัว แต่ก็มีฉากกั้นเป็นสัดเป็นส่วนอยู่ โต๊ะทำงานของภวินท์อยู่ชั้นสิบห้าของตึกสามสิบแปดชั้น

รามิลทำงานอยู่ชั้นแปดแต่คนล่ะทิศกันเลย รามิลชอบห้องทำงานนี้จึงขอพ่อไว้ เพราะมันมีประตูออกด้านหลังไปที่จอดรถง่าย ๆ เขาจึงไม่ต้องไปทำงานรวมกับพวกผู้บริหารคนอื่นที่อยู่ชั้นสูงกว่านี้

ตึกโชควรารัตน์ซึ่งมีทั้งบริษัทโชควรารัตน์ คอนสตรักชั่นแล้ว ยังมีบริษัทอื่นมาเช่าอยู่ตามชั้นอื่น ๆ อีก ถัดไปด้านหลังของตึกคืออาคารจอดรถเก้าชั้นและส่วนของออฟฟิศให้เช่า

พอภวินท์เห็นหน้ารามิลก็แสดงออกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน

“วิน พี่รู้ว่านายอยากหาคนผิดมารับโทษเรื่องลุงวสันต์ แต่ควรใจเย็น ๆ นะ ถ้าจับคนผิดขึ้นมา คนร้ายตัวจริงก็จะรอด และคนบริสุทธิ์ก็จะต้องมาเดือดร้อนแทน" รามิลเข้าใจที่ภวินท์โกรธเขาดี จึงพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อน แต่ภวินท์ก็ยังไม่หายหน้าบึ้ง

“ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่รามิลมีแฟนแล้ว แถมแฟนยังเป็นลูกสาวคู่แข่งอีก พี่รามิลคิดอะไรอยู่กันแน่ครับ" น้ำเสียง และดวงตาที่มองอีกฝ่ายของภวินท์ขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก

“เรื่องแฟนพี่กับเรื่องลุงวสันต์มันคนละเรื่องกัน!” รามิลหลุดดุน้องชายไม่แท้เพราะไม่ชอบการถูกมองอย่างจับผิดเช่นนี้ ซึ่งทำให้สายตาของภวินท์อ่อนลง

“ผมขอโทษครับพี่รามิล ผมแค่หงุดหงิดเรื่องลุงวสันต์"

“ช่างเถอะ พี่เข้าใจเรานะ แต่พี่ขอให้เราใจเย็น ๆ ให้ตำรวจเขาทำงานก่อน พี่ว่าคนร้ายน่าจะยังไม่ไปไหนไกลหรอก เพราะวันนั้นคนที่ออกจากตึกก็ไม่มีใครน่าสงสัยสักคน บางทีอาจจะเป็นคนในก็ได้" รามิลคาดเดาจากหลักฐานที่เขาเห็น

“ผมว่าถ้าเป็นคนใน เขาต้องไม่ใช่คนแน่ ๆ ที่ยังกล้าทำงานในที่ที่เขาฆ่าลุงผม" ภวินท์ทำหน้าเครียดแล้วส่ายหน้าไปมา "ผมไม่รู้ว่าลุงที่ใจดีของผมไปทำอะไรให้คนร้ายแค้นเคืองถึงขนาดลงมือทำร้ายกันได้ขนาดนี้"

“คุณรามิลครับ" เขมทัตเดินมาเรียกรามิลถึงส่วนที่ทำงานของภวินท์

“ว่าไงเขม" รามิลเลิกคิ้วถามกลับ

“ผม ...” เขมทันเหลือบมองเจ้าของโต๊ะทำงานที่เจ้านายยืนอยู่แล้วไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำให้หนุ่มตาสีฟ้าฟังรับรู้ทันทีว่าคงเป็นเรื่องลับที่เขาสั่งให้เขมทัตไปทำ แล้วเขมทัตคงได้เรื่องอะไรบ้างแล้ว รามิลจึงหันมาบอกภวินท์อีกครั้ง

“นายไม่ต้องห่วงนะวิน เรื่องลุงวสันต์ ยังไงเราก็ต้องหาตัวคนร้ายมารับผิดให้ได้"

คนฟังจะพูดอะไรได้ นอกจากตอบรับทั้งที่ใจแสนจะหงุดหงิดไม่พอใจ จนแววตาที่มองตามหลังรามิลนั้นเต็มไปด้วยความเคืองขุ่นระคนน้อยใจ แต่พอคิดอะไรบางอย่าง ภวินท์ก็ตัดสินใจแอบเดินตามรามิลกับเขมทัตไปอย่างเงียบเชียบ และแอบฟังสองคนนั่นห่าง ๆ ที่พอได้ยินบทสนทนาอยู่บ้าง

“นายว่าไงนะ หาเอกสารเกี่ยวกับเงินประมูลงานจ้างเหมาก่อสร้างที่ต้องอยู่กับลุงวสันต์ไม่เจอ ค้นทั่วแล้วหรือเปล่า" รามิลขมวดคิ้วเครียด ปกติเอกสารพวกนั้น ลุงวสันต์จะเป็นคนทำมาตลอด วสันต์เป็นพนักงานเก่าแก่ที่ทั้งทำงานมานาน และจงรักภักดีต่อบริษัทมากทั้งต่อหน้าและลับหลัง

ยิ่งพอน้องสาวไปได้เสียกับภาส อาคนกลางของรามิลจนเกิดภวินท์ขึ้นมา วสันต์ก็ยิ่งทำงานให้โชควรารัตน์ชนิดถวายหัวถวายชีวิตให้

“หาทั่วแล้วครับ ทั้งโต๊ะทำงาน ทั้งที่บ้านพักของแก ผมจำได้ว่าคุณวสันต์มักจะเก็บเอกสารความลับไว้ในตู้หลังโต๊ะแก กุญแจที่มีก็ยังอยู่ในตัวแกตอนที่เกิดเรื่อง และอีกดอกก็อยู่ที่คุณให้ผมมา คุณบอกผมว่ามีกุญแจแค่สองชุดใช่ไหมครับ" เขมทัตถามเจ้านายเพื่อความมั่นใจ

และเจ้านายก็พยักหน้า รามิลมั่นใจ โครงนี้รามิลได้รับโอกาสให้มาดูแลด้วย จะให้เกิดข้อผิดพลาดมาทำลายงานไม่ได้เป็นเด็ดขาด

“แล้วจะหายไปไหน หวังว่าคงไม่หลุดไปอยู่ในมือของใครสักคนที่ต้องแข่งกันหรอกนะ" รามิลชักกังวล สั่งให้เขมทัตไปลองค้นหาอีกที ส่วนเขาจะลองไปตรวจในห้องทำงานดูว่าวสันต์เอามาลืมไว้ที่ห้องของเขาหรือไม่

ภวินท์ได้ยินบทสนทนาก็ตาวาว เขารีบเดินไปหลบหลังกำแพงอีกส่วนเมื่อเขมทัตกำลังเดินตรงมาทางเขา ซึ่งเขมทัตก็ไม่ทันสังเกตจึงเดินผ่านหน้าภวินท์ไป รามิลนั้นหรือเดินไปทางไหนแล้วภวินท์ก็ไม่แน่ใจนัก เพราะภวินท์เองก็มีเรื่องต้องทำเช่นกัน



ในห้องทำงานมันทั้งอุดอู้และเธอก็อยากกินของหวาน อมลรดาตัดสินใจนำงานออกมาคิดต่อที่ร้านกาแฟ เธอขออนุญาตบิดาแล้ว พักนี้พ่อของเธอใจดีกว่าเดิมเยอะเลย อมลรดาไม่รู้ว่าบิดาคิดอะไรอยู่ ขออะไรก็ให้ทุกอย่าง เธอได้ยินอาทิวบอกว่าพ่อของเธอแข่งทำคะแนนกับรามิลอยู่

อมลรดาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพ่อเธอจะมีมุมขี้อิจฉาด้วย ... แต่ถึงพ่อจะใจดีขนาดไหน ก็ยังมีเงื่อนไขอยู่ดี

ยกเว้นเรื่องเดียวห้ามไปเจอรามิลที่บริษัทโชควรารัตน์อีก หญิงสาวก็ตอบตกลงไปอย่างไม่ติดขัดอะไร เธอโอเคด้วยซ้ำ ... ก็ไม่ได้อยากเจอรามิลสักเท่าไหร่นี่

อมลรดาค่อย ๆ พารถยนต์คันเล็ก ๆ ออกถนนใหญ่ แม้เธอจะขับรถแข็งแล้ว แต่เรื่องการจำทางนั้นอ่อนมาก จนเรียกว่าหลงทางอยู่เป็นประจำ

“คอยดูเถอะ เดียร์จะเป็นนิวเดียร์ ไม่หลงทางแล้วแน่นอน" เธอยิ้มให้กับเครื่องมือนำทางในการช่วยพาเธอไปยังจุดหมายซึ่งก็คือคอมมูนิตี้มอล์ที่ไม่ไกลจากบริษัทมากนัก เมื่อนึกถึงคำพูดแสนเป็นห่วงของทโญ

'จะขับรถไปเองหรือครับคุณเดียร์ ... เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวรอผมทำงานอีกสิบนาที ไม่สิ ขอยี่สิบนาที เดี๋ยวผมไปขับรถให้นะครับ'

'นายจะตื่นเต้นทำไมกะทะ ... เดียร์เพิ่งได้รถใหม่จากป๋านะสีแดงสวยมาก เดียร์จะไปลองรถใหม่ ขับเองได้น่าแค่ใกล้ ๆ เอง... เดียร์รู้ว่ากะทะกำลังรีบทำงานไม่ใช่หรือ ไม่ต้องห่วงหรอก สบายมาก'

'แต่ถ้าคุณเดียร์หลงละครับ! ถนนเมืองไทยนี่หลงแล้วกลับยาวเลยนะ แถมซอยเยอะยิบย่อยอีก' ทโญถามกลับอย่างเป็นห่วง

'ป๋าติด GPSให้แล้ว แล้วเดียร์ไม่ขับเข้าซอยหรอก ขับตรง ๆ ไปตามถนนเลย กะทะทำงานเถอะนะ' อมลรดาคิดว่าไม่น่ายากหรอก เธอขับรถที่อเมริกาบ่อย ๆ แล้วก็กลับหอพักถูกเสมอ

'เดียร์อัพเกรดแล้วนะกะทะ คอยดูเถอะ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงเดียร์จะถ่ายรูปมาให้ดูว่าเดียร์ไปถึงโดยไม่หลงทางแน่นอน'

ทโญเหมือนจะไม่เชื่อ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อเธอดึงดันจะขับรถออกมาเอง อมลรดาก็ขับไปตามแผนที่อยู่หรอก เพียงแต่เธอเลี้ยวผิดทีเดียว

“ฉันรู้แล้วว่าผิดทาง หยุดบ่นสักทีเถอะน่า" อมลรดาหันไปดุใส่เครื่องมือนำทางที่เอาแต่บอกว่าเธอมาผิดทาง ก่อนจะแนะนำให้เธอกลับรถเพื่อกลับออกไปทางเดิม

แต่ไป ๆ มา ๆ ก็พาเธอขึ้นทางด่วนออกนอกเส้นทางเฉยเลย!

“ทำไมห้าง ฯ อยู่ไกลจัง" เธอมองป้ายสีเขียวที่บอกทางทั้งซ้ายทั้งขวาอย่างงุนงง ยิ่งขับก็ยิ่งไกล และยิ่งเจอรถติดมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอมั่นใจว่าคอมมูนิตี้มอล์ไม่น่าจะไกลขนาดนี้

ระหว่างที่รถเคลื่อนตามรถคันหน้าไปเรื่อย ๆ อมลรดาเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ อยากขอความช่วยเหลือจากใครสักคน

ทโญคือคนแรกที่เธอโทรหา เขาไม่รับสาย! ทโญ 'ไม่เคย' ไม่รับสายเธอมาก่อนเลย และนี่คือครั้งแรกที่เธอรอสายน้องชายคนสนิทจนเข้าสู่บริการฝากข้อความ

หญิงสาวหลังพวงมาลัยรถยนต์เริ่มเครียดมากขึ้น เธอเห็นรถไหลตามกันไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งจะพาเธอออกนอกเมือง ดวงตากลมโตมองสะพานแขวนที่ใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ รถของเธออยู่บนสะพานกลางแม่น้ำเจ้าพระยา อมลรดาชักร้อนใจเมื่อเธอกดดูแผนที่ในโทรศัพท์ขณะรถติด ถ้าเธอยังขืนมั่วตรงไป เธอคงได้ไปเที่ยวทะเลแทนคอมมูนิตี้มอล์แน่นอน!

เธอไปตามทางที่เครื่องนำทางบอกก็จริง แต่อมลรดาก็ไม่คุ้นเคยกับถนนฟากนี้เลยจริง ๆ

อมลรดาตัดสินใจโทรหาพ่อตัวเองผ่านระบบโทรศัพท์ในรถยนต์ เธอไม่ต้องยกหูแค่กดปุ่มบนพวงมาลัยรถยนต์เท่่านั้น หากคนที่รับสายก็คืออาน่านทิวาเพื่อบอกว่าพ่อเธอไม่สะดวกคุย ตอนนี้ติดคุยกับลูกค้าอยู่

“อาทิว เดียร์ขับรถหลงทางค่ะ ... อาทิว อาทิวคะ!” แต่ปลายสายก็เงียบหายไป อมลรดาคิดว่าสายคงถูกตัดเพราะสัญญาณไม่ดีแน่ ๆ

“น้องดรีม!" เธอนึกถึงน้องชายเป็นรายถัดมา ดรัณหนักกว่าพ่อเธออีก เขาไม่รับสายเธอเลย!

“เดียร์เอ๊ย ... ขับไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็ถึงไหนสักที่ล่ะมั้ง" อมลรดาถอนหายใจให้กับสกิลเทพแห่งการหลงทางของตัวเอง!




ขณะที่คนตัวสูงเจ้าของดวงตาสีฟ้ากำลังค้นหาเอกสารจากตู้ตัวใหญ่ โทรศัพท์มือถือของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น รามิลยอมวางมือจากการหาเอกสารมามองชื่อคนโทรเข้า

Dear Deer

เขาบันทึกไว้ชื่อนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าชื่อเธอสะกดแบบไหนกันแน่ แต่ถึงจะรู้แล้วเขาก็ขี้เกียจเปลี่ยนอยู่ดี

รามิลกดรับสายอย่างเบื่อ ๆ เพราะเขากำลังยุ่งมากเลย!

“ว่าไงครับ ผมกำลังยุ่งนะ"

“มินนนน" เสียงหวานอ้อนดังมาก่อนเลย แถมยังเรียกชื่อเขาสั้น ๆ อีกต่างหาก ... นอกจากองศา เพื่อนสนิทที่เรียกไปเรียกมาก็เหลือแค่ มิน ที่มาจาก รา-มิล ก็เพิ่งมีอมลรดานี่ล่ะที่เรียกเขาแบบนี้

“ผมชื่อรามิลครับ คุณอมลรดา" เขาไม่อยู่ในอารมณ์มาล้อเล่นกับเธอหรอกนะ "ผมยุ่งมากเลย ผมค่อยโทรกลับได้ไหม"

“แต่แฟนปลอม ๆ คุณคนนี้กำลังมืดมนหมดหนทางมากเลย" เสียงของอมลรดาแย่มากจริง ๆ ชายหนุ่มถอนหายใจ ยอมซักถามอีกฝ่ายก็ได้

“เกิดอะไรขึ้นล่ะ" รามิลหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ แล้วเดินกลับไปหาเอกสารต่อ ซึ่งพอฟังแล้วเขาก็เครียดหนักกว่าเดิม

“ถ้ามินไม่ช่วยเดียร์ เดียร์ต้องหลงไปดวงจันทร์แน่นอนเลยนะ"

“เฮ้อ! ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่เฉย ๆ อย่าคิดทำอะไรอีกไง" รามิลบ่นเสียงขรึม

“ฉันรู้ว่าฉันประเมินตัวเองสูงไปหน่อย แต่ตอนนี้ฉันอยากกลับไปทางธรรมดาที่ฉันรู้จักนี่ ฉันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้" อมลรดาไม่เถียง "ถ้าคุณไม่รีบบอกมา ฉันว่าฉันต้องได้ไปเที่ยวทะเลแน่เลยมินมิน"

“มินมิน? ... ผมชื่อรามิลครับ"

รามิลขมวดคิ้วกับชื่อใหม่ของเขา

"เอาอย่างนี้นะเดียร์ คุณขับตามที่ผมบอกก็แล้วกัน ผมจะบอกทางไปห้างสรรพสินค้าแถวนั้น แล้วคุณโทรหาให้คนของคุณมารับที่ห้าง มันจะปลอดภัยกว่าการขับไปเรื่อย ๆ หรือไปที่อื่น โอเคไหม เพราะผมติดหาของสำคัญอยู่ หาจนหมดตู้ ค้นทั่วห้องก็ยังหาไม่เจอ"

รามิลบ่น ๆ แต่ก็ไม่ลืมบอกเส้นทางให้หญิงสาว ก่อนที่เธอจะขับไปไกลถึงทะเลอย่างที่เธอว่า

“เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือของมินมิน ให้เดียร์ช่วยไหม เดียร์หาของเก่งนะ" อมลรดาเสนอความหวังดี แต่เธอก็ทำปากยื่นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมา

“หาทางกลับบ้านให้ได้ก่อนเถอะครับ คุณอมลรดา ... เจอห้างแล้วใช่ไหม ขึ้นสะพานเข้าห้างไปเลย อย่าลืมที่บอก คุณให้คนมารับนะ ... อย่าขับกลับเองเลย เดี๋ยวได้หลุดไปดวงจันทร์จริง ๆ แล้วผมจะซวยอีก ฝนก็ใกล้จะตกแล้วด้วย"

“ถ้าฉันมีคนมารับ ฉันคงไม่โทรมารบกวนคุณหรอกนะมินมิน" อมลรดาบอกน้ำเสียงเซ็ง ๆ

"พวกเขายุ่งกันมาก เดียร์เพิ่มเรื่องให้เขาอีกแล้ว ... ทำไมเดียร์ต้องเกิดมาเป็นแบบนี้ด้วยนะ พ่อก็เก่ง น้องก็เก่งเหมือนพ่อเลย ทโญเห็นแบบนั้นก็ทำงานเก่งนะ ... เดียร์คงเป็นอย่างที่คุณว่า ดีแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ขนาดเรียนปริญญาโทยังจบช้ากว่าเพื่อนเลย ฉันไม่มีอะไรเก่งสักอย่างเลยล่ะรามิล"

คนตัวสูงที่กำลังดึงแฟ้มแฟ้มสุดท้ายออกมาจากตู้ถึงกับนิ่งไป เขาเปิดแฟ้มออกดูแล้วเสียบกลับที่เดิม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“โอเค เดี๋ยวผมไป คุณขับเข้าไปรอผมที่ห้างนั่น แต่รอนานสักพักเลยนะ ผมไม่แน่ใจว่ารถจะติดหรือเปล่า"

“แต่คุณยุ่งอยู่นี่ ... เดียร์กำลังคิดว่าเดียร์จะลองพยายามดู ขับกลับทางเดิมน่าจะถึงบริษัทป๊ะป๋าได้นะ" อมลรดาก็เกรงใจชายหนุ่มเป็นนะ หากเสียงดุ ๆ ก็ทำให้เธอหน้าเหี่ยว

“ไม่ต้องเลย รออยู่นั่น เดี๋ยวแฟนไปรับ โอเคนะ" รามิลตัดสายไปทันทีที่พูดจบ

“แฟนเหรอ ... แฟนเก๊ ๆ น่ะสิ" อมลรดาเขม่นใส่ชื่อของเขาในโทรศัพท์มือถือ "แต่ยังไงก็ต้องฟังคุณอยู่ดีแหละ รามิล ไม่งั้นโดนบ่นหูชาแน่นอน" หญิงสาวบ่นอย่างเซ็ง ๆ ไม่อยากมีพ่อเพิ่มมาอีกคนหรอกนะ!



ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ ร่างสูงของรามิลจะโผล่มา อมลรดานั่งกินขนมเค้กและน้ำชารออยู่ในร้านขนมร้านหนึ่ง เธอไม่ลืมบอกชื่อร้านให้ชายหนุ่มทราบผ่านโปรแกรมสนทนา เขาให้คนขับรถมาส่งเพื่อที่จะได้ขับรถหญิงสาวกลับไปหาพ่อของเธอ

“ทำไมต้องกินเค้กชอคโกแลตด้วย" รามิลทักคำแรกทันทีที่มาถึง เมื่อเขาชะงัก ไม่กล้าเข้าใกล้จานที่มีเค้กชอคโกแลตที่หญิงสาวตักกินไปกว่าครึ่งชิ้นแล้ว

“ขอโทษ ... ลืมไปว่าคุณแพ้ ... เก็บเลยก็ได้นะ" เธอรีบตักขนมใส่ปากอีกคำก่อนจะเรียกบริกรสาวมาเก็บจานไป

“ดื่มน้ำเยอะ ๆ ด้วย แค่เห็นผมก็คันไปทั้งตัวแล้ว" รามิลชักสีหน้าเมื่อนั่งลงบนโซฟาหนังตัวนุ่มข้าง ๆ เธอ

“มานั่งทำไมฝั่งนี้ ไปนั่งตัวนู้นสิ" หญิงสาวขยับกายห่างร่างสูงอย่างระแวง พลางชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“ผมเมื่อยน่ะ อยากเอนหลัง ผมหาของไม่เจอ หาทั่วก็ไม่เจอ เมื่อยจะแย่ ยังต้องนั่งรถข้ามเมืองมาหาคุณอีก รถก็ติดระเบิด"

“รามิลเป็นคนขี้บ่นเหรอ" อมลรดารู้สึกยิ่งเจอเขา ยิ่งพบกัน เขาก็ยิ่งพูดมากขึ้นเรื่อย ๆ

“นั่นสิ ทำไมผมกลายเป็นคนแบบนี้ได้เนี่ย" รามิลก็ยังสงสัยตัวเอง ปกติเขาไม่ค่อยพูดคุยกับใครหรอก ที่บริษัทนี้ยิ่งไม่เลย จะมีคุยเยอะ ๆ ก็แค่เรื่องงานเท่านั้น

กับองศา เพื่อนสนิท ตอนเจอกันก็คุยตลกอะไรไปเรื่อยตามประสาเพื่อนเก่า แต่พักนี้องศาก็ยุ่งกับงานและการเรียนจนห่าง ๆ เงียบ ๆ กันไป

ยิ่งน้องสาวแต่งงานออกจากบ้านไปสามปี รามิลก็รู้สึกโลกของเขาเหงาและอ้างว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ชายหนุ่มไปเยี่ยมน้องสาวบ้างแต่ก็ไม่สามารถไปบ่อยได้อย่างใจต้องการ น้องสาวแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว รามิลควรให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกเขา

เขายอมรับว่าเขาเหงามากเลยล่ะ

และในบางเวลา เขาก็อยากจะพูดเยอะ ๆ กับใครสักคน ... น่าแปลกที่อมลรดามักจะเป็นคนนั้นเสมอ

“แล้วคุณก็หาของไม่เจอเหรอ" อมลรดาเอียงคอถามเมื่อรามิลนิ่งเงียบไปคล้ายกำลังใช้ความคิด

“อืม หาไม่เจอ เป็นเอกสารสำคัญที่หลุดไปอยู่ในมือคนอื่นไม่ได้ด้วยสิ" รามิลถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม

“กินเค้กไหม เขาว่ากินของหวานแล้วจะทำให้สบายใจขึ้นนะ" หญิงสาวถามอย่างเอาใจ แต่ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ล่ะ ผมกินจนเบื่อแล้วเค้กเนี่ย"

พอพูดถึงเค้กแล้วรามิลนึกถึงพริมาขึ้นมาเลย ตั้งแต่ พริมา ลูกสาวเพื่อนสนิทบิดา ที่รามมิลรู้จักมาตั้งแต่พริมาลืมตาดูโลกนั้นเริ่มเรียนทำขนมหวาน เบเกอรี่อะไรเนี่ย รามิลก็ถูกบังคับชิมจนกางเกงคับ

โชคดีนะที่พริมารู้ว่าเขาแพ้ชอคโกแลต เขาเลยเลี่ยงบางอย่างจากน้องสาวคนสนิทได้บ้าง

“อ๋อ กินกับคนอื่นเยอะเลยสินะ" อมลรดาค้อนใส่อย่างลืมตัว "เดียร์ชวนถึงไม่กิน"

“ใช่สิ กินเยอะจนแค่พูดก็เอียนละ" รามิลไม่ทันคิดว่าเขากำลังถูกงอนอยู่ "แล้วไม่ใช่แค่คุณหรอก เดียร์ ต่อให้คนอื่นชวนผมก็ไม่กินเหมือนกัน"

อมลรดามองหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง เขาคงเหนื่อยจริงล่ะ ดูจากสีหน้าที่เนือย ๆ คิ้วหนาก็เอาแต่จะขมวดมุ่น และตอนนี้รามิลก็กำลังหลับตา ขนตาของเขายาวจนเห็นได้ชัด จมูกโด่งเหมือนหนุ่มฝรั่งรับกับริมฝีปากหยักที่เธอยังจำได้ว่านุ่มมากทีเดียว

รามิลขยับเปลือกตาเผยให้เห็นดวงตาสีฟ้าสดใส อมลรดาสงสัยอย่างมากจึงถามไปตรง ๆ

“มินมิน ทำไมตาคุณเป็นสีฟ้า แม่คุณเป็นชาวตะวันตกเหรอ"

เขากดหัวคิ้วกับชื่อที่เธอใช้เรียนขาน แต่ก็ขี้เกียจบ่นอะไรแล้วเลยปล่อยเลยตามเลย

“แม่ผมเป็นลูกครึ่งน่ะ ผมได้ตาสีฟ้ามาจากแม่ สีผมด้วย"

“อย่างนี้นี่เอง ผมคุณสีธรรมชาติหรือเนี่ย สวยเหมือนฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเลยนะ" เธอชมเขาจากใจ รามิลเป็นผู้ชายที่ส่วนประกอบทุกอย่าง ไม่ว่าจะใบหน้า สีผมสั้นของเขา ไหล่กว้าง ทุกอย่างเข้ากันได้ดีมาก

อมลรดาเอาแต่มองเส้นผมสีน้ำตาลสวย ๆ ของรามิล ก่อนที่เธอผงะนิ่งเมื่อรามิลที่ยื่นหน้ามาจนใกล้ แล้วถามด้วยรอยยิ้มเพียงบาง ๆ แต่ก็ทำให้หัวใจคนมองกระตุกได้

“อย่าบอกนะว่าคุณหลงรักผมแล้ว เดียร์เดียร์"


จบตอนที่ 3


อัพยาวหน่อยนะคะ
จะได้อัพพร้อมเวบอื่นเลย แฮ่ๆ ค่อย ๆ อ่านก็ได้น้า




ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2559, 02:10:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ต.ค. 2559, 22:29:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1662





<< ตอนที่ 2 - 100%   
ปิ่นนลิน 8 มี.ค. 2559, 02:27:27 น.
ตอบคอมเมนท์ค่า

คุณร้อยวจี - โดนกันไปทั้งคู่ เลยต้องมานั่งปรับทุกข์กัน 55

คุณแว่นใส - นั่นสิน้า ใครวางแผนนะ ><

คุณแกะดำ - พี่ดรีมยังเป็นวัยรุ่นใจร้อนค่า 55

คุณสเลเต - บอกเลย น้องพรีมตามไม่ทันค่ะ 5555 ถูกพี่ดรีมลวงเข้าด้านมืดไปเรื่อย ๆ อิอิ

คุณก้อนหิน - รามิลโดนหนักเลย เพราะเดียร์ไม่โดนพ่อภีมดุนะ 55555


พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ
สวัสดีค่า


pkka 8 มี.ค. 2559, 08:21:48 น.
น่ารักมากอ่ะ ติดตามมากลายเรื่องล่ะอยากเข้ามาmentมาก


ร้อยวจี 8 มี.ค. 2559, 09:49:52 น.
เป็นคู่ที่น่ารักอีกคู่ค่ะ แต่สงสัยบริษัทฯ รามิลมีเกลือเป็นหนอนหรือเปล่าค่ะ


แว่นใส 8 มี.ค. 2559, 12:41:37 น.
ภวินทร์จะทำไร


wane 8 มี.ค. 2559, 13:05:06 น.
สนุกมากค๊าาาา


ตามหาฝัน 8 มี.ค. 2559, 14:06:51 น.
มินมิน คริคริ ฟังดูน่ารักจัง นึกถึงมินเนี่ยนตัวเหลืองๆ เลยค่ะ


แกะดำ 8 มี.ค. 2559, 23:15:57 น.
โอย มินมิน เดียร์เดียร์
อุเหม่ 555


นี่มินมิน หลุดคอนเซป นิ่งๆ เงียบๆ ไปแล้วสินะคะ เวลาอยุ่กะสาวเนี่ย 55


สเลเต 11 มี.ค. 2559, 23:42:22 น.
ทำไมขำนางเอกตลอด


Zephyr 12 มี.ค. 2559, 00:09:57 น.
เหม่ มีชื่อเรียกเฉพาะกันด้วย
อึ้ยยยยย เขิลลลลล 5555
มาพากลับบ้านสินะ
หลงได้กลงดีจริงลูกพ่ออนลเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account